
บันทึกจดหมายเหตุกรุงพาราณากอน ตอนขนมโดนัท Krispy Kreme
ช่วงเกือบเย็นวันหนึ่งของปลายเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2553 ปีขาล จุลศักราช 1372 ผมสัญจรผ่านไปทางหน้าห้างสยามพารากอน โดยมุ่งหน้าไปแยกมาบุญครอง พลันสายตาผมก็เหลือบมองไปทางฟากฝั่งด้านขวามือ ฝูงชนจำนวนมากมายยืนต่อคิวแถวตอนเรียงหนึ่ง มันงอกยาวออกมาจากในตัวห้างพารากอน ขบวนคดเคี้ยว และหางแถวเลื้อยยาวยิ่งกว่ามังกรตรุษจีนที่ปากน้ำโพนครสวรรค์มาต่อกัน 15 ตัวรวดเสียอีก ผมตะโกนบอกลุงคนขับแท๊กซี่ทันที "จอด จอด จอดครับลุง ผมจะลงไปเป็นไทยมุง"
สัณชาติญาณของไทยมุงชั้นดีอย่างผมย่อมไม่พลาด ผมกระหายอยากรู้ว่าเค้าทำอะไรกันตรงหน้าห้างสยามพารากอน เค้าเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งเพื่ออะไร เพื่ออุดมการณ์ หรือเพื่อตัวเอง ผมคิดเล่นๆ เป็นไปไม่ได้ที่ห้างใหญ่อย่างพารากอนจะจัดงานเทกระจาดภายในห้าง และไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าฝูงชนมารอจององค์จตุคาม แบบสมัยที่เคยฮิตสุดขีดในอดีต ริ้วขบวนยาวเป็นกิโลราวกับผู้ลี้ภัยนับแสนจากศูนย์อพยพตามตะเข็บชายแดน
ผมเดินเฉียดเข้าไปใกล้ริ้วขบวน ผมเล็งเบื้องหน้าไปที่อาเฮียคนหนึ่ง ดูท่าทางแกอารี ใจดีและรักครอบครัว ใช่เลยคนนี้แหละที่ผมจะขอข้อมูล ผมเดินจนใกล้ถึงอาเฮียอยู่แล้ว พลันมือซ้ายอาเฮียก็ยกไอโฟน 4 ขึ้นมาแนบหูแล้วตะโกนเสียงดังไปตามสาย...."ไอ้ตี๋เล็ก เอ็งบอกคุงหมอปั๊มหัวใจหม่าม๊าไปเรื่อยๆก่อง ปูเหลียวป๊าจะรีบปาย ตอนนี้เหลืออีกประมาณเจ็ดเสียบหอกคิว ป๊าก็จะได้ซื้อขนมโลนักเลี้ยว จายอึ่มจาย อาตี๋เล็ก"
พอผมได้ยินอาเฮียพูดผ่านไอโฟน 4 เช่นนั้น ผมทราบโดยสัญชาตญาณว่า ขนมโลนักแปลตรงตัวก็คือขนมโดนัทนั่นเอง ผมตัดสินใจรีบเดินไปต่อคิวท้ายสุด เป็นไงเป็นกันงานนี้ การที่คนไทยอยากกินโดนัท คงเพราะความอร่อยเลิศอย่างแน่ๆ แต่ส่วนหนึ่งผมคิดว่าคนไทยต้องการร่วมสร้างประวัติศาสตร์ มันเหมือนการเรียกร้องประชาธิปไตยต้องไปที่ถนนราชดำเินิน หรือไปรวมตัวหน้าจตุรัสเทียนอันเหมิน เพียงแต่เที่ยวนี้มาเรียงคิวกันหน้าพารากอนนั่นเอง
ผมทำใจเย็น เกิดเป็นคนไทยต้องใจเย็น การได้ชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยเรียงคิวโดนัทมันโก้ไม่หยอก ผมรอคิวไปเรื่อย เวลาก็ผ่านไปเรื่อยเรื่อย มีคนมาเสนอขายโดนัทให้ผมเพื่อเป็นการลัดคิวโดยต้องเสียค่าตอบแทน 250 บาทต่อ 1 กล่อง ผมปฏิเสธอย่างไม่แยแส การอยากลองกินโดนัทก็คือสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งที่เหนือกว่าทุกสิ่ง คือผมอยากมีส่วนร่วมในการเขียนประวัติศาสตร์ชาติ ผมอยากมีส่วนร่วมในการเรียงคิวโดนัทหน้าห้างพารากอนนั่นเอง
ค่ำมืดแล้ว เวลาผ่านไปราวสามชั่วโมง ผมเขยิบเข้าใกล้เส้นชัยไปทุกที ผมเห็นคนหิ้วกล่องโดนัทเดินสวนทางออกมา ใบหน้าทุกคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม บางคนปวดขา บางคนอาจจะเป็นอัมพฤกษ์หลังการรอเรียงคิวโดนัท แต่ทุกคนก็ยิ้ม ทุกคนดีใจที่ได้ครอบครองโดนัท จิ๋นซีฮ่องเต้และอับราฮัม ลินคอล์น กล่าวไว้ไม่มีผิด อาหารรสเลิศ หากผู้ใดได้ลิ้มลองก็เปรียบเสมือนมีชัยชนะเหนือศัตรู และยังเหมือนได้ครอบครองแว่นแคว้นแดนดิน.....
คิวของผมเริ่มโผล่เข้าไปใกล้จุดเคาน์เตอร์ขาย ทำให้เห็นว่าเจ้าขนมโดนัทที่ผมจะซื้อนั้นชื่อ Krispy Kreme นั่นเอง ชื่ออะไรไม่ใช่สิ่งแปลก แต่ที่แปลกคือผมรอนาน 3 ชั่วโมงได้อย่างไรโดยไม่ไร้ความพยายาม หากเปลี่ยนเป็นการไปยืนรอแฟนที่สวยระดับนางงามจักรวาล ผมอาจจะทนรอได้ไม่เกิน 15 นาที ผมขยับแถวตามคนข้างหน้าไปเรื่อย ทีละนิด ทีละนิด ความหวังของผมมันอยู่ข้างหน้า แค่มือเอื้อมแล้ว ผมคำนึง ลูกเอ๋ย คืนนี้พ่อจะมีขนมไปฝากเจ้าแล้ว......
ไชโยผมเข้าเส้นชัยแล้ว...เหมือนฟ้าฟาด จู่จู่ ก็มีเชือกไนลอนเส้นยาวสีดำแบบแบน ขนาดกว้างประมาณ 3 นิ้วเห็นจะได้ มากั้นขวางที่กลางลำตัวผม มันกั้นฉับลงตรงคิวที่ผมยืนอย่างพอดิบพอดี พร้อมกับพนักงานใส่สูท มือถือวอล์คกี้ทอล์คกี้ เดินเข้ามาบอกผมด้วยน้ำเสียงสุภาพ อ่อนโยน นอบน้อม "ขอประทานอภัยครับคุณผู้ชาย คืนนี้โดนัทหมดแล้วครับ คุณผู้ชายสามารถมาต่อคิวได้ใหม่ในวันพรุ่งนี้นะครับ"
ผมยืนตะลึง เอามือไชรูหูตัวเองว่าไม่ได้หูแว่ว โลกทั้งใบของผมเหมือนถูกสับคัทเอาท์ มันมืดเดี๋ยวนั้น มันคล้ายกับคนที่เดินหลงทางกลางทะเลทรายแล้วตาลายมองเห็นแหล่งน้ำอยู่เบื้องหน้า พอเดินเข้าใกล้บ่อน้ำก็พลันหายวับคาสองลูกกะตา หรือจะเปรียบเปรยไปอีกทาง ก็เหมือนชายหนุ่มที่ถูกหญิงตัดสลัดรักง่ายๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยการส่งข้อความปฏิเสธรักผ่านมือถือแบล็คเบอรี่....ผมพลาด ผมพลาดในสิ่งที่ผมตั้งใจ ผมอดกินโดนัท.....
คนหลายคนด้านนอกห้างพารากอนปลอบใจผมกันยกใหญ่ บางคนแนะนำให้ผมมาจองคิวก่อนพระออกบิณฑบาตร บางคนบอกให้ผมรักษาสุขภาพให้ดีแล้วมารอเรียงคิวกันใหม่ บางคนให้ศีลให้พร ขอให้ผมมีชัยเหนือคิวอื่นๆ บางคนถึงขั้นจะมอบตะกรุดและผ้ายันต์ให้กับผม เพื่อให้แคล้วคลาดจากเชือกไนลอนขนาดสามนิ้วที่เพิ่งกั้นตัดหน้าผมไปหมาดๆเมื่อครู่ ผมบอกกับทุกคน ผมอยากกินโดนัท และแน่นอนผมจะสู้ต่อไป.....
ผมเดินย้อนมาเอื่อยๆ ผ่านออกมาด้านนอกห้างพารากอน เดินลัดเลาะไปตามแนวฟุตบาท ด้านซ้ายผมเป็นวัดปทุมคงคา ผมเดินเร้นกายกับความมืดเ้ข้าไปในบริเวณพัทธสีมาของวัด ผมอยากสงบจิตใจ ไม่มีที่ไหนในยามนี้ที่จะดีกว่าวัด ผมเดินลึกไปเรื่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หอระฆัง มัดมืดสนิท ไม่มีพระ ไม่มีเณร หรือโยมอุปัฏฐากเลยสักคน ผมมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินแน่ๆ ผมตะโกนระบายความอัดอั้นใต้หอระฆังดังดังว่า......
โว้ย โว้ย โว้ย ใครก็ได้ช่วยด้วยโว๊ย ช่วยไปเรียงคิวซื้อโดนัทให้ทีโว้ยยยยยยย......
จบแล้วจ้า