ผมเคยถามเรื่องนี้เช่นกันครับ
ลองอ่านดูครับ
http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=206703

ไม่น่าทำให้พังนะครับ ถ้าไม่ได้เปิดดังเกินที่หูฟังจะรับไหว
ส่วนหลักการที่เราไม่ปรับ EQ น่าจะคล้ายๆกับการกินก๋วยเตี๋ยวแล้วไม่ปรุงครับ
เพื่อลิ้มรสชาติแบบ Original ที่เจ้าของปรุงให้กินครับ ^^

ไม่เป็นความจริงครับ ต่อให้ปรับสุดยังไงก็เพี้ยนไม่เกินความถี่ของสเปคหูฟังได้หรอกครับ
ค่าต่างๆใน EQ player ที่เห็นทำเพื่ออ้างอิงคราวๆเท่านั้น

ลองเอาหูฟังสองตัวต่างแนวเสียงต่างสเปค แล้วปรับ eq ให้เหมือนกันเสียงมันจะเพี้ยนมาเหมือนกันไหม??
grado กับ Sony ลองปรับให้เพี้ยนเหมือนกันดู มันจะได้หรือเปล่า

-ทำไม DAP ต่างๆจึงยังทำ eq มาให้ปรับเล่นอยู่ครับ

เอามาเผื่อให้คนชอบปรับไงครับ ขาดนี่ไปนิดนะ อ่าาปรับซะหน่อยเผื่อจะได้การขึ้น

ขอบคุณครับ หายสงสัยไปที

จริงๆเลย การปรับ EQ คือการปรับแต่งเสียงให้ตรงตามต้องการครับ คือจะเร่งความถี่ในย่านไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือปรับแต่งตรงย่านความถี่ต่ำครับ การเร่งหรือบูสความถี่ต่ำมากๆหรือเร่งจนสุด จะส่งผลให้ไดรเวอร์ทำงานหนัก อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ

ลองสังเกตุดูง่ายๆครับ ลองต่อ player ผ่านทาง bluetooth เข้ากับลำโพง Bluetooth หรือต่อกับหูฟังอะไรก็ได้(ขอที่ราคาถูกๆหน่อย) ลองเร่งเบสซึ่งมักจะเป็นความถี่ทางด้านซ้ายสุด ลองเร่งจนสุดซัก 1-2 band แล้วลองฟังดูครับ เราอาจจะได้ยินเสียงไดรเวอร์ลำโพงกระพือ มีเสียงพร่า หรือครางแบบแตกเบาๆให้ได้ยิน

ซึ่งถ้าเปิดเบาๆหรือระดับความดังปกติอาจจะไม่รู้สึกว่าการปรับ EQ ทำอันตรายต่อหูฟังหรือลำโพง แต่ขอให้ลองเร่งระดับความดังทะยานขึ้นไปเรื่อยๆๆ จะทราบทันทีว่าลำโพงหรือหูฟังเราจะเสียได้ก็เพราะ EQ นี่ล่ะ

การที่ dap ยังทำ EQ มาให้ปรับนั้น เค้าทำเพื่อชดเชยเสียงบางย่านที่ขาดหายไปครับ วิศวะกรออกแบบให้ใช้ชดเชยกับบางแนวเพลง บางอัลบั้ม อันไหนขาดอะไรไปก็ปรับเติมกันซะหน่อย ซึ่งไม่ส่งผลเสียหรืออันตรายแต่อย่างใด แต่ส่วนมากคนไทยจะใช้กันผิดวัตถุประสงค์ คือถ้าอัดได้เท่าไหร่ก็จัดลงไปเต็มๆ ซึ่งนั่นคือการใช้งานแบบผิดวิธีและประเภทครับ 555

ถึงบางอ้อเลยครับ ..ต้องฟังบ่อยๆถึงจะเริ่มเข้าใจ ตอนนี้ผมเริ่มลดปริมาณเบสลงแล้วล่ะครับ