ผมปรับนะ ไม่ต้องคิดมากครับมีความสุขกับการฟังเพลงดีกว่า ปรับบ้างไม่ปรับบ้างแล้วแต่แนวเพลงและตัวหูฟังครับ

ไม่ปรับเพราะขี้เกียจครับ ฟังเพลงหลายแนวเกิน pop ยัน heavy metal

1. ขี้เกียจปรับ มีหลายแนวเพลง
2. รู้สึกดูไม่เพียว ไม่ใช่สิ่งที่นักออกแบบ DAP ตั้งใจไว้ในตอนแรก
3. ไม่มั่นใจในคุณภาพและความละเอียดอ่อนของ EQ ที่อาจมีผลต่อการ distort สัญญาณเสียงที่ปล่อยออกมาแบบ original ครับ

ประมาณนี้ครับ

รู้สึกเหมือนคุณ artpiggo ครับ "รู้สึกดูไม่เพียว ไม่ใช่สิ่งที่นักออกแบบ DAP ตั้งใจไว้ในตอนแรก"

และไม่เคยเปลี่ยนหูฟังเพราะอยากเปลี่ยนแนวครับ หูฟังอันเดียวผมใช้ฟังเพลงทุกแนว เวลาเปลี่ยนหูฟังนี่คือเจอหูฟังที่ชอบมากกว่าในช่วงที่พอมีตังครับ (ปกติไม่เปลี่ยนบ่อย) ถ้าเห็นผมมีหูฟังเยอะๆนี่คือยืมอาจารย์มาครับ 5555

แบบนี้เอง

ก็คิดนะว่า คนทำเพลงก็ใส่ใจทำเพลงออกมาให้เพราะอยู่แล้ว การฟังต้นฉบับแบบไม่ปรุงแต่งอะไรเลยก็เป็นเรื่องสมเหตุผลดี simple is the best

แต่ถ้าลองเปรียบกับการซื้อก๊วยเตี๋ยวกินที่ร้าน รสชาติต้นฉบับที่แม่ค้าทำให้กินนั่นคือดีที่สุด?

ผมนี่คิด พิมพ์เพ้อเจ้อไปเรื่อย...

ขอบคุณที่ช่วยออกความคิดเห็นครับ^^

เล่นกะคอมและชุดตั้งโต๊ะไม่ปรัทำให้ไม่ค่อยไปปรับอะไรมันยงดั่งใจเลยครับ

เล่นกะมือถือ ต่อ dac fiio e18 ไม่ปรับbassขึ้นเพราะรู้สึกปรับแล้วจะหนาไป ปวดหูครับ

เล่นในรถ ปรับทุกครั้งเลยครับ เอาเบสขึ้นนิดหน่อย เอาแหลมขึ้นเยอะ เพราะเครื่องเสียงรถไม่เคยได้เสียงดั่งใจเลยครับ

ฟังเพลงผ่านทีวี เช่นดูดีวีดี concert ปรับครับเพราะเสียงจากทีวีมันอู้ ส่วนมากผมปรับแหลมขึ้น

สรุปว่าสำหรับผมไม่มีกฏตายตัว แต่อย่างไรก็ดีได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่าคนเล่นเครื่องเสียงเค้าไม่ปรับeqกัน ความเชื่อนี้แอบฝังใจ ทำให้ไม่ค่อยไปปรับอะไรมันถ้าไม่จำเป็นครับ

ขอโทดที samsung ดีมากครับ พิมอะไรไป มันย้ายที่ย้ายประโยคเองได้หมด..... อ่านไม่รู้เรื่องเลย ขี้เกียจพิมใหม่ด้วย ...

ปรับแล้วไม่ถูกใจ เสียงเพี้ยน ฟังแบบไม่ปรับเพราะกว่า เลยไม่ปรับครับ

ขอเสียอย่างนึงเวลาปรับคือถ้าเปลี่ยนเพลงแล้วบางทีมันไม่เพราะเลย มันต้องคอยมาเปลี่ยนกลับไปมา

อืมม เรื่องการเสียเวลาเปลี่ยนก็เป็นสาเหตุด้วยแฮะ

ผมใช้ foobar ฟังเพลง เปลี่ยนpreset EQ แค่คลิกขวาตรงแถบโปรแกรมในtaskbar เองครับ เลยไม่เสียเวลาเท่าไร

คุณ bonus79 "ได้ยินมาตั้งแต่เด็กว่าคนเล่นเครื่องเสียงเค้าไม่ปรับeqกัน"
-ผมเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน แปลกดี ตอนนั้นผมน่าจะถามว่าทำไมไม่ปรับกัน

ไม่มั่นใจครับว่าปรับแล้วจะดีขึ้นหรือแย่ลง เลยฝากความเชื่อใจไว้ให้กับเพลงต้นฉบับล้วนๆ

ส่วนมากที่ผมไม่แนะนำให้ปรับ EQ เป็นเพราะโปรแกรม EQ สำเร็จรูปที่ติดมานั้น มันฟังแล้วเป็นความเพี้ยนแทบทั้งหมด คือแทนที่จะดีผมว่ามันไปลดทอนคุณภาพเสียงลงมากกว่า ในบางกรณีที่ปรับแล้วอาจจะรู้สึกมันส์ขึ้น ฟังสนุกขึ้น ซึ่งถ้าปรับแล้วพอใจมากกว่าก็ปรับเถอะครับ

แต่ EQ อีกประเภทหนึ่งที่บางทีไม่ควรไปยุ่ง ก็คือ EQ แบบ custom ด้วยตัวเอง เพราะการปรับแต่ง EQ เองแบบไม่มีความเข้าใจในเรื่องความถี่เสียง อาจจะเป็นสาเหตุทำให้หูตัวเองและหูฟังเสียหายได้ครับ ยกตัวอย่างว่า EQ ทีมี 10 bands ถ้าเราไม่ยกความถี่ทางซ้ายสุดขึ้นมาซัก 2 แบนด์ โดยยกขึ้นสุด

เราอาจจะรู้สึกว่าเบสเยอะขึ้น แต่นั่นมีโอกาสทำลายไดรเวอร์ให้แตกพร่าออกมาได้ เพราะเท่ากับมันส่งความเพี้ยนสุดๆป้อนเข้าไปครับ 555

ถ้าฟังแบบaudiophile หาอุปกรณ์ที่เลือกมาดีถึงระดับหนึ่ง ผมไม่ค่อยปรับอะไรเพิ่มครับ
แต่ถ้าบางจังหวะ อยากฟังแบบเอามันส์ก็ปรับอย่างอื่นเพิ่ม

เวลาปรับeq มันไปกระทบเสียงอื่นให้มันผิดเพี้ยนไปด้วยน่ะครับ เพราะยกตัวอย่าง เสียงนักร้องนี่ ไม่ได้มีความถี่ช่วงเดียว ทีนี้พอเวลาปรับอะไรก็ตาม มันจะกระทบย่านความถี่ของเสียงอื่นไปด้วย ซึ่งถ้าฟังแบบ audiophile(ไม่แปลตรงตัว แต่เอาแบบเข้าใจง่ายๆในแง่มุมหนึ่งคือ จับผิด ^ ^) จะฟังออกครับ

ที่นี้ถ้าคนปรับ ปรับเก่ง ปรับละเอียด ก็อาจจะมีผลข้างเคียงน้อยหน่อย
สรุปสำหรับตัวเองคือ มักจะไม่ปรับครับ แต่ไม่เห็นว่าปรับแล้วมันจะผิดหรือแย่อะไรมาก ขึ้นอยู่กับอารมณ์ขณะนั้นด้วย อยากเอามันส์ก็ปรับครับ (มักไม่ค่อยปรับตอนฟังเพลงร้อง)

อีกอย่างหนึ่งจะเป็นแบบที่เฮียบอกครับ การยกคลื่นความถี่(โดยเฉพาะความถี่ต่ำ)เราฟังไม่ค่อยออก ปรับแล้วเห็นผลไม่ค่อยเยอะ แต่กลายเป็นว่า เครื่องทำงานหนักขึ้นเยอะครับ ถ้าเบรคตัวเองไม่อยู่มันก็จะสร้างความเสียหายให้อุปกรณ์ได้ครับ

อย่างนี้นี่เอง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินคาดครับ

ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากเลย

มันเป็นเรื่องทางเทคนิคมีคำอธิบายใว้ครับ คุณรองปรับแล้วเปรียบเทียบกันคำอธิบายใว้แล้วไม่เห็นความแตกต่างไม่ต้องไปซีเรียสหรอกครับ เอาที่ชอบเลย *-*

เรื่องนี้ผมกลับมองต่างนะครับ คือสงสัยว่า ถ้ามันไม่ดี เค้าจะทำมาให้ปรับทำไมหว่า

แต่ผมก็ไม่ปรับเหมือนกันนั่นแล ด้วยเหตุผลเหมือนกับใครหลายคน คือ ชอบเดิมๆ ที่ศิลปินทำเพลงมาดีแล้ว + ขี้เกียจปรับไปปรับมา 55555

ไม่ปรับครับ เพราะขี้เกียจ + โง่ด้วยกลัวปรับนู่นนี่เพี้ยน 555+

อยากฟังแนวไหน หยิบหูฟังแนวนั้นมาฟัง (พูดเหมือนมีเยอะ .. มีแค่ 2-3 ตัวเองครับ 555+)

กินข้าวเปล่า อร่อยตรงไหนครัช
55. หูฟังระบบ acoustic body
ออกแบบตอบสนองความถี่ต่างกันทุกตัว. แม้แต่หูยี่ห้อเดียวกัน
อิคิวมีไว้ปรับให้ สนองต่อการรับฟังและแมทชิ่งกับระบบภายในห้องเสียง. เหมือนอิคิวใน ระบบbose901
ถ้าหูและเครื่องมีสภาพเสียงฟังแล้วพอดีกับการฟังที่ชอบ
ก็ไม่ต้องปรับอะไร ทั้งนี้แล้วแต่ปัจจัยเกี่ยวข้องด้านเสียงการอัดเพลง. มาสู่การplayback.
ในระบบห้องฟังระดับ ราคาล้านขึ้นมีแม้กระทั่ง อุปกรณ์เสริมแปลกประหลาด. เช่นอิฐvip. ท่อสอดสาย ปลั้กไฟกรอง
ทัังนี้เพื่อให้ เสียงการเล่นสมบูรณ์ยิ่ง

สมัยเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆ ปรับเป็นรูปตัว วี เลยครับ
เล่นมาสักพักใส่ใจระบบมากขึ้น ดูแลตั้งแต่ ระบบไฟเข้าเครื่อง สาย อุปกรณ์ เลยไม่ปรับแล้วครับ

สาหตุที่ไม่ปรับคือ เมื่อได้สิ่งใดมาจาก Equalizer บางอย่างจะหายไปครับ มันกลบ
แต่ที่เห็นชัดๆคือ อารมณ์ของเพลงจะหายไป เสียงลมหายใจ เสียงเอื้อนเล็กๆ หายไปทันทีครับ

หลังๆมานี่ ใช้สายจูนเอาครับ ล่าสุด ของเล่นใหม่ที่เพื่อนเล่นกันคือ สายสัญญาณ เดอะหั่งครับ
ความยาวแค่ 2 CM แต่ถ้าใส่ถุกที่ เสียงเปลียนเยอะมากแล้ว อารมณ์ก็ไม่หายครับ

ส่วนหูฟัง ถ้าอยากให้แนวบางอย่างเพิ่ขึ้นมาจะทำสายต่อเพิ่มครับ แค่นี้ ก็ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา อย่างที่ต้องการแล้วครับ

Equalizer แปลว่า (เครื่องปรับสัญญานเท่า) หรือมันมีไว้แก้ไขความถี่เสียงที่ไม่สมดุล
มีให้ปรับ ดีครับ ปรับก็ได้ ไม่ปรับก็ได้ เราจะได้รู้ว่าแบบใหนถูกใจเรา
พอปรับบ่อยๆนึกรำคาญ ก็ไปหาอุปกรณ์ที่ให้เสียงแบบที่ถูกใจโดยไม่ต้องปรับซะ
ก็แล้วแต่เรา หรืออุปกรณ์มันดีอยู่แล้ว พอไปปรับมันแล้วเสียงแย่กว่าที่ไม่ปรับ ก็ไม่ต้องปรับ

คำตอบนี้(อาจ)ใช้ไม่ได้ในงานเครื่องเสียง แบบaudiophile เพราะอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด
ของเขาดี ไม่ต้องปรับ ได้เสียงดั่งต้นฉบับ ก็จบ ฟังแบบธรรมชาติ
ของเราไม่ค่อยสมดุล ถ้าไม่ไปซื้อของดีมากมาใหม่ มันก็เลยปรับตามใจชอบ สนุกดี
พอพังก็ไปร้านเฮียมั่นคง แล้วก็ซื้อมาปรับใหม่ เพราะมัน สนุกดี ^^

ขอบคุณสำหรับคำตอบมากครับ
^/\^

ของผมชุดฟังประจำ ไม่ปรับจนชินไปซะแล้ว ก็เลยฟังมันแบบไม่ปรับนั่นแหละ
แต่ตัวที่ต่อกับ PC นี่ผมปรับนะครับ Roll off ย่านเสียงสูงลงมา ไม่งั้นไม่ไหวเสียงแหลมแผดหูมากๆ ใช้แค่ฟังเพลงแบบสบายๆ หรือดูหนัง/เล่นเกม มันไม่ค่อยฟ้องเรื่องคุณภาพเสียงเท่าไหร่ครับ ^^

ผมว่าน่าจะตามที่ คห.21 บอกครับ

ผมว่ามันน่าจะออกแบบมาให้ใช้ปรับแก้ไขเสียงหน้างานอะครับ
เหมือนตอนก่อนมีคอนเสิร์ตเค้าก็จะมีให้ปรับจูนเสียงก่อนศิลปินเล่น ถ้างานมันจะถึงเดดไลน์แบบนั้นแล้ว จะมาหาอุปกรณ์เพื่อปรับเพิ่มลดเสียงแต่ละย่านมันก็ไม่ใช่ หรือจะให้พกอุปกรณ์ไปหลายๆชิ้นก็ยิ่งหนักไปใหญ่ เปิดดนตรีหรือเล่นเครื่องดนตรี เทส แล้วมาลากEqualizer เพื่อปรับเสียงน่าจะง่าย และสะดวกกว่า

ใช่แล้วครับท่าน MaxxIE เพราะงานคอนเสิร์ต เป็นงานเฉพาะหน้า EQ เป็นตัวช่วยที่ดี
ถ้าจริงจังคือ Sound Engineer เขาจะใช้ Equalizer เพื่อ ตัดความถี่ที่ไม่จำเป็นออกเท่านั้น
เพื่อพื้นที่โดยรวมจะได้มีพื้นที่เพื่อใส่ให้กับเครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือ เพื่อการแก้เสียง ฮัม หรือตัดความถี่ที่ไม่พึงประสงค์ และการใช้เพื่อการบิดเบือนเฟสของเสียง บางความถี่
เขาไม่ได้ใช้เหมือนกับคนที่เล่นเครื่องเสียงนะครับ แบบใช้เพื่อเพิ่มหรือ Boost ความถี่ที่ชื่นชอบให้ดังสะใจตัวเอง อันนี้ผมถนัด สนุกดี แล้วอุปกรณ์ก็เสียหาย และไม่แนะนำ มันจะเละ

สรุปคือ EQ ใช้เพื่อแก้ปัญหาในงานสตูดิโอ หรือ Live Sound ไม่ได้ใช้เพื่อสนองความชื่นชอบส่วนตัวนะครับ สะบายๆครับไม่ต้องเครียส...^____^

ขึ้นอยู่กับเพลเยอร์ครับ ถ้าไอพอดผมไม่ปรับ แต่แบรนด์อื่นจะมีปรับบ้าง