Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

สารพันรูปแบบไฟล์เพลง Lossless-Lossy วิเคราะห์ เจาะลึก การริปออดิโอแบบเซียน ฮี่ๆๆ

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:14:49

 


บทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร PCtoday ฉบับที่45 เห็นว่ามีประโยชน์กับพี่ๆน้องๆในเวปนี้


เลยขอนำมาให้อ่านเล่นประดับความรู้กัน


พิมนานเอาเรื่องเลยหละ หุๆ


ผมสงสัยเรื่องนี้มานานพอสมควร
เพราะมันมีรูปแบบไฟล์เยอะเหลือเกินตั้งแต่ mp3, ogg, aac, flac, wavpack
แล้วรูปแบบไหนที่มันดีสำหรับเรากัน แล้วควรจะตั้งค่ามันยังไง ตั้ง kbps เท่าไหร่
เสียงถึงจะเดิ้น ด้วยความอยากรู้ผมจึงไปค้นข้อมูลมาอ่าน
แล้วก็นำมาเล่าสู่กันฟังครับ แหะๆ
บทความนี้อาจจะซับซ้อนแล้วก็เต็มไปด้วยเรื่องทางวิทยาศาสตร์นะครับ
เพราะเสียงคือวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง ผมจะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด


เอาแหละเรามาเริ่มกันที่เรื่องพื้นฐานของเสียงกันก่อนดีกว่าครับ O o

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:18:54



พื้นฐานการบีบอัดเสียง
จากความรู้วิทยาศาสตร์น่าจะสมัยม.ต้น
ที่บอกว่าคนเรายินเสียงช่วงความถี่ตั้งแต่ 20 – 20,000 Hz ครับ
เจ้าเลขนี้จะบอกว่าวัตถุที่กำเนิดเสียงสั่นด้วยอัตรากี่ครั้งต่อวินาที เช่นที่ 35
Hz ลำโพงก็จะสั่น 35 ครั้งต่อวินาที เราจะได้ยินเป็นเสียงต่ำครับ
ส่วนความถี่ที่สูงๆ ขึ้นอย่าง 15,000 Hz จะได้ยินเป็นเสียงสูง
แต่ใช่ว่าทุกคนจะยินเสียงครบทั้งหมดแบบนี้หรอกครับ เพราะประสาทหูเราจะค่อยๆ
เสื่อมลง ในวัยผู้ใหญ่จึงอาจจะรับเสียงได้แค่ช่วง 20-15,000 Hz ชัดเจนเท่านั้น
ส่วนเสียงอื่นๆ ก็ยังได้ยินอยู่แต่ว่าจะได้ยินเบาลง
จนบางทีก็ไม่รู้สึกว่ามีเสียงนี้อยู่
แล้วในเรื่องเสียงภาคดิจิตอลยังมีตัวเลขอีก
2 ตัวเข้ามาเกี่ยวข้องครับ นั้นคือ bit depth เช่นที่มักเห็นเป็น 16 bit กับ 24 bit
และ sample rate อย่าง 44,100 Hz หรือ 48,000 Hz
การจะเข้าใจเรื่องนี้เราต้องเข้าใจเรื่องดิจิตอลก่อนครับ อย่างที่รู้ๆ
กันครับว่าดิจิตอลเก็บข้อมูลเป็น 0 กับ 1 แต่ถ้ามันเก็บได้แค่นี้
สงสัยเราคงได้ยินแต่เสียงอิ้ดๆ แน่ๆ
การเก็บเสียงเสียงดิจิตอลจึงต้องใช้ชุดของข้อมูล
ถึงจะเก็บข้อมูลเสียงได้ครบ


ดูในภาพนะครับ คลื่นเสียงที่เห็นจะมีลักษณะเส้นโค้งๆ
นะครับ มีสองแกนคือแกนตั้งกับแกนนอน ซึ่ง bit depth จะเกี่ยวข้องกับแกนตั้งครับ
จำนวน bit depth คือจำนวนข้อมูลที่อ้างอิงได้ในแกนตั้งครับ ถ้าเก็บ 1 bit
จะอ้างอิงเสียงได้ 2 ค่า อย่าง 4 bit อ้างอิงได้ 16 ค่า แล้ว 16 bit จะอ้างอิงได้
65,536 ค่า จะเห็นว่ายิ่งเลขมากข้อมูลที่เก็บได้ยิ่งละเอียด

ความคิดเห็นที่ : 2

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:22:15



ส่วนอีกค่าหนึ่งคือ
sample rate ค่านี้จะแทนแกนนอน มีความหมายว่าใน 1 วินาทีจะมีการเก็บข้อมูลกี่ครั้ง
อย่าง 44,100 ก็คือใน 1 วินาทีจะมีการเก็บข้อมูล 44,100 ครั้งครับ ยิ่งเลขมาก
ข้อมูลที่เก็บได้ก็จะยิ่งละเอียด ค่าที่เห็นบ่อยๆ คือ 44,100 Hz
เพราะเป็นความละเอียดที่ใช้บนแผ่น CD เพลง แหะๆ แอบเห็นหน้างง
งั้นดูภาพครับ


ถาพนี้ใช้bit depthที่16bit มีค่าตั้งแต่ -32,768 - 32,768
และมีแท่นตั้งๆแทนจำนวนการเก็บข้อมูล44,100แท่งแทน44,100ครั้งต่อวินาที


 

ความคิดเห็นที่ : 3

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:23:54



แล้วทำไมยิ่ง bit-depth และ sample rate
สูงแล้วยิ่งเก็บข้อมูลเสียงได้ละเอียด เราลองมาดูภาพนี้กันนะครับ


 


เส้นสีเทาคือสัญญาณเสียงในระบบอนาล็อก หรือเสียงจากธรรมชาติครับ
การจะนำมาเก็บเป็นข้อมูลดิจิตอล เส้นสีเทาจะถูกแปลงเป็นเส้นสีแดง
ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันไม่ทับกัน แค่ใกล้เคียงกัน
เพราะสัญญาณดิจิตอลจะอ้างอิงลักษณะของคลื่นเสียงจาก sample rate (แกนนอน) และ
bit-depth (แกนตั้ง) เพื่อนำมาแทนเสียง
เราจะเห็นความละเอียดของทั้งสองแกนจากช่องสี่เหลี่ยมปะๆ ด้านหลังเส้นครับ
เพราะฉะนั้นยิ่งมี sample rate และ bit-depth ที่สูงขึ้น ช่องสี่เหลี่ยมปะๆ
ที่ใช้อ้างอิงสัญญาณดิจิตอลก็จะยิ่งถี่ขึ้น ละเอียดขึ้น
สัญญาณที่สร้างจากแกนอ้างอิงนี้จึงละเอียดขึ้นด้วย
จนสามารถแทนเสียงธรรมชาติได้ใกล้เคียงที่สุด
สรุปนะครับ ยิ่ง bit-depth มาก และ
sample rate สูง เสียงก็จะยิ่งดี แต่มีข้อควรจำอยู่ว่า ถ้าต้นฉบับมี bit-depth และ
sample rate อยู่แล้ว การไปเพิ่มให้มันสูงขึ้น ไม่ได้ทำให้เสียงดีขึ้นนะครับ
เพราะคุณจะเอาข้อมูลที่ไหนไปเพิ่มให้กับเสียงที่มีข้อมูลอยู่เท่านั้น
แถมยังทำให้ไฟล์ใหญ่ขึ้นโดยไม่มีประโยชน์อีกตั้งหาก เช่นแผ่น CD มี bit-depth ที่
16 bit และ sample rate ที่ 44,100 Hz การที่เราไปสั่ง rip เพลงให้เป็น mp3 ที่มี
sample rate 48,000 Hz ไม่ทำให้เสียงดีขึ้นครับ

ความคิดเห็นที่ : 4

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:26:12



ประเภทของการบีบอัดเสียง
การบีบอัดเสียงมี
2 ประเภทครับ คือแบบ lossless กับ lossy ซึ่ง lossless
คือการบีบอัดที่ไม่มีการเสียข้อมูลเสียงเลย ต้นฉบับเป็นอย่างไร ไฟล์ที่บีบอัดแล้ว
เมื่อคลายออกมาจะเหมือนเดิมเป๊ะๆ
แต่ข้อเสียของไฟล์ประเภทนี้คือขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่าแบบ lossy
พอสมควร
เราจะดูจำนวนข้อมูลที่ใช้จาก bit rate ซึ่งมีหน่วยเป็น kbps ครับ
มันย่อมาจาก kilo bit per second หรือจำนวนบิตที่ใช้ใน 1 วินาที
ยิ่งใช้บิตต่อวินาทีมาก จะเก็บข้อมูลได้มาก
แต่ขนาดไฟล์ก็จะยิ่งใหญ่ครับ
อย่างไฟล์ FLAC กับเพลงยาว 5 นาที จะใช้พื้นที่ราวๆ
30 Mb ถ้าดูที่ bit rate ก็จะใช้ราวๆ 900 kbps (เพลงในแผ่น CD จะใช้ bit rate ที่
1411 kbps ครับ) เทียบกับ mp3 ทั่วๆ ไปที่ใช้ 128 kbps ก็จะใหญ่กว่า 8-9
เท่าเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าเสียงดีกว่ากันแบบเทียบกันไม่ได้เลย
รูปแบบไฟล์ที่เป็นแบบ lossless ก็เช่น FLAC, WavPack, Apple Lossless, WMA Lossless
ครับ ส่วน wav ไม่ถือว่าเป็น lossless นะครับ เพราะไม่ได้บีบข้อมูลอะไร
ส่วน
Lossy คือการบีบอัดที่ทิ้งข้อมูลออกไปบ้าง เช่นเสียงสูงๆ เหนือกว่า 15000 Hz
ก็จะถูกตัดทิ้งออกไป ส่วนจะตัดอย่างไรบ้างขึ้นอยู่กับโมเดลเสียงที่มนุษย์รับรู้
(psychoacoustic model) ที่อยู่ในโปรแกรมเข้ารหัสเสียงครับ (Encoder)
แล้วจะตัดเยอะแค่ไหนขึ้นอยู่กับ bit rate ที่ใช้ ยิ่งใช้ค่าสูง ก็จะตัดข้อมูลน้อย
ไฟล์ยิ่งใหญ่ เสียงยิ่งดีครับ ที่นี้จึงเป็นปัญหาของเราว่าควรจะใช้ bit rate
เท่าไหร่ดี อ่านไปเรื่อยๆ ครับผมจะอธิบายให้ฟัง ส่วนรูปแบบไฟล์ที่เป็น Lossy ก็เช่น
mp3, mp2, ogg, wma, aac ครับ
ข้อควรจำนะครับ ด้วยความที่ lossy
มีการตัดข้อมูลออกมาบ้างระหว่างการแปลงไฟล์ เราจึงควรหลีกเลี่ยงการนำไฟล์ lossy
มาแปลงไฟล์ซ้ำๆ ครับ เช่นเอา mp3 ที่ 128 kbps มาแปลงเป็น ogg ที่ 160 kbps
เสียงที่ได้ก็จะแย่กว่า mp3 ด้วยซ้ำ เพราะข้อมูลเรามีอยู่เท่านี้
แต่เราไปแปลงมันอีก ให้มันตัดทอนข้อมูลลงไปอีกครับ รวมถึงการแปลงจาก lossy ไปยัง
lossless ด้วยนะครับ อย่าง mp3 -> flac ขนาดไฟล์จะใหญ่ขึ้นมาก
แต่คุณภาพก็เท่ากับ mp3 นั้นแหละครับ เออ การเซฟเป็นไฟล์แบบ lossy ซ้ำๆ
ก็ทำให้เสียคุณภาพได้ด้วยนะครับ อย่างเราเปิดไฟล์ mp3 ขึ้นมาตัดต่อ
แล้วเซฟทับลงไปในไฟล์เดิม ยิ่งเซฟทับบ่อยครั้งเท่าไหร่
คุณภาพไฟล์ก็จะเสียไปเยอะเท่านั้นครับ
สรุปนะครับ ถ้าต้องการเสียงดีๆ
หรือเก็บไฟล์ระดับที่เทียบเท่าต้นฉบับ
แบบว่าถ้าแผ่นต้นฉบับพังแล้วเอาไฟล์นี้ไปไรท์ใหม่ จะได้คุณภาพเท่าเดิมเลย
ให้ใช้ไฟล์แบบ lossless ครับ แต่ถ้าพื้นที่น้อย แล้วลองฟังดูแล้ว
แยกความแตกต่างระหว่างเสียงจาก Lossless และ Lossy ไม่ได้ ก็บีบเป็นพวก Lossy
ก็ได้ครับ

ความคิดเห็นที่ : 5

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:34:36

อ๊ากลืมอธิบายภาพ


ภาพจาก spectrum analyzer เพลงเดียวกันนะคับ


คู่บนคือไฟล์ที่บีบด้วย FLAC ซึ่งเป็น lossless    ส่วนคู่ล่าง


เป็นไฟล์ที่บีบเป็น mp3 ด้วย LEME ระดับ V5 (ราวๆ130 kbps) ซึ่งเป็นแบบ lossy นะคับ


สังเกตุดีๆ ครับ ส่วนบนของกราฟคู่บนจะอยู่ครบ ส่วนคู่ล่างจะถูกตัดออกไป


ซึ่งก็คือเสียงส่วนที่ความถี่สูงๆถูกตัดออกไปนั่นเอง หุๆ


 

ความคิดเห็นที่ : 6

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:37:31

ลักษณะของการใช้
Bit-rate


จบเรื่องประเภทไปก็มาเข้าเรื่องลักษณะของการใช้ bit rate
กันต่อเลยครับ คุณผู้อ่านเคยสังเกตเห็นไฟล์ mp3 ที่เวลาเราเล่นแล้วตัวเลขตรง kbps
มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมารึปล่าวครับ ไม่ได้แสดงคงที่ที่ 128 kbps ตลอดเวลา
ถ้าคุณเคยเห็นก็แปลว่ากำลังเห็นผี mp3 ตามหลอกหลอนนนคุณอยู่... แหะๆ
ไม่ใช่ครับมันเป็น mp3 ที่ใช้ bit rate แบบ VBR หรือ ABR ครับ
ลักษณะของการใช้
Bit rate จะมีสามแบบคือ CBR, VBR, ABR ซึ่งแตกต่างกันดังนี้
CBR (constant bitrate) เป็นการใช้ bit rate
ที่พื้นฐานที่สุด ซับซ้อนน้อยที่สุด ให้คุณภาพแย่ที่สุด แต่เราเห็นใช้กันมากที่สุด
CBR คือใช้ bit rate คงที่ ไม่ว่าเสียงตอนนั้นจะซับซ้อน หรือไม่มีเสียงอะไร bit
rate ก็จะยังค้างอยู่ค่านั้น ไม่ยืดหยุ่นใดๆ เช่นค้างอยู่ที่ 128 kbps ตลอดเวลา
ข้อดีของมันคือ เราคำนวณขนาดไฟล์ได้ก่อนที่จะแปลงไฟล์ และเหมาะสมสำหรับทำ streaming
แบบที่ห้ามใช้ bit rate เกินจากที่กำหนด
ABR
(average bitrate)
อยู่ตรงกลางระหว่าง CBR กับ VBR ครับ ลักษณะของ ABR คือ
bit rate จะขึ้นๆ ลงๆ ได้ตามความซับซ้อนของเสียงในขณะนั้น
แต่จะให้ผู้ใช้ระบุค่าได้ว่าจะให้ bit rate อยู่ราวๆ ไหน เช่นป้อนไปที่ 128 kbps
ระดับของ bit rate จะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ประมาณ 128 kbps ครับ
VBR (variable bitrate) เป็นการใช้ bit rate
ที่ให้ประสิทธิภาพสูงที่สุด เป้าหมายของ VBR จะต่างจาก ABR และ CBR ครับ คือ VBR
จะพยายามคงระดับคุณภาพของเสียงให้คงที่ตลอดเพลง ด้วย bit rate
ที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือดูจากคุณภาพเสียงเป็นหลัก เช่นช่วงที่ไม่มีเสียง
มันก็ใช้ bit rate ที่ต่ำที่สุดเลยคือ 32 kbps ต่างจากอีก 2
อย่างที่เหลือที่จะพยายามคง bit rate ตามที่กำหนดเอาไว้ ส่วนคุณภาพเสียงจะแกว่งๆ
ไม่เท่ากันทั้งเพลง ข้อเสียของ VBR ก็ตรงข้ามกับ CBR ครับ
คือเราไม่สามารถคำนวณขนาดไฟล์ที่จะได้ เพราะ bit rate ที่ใช้มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
และเรื่อง streaming ที่เราคุม bit rate ไม่ได้ครับ
สรุปนะครับ VBR
จะให้เสียงคุณภาพดีที่สุด ABR อยู่ในระดับรองลงมา แล้ว CBR อยู่ท้ายสุด
เพราะฉะนั้นเวลาจะใช้ก็ใช้เป็น VBR ดีกว่าครับ

ความคิดเห็นที่ : 7

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:42:03



การบีบอัดเสียงประเภทต่างๆ

MP3 (MPEG Audio
Layer-3)

เป็นรูปแบบไฟล์ที่พวกเรารู้จักกันดีนะครับ
เพราะเกิดขึ้นมานานแล้ว (เข้าสู่มาตรฐาน ISO เมื่อปี 1991) ถือเป็นรูปแบบไฟล์แบบ
lossy ตัวแรกที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง
เพราะความสามารถในการบีบอัดที่สามารถลดข้อมูลได้กว่า 10 เท่า ในคุณภาพที่ยอมรับได้
ข้อดีของ mp3 คือเป็นรูปแบบไฟล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หาเครื่องเล่นง่าย
ทำให้มั่นใจว่าถ้าบีบอัดเป็น mp3 แล้วจะหาเครื่องเล่นได้แน่ๆ
แต่ข้อเสียคือมีประสิทธิภาพน้อยกว่ารูปแบบไฟล์ใหม่ๆ เช่น ogg หรือ aac
แล้วก็ยังไม่สามารถเก็บเสียงความละเอียดสูงเกินกว่า 48,000 Hz แถมยังใช้ Bit rate
สูงสุดได้แค่ 320 kbps บางทีมันก็ไม่เพียงพอสำหรับระดับหูทองคำ เก็บเสียง
multichannel ไม่ได้
แล้วยังมีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรอันแสนจะวุ่นวายด้วยครับ
เรื่อง mp3
ที่ผมจะพูดถึงวันนี้จะอ้างอิงข้อมูลจาก LAME encoder นะครับ ซึ่ง LAME
นี้ถือเป็นโปรแกรมแปลงไฟล์ MP3 ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในปัจจุบัน พัฒนากันมาตั้งแต่ปี
1998 จนปัจจุบันอยู่ที่รุ่น 3.97 ครับ LAME ถูกนำไปใช้ในโปรแกรมมากมาย เช่น Flash
รวมถึงโปรแกรมแปลงเพลงต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่อย่าง CDex, dBPowerAmp หรือ Winamp
(Mp3Dev ก็คือ LAME ครับ) ที่สำคัญมันเป็น freeware ด้วยครับ


 


จากรูปจะเห็นได้ว่าLAMEได้คะแนนสูงสุด ครับ

ความคิดเห็นที่ : 8

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:52:33



จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าหากเรียงลำดับคุณภาพจากมากไปน้อยแล้วจะเป็นตามนี้
VBR > ABR > CBR เพราะฉะนั้นเวลาแปลง MP3 จึงควรใช้เป็น VBR ซึ่ง LAME
จะใช้ค่า VBR เป็น V (แต่บางโปรแกรมใช้ Q ครับ) ต่างๆ ตั้งแต่ V0
ซึ่งมีคุณภาพสูงที่สุดจนถึง V9 ที่คุณภาพแย่ที่สุด แต่ว่าขนาดเล็กที่สุด
สรุปเป็นตารางได้ดังนี้


 


จากตารางจะเห็นได้ว่านอกจากที่ V สูงๆ จะใช้ bit rate
ที่ต่ำมาก จึงให้ขนาดไฟล์ที่เล็กแล้ว อย่าง V9 ที่ใช้ bit rate แค่ประมาณ 65 kbps
แต่ว่าเสียงช่วงตั้งแต่ 9774 Hz ขึ้นไปจะถูกตัดทิ้ง
แล้วเสียงยังถูกลดความละเอียดลงเหลือแค่ 24000 Hz ด้วย
จึงไม่เหมาะกับเสียงดนตรีอย่างแรง

ความคิดเห็นที่ : 9

ARM-KMUTNB

24/05/2008 23:54:16



แล้ว bit rate ไหนที่ควรใช้
เราลองมาดูกราฟนี้กันครับ.


 


จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ V3 ขึ้นไป ระดับคุณภาพ (Quality) เพิ่มขึ้นไม่มาก
แต่ขนาดไฟล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับสูงสุดคือ CBR 320 kbps
คุณภาพก็ไม่แตกต่างจาก V3 มากนัก เพราะฉะนั้นระดับที่ควรใช้จึงเป็นราวๆ V3 (ประมาณ
175 kbps) หรือ V2 (ประมาณ 190 kbps) ครับ
ก็จะได้เสียงที่ดีจนแยกไม่ออกจากต้นฉบับเลย
ถ้าสูงกว่านี้จะเป็นระดับที่ใช้เก็บรักษาต้นฉบับแล้วครับ เช่นระดับสูงสุดของ mp3
คือ CBR 320 kbps ซึ่งถ้าต้องการนำไปใช้ในงานแบบนี้ แนะนำให้ใช้เป็นไฟล์ lossless
ไปเลยดีกว่าครับ แต่ถ้าต้องการขนาดที่เล็กกว่านี้ เช่นอยากเอาไปใส่ในเครื่องเล่น
mp3 ที่มีความจุไม่มาก ก็แนะนำให้ใช้ราวๆ V5 ครับ
แล้วถ้าโปรแกรมของคุณให้เลือก
preset ได้ อย่าง --preset fast medium ก็ไม่ต้องสงสัยไปครับ มันก็คือ VBR ระดับ V4
ที่ใช้ VBR new ด้วยนั้นเอง ไม่แตกต่างกันกับการสั่งด้วย V4 VBR new เลย
สั่งได้เหมือนกันทั้งคู่ครับ แล้วที่นี้ VBR new คืออะไร มันคือตัวเลือกหนึ่งของ
LAME ครับ ถ้าโปรแกรมของคุณมีให้เลือกใช้ VBR new ก็เลือกใช้ไปเลยครับ
เพราะจะทำงานได้เร็วกว่า
และคุณภาพสูงกว่า
ต่อมาถ้าโปรแกรมที่คุณใช้ให้เลือกประเภทของ Stereo
ได้ว่าจะเป็น Stereo, Joint Stereo, Mono ให้เลือกเป็น Joint Stereo ครับ
ประสิทธิภาพจะดีที่สุด คือจะทำให้ลดข้อมูลที่ต้องเก็บได้ แต่คุณภาพยังเป็นระดับ
Stereo อยู่ เพราะว่า Joint Stereo จะใช้วิธีจัดการเสียง Stereo 3 แบบผสมกัน
ให้เหมาะกับเสียงต่างๆ จึงทำให้ใช้ bit rate ได้คุ้มค่าที่สุดครับ
แต่ถ้าโปรแกรมของคุณเลือกไม่ได้ มันก็มักจะตั้งให้เป็น Joint Stereo
ให้อยู่แล้วครับ
สรุปนะครับ ถ้าโปรแกรมให้เลือก bit rate ต่ำสุด/สูงสุดสำหรับ
VBR ได้ ต่ำสุดก็เลือกเป็น 32 kbps แล้วสูงสุดเป็น 320 kbps ครับ
ที่นี้ถ้าต้องการเสียงที่ดี แต่ไม่ใช้พื้นที่เยอะโอเวอร์ ให้เลือกเป็น VBR V2 (ราวๆ
190 kbps) แล้วใช้ vbr new กับ Joint Stereo ครับ ถ้าต้องการขนาดพอดีๆ
แล้วเสียงยังใช้ได้อยู่ ให้เลือกเป็น VBR V5 (ราวๆ 130 kbps) ใช้ vbr new กับ Joint
Stereo เช่นกันครับ

ความคิดเห็นที่ : 10

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:00:15



Ogg Vorbis
(.ogg)

รูปแบบไฟล์ชนิดนี้เป็นรูปแบบไฟล์โปรดของผมเลยครับ
เพลงในเครื่องทุกเพลงที่ผม rip เองจะเป็นไฟล์นี้ครับ
ข้อดีของไฟล์นี้คือมีประสิทธิภาพสูง ให้เสียงคุณภาพดีกว่า mp3 ใน bit rate
ที่เท่ากัน สามารถรองรับ Sample rate ได้สูงสุดถึง 200,000 Hz ใช้ bit-rate
ได้กว้างมาก เป็น multi channel ก็ได้ แล้วก็เป็นรูปแบบไฟล์ที่ฟรีอย่างแท้จริง
ไม่มีการเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์หรือค่าสิทธิบัตรการใช้ไฟล์ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ข้อเสียสำคัญของมันคือไม่แพร่หลายเท่า MP3 ครับ มีเพียงเครื่องเล่น MP3
บางยี่ห้อเท่านั้นที่เล่นไฟล์ชนิดนี้ได้ อืม iPod ก็เล่นได้นะครับ แต่ต้องใช้
Firmware พิเศษอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Rockbox
Ogg Vorbis เป็นชื่อรวมกันระหว่าง
Ogg ซึ่งเป็น Container และ Vorbis ที่เป็นชื่อของตัวรหัสเสียง
ถ้าเราเรียกเฉพาะเทคโนโลยีที่ใช้บีบอัดเสียงอย่างเดียวจะเรียกว่า Vorbis
ครับ
ด้วยความที่ Ogg Vorbis เป็นไฟล์ที่ไม่มีค่าใช้สิทธิ์
จึงถูกนำไปใช้ในงานหลายๆ แบบ เช่นเอาไปใช้ในเกม อย่าง Doom3, GTA:SA, เกมตระกูล
Unreal เป็นต้น เรียกได้ว่าแม้คนทั่วไปจะใช้ Vorbis ไม่เยอะเท่า mp3 แต่ Vorbis
ก็เป็นรูปแบบไฟล์ที่สำคัญตัวหนึ่งบนโลกคอมพิวเตอร์ครับ
Ogg Vorbis
รุ่นแรกออกมาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 โดย Xiph.Org Foundation ครับ
หลังจากนั้นก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนมาถึงรุ่น 1.2.0
แต่รุ่นที่ผมจะแนะนำให้ใช้ไม่ใช่รุ่นนี้หรอกครับ เพราะ Xiph.Org
ไม่ได้พัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของประสิทธิภาพมานานแล้ว ความสามารถของรุ่นนี้จึงสู้รุ่น
aoTuV (Aoyumi&squot;s Tuned Vorbis) ที่พัฒนาโดยชาวญี่ปุ่นชื่อ Aoyumi ไม่ได้ครับ
ปัจจุบัน aoTuV อยู่ที่รุ่น Beta 5.5 ครับ ข้อมูลคราวนี้ของผมจึงอ้างอิงจาก aoTuV
Beta 5 เป็นหลักครับ

จากที่ผมเคยพูดถึงเรื่อง CBR, VBR ไปแล้วนะครับ Vorbis
ก็รู้เรื่องนี้ดี มันจึงไม่มีการบีบอัดแบบ CBR ให้เลือก มีแค่ ABR และ VBR ครับ
ซึ่ง VBR ของ vorbis จะใช้ q แทนระดับคุณภาพของเสียงดังนี้ครับ

ความคิดเห็นที่ : 11

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:01:48

ค่าที่ควรนำมาใฃ้นะครับบบ


แล้วค่าไหนที่ควรใช้บ้าง
ค่าที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องเสียงจากเว็บ Hydrogen Audio แนะนำมีสองค่าครับ
ถ้าต้องการไฟล์ขนาดเล็ก สำหรับเครื่องที่พื้นที่น้อยๆ หรือใส่ในเครื่องเล่นเพลง
ที่ระดับ q 2
ก็เพียงพอสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดเรื่องเสียงมากแล้วครับ
ผมลองดูแล้วระดับนี้จะให้เสียงดีกว่า mp3 ที่ 128 kbps นิดหน่อยครับ
แต่ถ้าต้องการไฟล์ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ CD มากแบบแยกกันไม่ออก ก็แนะนำที่ระดับ q
5 ครับ ถ้าใครยังไม่สะใจก็เพิ่มขึ้นได้อีก แต่ q 5
คือขั้นต่ำที่สุดที่ยอมรับกันว่าเสียงใกล้เคียงกับ CD มากแล้วครับ แต่ก็ต้อง rip
จาก CD จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ไปแปลงไฟล์แบบ lossy
ตัวอื่นมา
สรุปนะครับถ้าต้องการใช้ OGG ก็ให้ใช้รุ่น aoTuV beta5.5 ไปเลยครับ
ผมทดลองรุ่นนี้มาพอสมควรแล้ว ทั้งเล่นบนคอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่น mp3
ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนการเลือกคุณภาพ ใช้ q 2 สำหรับงานที่ต้องการขนาดไฟล์เล็กๆ ครับ
และ q 5 สำหรับงานที่ต้องการคุณภาพเทียบเท่า CD

ความคิดเห็นที่ : 12

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:03:14

AAC (Advanced Audio
Coding) (.m4a , .aac ,
.mp4)


มาถึงเทคโนโลยีการบีบอัดไฟล์แบบที่ 3 กันแล้วนะครับ กับ
AAC ผู้ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีนี้คือผู้พัฒนา mp3 นั่นเอง
ทำให้รูปแบบนี้มีความสามารถเหนือกว่า mp3 ครับ
ปัจจุบันยังไม่แพร่หลายในวงกว้างเท่าไหร่ แต่รูปแบบนี้เป็นไฟล์มาตรฐานบน iTunes
Store และ iTunes ก็แนะนำให้ใช้ AAC เวลา rip เพลง เทคโนโลยีนี้จึงใช้มากบน iPod
ครับ ซึ่งมีผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หลายค่ายเริ่มออกมารองรับไฟล์ชนิดนี้ อย่าง
Sony เป็นต้น
ข้อดีของ AAC ที่เหนือกว่า mp3 ก็คือ รองรับ sample rate
มากขึ้นเป็น 8,000 – 96,000 Hz แล้วยังรองรับได้ถึง 48 ช่องสัญญาณ ทำให้ทำ
multichannel ได้ แล้วยังให้คุณภาพเสียงที่สูงกว่า mp3 ด้วยเทคนิคการบีบอัดแบบใหม่ๆ
ครับ แต่ข้อเสียของมันอยู่ที่การที่มันมีรูปแบบภายในเยอะ เช่น LC, HE, SSR, LTP ฯลฯ
ทำให้มีปัญหากับเครื่องเล่น บางเครื่องอาจจะเล่น HE-AAC ไม่ได้ แต่เล่น LC-AAC ได้
ซึ่งก็ต้องอ่านคู่มือดูนะครับ ว่าเครื่องคุณเล่นไฟล์อะไรได้บ้าง
แล้วยังมีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรยุ่งวุ่นวาย เพราะหลายบริษัท พัฒนาหลายเทคโนโลยี
แล้วก็ถือสิทธิบัตรในเทคโนโลยีต่างๆ
AAC มี 2 แบบใหญ่ๆ ครับ คือ LC (Low
Complexity) และ HE (High Efficiency) ความแตกต่างระหว่าง 2 ตัวอยู่ที่ LC
จะมีความซับซ้อนน้อยกว่า จึงเหมาะกับไฟล์ที่ใช้ bit rate มากกว่า 80 kbps ครับ
เพราะมี bit rate เยอะพอที่จะเก็บข้อมูลได้ดีพอ ไม่ต้องใช้กระบวนการพิเศษกับข้อมูล
ทำให้ LC-AAC สามารถใช้กับเครื่องเล่นที่เล่น AAC ส่วนใหญ่ได้
แต่ HE
นั้นจะใช้วิธีบีบอัดไฟล์แบบพิเศษ คือ Spectral band replication (SBR)
ในการจัดการกับเสียงความถี่สูง แบบเดียวกับที่ใช้ใน mp3pro และ Parametric Stereo
เพื่อจัดการเสียง stereo (จะมีใน HE-AAC รุ่นที่ 2 ครับ) แต่ 2
วิธีพิเศษนี้จะไม่เหมาะเมื่อใช้ bit rate สูงๆ
เพราะว่าทั้งสองวิธีเป็นการโยนข้อมูลต้นฉบับทิ้งไปครับ
แล้วใช้ความสามารถของคณิตศาสตร์ในการคำนวณข้อมูลที่สูญหายกลับขึ้นมา เพื่อให้ใช้
bit rate ต่ำลง แม้ว่ามันจะให้คุณภาพที่ดี แต่ยังสู้ของแท้ๆ จากต้นฉบับไม่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อมี bit rate มากพอ จึงไม่แนะนำให้ใช้ HE ครับ
นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นบางรุ่นเท่านั้นที่รองรับ HE-AAC
การใช้งานจึงไม่กว้างเท่า LC-AAC รูปแบบของ HE จึงเหมาะกับไฟล์ที่ต้องใช้ bit-rate
น้อยกว่า 80 kbps ครับ ซึ่งถ้าใช้ Nero AAC Encoder
มันจะเลือกใช้ให้เราโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าใช้ iTunes จะสร้างไฟล์แบบ HE ไม่ได้ แถม
iPod ก็ยังเล่น HE-AAC ไม่ได้ครับ
ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ส่วนสารพัดเครื่องหมายการค้าของไฟล์ AAC นั้น
เครื่องหมายที่หมายถึง HE-AAC มีดังนี้ครับ
aacPlus และ aacPlus v2 (HE-AAC รุ่นที่ 2) ของ Coding
Technologies
Nero Digital ของ
Nero
AAC+ ของ Nokia, Samsung และ
Motorola แต่ถ้าเขียนว่า eAAC+ จะหมายถึง
HE-AAC รุ่นที่ 2 ส่วน Motorola จะใช้ AAC+
Enhanced
แทน HE-AAC รุ่นที่ 2
ครับ

นอกจากจะมีลักษณะภายในของไฟล์มากมาย และชื่อทางการค้ามากมายแล้ว AAC
ยังใช้นามสกุลของไฟล์มากมาย เช่น
.mp4 ใช้ container ของ mp4
ซึ่งอาจจะเก็บทั้งภาพและเสียง หรือเสียงอย่างเดียวก็ได้ แต่ไฟล์ .mp4 ก็ไม่ใช่ AAC
เสมอไป
. m4a ใช้ container ของ mp4 แต่เก็บเฉพาะเสียง
.m4p
อันนี้เป็นไฟล์แบบ Protect ไว้ครับ
.m4b ไฟล์สำหรับ audiobook
.aac
ไฟล์ที่ใช้โครงสร้างของ AAC เพียวๆ ไม่ได้ถูกห่อด้วย container ของ mp4

แต่
iPod จะไม่รองรับไฟล์นามสกุล .aac นะครับ เขียนมาถึงตรงนี้ผมก็ปวดหัวกับเจ้า AAC
นี้ไม่น้อยเลย จนทำให้รู้สึกว่าโลกของธุรกิจจะทำให้ชีวิตพวกเรายุ่งยากขึ้น
สร้างสารพัดเทคโนโลยีขึ้นมา แล้วดันไม่รองรับให้ทั้งหมด
แบบว่าเหนื่อยแล้ว
ผมสรุปส่วนของการใช้งานเลยแล้วกันครับ ถ้าต้องการใช้ไฟล์ AAC นั้น ผมแนะนำ Encoder
2 ตัวคือ iTunes หรือไม่ก็ Nero AAC ครับ ทั้งสองตัวนี้ก็ใช้ฟรีทั้งคู่ ถ้าใครใช้
iPod ก็ใช้ iTunes ไปเถอะครับ จะได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าใครไม่อยากใช้ iTunes
หรือใช้อุปกรณ์ค่ายอื่นก็ลองอ่านดูดีๆ ครับว่าอุปกรณ์ของท่านรองรับ AAC แบบไหนบ้าง
ถ้ารองรับได้ถึง HE-AAC v2 ก็แนะนำ Nero AAC เต็มอัตราเลยครับ แต่ถ้ารองรับไม่ถึง
ก็สามารถสั่ง nero ได้ ว่าเอาแค่มาตรฐานนี้ หรือไม่ก็ rip ให้มากกว่า 80 kbps ครับ
จะได้ไฟล์ LC-AAC มาโดยอัตโนมัติ สำหรับค่าที่ควรใช้เวลา rip เพลงนะครับ
ถ้าต้องการไฟล์เล็กๆ ก็ใช้ที่ประมาณ 128 kbps ถ้าต้องการคุณภาพสูงหน่อย ก็ใช้ประมาณ
160 kbps ครับ ถ้าเครื่องรองรับ HE-AAC ก็สามารถใช้ bit rate ที่ต่ำกว่านี้ได้
อย่าง 50-70 kbps ครับ

ความคิดเห็นที่ : 13

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:04:49

WMA (Windows Media Audio)
(.wma)

มาถึงไฟล์ชนิดสุดท้ายในรูปแบบของ Lossy
ที่ผมจะเขียนถึงซะทีนะครับ กว่าผมจะเขียนมาถึงตรงนี้ก็ใช้เวลาหลายวันอยู่
แล้วก็คงใช้เวลาอีกหลายวันกว่าบทความจะเสร็จ เอาน่า
สู้ตายเก็บเงินซื้อลำโพง
หลายคนอาจจะคิดว่า WMA ก็น่าจะมีอย่างเดียวนิน่า
เพราะเราก็เห็น WMA มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่จริงๆ แล้ว WMA แยกย่อยเป็น 4
เทคโนโลยีดังนี้ครับ
Windows Media Audio (WMA)
เป็นรูปแบบไฟล์ WMA
ดั้งเดิมที่พวกเรารู้จักกันครับ สามารถเล่นกับเครื่องเล่นที่รองรับ WMA
ได้มากที่สุด แต่ประสิทธิภาพนั้นเท่าๆ กับ mp3 แต่ mp3 (โดยเฉพาะ LAME รุ่นล่าสุด)
จะทำได้ดีกว่าใน bit rate ที่มากกว่า 128 kbps รุ่นล่าสุดคือ 9.2 ที่มากับ Windows
media player 11
WMA รองรับ sample rate สูงสุดที่ 48,000 Hz ครับ แล้วเพิ่งใช้
VBR ได้ในรุ่น 9 นี้เอง ผมจึงไม่แนะนำให้ใช้ WMA แบบนี้
เพราะประสิทธิภาพไม่ดีเท่าไหร่ แถมการใช้งานยังไม่กว้างเท่า mp3
ด้วยครับ

Windows Media Audio Professional
(WMA pro)

เป็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ครับ ไม่รองรับกับมาตรฐาน WMA
เดิม เริ่มมีพร้อมกับ Windows media player 9 ปัจจุบันเป็นรุ่น WMA 10 pro
ข้อดีของรูปแบบนี้ให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า WMA มาก ในทุกด้าน ทั้งที่ bit rate
สูงและต่ำ แล้วยังรองรับ sample rate ได้ถึง 96,000 Hz ที่ 24 bit แล้วยังทำได้ถึง
8 ช่องสัญญาณ (7.1 channel) ความสามารถของ WMA pro จึงสามารถเทียบชั้นกับ Vorbis,
AAC ได้ และเหนือกว่า mp3 ครับ
แต่ข้อเสียของ WMA pro
นี้คือการที่ไม่รองรับกับมาตรฐาน WMA เดิม ทำให้อุปกรณ์ที่เคยเล่น WMA
เดิมได้ไม่สามารถเล่น WMA pro นี้ได้ จึงมีอุปกรณ์ไม่กี่ชนิดที่รองรับ
เช่นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ Windows mobile ที่มี windows media player 10
เป็นต้น

Windows Media Audio Lossless (WMA
lossless)

รูปแบบนี้ก็เพิ่งมาใหม่ใน Windows media player 9 ครับ
เป็นรูปแบบไฟล์ที่จัดเก็บแบบไม่มีการสูญเสียข้อมูลใดๆ ครับ
ความสามารถก็จัดอยู่ในระดับที่ดี แต่ก็ยังมีอุปกรณ์ที่รองรับน้อยอยู่
อุปกรณ์ที่รองรับก็เช่นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ Windows mobile ที่มี Windows media
player 10 หรือ Zune 2 ครับ

Windows Media
Audio Voice (WMA
voice)

เป็นรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บเสียงพูดโดยเฉพาะครับ ใช้ bit
rate ต่ำมาก แต่คุณภาพเสียงพูดยังใช้ได้อยู่
ทำงานโดยการตัดความถี่ที่ไม่เกี่ยวกับเสียงพูดทิ้งทั้งหมด
ทำให้มีพื้นที่เก็บข้อมูลในส่วนของเสียงพูดมาก รูปแบบนี้รองรับ sample rate แค่
22,050 Hz เป็นเสียง mono อย่างเดียว แล้วก็ใช้ bit rate สูงสุดแค่ 20 kbps ครับ
ไม่แนะนำให้ใช้กับงานอย่างอื่นนอกจะเสียงพูดครับ
อุปกรณ์ที่รองรับก็ยังเป็นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ Windows mobile เหมือนเดิมครับ
คู่แข่งของ WMA voice ก็คือ speex รูปแบบบีบอัดเสียงพูดฟรีๆ จาก xiph.org
ครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถสร้างได้จาก Windows media player รุ่น 10
ขึ้นไปครับ

สรุปเจ้า WMA นะครับ ผมไม่แนะนำให้ใช้ WMA ครับ ใช้ mp3 ดีกว่า
ยกเว้นว่าถ้าเครื่องของคุณรองรับ WMA pro ก็ใช้เป็น WMA pro ก็ได้ครับ ใช้ที่ bit
rate ราวๆ 128 kbps หรือ 160 kbps ก็ให้เสียงโอเคแล้วครับ

ความคิดเห็นที่ : 14

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:06:29

สรุปส่วนของ
Lossy

ถ้าใช้บนคอมพิวเตอร์อย่างเดียว แนะนำให้ rip เป็น Vorbis
aoTuV beta 5.5 หรือ LC-AAC หรือ WMA pro แล้วแต่สะดวกครับ (แต่ผมชอบ Vorbis
มากที่สุดนะครับ) เลือกให้เป็นแบบ VBR ส่วน bit rate
ก็ใช้ตามที่แนะนำไปในแต่ล่ะรูปแบบไฟล์ครับ
ถ้าใช้บนเครื่องเล่นแบบพกพาด้วย
ก็เลือกรูปแบบที่ดีกว่า mp3 เครื่องเล่นนั้นเล่นได้ เช่นถ้าเครื่องเล่น vorbis และ
mp3 ได้ ก็แนะนำให้ใช้ vorbis ก่อนครับ หรืออย่าง iPod ก็แนะนำให้ rip เป็น AAC
จะดีกว่า แต่ถ้าเครื่องนั้นเล่นได้เฉพาะ mp3 และ wma ธรรมดา (ไม่ใช่รุ่น pro)
ก็แนะนำให้ rip เป็น mp3 จะดีกว่าเป็น wma ครับ ส่วน bit rate
ก็ตามที่แนะนำในรูปแบบไฟล์ต่างๆ
ครับ
แต่ถ้าต้องการไฟล์ที่แน่ใจว่าเล่นได้กับทุกเครื่อง ก็ต้องเป็น mp3 ครับ
ปรับตามที่แนะนำนะครับ จะได้ mp3 ที่ดีที่สุด

ความคิดเห็นที่ : 15

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:08:42

การบีบอัดแบบ
Lossless

ผมเขียนมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าบทความนี้มันยาวจังเลย
คุณผู้อ่านจะยังอยู่กับผมถึงตรงนี้รึปล่าวนะ แล้วทั่น บก.
จะหั่นบทความผมไปเยอะรึปล่าวก็ไม่รู้ 555 ทำตัวไม่สนใจแล้วเล่าเรื่องต่อ
เรามาถึงส่วนของ Lossless แล้วครับ เป็นส่วนของผู้รักเสียงเพลงอย่างแท้จริง
ในส่วนนี้ผมจะไม่พูดถึงคุณภาพเสียงของรูปแบบต่างๆ นะครับ เพราะแบบ Lossless
จะให้คุณภาพเสียงเหมือนต้นฉบับในทุกรูปแบบไฟล์ต่างๆ
แต่จุดที่ทำให้แต่ละรูปแบบแตกต่างกันจะอยู่ที่ความสามารถในการบีบอัด
และการรองรับจากอุปกรณ์และโปรแกรมต่างๆ งั้นเราไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
FLAC (Free Lossless Audio Codec)
(.flac)

เป็นรูปแบบของ Lossless ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดตัวหนึ่งครับ
ด้วยความที่เป็นรูปแบบฟรี ไม่มีค่าใช้สิทธิ์ใดๆ แล้วยังเป็น open source อีกด้วย
ในต่างประเทศ FLAC จึงได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ข้อดีของมันนอกจากที่ฟรีแล้ว
ยังทำงานได้รวดเร็ว แล้วก็มีโปรแกรมและอุปกรณ์รองรับมากมาย เช่น Winamp รุ่น 5.5
ก็สามารถเปิด FLAC และ rip เพลงเป็น FLAC ได้โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม หรือ iPod
ก็รองรับ แต่จะต้องใช้ fireware พิเศษที่ชื่อว่า rockbox
(ตัวเดียวกับที่ทำให้รองรับ ogg Vorbis) ก็จะเล่นไฟล์ชนิดนี้ได้ แต่ข้อเสียของ FLAC
ก็อยู่ที่ความสามารถในการบีบอัดเพลงน้อยกว่ารูปแบบอื่นๆ อย่าง monkey’s audio
อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
FLAC รองรับ sample rate ตั้งแต่ 1 Hz ถึง 1048.57 kHz
ครับ bit depth ก็ใช้ได้ถึง 32 bit ครับ ปัจจุบัน FLAC อยู่ที่รุ่น 1.2.1
แล้วก็ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของ xiph.org ไปแล้ว บางทีจึงอยู่ใน container OGG
ได้

ความคิดเห็นที่ : 16

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:09:54

WavPack
(.wv)

เป็นรูปแบบฟรีคล้ายๆ กับ FLAC นะครับ
แต่เด่นกว่าตรงที่สามารถทำไฟล์แบบ Hybrid/lossy ได้ ก็คือมันสามารถสร้างไฟล์แบบ
lossy ได้ พร้อมกับไฟล์อีก 1 ไฟล์ที่เรียกว่า correction file เราสามารถนำไฟล์แบบ
lossy ที่มันสร้างไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องมี correction file
แต่ก็จะได้คุณภาพเสียงแบบ lossy ถ้าเราอยากได้ระดับ lossless เราก็เอา correction
file ไปใส่ไว้ในห้องของ lossy file นั้น โปรแกรมเล่นเพลงก็จะจัดการรวมกันให้เป็นแบบ
lossless ครับ แต่ข้อเสียของ WavPack ก็คืออุปกรณ์ที่รองรับยังไม่มากเท่า FLAC ครับ
การใช้งานจึงยังไม่กว้างเท่า FLAC
WavPack รองรับ sample rate ได้ตั้งแต่ 1 ถึง
16777.216 kHz ครับ ส่วน bit rate ของ lossless จะเป็น VBR แต่ในส่วนของ lossy
จะใช้ที่ 192 kbps ครับ

ความคิดเห็นที่ : 17

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:10:49

Apple Lossless
(ALAC) (.mp4, .m4a)

Apple พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นมาเพื่อใช้กับระบบของ Apple
เช่น iPod จึงมีแต่ iTunes ที่สร้างไฟล์ชนิดนี้ได้ครับ ข้อดีของ ALAC
คือการที่ใช้กับ iPod ได้สมบูรณ์ครับ ความสามารถก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่ารูปแบบอื่นๆ
แต่ข้อเสียคือยืดหยุ่นน้อยเพราะ Apple ไม่ปล่อยชุดของโปรแกรมถอดรหัส ALAC
ให้กับผู้พัฒนา software อื่นๆ จึงโปรแกรมไม่กี่โปรแกรมที่เล่นไฟล์ชนิดนี้ได้ หลักๆ
คือ iTunes ส่วนโปรแกรมอื่นๆ ที่เล่นได้อย่าง foobar2000 ก็เพราะมีคนไปวิจัยโค้ดที่
apple ใช้แล้วก็ reverse-engineered จนได้โปรแกรมถอดรหัสออกมาครับ
ซึ่งก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ แล้ว ALAC รองรับ sample rate แค่ 44,100 และ 48,000
Hz สรุปคือเหมาะเฉพาะผู้ใช้ iPod เท่านั้น

ความคิดเห็นที่ : 18

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:11:53

Windows Media Audio Lossless (.wma)
แหะๆ
ขึ้นไปอ่านรายละเอียดที่ WMA lossless ในส่วนของ lossy ครับ

Monkey’s audio
(.ape)

เป็นอีกรูปแบบไฟล์ที่เห็นกันบ้างบนอินเตอร์เน็ตครับ
แต่ไม่นิยมเท่า FLAC ข้อดีของมันก็คือบีบอัดเสียงได้เล็กกว่ารูปแบบอื่นๆ
แต่ว่าความเร็วจะไม่สูงเท่า FLAC หรือ WavPack แล้วจำนวนอุปกรณ์ที่รองรับก็น้อยกว่า
FLAC ครับ ซึ่งไฟล์ชนิดนี้ก็ใช้เปิดให้ใช้ได้ฟรีเช่นกันครับ
เราสามารถเข้าไปดูรายละเอียดของไฟล์ชนิดนี้ได้ที่นี้ครับ
http://www.monkeysaudio.com/

ความคิดเห็นที่ : 19

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:16:41



เปรียบเทียบ Lossless


เปรียบเทียบความสามารถของไฟล์รูปแบบต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นว่า monkey
จะให้ขนาดไฟล์ที่เล็กที่สุดครับ (ดูในช่อง Compression) ก็คือเหลือ %
ของไฟล์ต้นฉบับน้อยที่สุดครับ แล้วก็สามารถเปรียบเทียบความสามารถต่างๆ เช่นการใช้
ReplayGain ว่าไฟล์ประเภทไหนที่รองรับ RG ได้ หรือความสามารถ Hybrid/Lossy
ได้จากตารางนี้ครับ
สรุปการใช้ Lossless นะครับ สำหรับคนทั่วๆ ไปที่ต้องการใช้
Lossless ผมแนะนำให้ใช้ FLAC เพราะมีโปรแกรมและอุปกรณ์จำนวนมากรองรับ
จนสามารถนำไฟล์นี้ไปใช้งานได้แพร่หลายที่สุดครับ
ส่วนคนที่จะใช้ไฟล์กับอุปกรณ์ที่รองรับไฟล์อื่นๆ อย่าง Apple Lossless หรือ Windows
media audio lossless ก็ใช้ไฟล์รูปแบบนั้นๆ ครับ

ส่วนถ้าใครยังไม่มีตัว
Encoder ต่างๆ ที่ผมว่ามา ก็เข้าไปดูได้ใน www.rarewares.org ยกเว้น
WMA ที่ใช้
Windows media player ดาวน์โหลดจาก www.microsoft.com

Nero AAC
ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.nero.com/ena/nero-aac-codec.html
Apple AAC
ดาวน์โหลด iTunes จาก www.apple.com ครับ
Apple Lossless ก็ใช้ iTunes
เช่นกันครับ


 


 

ความคิดเห็นที่ : 20

ARM-KMUTNB

25/05/2008 00:22:24



ก่าจาลงหมด น๊านนาน
แต่กว่าจาพิมพ์มามาหมดนี่สิ
น๊านนานxน๊านนาน
ไว้จะหาบทความดีๆมาลงใหม่นะค๊าบบ
บะบาย

(ติดตามเวปเฮียมานานแระ(อ่านอย่างเดียว)ขอลงเองซะบ้าง555)&dquot;{#emotions_dlg.em170}&dquot;

ความคิดเห็นที่ : 21

nopphong

25/05/2008 07:03:24

โอวๆขอบคุณมากๆครับ มีประโยชน์ และให้ข้อมูลที่ดีมาก ขยันพิมพ์จริงๆครับซูฮกเลย


 


แต่บทความนี้ยังมีที่ให้แย้งจุดนึงนะครับ คือที่เขาว่า VBR ดีกว่า CBR คือถ้าว่ากันตามขนาดไฟล์ต่อคุณภาพน่ะใช่เลยครับเขาพูดได้ถูกต้อง แต่ถ้าสำหรับการ rip เพื่อใช้งานกับพวก ipod เราคงไม่ได้สนเรื่องขนาดเท่าไรนักเพราะมีพื้นที่หลายสิบกิ๊ก เราเลือกเป็น CBR จะดีกว่า เพราะบางครั้งการคำนวนเพื่อเลือกบิทเรทขึ้นๆลงๆตามความซับซ้อนของเสียงมันจะไปลดคุณภาพของเสียงบางส่วนไปด้วย แต่ดูเหมือน itune จะรู้เรื่องนี้เลยไม่มีเซ็ทติ้งแบบ 320K VBR คงมีให้เซ็ทแบบ 256K VBR เท่านั้นครับ(ไฟล์แบบ AAC)

ความคิดเห็นที่ : 22

nopphong

25/05/2008 07:06:58

ปล.เฮียปักหมุดบทความนี้ไว้ซักพักนึงก็ดีนะครับ บทความดีมากๆ

ความคิดเห็นที่ : 23

M@K@GiO_KMUT&squot;Nb

25/05/2008 07:28:20

เข้ามาทักครับ ถาบันเดียวกัน


ผมวิศวไฟฟ้า(EE) เพิ่งจบ ปวช.เตรียมวิศวไฟฟ้าครับ

ความคิดเห็นที่ : 24

nopphong

25/05/2008 08:12:56

ตกลงกระทู้นี้ nb แจมซิครับ ผมก็ kmit nb เหมือนกัน จบมาหลายปีจนจำไม่ได้แล้วครับ  ไม่รู้เดี๋ยวนี้สาวๆเยอะหรือเปล่า แต่ก่อนมีแต่คณะวิทยาที่มีสาวๆ เราเด็กวิศวะได้แต่ดูไม่กล้าจีบ อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 25

เบียส

25/05/2008 11:14:02



555 ยอดเยี่ยม เลย ครับ กระทู้นี้ ความรู้ล้วน ล้วน ไม่มีน้ำ(เหมือนผม) 555 เนื้อ เนื้อ


ทั้งน้าน 555 ขอบคุณ คุณ ARM-KMUTNB มาก มาก ครับ ที่อุตส่าห์หาข้อมูลดี ดี


มาฝาก มาให้อ่านกันครับ 555 ขอบคุณอีก ครั้ง ครับ ....อิ อิ อิ

ความคิดเห็นที่ : 26

ARM-KMUTNB

25/05/2008 12:16:09

ผมเรียนแมคคาทรอนิกส์ ขึ้นปี3คับ PET16>มันเปลี่ยนเป็นPEEแล้วหนิเนอะหุๆ


สาวๆหลอคับพี่>ไปหาข้างนอกดีก่า 555+


สาวๆในถาบันน่ากัวทั้งนั้น555+(ล้อเล่นนะ อิ อิ)


ส่วนเด็กวิทยาฯโดนลุมทึ้งหมด หุๆ

ความคิดเห็นที่ : 27

มือใหม่ปัญหาเยอะ

25/05/2008 15:31:54

ขอเถิดเฮีย ปักหมุดด่วนเถอะครับ ยอดเยี่ยมมาก

ความคิดเห็นที่ : 28

Ozzy750

25/05/2008 15:54:49

โอ้วสส....แบบเนื้อ ๆ


อัพปาย.....

ความคิดเห็นที่ : 29

ARM-KMUTNB

25/05/2008 18:19:19

วันนี้ผมไปซื้อหูฟังมาที่ร้านสาขาพันทิพย์มาคับ

ได้พี่ๆช่วยแนะนำ (ผมหละเกรงใจจิงๆ)หุๆ


ขอบคุณมากๆคร๊าบบ

ความคิดเห็นที่ : 30

nopphong

25/05/2008 20:59:56

กลับมาดันรอบดึกครับ กระทู้ดีๆอย่างนี้ปล่อยให้อยู่ด้านล่างไม่ได้ อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 31

So Gallant

25/05/2008 21:34:38

ขอเก็บไว้อ่านใน bookmark น่ะครับ อ่านไม่หมดอ่ะ ^^! ความรู้ผมยังแค่หางอึ่ง ต้องขอศึกษาจากกระทู้นี้ซะแร้วววว ขอบคุณจริงๆครับ

ความคิดเห็นที่ : 32

M@K@GiO_KMUT&squot;Nb

25/05/2008 22:15:47

มันเปลี่ยนเป็นPEE ก็จิงเเต่พวกผมก้อยังนับรุ่นเป็นPETครับ ไม่เปี่ยนเเปลง 555+


ปล.ผม PET18(sec1) ครับ


ปล.2เดี๋ยวนี้สาวๆวิทยาหันมาชอบ ปวช + วิศว เเล้วนะครับ อิอิ


ตอนนี้ &dquot;วิศวเลือกได้ครับ &dquot;


ปล.3 ตอนนี้สาวๆเเจ่มๆต้องเด็กสาขา Int.D (Interior Design) ครับ CONFIRM!!! 555+

ความคิดเห็นที่ : 33

nopphong

26/05/2008 08:07:46

สมัยผมเรียนยังเป็น kmit-nb เลยตอนนี้เป็น kmut แล้ว อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 34

นายมั่นคง

26/05/2008 09:38:26



555


ต้องกล่าวขออภัยคุณ ARM-KMUTNB  ก่อนเลยล่ะ ที่มาช้ากว่าเค้าเพื่อนครับ


เมื่อวานทั้งวัน ผมไม่ได้เข้าเน็ตเลย เลยขอยกยอดเอามาตอบตรงนี้ละกัน ต้องกล่าวขอบคุณและชื่นชมครับ อะไรก็ไม่เท่ากับการเอาชนะความยากลำบากด้วยความมุมานะของตนเอง แบบนี้วันข้างหน้าทำอะไรก็สำเร็จครับ 555


ผมจะปักหมุดไว้ให้แล้ว แต่เมื่อกี๊เว็บมันเอ๋อๆๆ อีกแล้ว ปักยังไม่ได้น่ะครับ แต่ผมทำเป็นแบนเนอร์ไว้ทืงซ้ายให้แน่ๆๆ เดี๋ยวนี้เลยล่ะครับ 555


เพื่อนๆๆ ช่วยกันดันไปก่อนเน้อ......เว็บเรามันแบบนี้ล่ะ 3 วันดี สี่วันไข้ แต่ทุกคนก็ช่วยกันประคองใช้มันทั้งๆๆ ที่มันเดี้ยงล่ะ


ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความตั้งใจดีครับผม


555

ความคิดเห็นที่ : 35

phantom

26/05/2008 11:34:52



555 ขอ copy ลงเว็บ ear ได้ป่าวครับ หามานานแระสาระๆ อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 36

ARM-KMUTNB

26/05/2008 17:29:14

เอาเลยคับ เอาไปแบ่งๆกันอ่าน


 


แบ่งๆกันคับ 555+

ความคิดเห็นที่ : 37

maxxx77

26/05/2008 18:33:03

เพิ่มเติมความรู้ให้สมองกรวงๆแบบผมได้อีกเยอะเลยครับ เยี่ยมครับ

ความคิดเห็นที่ : 38

นายมั่นคง

26/05/2008 21:13:56



เอ้า มาขอบคุณอีกรอบครับ พอผมมานั่งอ่านอีกรอบ....เฮ้ย แบบนี้พิมพ์กันขี้แตกเลยนะเนี่ย 555 ขอบคุณมากๆๆ ครับสำหรับบทความนะครับ 55

ความคิดเห็นที่ : 39

ฤทธิ์ หน้าเหลี่ยม

27/05/2008 19:54:29



แจ๋วจริงๆเลยครับ ผมอ่านไปสองรอบแล้วครับ ฮ่ะ

ความคิดเห็นที่ : 40

ARM-KMUTNB

30/05/2008 00:14:23

จึกๆ

ความคิดเห็นที่ : 41

Rachata

15/06/2009 11:57:58
0
อ่านจนจบเลยครับให้ความรู้ดีมากมาย

ก็คือเอาง่ายๆ ถ้าผมใช้ iPhone Classic ผมอยากจะ Rip เพลงจาก CD Audio เอาไปฟัง แล้วให้เสียงได้เยี่ยมที่สุด (โดยไม่สนใจขนาดของไฟล์) ผมควร Rip เป็น AppleLossless และใช้ Sample Rate ที่ 44100 ใช่ป่ะครับ

ส่วนถ้าผมอยาก Rip ได้เสียงดีในระดับ ที่ไฟล์ไม่ใหญ่มาก ผมก็ Rip เป็น lossless ก่อน แล้วค่อย ทำเป็น .mp3 (lossy) อีกที โดยให้ Bitrate อยู่ที่ 320kbps และ Sample Rate ที่ 44100Hz ใช่ป่ะครับ หรือว่าผม สามารถ Rip Audio CD มาเป็น .mp3 (lossy, Bit Rate 320kbps, Sample Rate 44100Hz) ได้เลยอ่ะครับ แล้วถ้าผมจะทำ ผมควรใช้โปรแกรมชื่อว่าอะไรหรอครับ ไม่จำเป็นต้องเป็น Freeware ก็ได้นะครับ

รบกวนทีครับ ^^

ปล.หรือมีไฟล์รูปแบบไหนอีกที่สามารถ Sync กับ iTunes แล้วลงไปฟังใน iPhone ได้เลย ช่วยบอกด้วยนะครับ ^0^
ความคิดเห็นที่ : 42
ความคิดเห็นที่ : 43

Kuwara

28/12/2009 02:33:47
0
อ้างถึง คห.ที่ 21 \"แต่ดูเหมือน itune จะรู้เรื่องนี้เลยไม่มีเซ็ทติ้งแบบ 320K VBR คงมีให้เซ็ทแบบ 256K VBR เท่านั้นครับ(ไฟล์แบบ AAC)\"


อ๋อ มีครับ itune rip to.acc in >256+ VBR ได้ครับ ไปปรับที่ Edit>>Preference>> Import Setting เเล้ว เลือก Custom ตรง setting ปรับตามใจ ถ้าจะเอาVBR ก้อ ติ๊กเลือกเอา รู้สึกว่า มันมีไห้เลือก เเค่ 288 ,320 kbps เท่านั้นครับ

อ่อ ของผม เปน itune version 9 คับ อันอื่น ไม่เเน่ใจ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

สุดท้ายขอขอบคุน พี่ Ota_hay ที่ทำให้ผมตาม link ได้ เเละให้เครดิต พี่ ARM_KMUTNB มากกกๆคับ

ที่มีฟามรู้เเล้วไม่กั๊ก ชาวมั่นคง ต้องอย่างนี้ ประเทศจะได้เจริญ ในฐานะเด็กพระจอมเหมือนกัน (ลาดกระบังคับ)สุดยอด เอาไปเลย 5 กะโหลก





ความคิดเห็นที่ : 44

Kwee

06/09/2010 10:13:51
ของดีดันให้ครับ เฮียหมี ^^
ความคิดเห็นที่ : 45

cal2ibsy

27/09/2010 17:59:12
2
แล้วไฟล์.AIFF อ่ะครับดีเท่าwavไหมครับ (เหนว่าใส่ปกได้อีกด้วย)

ปล.cowon s9 กับ j3 เล่น.AIFFได้มั้ยครับ
ความคิดเห็นที่ : 46

Peerawat-R

27/09/2010 22:13:08
ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆครับ ^O^

ชอบมากเลยยยย
ความคิดเห็นที่ : 47

goodduck

13/02/2011 12:38:44
เคลียร์!!!!
ความคิดเห็นที่ : 48

panda180

13/02/2011 12:57:31
1
ผมจบ PMT ต่อ CHE แต่นานหลายปีแล้ว สวัสดีรุ่นน้องทุกคนคราบบบบ
ความคิดเห็นที่ : 49

tine_lnw

13/02/2011 23:50:03
0
ชอบ

ความรู้ดีๆๆ ครับ
ความคิดเห็นที่ : 50

หวังดี

07/04/2011 10:58:47
ขุดให้มาให้อ่านกัน เห็นถามกันเยอะ ถึงความแตกต่าง จะได้ไม่ต้องตั้ง ทู้ใหม่เยอะแยะไปหมด
ความคิดเห็นที่ : 51

ota_hay

07/04/2011 20:11:07
3
อยากให้ทีมงานเว็บไซต์ มั่นคงgadget ปักหมุดกระทู้นี้ไว้ด้านบนด้วยครับ
เอาไปใส่ลิ้งค์ด้านซ้ายมือ ไม่ค่อยมีน้อง ๆ สนใจอ่านก่อนตั้งคำถามครับ

ขอบคุณเจ้าของบทความใน PC today ,คนตั้งกระทู้นี้ และคนขุดขึ้นมาด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ : 52

gonpunapy

27/04/2011 21:40:13
0
เอาด้วยคน

ความรู้ทั้งนั้น ปักหมุด สิๆๆๆ
ความคิดเห็นที่ : 53

GsUs13

01/05/2011 20:04:05
0
เห็นด้วยคับ ยกให้สองมือเล้ยยยย \o/


ปักหมุดทำตัวหนาๆเลยคับ คนเข้ามาใหม่ๆ แบบพวกผมจะได้มีความรู้ไว้อ่านคับ ไม่ต้องมาตั้งกะทู้ใหม่ให้มันเปลืองเนื้อที่เวปไงเฮียยยยย
ความคิดเห็นที่ : 54

crocodiejr

02/05/2011 03:05:29
0
อาร์มไหนเนี่ย

เรียนที่เดียวกันเลย
ความคิดเห็นที่ : 55

Roman43

06/06/2011 11:39:26
อ่านจบแล้ว สุดยอดครับ
ความคิดเห็นที่ : 56

boongpk

29/06/2011 09:31:25
0
บทความที่ดีมากๆครับ เพิ่งเปิดมาเจอ ^^ Good!!
ความคิดเห็นที่ : 57

ชิน

17/08/2011 15:40:29
ขอบคุณที่ช่วยให้สมองผมแน่นขึ้น (เมื่อก่อนเหมือนมันกลวงๆ)
ความคิดเห็นที่ : 58

MonkeyFiish

25/01/2012 20:54:58
เปิดมา น่าอ่านมากเลยครับ เป็นความรู้ที่ยังไม่เคยเรียน และเป็นความรู้รอบตัวที่ดีมากครับ
คงจะมีประโยชน์ในการเรียนฟิสิกส์ :)
ความคิดเห็นที่ : 59

mafezo01

25/01/2012 23:54:06
อ่านจบแล้ววววว

สรุปแล้ว ไฟล์ lossly จะตัดเสียงสูง พวกรายละเอียดทิ้ง ส่วนเบสจะเท่าเดิม ผมเข้าใจถูกไหมคับ :)

ขอบคุณมากๆครับสำหับบทความ
ความคิดเห็นที่ : 60

Mu8enze

26/01/2012 01:06:15
1
ใครขุดมาก็ขอบคุณมากครับ ขอเก็บไว้อ่านก่อนล่ะ
ความคิดเห็นที่ : 61

ม้าน้ำ

26/01/2012 11:04:16
1
น้องผมเรียนมัลติ จะเก็บไวให้มันทำข้อมูลละกัน ^^ ขอบคุณคนขุดมากครับ ผมหาอยู่นานเลย
ความคิดเห็นที่ : 62

Joker

26/01/2012 11:14:46
0
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ..



ความคิดเห็นที่ : 63

zxto2500

05/02/2012 09:59:30
0
สวดยวด พึ่งลองฟัง aac มาเหมือนกันรู้สึกว่า ดีกว่า mp.3 320บิตเรต พอสมควร
ความคิดเห็นที่ : 64

RazwayNTcompany

05/02/2012 11:01:26
0
ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ดี!! สุโค่ยยยยย
ความคิดเห็นที่ : 65

hydeless

05/02/2012 15:41:50
1
ถ้าหูได้ยินถึง 18 อย่างผมเนี่ย ลอสซี่เพราะเลย อิอิ
ความคิดเห็นที่ : 66

ม้าน้ำ

14/02/2012 08:40:15
1
เข้ามาดันอีกทีครับ
ความคิดเห็นที่ : 67

ichill

14/02/2012 14:27:04
0
LIKE!
ความคิดเห็นที่ : 68

Mu8enze

01/10/2012 20:02:53
1
ขุดๆๆๆ น่าอ่านครับ
ความคิดเห็นที่ : 69

ธนา

11/11/2012 09:01:09
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ ครับ
ความคิดเห็นที่ : 70

KMITNB

16/02/2013 01:12:33
ขอแย้งหน่อยในเรื่องของ mp3

"สรุปนะครับ VBR
จะให้เสียงคุณภาพดีที่สุด ABR อยู่ในระดับรองลงมา แล้ว CBR อยู่ท้ายสุด
เพราะฉะนั้นเวลาจะใช้ก็ใช้เป็น VBR ดีกว่าครับ"

ผิดอย่างมหันต์!!!
mp3 ที่สามารถเก็บรายละเอียดเสียงได้ดีที่สุดคือ CBR 320 kbps
ลองไปหาความรู้จากที่อื่นๆ (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) อย่าเชื่อที่ใครก็ไม่รู้(หมายถึงคนที่เขียนบทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร PCtoday)ไปอ่านมาแล้วก็มาเขียนอย่างผิดพลาดในสาระสำคัญอย่างนี้
เรื่องนี้เคยอ่านเจอตั้งนานแล้ว แล้วก็เลิกซื้อหนังสือ PCtoday ไปเลย!

พิสูจน์ด้วยการลองริปเพลงเดียวกัน ด้วยซอฟท์แวร์เดียวกัน แบบ VBR และ CBR 320 kbps แล้วลองสังเกต Spectrogram ของเสียงของไฟล์ทั้งสองแบบดู
แล้วจะเห็นความแตกต่าง
ความคิดเห็นที่ : 71

pokkystr

07/03/2013 16:47:58
0
ขุดมาอ่านๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 72

Archibald

08/03/2013 11:26:51
เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ นับถือในความอดทนพิมพ์จริงๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 73

Nound

08/03/2013 11:35:09
0
โดยปกติแล้วทุก format lossy VBR จะเหนือกว่า CBR ครับ
แต่มันติดตรงที่ว่า mp3 มี vbr bitrate สูงสุดถึงแค่ v0 คือ ~245kbps เท่านั้น
และ peak สุดของ v0 ก็ถึงแค่ 320kbps

จึงทำให้ CBR 320kbps ของ mp3 ซึ่งเท่ากับ peak ตลอดของ v0 มีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าเล็กน้อย

แต่ถ้าเป็นพวก aac wma ogg พวกนี้ bitrate สูงสุดของ VBR มันเยอะกว่าครับ ยกตัวอย่างเช่น aac VBR q1.00 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 400kbps peak ที่ 448kbps
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 74

garrin552

08/03/2013 12:21:37
0
ใช้AACเถอะครับ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 75

maniastyle

17/09/2013 03:44:25
0
ขอบคุณมากครับ ได้ข้อมูลพวก CBR , ABR , VBR ในเชิงลึกซะทีสงสัยเจ้าพวกนี้มานานละ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 76

maniastyle

17/09/2013 03:50:54
0
เสียดายไม่มีข้อมูล .tta
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 77

dewringmaster1997

18/09/2013 18:12:41
2
สำหรับ คนจะริป แผ่นธรรมดา

แนะนำEAC rip ริปเป็นwavหรือflac.

อันนี้ผมว่า ใกล้เคียงcd สุดแล้ว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 78

bigboat

19/05/2015 16:25:14
1
ขออนุญาตขุดสาระมาให้อ่านครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 79

16/11/2015 03:38:30
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 80

16/11/2015 03:38:32
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 81

16/11/2015 03:38:34
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 82

Klubsri_TUM

14/01/2016 14:32:42
0
มือใหม่ขอขุดมาอ่านครับบ

ขอบคุณมากครับผม.
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 83

jodjod

12/01/2017 20:26:10
0
พึ่งอ่านครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 84

Cracksound

14/01/2017 16:51:30
0
แล้วเจ้า DSD ล่ะครับมีข้อมูลเพิ่มเติมไหมครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"สารพันรูปแบบไฟล์เพลง Lossless-Lossy วิเคราะห์ เจาะลึก การริปออดิโอแบบเซียน ฮี่ๆๆ"