Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ค่า Impedance มันอยู่ที่สาย หรือตัว driver ครับ

kkk

16/02/2012 15:58:19
ผมสงสัยน่ะครับ ถ้าอยู่ที่สาย จะเปลี่ยนสายเพื่อเปลี่ยนค่า Impedance ได้ใช่ไหมครับ

หรือถ้าอยู่ที่ตัว driver จะมีวิธีใดที่เปลี่ยนค่า Impedance ได้ เช่น เปลี่ยนจาก 32 โอห์ม ให้เป็น 16 โอห์ม

หรือหูฟังแต่ละตัว ไม่สามารถเปลี่ยนค่า Impedance ได้เลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

jetli

16/02/2012 17:10:39
2
driver ครับ จาก coil เพื่อสร้าง magnetic field ตามdesignครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

hydeless

16/02/2012 17:40:39
1
ต้องลองวัดค่าดูครับ วัดตอนต่อสายกับวัดตอนตัวเปล่าๆ จะได้จัดการกับมันถูก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

eeman2

16/02/2012 18:51:06
0
ทำไมถึงอยากเปลี่ยนล่ะครับ หรือแค่อยากรู้เฉยๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

JokE_zZz

16/02/2012 19:41:19
2
ค่า Impedace เป็นค่าความต้านทานรวมของระบบครับ
วัดตั้งแต่แจ๊ค ไปถึง Driver เลยครับ
การเปลี่ยนสายก็ทำให้ Impedance เปลี่ยนครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

จขกท.

16/02/2012 20:17:59
คือผมใช้โทรศัพท์ฟังเพลงน่ะครับ แล้วก็เข้าเวบ Player iriver มีการอ้างอิงการขับ โดยใช้ 16โอห์มเป็นมาตรฐานเป็นหลักด้วย

และก็เข้าเวบหูฟังของ Sennheiser ซึ่งหูส่วนใหญ่ที่ทำมาสำหรับ portable player ก็จะ 16โอห์มเป็นส่วนใหญ่

แต่หูฟังผม มัน32โอห์ม เลยอยากรู้ว่า ถ้าเปลี่ยนเป็น16โอห์ม เครื่องมันจะขับง่ายกว่าไหม แบบรีดพลังมาได้แบบที่สุดทุกอณูน่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

JokE_zZz

16/02/2012 21:03:33
2
การดูว่าหูฟังตัวนั้นขับง่ายหรือไม่นั้น ไม่ได้ดูที่ Impedance นะครับ ต้องดูที่ค่า Sensitivity หูฟังบางตัว Impedance สูง แต่ Sensitivity ก็สูงด้วย

Impedace ถึงมันจะมีหน่วยเป็นโอมห์ แต่มันรวมความต้านทานทั้ง R L C ไว้ทั้งหมดครับ R โดดๆ อาจจะไม่ได้เยอะก็ได้

ส่วนสายเนี่ยเปลี่ยนไปก็ไม่ได้ช่วยลด Impedance ได้เท่าไหร่นะครับ อาจเยอะ หรือน้อยลง แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าจะช่วยไปทางไหน เพราะวัดเองไม่ได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

leenawat_sri

16/02/2012 21:18:05
1
Impedance. เป็นความต้านทานขณะที่ป้อนกระแสสลับเข้าไปครับ ลำโพง หูฟัง
นิยมใช้ค่ามาตราฐานที่ 1000 Hz ที่เป็นเสียงพูดเป็นหลักครับ ที่ต้องกำหนดควาถี่
เพราะบางความถี่ ค่า impedance. จะเปลี่ยนไปมาก จากที่ 1000Hz.

ปกติแล้ว ลำโพง หรือ หูฟัง มี voice coil. อยู่กะแม่เหล็ก เมื่อ ความถี่ที่เราป้อน
เข้าใกล้จุด วิกฤต ที่ความถี่ที่ลำโพงนั้นเร่มตอบสนองไม่ได้ หรือมันเริ่มเกิด
Resonance ค่า impedance จะเปลี่ยนไปอย่างมาก

ขณะที่สายลำโพงหรือหูฟัง. มันอยู่เฉยๆ ไม่มีแม่เหล็ก ไม่มีการขยับ แล้วความหถี่เราฟัง
แค่ไม่กี่หมื่นHz. impedance เลยค่อนข้างคงที่ครับ

สรุป กะความถี่ที่เราฟัง impedance. อยู่ที่ driver. หูฟังคับเป็นหลัก สายมีผลน้อยมากก


ถ้าสายนำข้อมูลdigital ถึงมีผลครับความถี่มันสูงมากหลาย MHz.
สาย coax วัดความต้านทานไฟตรง ได้ไม่ถึงโอม แต่ที่ความถี่ทำงาน
ของสายcoax. Impedancมันคือ 75ohm
ถ้าเป็นxlr ก็110ohm ตามมาตราฐานอย่างที่เรารู้ๆกัน

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

eeman2

16/02/2012 21:29:34
0
กูเกิ้ลบอกว่า เป็นดังนี้ครับบ

http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=9722
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

JokE_zZz

16/02/2012 22:54:51
2
ถ้าสายมีผลน้อย แล้ว ER-4P กับ ER-4S ใช้ Driver เดียวกัน แต่ต่างกันที่สาย ทำไม Impedance ต่างกันเยอะล่ะครับ ผมว่าเค้าแอบฝังอะไรไว้ตรงจุดแยกสายแน่เลย เพราะมันใหญ่ที่สุดกว่าหูฟังแบรนด์ใด ในโลก ^^!

แบบนี้แสดงว่า Impedance มันอาจไม่ได้ขึ้นกับ Driver เป็นหลักก็ได้ครับ

ผมว่ามันขึ้นกับการออกแบบของผู้ผลิตมากกว่าครับ ว่าอยากจูนเสียงยังไง เค้าก็จะคิดเทคนิคในการจูนที่เป็น Knowhow ของแบรนด์ตัวเอง

ปล. ท่าน eeman2 เจอกันอีกแล้ว ^^ แต่กระทู้นี้ผมไม่ขอถกยาวครับ เพราะความรู้ด้านอิเลกผม มันน้อยมาก 555+
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

eeman2

16/02/2012 23:11:35
0
งั้นผมอาสาเล่าให้ฟังละกันครับ แต่วันนี้ง่วงแล้ว ขอติดไว้เป็นวันพรุ่งนี้นะครับ

ขอรวบรัดก่อนว่า ค่าที่ว่ามันมีผลต่อเสียงที่ได้แน่นอนครับ ใช้แอมป์หรือเพลเยอร์ต่างกัน ก็ย่อมได้เเสียงต่างกันแน่นอน

แล้วถ้าใช้แอมป์ตัวเดียวกัน แต่หูฟังมีค่าที่ว่าต่างกัน ก็แน่นอนได้เสียงต่างกันไปอีก

เพราะค่าที่ว่า(ขี้เกียจพิมพ์น่ะครับ) มันถูกออกแบบมาสำหรับลักษณะเสียงของหูฟังตัวนั้นๆเลยครับ ผ่านการคำนวนเพื่อให้ได้เสียงตามที่ต้องการของผู้ออกแบบ

แล้วทำไมต้องพยายามให้ค่าที่ว่ามันเท่ากันซะจริงๆระหว่างแอมป์กับหูฟัง ทั้งๆที่มันไม่ต้องเท่ากันก้ได้ครับ ฟังธรรมดาไม่ได้มีผลอะไรหรอกครับ จริงๆหลายท่านในนี้ที่อ่านอยู่ก็ทราบคำตอบดี แต่ผมจะไปนอนแล้ว ยังไงช่วยผมตอบด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณ ถ้าไม่มีใครตอบ พรุ่งนี้จะพยายามหนีงานมาตอบครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

Noize

16/02/2012 23:12:54
2
ยอมรอค่ะย์ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

leenawat_sri

16/02/2012 23:28:12
1
Driver. หูฟัง inear. หลายๆตัว โดยเฉพาะพวกหลายๆdriver

จะใส่พวกวงจร crossover ไปด้วยครับ ไอ้พวกนี้แหละคับ ตัวเปลี่ยน

Impedance ชั้นดีเลยคับ

หรือพวกที่ไม่ใส่ crossover.แต่เเอา driver มาขนานกันเลย impedance ยิ่งมั่ว

ครับ เพราะแต่ละ driver มี impedance แต่ละช่วงความถี่ของตัวเอง ความถี่ตอบสนอง

ค่าความถี่ resonance ก็คนละที่กัน ลำโพงแพงๆ เขาระบุ impedance กะความถี่

ที่เขาวัดมาทั้งนั้นแหละคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

leenawat_sri

16/02/2012 23:40:02
1
แต่ก็เป็นค่าที่ ผู้ผลิต พยายามสื่อ ไปถึงผู้ที่สนใจว่า

สินค้าฉัน .... ที่ลักษณะแวดล้อมแบบนี้ .....ของฉันทำงานได้แบบนี้

แล้วเธออ....สนใจฉันไหม


เหมือนไปอาบอบ...เด็กราคานี้ หน้าตารูปร่างประมาณนี้

ในร้านเดวกัน. แพงกว่าอีกเท่านึง มันก็ต้องดีกว่าขึ้นไปอีก

เราก็พอ อนุมานเอาง่ายๆ แต่ก็นั่นแหละ อาจจะไม่จริง ต้องลองเอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

oname2

16/02/2012 23:43:47
3
เปรียบซะเห็นภาพเลยครับคุณ leenawat_sri ....ฮุฮุ.....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

leenawat_sri

16/02/2012 23:51:49
1
บางคนดูดีโคตร แต่บริการแย่ บางคนดูเฉยๆ แต่ ่most recommend

เสปคใช่ว่าเราใช้แปลกออกไปไม่ได้ แต่โดยธรรมชาติ วงจรขยาย จะมีโหลด

ที่เหมาะสมว่าควรกี่โอม. บางวงจรจะบบอกมาเลยว่า minimum ชั้นรับได้กี่โอม

น้อยกว่านี้ นู๋ทำงานไม่ไหวแล้ว ทารุนนู๋เกินไปละ. แต่ใช้มากกว่า ไม่เป็นไร กำลัง

อาจจะลดลงหน่อย แต่ทำงานสบายขึ้น --- จิงๆความถี่ตอบสนองอาจเปลี่ยนไปจาก

จุดที่ ผูผลิตเคลมไว้หน่อยก็ได้. แต่มันกว้างเกินหูมนุษย์ อยู่แล้ว เลยไม่น่าสนใจเท่าไรคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"ค่า Impedance มันอยู่ที่สาย หรือตัว driver ครับ"