ลองแวะไปอ่านที่นี่ดูครับ
http://www.baichasong.com/board/view/32
ขออนุญาติ webboard ใบชาsong มาแปะหน่อยนะครับ

เอ้า ยืมพี่บรรณเอามาแปะไว้หน่อยๆๆๆ

CD Audio ความละเอียดของ จะอยู่ที่ 16 bit และ sampling rate 44.1 kHz หลายคนคงเคยเห็นเลขเหล่านี้ sampling rate แปลตรงตัวว่าอัตราการสุ่ม ในที่นี้หมายถึงการสุ่มดึงเอาเสียงมาช่วงหนึ่งนั่นเอง คือเสียงเพลงตามปกตินั้นจะมีความถี่เป็นอนันต์ (กว้างมาก ตั้งแต่ 0 Hz ไปจนถึง อินฟินิตี้ Hz) แต่โดยปกติเสียงที่มนุษย์เราได้ยินนั้นอยู่ในย่านความถี่ต่ำสุด 20 Hz สูงสุดประมาณ 22,050 Hz (22.05 kHz) สูงหรือต่ำกว่านั้นเราจะไม่ได้ยิน เขาจึงสุ่มมาแค่ช่วง 0 - 22.05 kHz ก็พอ แต่อัตรานี่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของสัญญาณเสียงที่เราสนใจคือ 22,050 x 2 = 44,100 Hz ครับ

นี่เป็นที่มาของ sampling rate 44.1 kHz หมายความว่าถ้ามี sampling rate อยู่ที่ 48 kHz ก็จะรองรับความถี่เสียงตั้งแต่ 0 - 24,000 Hz และถ้าอยู่ที่ 96 kHz จะรองรับความถี่เสียงตั้งแต่ 0 - 48,000 Hz รวมเอาเสียงที่ค้างคาวได้ยินมาด้วย และถ้าอยู่ที่ 192 kHz จะรองรับความถี่เสียงตั้งแต่ 0 - 96,000 Hz ซึ่งรวมเอาเสียงที่มนุษย์ต่างดาวได้ยินมาด้วย แจ้งลบข้อความนี้ สยมภู 61.90.15.221 ความคิดเห็นที่ 1 29.03.2011 / 3:44 pm ใช้เป็นแบบสเตอริโอ (แยกซ้ายกับขวาคนละสัญญาณ) ทำให้มีความกว้างของสัญญาณเสียงเท่ากับ 22,050 x 2 = 44,100 Hz ครับ

นี่เป็นที่มาของ sampling rate 44.1 kHz" เจ้า 44.1 kHz ซึ่งเป็นอัตราสุ่มที่ทำให้เราได้ยินเสียงได้ถึงความถี่ 20.050 kHz ครับ เจ้า 44.1 kHz นี้มีชื่อเรียกเก๋ๆว่า Nyquist Frequency โดยจะมีค่าเป็น 2 เท่าของย่านความถี่สูงสุดที่เราสนใจ เช่น ถ้าเราสนใจแค่ 1 kHz ก็จะใช้ Sampling Rate = 2 kHz ส่วน 16 bit ก็คือการเก็บข้อมูลเสียงลงในระบบคอมพิวเตอร์ โดยการแทนค่า (คนที่เก่งคอมก็น่าจะรู้อยู่แล้ว) 1 bit เก็บข้อมูลได้ 2 ค่า คือ 0 กับ 1 2 bit เก็บข้อมูลได้ 4 ค่า 3 bit เก็บข้อมูลได้ 8 ค่า 4 bit เก็บข้อมูลได้ 16 ค่า ไปเรื่อยๆ เป็นจำนวน 2 ยกกำลังนั่นเอง ..... 16 bit เก็บข้อมูลได้ 65,536 ค่า (รายละเอียดของเสียง) 20 bit เก็บข้อมูลได้ 1,048,576 ค่า 24 bit เก็บข้อมูลได้ 16,777,216 ค่า

เสียงดนตรีตามธรรมชาตินั้นเป็น analog signal เมื่อเราเอามาเปลี่ยนเป็น digital มันก็ต้องทำ quantisize หรือจับคลื่นมาหั่นเป็นก้อนๆโดยใช้ A/D converter และตอนจะฟังก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น analog อีกทีโดยใช้ D/A converter ในปี 1980 จึงใด้มีการกำหนดมาตรฐานขอ CD ว่าให้ใช้ sampling frequency ที่ 44.1 khz. และ sampling rate ที่ 16 bits ซึ่งแปลเป็นภาษาชาวบ้านใด้ว่า Sampling frequency 44.1 khz ตอบสนองความถี่ใด้ถึง 22.05 khz. ซึ่งน่าจะพอเหลือเฟือเพราะหูเราใด้ยินอย่างเก่งก็แค่ 20 khz. Sampling rate ที่ 16 bits/second จะแยกแยะระดับความดังใด้เท่ากับบวกลบสองยกกำลังสิบหก = -32768 ถึง + 32768 มาตรฐานนี้ตามทฤษฏีน่าจะพอเพราะแผ่น CD มันจุใด้แค่ 74 นาทีแต่ถ้าเป็น tape DAT เขาจะใช้ bitrate 48/16 ครับ สมัยนี้เราจะใช้ bitrate อะไรก็ได้เพราะความเร็วของ processor และความจุของ media มันเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าจากสมัยโน้น

ในการบันทึกเสียงเรามีหลักการอยู่อย่าง หนึ่งว่า ต้องบันทึกเสียงต้นแบบให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ทั้งจากตัวเราเองและ เครื่องมือ ดังนั้นค่าที่ช่วยให้เสียงดีที่สุดก็คือค่า sample rate ที่ สูงสุดเท่าที่เครื่องทำได้ เพราะจะให้ความละเอียดของเสียงสูงและถือเป็นสิ่งที่ดีตรงตามแนวคิดในการ บันทึกเสียงเพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด การบันทึกที่ค่า sample rate 48kHz ควรทำมากกว่าเพราะให้เสียงที่ดีกว่าค่า sample rate 44.1kHz แล้วพยายาม covert ค่า sample rate ให้มาอยู่ที่ 44.1kHz ในขั้นตอนท้ายสุดโดยพยายาม convert เพียงครั้งเดียวเสียงจะดีกว่าการconvertไปมาหลายๆครั้ง ถึงแม้ซีดีจะบันทึกที่ค่า 44.1kHz/16bit ก็ ตามนั่นเป็นเพราะเหตุผลในเรื่องของจำนวนเพลงที่สามารถบรรจุได้ในหนึ่งแผ่น เพื่อการตลาดเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นมาตราฐานของคำว่า เสียงที่ดีแต่อย่างไร

ขอแนะนำว่าควรบันทึกเสียงในค่า sample rate สูงเท่าที่จะสามารถทำงานได้โดยคอมพิวเตอร์ไม่โหลดข้อมูลจนทำงานช้าลงไป ค่ามาตราฐานในขณะนี้สำหรับงานบันทึกเสียงในบ้านเราอยู่ที่ 48 kHz/24bit แต่ในต่างประเทศขณะนี้เข้าสู่ยุคของการบันทึกเสียงที่ค่า sample rate 96kHz-196kHz/24bit แล้ว คุณภาพเสียงมีรายละเอียดดีกว่า48kHzมาก แต่ก็เปลืองเนื้อที่เก็บใน harddisk มากตามไปด้วยแต่เมื่อแลกกับเสียงที่ดีแล้วก็คุ้มค่า

เข้ามาเก็บความรู้ครับ ขอบคุณเฮียครับ ^_^

เฮียยังขาดเรื่อง bitrate กับ algorithm ในการ compress file ไปครับ
ถ้ามีเวลาอ่านในนี้เอาครับ
http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=9725
แต่ถ้าเก่ง eng อ่านเอาใน wikipedia จะได้ละเลียดกว่า