Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ตั้งวงชวนคุยเรื่อง DAC

unclepiak

09/09/2008 05:43:02

ก่อนจะแชร์ประสบการณ์ครั้งนี้ คงต้องเกริ่นไว้เนิ่น ๆ ว่า ผมเป็นผู้นิยมเครื่องหูฟังระดับงบน้อย หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่ากลุ่ม Budget คือมีเงินน้อยแต่อยากได้ของดีว่างั้นเถิด ฉะนั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผมใช้จึงไม่เคยมีชิ้นใดราคาถึงหมื่นบาทเลย หากคุณเป็นผู้เล่นเครื่องระดับไฮเอนด์ ผมคิดว่าประสบการณ์ที่กำลังจะเล่านี้ อาจจะทำให้คุณบ่นว่าเสียเวลาว่ะ ดังนั้นหากจะอ่านต่อ ก็อย่ามาว่าผมเชียว

เอาล่ะ ถึงบรรทัดนี้ตกลงว่าคุณอ่านต่อ ผมก็จะต้องออกตัวอีกว่า สิ่งที่กำลังจะเล่าให้ฟังนี้เป็นข้อมูลที่เกิดจากการอ่านและทดลองแง่มุมต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่ผมเป็นโปรแกรมเมอร์มิใช่ซาวน์ดเอนจิเนีย ดังนั้นผมอาจจะเข้าใจบางอย่างผิดพลาดได้ หากอ่านแล้วพบว่ามีที่เขียนผิดไป ก็ท้วงติงได้เลยครับ

เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวม จึงขอแจ้งว่าบทความนี้แบ่งเป็น ๓ ตอน คือ
๑. เรื่องของ DAC กับระบบเสียงดิจิตอล

๒. รายงานการใช้งาน iBasso D2 Boa, Zero DAC/Preamp และ Super Pro707 USB
๓. ซีดีกับการอัพแซมปลิ้งด้วยซ๊อฟท์แวร์

------------------------------
ตอนที่ ๑ ว่าด้วยเรื่อง DAC กับเพลงดิจิตอล
========================

ตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์เรื่อง DAC มานานแล้วครับ เพราะเห็นว่าเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ มีอะไรที่ต้องทำความเข้าใจพอสมควร ก็กะว่าจะเล่าตามความเข้าใจของตัวเองนะแหละ พอลงมือเขียนกลายเป็นยากเหมือนกัน ด้วยกลัวว่าจะเล่าผิด ๆ นะแหละจึงมีการค้นข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม ยิ่งค้นก็ยิ่งมีเรื่องให้อ่านเยอะ และพบว่ามีอะไรที่สามารถถกเถียง และอาจจะเข้าใจผิดได้เยอะ

เอาเป็นว่า ผมจะแชร์เท่าที่รู้ละกัน หากผู้อ่านพบว่ามีตรงไหนที่คลาดเคลื่อน ก็อย่าได้ต่อว่าให้อับอาย ขอจงชี้แนะตรง ๆ อย่างคนที่ต้องการแบ่งปันความรู้ต่อกันนะครับ ผมว่าไม่มีใครรอบรู้ไปซะทุกเรื่อง จริงแมะ

สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นกับคำว่า DAC เรามาทำความเข้าใจกันสักนิดหน่อยว่า เจ้าแด่กเนี่ย มันคืออะไร มีหน้าที่อะไร แล้วจำเป็นไหมที่จะต้องดิ้นรนอัพเกรดมัน

DAC หรือ D/A Converter เป็นชื่อเรียกของอุปกรณ์แปลงข้อมูลดิจิตอลเป็นอนาล็อกครับ คำเต็มคือ Digital to Analog Converter มันเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่มีอยู่ในเครื่องเล่นดิจิตอลแทบทุกตัว เช่นในซาวน์ดการ์ดของคอมพิวเตอร์ ในเครื่องเล่นเพลงซีดี ในไอพอด ในเครื่องเล่นเกมส์ ฯลฯ

พูดได้ว่าอุปกรณ์ดิจิตอลทั้งหลาย หากสามารถร้องเพลงได้ จะต้องมี DAC ช่วยแปลงข้อมูลเสียงแบบดิจิตอลเป็นสัญญานเสียงแบบอนาล็อกซะก่อนจึงจะออ


มีเสียงตะโกน(เลียนแบบใครหว่า..)มาว่า แล้วไอ้อานาหรอก กะดิ๊จีต้อนเนี่ย มันคืออิหยังละอ้าย

การทำความเข้าใจเรื่องดิจิตอล กับอนาล็อกเนี่ย มันก็ต้องท้าวความกันไปสมัยเอดิสันค้นพบวิธีการบันทึกเสียงครับ

เฮ่ย.. เพ่ ไหงย้อนไกลจัง วัยรุ่นเซ็ง


 


 

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

unclepiak

09/09/2008 05:51:59



อนาล็อกคืออะไร?
==========

เอาน่า.. อย่าเพิ่งบ่นจิ...
คือเริ่มจากความรู้พื้นฐานว่ามนุษย์เราจะรับรู้โลก ด้วยอวัยวะรับสัมผัส
เช่น ผิวหนังรับรู้ความร้อนหนาว สายตารับรู้ภาพ หูรับรู้เสียง เป็นต้น
ต่อมาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น
ก็มีการค้นพบวิธีบันทึกการรับรู้ของมนุษย์ขึ้นครับ

ทางสายตา ก๊อมีระบบบันทึกภาพ โดยมีการใช้แผ่นใสฉาบสารไวแสงจับภาพไว้
แล้วพัฒนาต่อกลายเป็นฟิลม์เซลลูลอยด์
ส่วนทางด้านเสียงจะมีการใช้ตัวรับการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงแล้วบันทึก
เป็นสัญญานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การบันทึกข้อมูลเป็นคลื่นไฟฟ้าแบบนี้คือ
โลกของอนาล็อกครับ

การทำสื่อบันทึกแบบแผ่นเสียง
ก็คือการนำสัญญานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่บันทึกไว้ มาเซาะร่อง บนแผ่นครั่ง
หรือแผ่นไวนีล
เพื่อที่เวลาหัวเข็มลากขีดกับร่องจะได้เกิดเสียงตรงกับที่บันทึกไว้

การจำลองเสียงจากการขีดร่องเสียง
เป็นกระบวนการสร้างเสียงแบบเดียวกับการใช้ช้อนสังกะสีขูดจานกระเบื้องครับ
วิศวกรสมัยนั้นคงล่วงรู้ความลับของฟ้า
จึงสามารถค้นพบวัสดุที่เหมาะกับการใช้แทนจานกระเบื้อง
บวกกับวัสดุทำหัวเข็มที่เหมาะสม
พวกเขาจึงสามารถประดิษฐ์ระบบเล่นจานเสียงที่เปล่งเสียง(reprodution)ได้
เหมือนจริง

ข้อมูลเสียงแบบอนาล็อก
มีลักษณะเป็นลอนคลื่นความถี่จำนวนมากที่มีความต่อเนื่อง
เวลาจำลองมาเป็นภาพ จึงมองเห็นเป็นเส้นโค้งขึ้น ๆ ลง ๆ
ตามลักษณะของเสียงนั้น ๆ


อยากจะตั้งข้อสังเกตได้ว่า
เสียงอนาล็อกจะเชื่อมโยงกับโสตสัมผัสของมนุษย์โดยตรงผ่านทางอุปกรณ์ทาง
กายภาพ กล่าวคือภาคการบันทึก(recording)
จะมีตัวรับการสั่นสะเทือนในไมโครโฟนแทนแก้วหูมนุษย์
และในภาคเล่นกลับ(playback) จะมีกระบวนการสร้างการสั่นสะเทือนของกรวยลำโพง
เพื่อให้แก้วหูเรารับการสั่นสะเทือนส่งคลื่นไปยังสมอง
ทำให้ได้ยินเป็นเสียงต่าง ๆ

Analog/Analogue (n)แปลตามคำได้ว่า &dquot;สิ่งที่คล้ายกัน, ได้สัดส่วนกัน&dquot;
ในที่นี้ขอให้ความหมายว่า
อนาล็อกคือข้อมูล(เสียง)ในรูปคลื่นสัญญานไฟฟ้าที่บันทึกจากต้นแบบที่เกิด
ขึ้นจริง


(ภาพ
ประกอบด้านข้าง จำลองให้นึกภาพออกว่า อนาล็อก กับดิจิตอล มันต่างกันยังไง
บนสุดแทนอนาล็อก ตรงกลางคือ digital 24bits ล่างสุดคือ digital 16bits)

ความคิดเห็นที่ : 2

unclepiak

09/09/2008 06:17:07

** ภาพในโพสต์ที่แล้ว เป็นเพียงการจำลองให้นึกภาพออกเท่านั้นนะครับ ในความเป็นจริงดิจิตอลมิได้หยาบเป็นชั้น ๆ อย่างที่เห็น มันเนียนละเอียดใกล้เคียงอนาล็อกมากครับ **


แล้วดิจิตอลคืออะไร?
===========

ทีนี้มาพูดกันใน
ส่วนของดิจิตอลบ้าง ดิจิตอลเป็นอีกโลกที่ต่างออกไป โลกของดิจิตอลไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเลข 0 กับเลข 1 มันเป็นโลกคณิตศาสตร์ ทุกอย่างจำลองขึ้นจากเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 ซึ่งมาจากสถานะเปิด หรือปิดทางไฟฟ้า แต่ละหน่วยนับเป็น 1 บิต

สมมุตว่าคุณมีข้อมูลดิจิตอลชนิด 1 บิต จำนวน 10 ชุด แปลว่าแต่ละชุดจะมีค่าแตกต่างกันได้แค่สองสถานะหรือสองค่า คือ 0 กับ 1 ผลรวมคือคุณจะมีค่าที่แตกต่างกันได้ 10x2 = 20 ค่าที่สามารถนำไปประมวลผลได้ ข้อมูลชนิด 1 บิตจึงนำไปใช้ได้อย่างจำกัด เพราะจำนวนค่าของข้อมูลมันน้อยมากนั่นเอง


การนำเลขฐานสองมาใช้แทนค่าที่แตกต่างกันมาก ๆ จึงต้องใช้งานทีละหลายบิตเรียงกันเป็นแถวเป็นชุด เวลานำไปประมวลผลจะคำนวนแบบยกชุด ไอบีเอ็มได้กำหนดค่าอักขระที่เป็นภาษาเขียนของมนุษย์ไว้ที่ 8 บิต หมายถึงตัวอักขระ A B C จะใช้ชุดข้อมูล 01010101 จำนวนแปดตัวเรียงกัน แล้วเรียกมันว่า 1 ไบท์ หนึ่งไบท์จึงมีแปดบิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กลับมาที่เรื่องเสียงดิจิตอลนะครับ เทคโนโลยี่ทางดิจิตอลเขาสามารถใช้เลขฐานสอง 010101 มาสร้างชุดข้อมูลเลียนแบบคลื่นเสียงได้ (A/D converter) เมื่อกลายเป็นเลขฐานสองแล้ว การประมวลผลทางเสียงก็เปลี่ยนโฉมหน้า การมิกซ์เสียง และสร้างเอ็ฟเฟ่กต์ต่าง ๆ สะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าข้อมูลเสียงดิจิตอลนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่(reconstruction)ทั้งหมด ไม่ใช่เสียงจริงจากการบันทึกแบบอนาล็อกอีกต่อไป ดังนั้นหากจะพูดแบบสุดโต่งสามารถพูดได้ว่าระบบเสียงแบบดิจิตอลจะอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้ดีเท่าต้นฉบับอานาล็อก ซึ่งมันก็จริงครับ


มีคำถามทางคณิตศาสตร์ว่า กบตัวหนึ่งยืนอยู่ห่างจากตู้ไปรษณีย์ 10 เมตร มันสามารถกระโดดได้ครั้งละครึ่งหนึ่งของระยะห่าง มันจะต้องกระโดดกี่ครั้งจึงจะไปถึงตู้ไปรษณีย์ได้ คำตอบทางคณิตศาสตร์คือไม่มีวันถึง เพราะไม่ว่าจะกระโดดกี่ครั้งมันก็ยังคงห่างเป้าหมายอยู่ครึ่งระยะทางเสมอ

โลกของเลขฐานสองอย่างดิจิตอล จึงไม่มีทางจะจำลองสิ่งใดได้เหมือนอย่างสัมบูรณ์

แต่
โลกของอนาล็อกไม่ใช่ว่าจะดีไปซะทุกอย่าง ปัญหาสำคัญมากของระบบอนาล็อกคือ การทำสำเนาจะลดทอนคุณภาพลง ถ้ามีการทำซ้ำเมื่อไร สำเนาที่ได้จะมีความผิดเพี้ยนจากต้นฉบับเสมอ ยิ่งสำเนาหลายต่อ ยิ่งเพี้ยนมาก นี่คือเหตุผลที่แผ่นเสียงรุ่นเก่า ๆ ที่เป็น First Pressing คือปั้มจากต้นฉบับแรก จึงเสียงดีกว่าและราคาก็แพงกว่าด้วย

การทำสำเนาในโลกของดิจิตอลตรงกันข้ามเลยครับ เพราะสามารถเอาต้นฉบับดิจิตอลไปทำสำเนาซ้ำได้เหมือนต้นฉบับ ๑๐๐% จะก็อปกี่ครั้งก็ไม่มีเพี้ยน ธรรมชาติของระบบดิจิตอลจึงกลายเป็นข้อเด่นเหนือระบบอนาล็อกแบบไม่เห็นฝุ่น เมื่อมีการทำสำเนาจำนวนมาก ๆ เพื่อการค้า เช่น สามารถส่งต้นฉบับดิจิตอลไปปั้มแผ่นซีดีขายที่ไหนก็ได้ เป็นต้น

Digital (adj)แปลตามคำได้ว่า &dquot;ซึ่งรับส่งข้อมูลด้วยการใช้ตัวเลข&dquot;

ความคิดเห็นที่ : 3

unclepiak

09/09/2008 06:18:59

อัพเกรด DAC แล้วเสียงดีขึ้นจริงหรือ?
====================

ข้อมูลดิจิตอลที่อยู่บนสื่อต่าง ๆ เช่นในแผ่นซีดีเพลง ก่อนจะฟังเป็นเพลงได้ จะต้องผ่านขั้นตอนแปลงกลับเป็นอนาล็อกเสียก่อน หูมนุษย์เป็นระบบอนาล็อกครับ เราฟังข้อมูลดิจิตอลตรง ๆ ไม่ได้

ภาค DAC ในชุดเครื่องเสียงซึ่งทำหน้าที่นี้จึงมีความสำคัญ จะพูดว่ามันเป็นหัวใจของภาคเล่นกลับของดิจิตอลซอร์สเลยก็ว่าได้ เพราะสัญญานเสียงขาออกจากภาค D/A จะถูกส่งต่อไปยังภาคขยาย ถ้าภาคขยายได้สัญญานเสียงดี มันก็ขยายสิ่งที่ดีออกลำโพง ในทางกลับกันถ้าแด่กให้สัญญานที่ผิดเพี้ยนแม้เพียงเล็กน้อย ภาคขยายก็จะขยายความผิดเพี้ยนนั้นให้ใหญ่ขึ้น

สรุปเป็นประโยคเท่ ๆ ได้ว่า การอัพเกรด D/A ให้เป็นเทพ จะส่งผลให้ภาคขยายเปล่งเสียงมหาเทพไปยังลำโพง (เวอร์ไปไหมเนี่ย..)

การพิจารณาว่าควรอัพเกรดแด่กหรือไม่ ผมมองว่ามีอยู่ ๒ ประเด็น

ประเด็นแรก ขึ้นอยู่กับเกรดของอุปกรณ์ ชิปมันมีหลายเกรด ของที่ติดมาแบบสแตนดาร์ด มันดีอยู่แล้วหรือ ถ้าดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปแตะมัน

ประเด็นที่สอง ขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรม เปรียบเหมือนการอัพเกรดซีพียูตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ ทุกวันนี้เราคงอยากได้ซีพียู Pentium Core 2 Duo มากกว่า Intel 80286 ถึงแม้ว่าในปี 1988 อันเป็นยุคสมัยของพีซีจอเขียวนั้น ซีพียู Intel 80286 เคยได้รับการยกย่องว่าประมวลผลเร็วดั่งเฟอรารี่ก็ตาม

เครื่องเล่นซีดีระดับไฮเอ็นด์ราคาแพงเมื่อสิบห้าปีก่อน อาจจำเป็นต้องพิจารณาประเด็นสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้น เพราะเป็นไปได้ว่าเครื่องไฮเอ็นด์ยุคโน้น อาจจะร้องเพลงได้ดีพอ ๆ กับเครื่องระดับ Budget ใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบันก็เป็นได้
 การอัพเกรด DAC ให้เครื่องไฮเอ็นด์โบราณ จึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

-------
จากประสบการณ์ตัวเอง ผมใช้โน้ตบุ๊คเป็นต้นทางเล่นเพลง สุ้มเสียงแต่เดิมก็ค่อนข้างพอใจ มันฟังดีใช้ได้เลยล่ะ พอเอา DAC เข้ามาในชุด เสียงที่ได้ทำเอาฉงนเลย มันดีขึ้นมากในทุกด้าน มันทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมจึงไม่เคยรู้สึกว่าชุดเดิมเสียงมันหม่น จนได้ฟังเสียงที่ดีกว่านั่นแหละ พูดได้ว่า DAC ช่วยอัพเกรดระบบของผมขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเลยครับ

ขอตั้งข้อสังเกตว่า ระบบเสียงที่ดีกว่าจะฟังเพลงได้อย่างผ่อนคลายกว่า ผมว่าสมองคนเราเนี่ยเก่งมาก เวลาเราคุ้นกับชุดของเราแล้ว แม้เสียงเพลงจะหม่นมัวไปบ้าง(แม้ว่าเราจะฟังรู้หรือไม่ก็ตาม) สมองเราจะสามารถช่วยปรุงเสียงให้ไพเราะได้เสมอ แต่พอฟังติดต่อกันนานสักหน่อย สมองจะเกิดการล้า ต้องเลิกฟังในที่สุด

ข้อสังเกตุนี้ ช่วยให้เรารู้ได้เองว่าชุดของเรามีคุณภาพระดับใด แม้เราจะไม่ใช่พวกหูทองคำ ก็สามารถประเมินคุณภาพเสียงที่ได้ยิน ด้วยการจับสังเกตความรู้สึกผ่อนคลายจากการฟังนี่แหละครับ ชุดไหนฟังแล้วเครียด ต้องหนีไปให้ไกล ๆ เลย

ความคิดเห็นที่ : 4

unclepiak

09/09/2008 06:27:14

จะเลือก DAC อย่างไรดี
=============

DAC ที่เล่นกันอยู่นั้นมีอยู่สองกลุ่มครับ คือ ประเภท Non-Oversampling (NOS DAC) ซึ่งเหมาะกับกลุ่ม Purist ที่ไม่ยอมแตะต้องปรุงแต่งสัญญานต้นทาง กับ ประเภท Over Sampling (OS DAC) เหมาะกับผู้ที่ยอมรับในมนต์ดิจิตอลยอมให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น


ในกลุ่ม Purist จะเล่นมุ่งไปที่ NOS DAC แบบต่อขนานกันหลายตัว เพื่อลดความเพี้ยนให้ต่ำลงและเพิ่มไดนามิกเรนจ์ให้สูงขึ้น ส่วนกลุ่มหลังจะเน้นที่การลด Jitter โดยฟิลเตอร์ Interpolation แบบต่าง ๆ ในกระบวนการ Upsampling/Oversampling ซึ่งเน้นการปรับปรุงข้อมูลดิจิตอลให้ดีขึ้นจากต้นฉบับเดิม

ผมมีความอนุรักษ์นิยมในตัวน้อย จึงสนใจกลุ่ม OS DAC 24bits ที่ใช้เทคโนโลยี่ใหม่ ๆ มากกว่าครับ เหตุผลก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากการเลือกกล้องดิจิตอล ถ้าเป็นได้ก็ขอเลือกรุ่นใหม่ ที่ความละเอียดหลาย ๆ ล้านพิกเซลไว้ก่อน อีกอย่างผมเป็นโปรแกรมเมอร์ จึงมีความเชื่อว่าฟิลเตอร์ประเภท Interpolation สามารถวิเคราะห์เพื่อคาดเดาจุดที่ขาดหายไปของต้นฉบับได้อย่างมีเหตุมีผล

หากสนใจเรื่องการอัพแซมปลิ้ง ผมได้เขียนเป็นบทความแยกไว้ต่างหาก ตอนแรกก็เขียนรวมไว้ในบทความนี้แหละ เขียนไปเขียนมาชักจะยาวเกินไปเลยขออนุญาตยกออกไปต่างหากดีกว่า

ขอตัดความพูดถึงเฉพาะ DAC 24bits นะครับ สิ่งที่ควรสนใจในการเลือกซื้อ DAC มีอยู่ ๓ ส่วน คือ

ส่วนที่ ๑. ชิปที่ทำหน้าที่รับสัญญาน เรียกว่า Receiver Section ตรงนี้จะกำหนดประเภทของดิจิตอลอินพุต โดยทั่วไปมีให้เลือกใช้อยู่ ๓ ช่องทางคือ
- แบบโคแอ็คเชียล (Coaxial) รับสัญญานดิจิตอลได้สูงสุด 192,000Hz
- แบบออฟติคอล (Optical / Toslink) รับสัญญานดิจิตอลได้สูงสุด 96,000Hz.
- และแบบยูเอสบี (USB) / Firewire รับสัญญานดิจิตอลได้สูงสุด 48,000Hz., 96,000Hz ตามลำดับ ในอนาคตน่าจะมีการพัฒนา receiver chip รุ่นใหม่ที่รับสัญญานผ่านยูเอสบีได้เร็วกว่านี้ครับ



DAC ไฮเทคบาง
เครื่องจะระบุสเป็คว่า มีชิปสำหรับ oversampling ข้อมูลจาก receiver chip ก่อนจะส่งไปยังชิป dac แทรกอยู่ด้วย เช่นรับสัญญาน 44,100Hz มาจากภาค Receiver แล้วทำอึ๋มเป็น 192,000 หรือเพื่อให้เลือกได้ 2x,4x,8x ก่อนส่งข้อมูลให้ชิป dac

ส่วนที่ ๒. ตัวชิป DAC เอง ถ้าสเป็คออกมาว่า 24bit/192,000Hz ก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกันหมด ชิป dac ยุคใหม่ ๆ เดี๋ยวนี้จะฟิลเตอร์ upsampling/oversampling อยู่ภายในเลย จึงไม่จำเป็นต้องมีชิปทำอึ๋มแยกต่างหาก รับสัญญานเข้าไปเลี้ยงต้อยภายในชิปได้เองเลย ชิปแด่กจะมีบุคลิกเสียงแตกต่างไปเฉพาะตัวครับ จะเลือกตัวไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ต้องไปลองฟังด้วยหูของตนเองเป็นดีสุด

ส่วนที่ ๓ บัฟเฟอร์ขาออก เป็นส่วนที่ผู้ออกแบบวงจรใช้ปรุงบุคลิกเสียงครับ ส่วนใหญ่จะใช้ opamp ดังนั้น DAC ต่างรุ่นกัน แม้จะใช้ชิปเบอร์เดียวกันแต่บุคลิกเสียงจะต่างกันไปได้ก็ตรงภาคบัฟเฟอร์นี่แหละ DAC บางตัวออกแบบบัฟเฟอร์ทั้งหมดเองไม่เหลียวแล opamp เลยก็มี ต้องลองไปฟังอีกนะแหละ

จะเห็นว่า ถ้าจะซื้อ DAC เพื่อนำไปใช้กับเครื่องเล่นซีดี จะเลือกใช้ Receiver Section แบบไหนก็ใช้ได้หมดครับ เพราะซีดีมีฟอร์แมตแค่ 16bits/44,000Hz. หยิบอันไหนก็ไม่มีพลาด แต่ถ้ามีแผนจะเล่นเพลงดิจิตอลความหนาแน่นสูง เช่น SACD HDCD หรือ DVD-Audio ก็ต้องเลือกช่องทางเข้าให้เหมาะสม ยูเอสบีดูจะมีข้อจำกัดมากกว่าช่องทางอินพุตอื่นเขาหมด แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวหากจะเล่นกับโน้ตบุ๊คที่ไม่มี digital out สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อ DAC ก็มีเพียงแค่นี้ครับ


ลิงก์รวมแด่กใน Head-fi.org ครับ : http://www.head-fi.org/forums/f46/all-dacs-money-can-buy-pt-2-a-325941/


 

ความคิดเห็นที่ : 5

ชิม

09/09/2008 08:09:45



ยอดเยี่มครับ.............. 

ความคิดเห็นที่ : 6

unclepiak

09/09/2008 08:20:16

ขอบคุณคุณชิมครับ ผมกลับมาอ่านทวนแล้วทะแม่ง ๆ ผมตั้งชื่อว่า ตั้งวงชวนคุย.. แต่ไม่ได้เปิดช่องให้แลกเปลี่ยนกันเลย *: p เอาแต่พ่นอยู่ข้างเดียว นอกเรื่องซะเยอะด้วยอีกต่างหาก ก็ขอเชิญชวนครับ


สำหรับผู้รู้ที่ผ่านมาอ่าน หากจะช่วยเติมสิ่งที่ผมพูดไว้ไม่ชัดเจนขึ้น ก็จะขอบคุณมาก หรือน้อง ๆ ที่อ่านแล้วเกิดคำถามในใจ ลองถามเข้ามาครับ ถ้าผมพอจะรู้คำตอบ ยินดีจะตอบ หรือจะไปหาคำตอบมาให้ครับ


 

ความคิดเห็นที่ : 7

odturbo

09/09/2008 08:26:16

ขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ : 8

SummerSun

09/09/2008 08:34:33
unclepiak มาแว้ว
ความคิดเห็นที่ : 9

the แพะ

09/09/2008 09:15:35



รอให้ unclepiak เขียนให้จบก่อนครับ อิอิ รอชม

ความคิดเห็นที่ : 10

ชิม

09/09/2008 09:41:07



ถ้ามีเพิ่มก็น่าจะเป็นที่ cd ครับ ขออนุญาตนะครับ.....



ถ้าพูดถึง cd มันก็มีแผ่น first เหมือนกันครับ ถึงแม้จะเป็น ในรูปแบบ digital ก็ตาม.... (จริงๆไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน)


ถ้าได้ลองสังเกตินะครับว่าแผ่นที่ได้ทำมาครั้งแรก และแผ่นที่ re-product ซึ่งทั้ง first และ re-product ได้ทำออกมาจากที่เดียวกันและ master เดียวกัน ต่างกันที่เวลาในการพิมพ์ เสียงยังต่างกันแบบพอสังเกติได้ครับ....



Ex. หาแผ่นที่ชอบๆมาซักแผ่นนะครับ rib ลงคอม แบบที่ดีที่สุดที่ทำได้ แล้ว burn แผ่นใหม่ทันที เป็นแผ่นที่ 1 ครับ รออีก 3 หรือ 6 เดือน ก็ลอง burn อีกแผ่นที่ 2 แล้วลองเอามาฟังเทียบกันดูครับ...........
เท่าที่ได้เคยลองทำดู เสียงจาก แผ่นที่ 1 จะสดและกระชับกว่าแผ่นที่ 2 ครับ ถ้าถามว่าเพราะอะไร อันนี้ไม่รู้จริงๆครับ



ดังนั้น เราจะพอมีเห็นแผ่น cd ที่เป็นแผ่น first มาขายในราคาที่แพงกว่าแผ่นใหม่ที่ได้ทำ re-product ครับ.........
ส่วนในเรื่อง 1 บิต หรือ 24 บิต อันนี้เท่าที่ได้ลอง โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบ 1 บิต มากกว่ามากครับ ความต่างที่เห็นได้ชัดคือ บิต ยิ่งสูงเสียงยิ่งชัด คม และ กระด้าง ในขณะที่ 1 บิต เสียงจะเนียน นุ่ม และ ต่อเนื่องกว่า ซึ่งนั่นก็ขึ้นกับความชอบของในแต่ละคนไป ถ้าจะให้เทียบก็คงจะเทียบได้กับ Single ended กับ push/pull ได้มั้งครับ.....

ก็คงมีเพิ่มเติม จากความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเท่านี้ ครับ......... 

ความคิดเห็นที่ : 11

นายมั่นคง

09/09/2008 09:54:38



โย่วววว...เข้ามาทักก่อนครับ เฮียเปี๊ยก เดี๋ยวจะอ่านอีกทีนึง 555

ขอบคุณสำหรับข้อมูลและบทความครับ ผมทำแบนเนอร์แปะไว้ข้างฝาให้แล้วเด้อ.........555
ความคิดเห็นที่ : 12

pinkun

09/09/2008 11:24:10

ตามมาอ่านติดๆ มีประโยชน์มากครับลุงเปี๊ยก

ความคิดเห็นที่ : 13

chimrexx

09/09/2008 11:31:08
88888 ให้กำลังใจคับ กับบทความดีๆ

เพิ่มเติมนิดๆ ครับ สำหรับคนที่มี dac ที่มี ช่อง AES/EBU

อย่าฝืนเอาไปเสียบ ช่อง SPDIF หรือ ช่อง coax. นะครับ

พังนะจ้ะ
ความคิดเห็นที่ : 14

rurika

09/09/2008 13:00:28
แจ่มมากครับ

^_^
ความคิดเห็นที่ : 15

shenghou

09/09/2008 14:05:29

อยากอ่านต่อใจจะขาด อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 16

เบียส

09/09/2008 15:04:35



ขอบคุณ ครับ ลุงเปี๊ยก รออ่านด้วยคนคร๊าบ...บบ......อิ อิ อิ

ความคิดเห็นที่ : 17

Mz5

09/09/2008 16:07:56
เจ๋งครับ
เสริมนิดนึง อย่าซื้อ dac เย๊อะครับ เดี๋ยวจะไม่มีจะ dac ครับเหมือนผม :-)
ความคิดเห็นที่ : 18

Collagen

09/09/2008 19:37:27

ขอบคุณมากครับ คุณลุงเปี๊ยก....

ความคิดเห็นที่ : 19

unclepiak

09/09/2008 19:54:09

แฮ่ ๆ
เรื่องก๊อปซีดีแล้วได้ไม่เท่าเก่าเนี่ย ผมคิดตามไม่ทันจริง ๆ
เพราะโดยทฤษฏีแล้ว ข้อมูลดิจิตอลมันรับส่ง &dquot;ค่า&dquot; ของข้อมูลเป็นตัวเลขครับ
ไม่ได้รับส่งข้อมูลเป็นเนื้อหนังจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมลายมือห่วยมาก
ใช้ดินสอเขียนเลข 5 ตัวโย้เย้ลงบนกระดาษห่อซาลาเปา
อีกคนสมมุติว่าเฮียมั่นฯก็แล้วกัน เฮียเค้าลายมือสวย
เขียนด้วยปากกามองต์บลังก์ด้ามละสองหมื่นห้า เขียนเลข 5
เหมือนกันลงบนกระดาษดี ๆ พอส่งทั้งสองให้คุณชิมอ่าน
ยังไงก็ต้องอ่านได้ห้าเหมือนกันครับ เพราะที่อ่านได้คือค่าของตัวเลข
ไม่ใช่หมึก หรือผงกราไฟต์ของดินสอ


ที
นี้ผมไม่ใช่ไม่เชื่อการทดลอง เขียนซีดีแผ่นแรก แล้วทิ้งช่วงหกเดือน
เขียนแผ่นสองแล้วเสียงต่างกันนะครับ เอาเข้าจริงอะไรมันก็เป็นไปได้
อาจเป็นที่หัวอ่านมันถูกใช้งานตลอดหกเดือน มันอาจจะเคลื่อนไปจากเดิม
ลืมทำคาริเบทก่อนเขียน หรือตัวแปรอื่นใดที่อาจเป็นไปได้อีกเยอะเลย
อาจจะเอาอุณหภูิมิห้องเป็นจำเลยบ้างก็ได้ครับ เฮียมั่นฯเคยเล่าให้ฟังว่า
นักเล่นระดับถึงกึ๋นเคยคุยกันถึงกับว่า ใช้นิ้วกลางกดปุ่ม Play
จะเสียงดีกว่านิ้วอื่นก็ยังมีพูดกัน ไม่รู้โม้หรือเปล่า 5555


ถือ
ว่าคุยแลกเปลี่ยนกันนะครับ สนุกดี ผมนับถือคนที่ได้ทดลองแง่มุมต่าง ๆ
ด้วยตนเองทุกคนครับ
ด้วยจินตนาการไม่น่าเชื่อจึงทำให้โลกนี้เจริญขึ้นอย่างทุกวันนี้
เมื่อห้าร้อยปีก่อนใครจะเชื่อว่ามนุษย์ยุคนี้จะเรียกไฟได้ในพริบตา.. เอ่อ
ขอยืมไฟแช็คหน่อยครับ จะสาธิตให้ดู อิอิ...

ความคิดเห็นที่ : 20

นายมั่นคง

09/09/2008 20:38:28



555

เราตั้งวงก๊งเหล้า เอ๊ย...ตั้งวงคุย และถกกันถึงเรื่องที่เราสงสัย ไม่ว่าจะสงสัยในแง่ที่เรารู้จริงๆ หรือรู้มั่ง ก็ถือว่าได้อรรถรสทั้งนั้นล่ะครับ

ผมไปอ่านเจอนักเล่นหูทองในบอร์ดประเทศไทยเรานี่ล่ะ

กำลังถกเรื่องว่า กดปุ่มเพลย์บน ซีดีเพลยเยอร์ ด้วยนิ้วโป้ง กับ นิ้วก้อย เสียงที่ออกทางลำโพงจะต่างกัน ยิ่งถ้าเราปลายมีดคัทเตอร์จิ้มแทนปลายนิ้ว เสียงยิ่งดี.......


ผมยังสงสัยไม่หายว่า ถ้าดิจิตอลมันอ่านได้เหมือนกันหมดไม่ว่าจะอะไรก็ตาม แล้วการที่เราไรท์ข้อมูลดิจิตอลบนซีดีเปล่ายี่ห้อดีๆๆ กับยี่ห้อถูกๆๆ ทำไมเสียงมันต่างกัน ทั้งๆๆ ที่เปิดข้อมูลก็เจอเท่าๆๆกัน

555

วันก่อนยังถกกับเฮียเปี๊ยกอยู่เลยว่า ถ้าดิจิตอลมันคือ 01 01 ตลอด แบบนี้พวกสาย Coaxial หรือสาย optical ก็ไม่มีผล คือซื้ออะไรก็ได้ ไม่จำเป็ฯต้องใช้ของแพงๆๆ

หรือใครว่าไงจ๊ะ.........555
ความคิดเห็นที่ : 21

nopphong

09/09/2008 21:17:46

ตอบเฮียนะครับ


คือข้อมูลในแผ่นมันก็เหมือนกันแหละครับไม่ว่าแผ่นห่วยหรือแผ่นดี (ยกเว้นว่าแผ่นไม่ดีแล้วมันเขียนไม่ค่อยติด แต่โดยปรกติถ้าเขียนด้วยคอมมักจะมีการตรวจทานว่าเขียนลไปผ่านหรือไม่ก็เลยคิดไว้ก่อนว่าข้อมูลน่าจะลงไปได้ไม่มีปัญหา)


แต่อีตอนอ่านนี่สิครับ แผ่นไม่ดีมันอาจจะมีอัตตราการสะท้อนแสงที่ไม่ดี ทำให้การอ่านพลาดไปบางส่วนและไม่มีการตรวจทานข้อมูลอ่านแล้วอ่านเลย(เพราะเราอ่านมันแบบ CD audio) ทำให้ความผิดพลาดนี้ทำให้เสียงเพี้ยนไปได้ครับ ถ้าใช้เครื่องเล่นดีๆถึงแผ่นห่วยก็ยังคงอ่านได้อันนี้ความต่างระหว่างแผ่นดีกับไม่ดีก็จะลดลงไปบางส่วนครับ

ความคิดเห็นที่ : 22

ชิม

09/09/2008 21:27:14



เหอๆ อันนี้ก็ไม่รู้อะครับ ว่ามันต่างกันได้ไง คงจะอย่างที่ น้าว่ามั้งครับผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เหอๆ งง งง


แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีครับ ขอเป็นผู้ติดตามอ่านกระทู้ของน้าด้วยคนครับ.....


เฮีย ผมว่าผมเล่นของแล้วนะ นี่เจอ นิ้วกดปุ่มเพลย์ ต่างนิ้วกันเสียงต่างนี่เดี๋ยวคงต้องลองมั่ง เหอๆ...... 

ความคิดเห็นที่ : 23

Mz5

09/09/2008 23:01:39
โห คุยกันเรื่องเอานิ้วไหนกดเลยหลอครบ
แล้วทำไมไม่เอารีโมตกดอ่ะครับ
ความคิดเห็นที่ : 24

unclepiak

10/09/2008 06:09:49

ขออนุญาตแลกเปลี่ยนกันต่อครับ คุณชิมก็อย่าเพิ่งเปลี่ยนโหมดเป็น ROM (Read Only Memory) จิ คุยกันต่อ ๆ ที่ผมแจมไปใน #19 มันว่ากันในทฤษฏีงัยครับ ทฤษฏีมันไม่มีผิดพลาดเพราะมันเป็นโลกอุดมคติ แต่ในความเป็นจริงก็อย่างที่คุณ nopphong #21 แกว่าไว้ แม้การรับส่งสัญญานจะไม่ผิดเพี้ยน แต่การเขียนลงแผ่นซึ่งเป็นการเผาทางกายภาพ และการอ่านกลับซึ่งเป็นการอ่านแผ่นทางกายภาพ ย่อมมีโอกาสสร้างความผิดเพี้ยนได้บ้าง

เมื่อเบิร์นแผ่นเสร็จ จึงมีขั้นตอนให้เปรียบเทียบสำเนากับต้นฉบับเสมอ  มันเป็นขั้นตอนที่เสียเวลาและเรามักจะไม่ค่อยทำกัน(รวมทั้งผมด้วย แฮ่ๆ)

ทีนี้ สมมุติว่าเราคอมแพร์สำเนาจนชัวรแล้วว่า เบิร์นได้สมบูรณ์ พอเอาไปเล่นกลับ มันก็มีตัวแปรที่คุณภาพแผ่น และเครื่องอ่านอีก แผ่นซีดีคุณภาพไม่ดีมันเปลี่ยนแปลงสภาพตามระยะเวลาจริง ๆ ไอ้ที่โฆษณาว่าเก็บได้นาน เชื่อไม่ได้ครับ ผมเคยมีแผ่นเดอะบีทเติ้ลสุดรัก เก็บทับไว้อย่างดี ผ่านไปไม่กี่ปี หยิบออกมา ฟลอยมันติดสีลอกออกมาเป็นแผ่นเลย

สมมุติว่าแผ่นสำเนาคุณภาพดี เจอเครื่องเล่นที่หัวอ่านมันเสียศูนย์ การอ่านก็มีโอกาสเพี้ยนไปได้ สมมุติว่าเราคาริเบทหัวอ่านก่อน ก็ยังอาจเจอปัญหาด้านเวลา เพราะการเล่นเพลงมันไม่มีการหยุดรอข้อมูล

แต่เครื่องเล่นที่ออกแบบมาดี ก็จะแก้ปัญหาเรื่องเวลาไม่ทันกันได้อีกด้วยบัฟเฟอร์ที่ฉลาด ระบบเสียงดิจิตอลที่ดีจึงต้องมีบัฟเฟอร์ระหว่างการรับส่งข้อมูลเสมอ ข้อมูลดิจิตอลจะรับส่งเป็น packet ที่รวม header+body ในส่วนหัวจะบอกว่าบอดี้มันคืออะไร เพื่อให้ฝ่ายรับสามารถตรวจเช็คความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลได้ ถ้าข้อมูล header เสียหายมันจะโยนทิ้ง แล้วขอให้ส่งมาใหม่ ถ้าข้อมูลใน body ไม่ตรงกับที่แถลงใน header มันก็จะโยนทิ้งแล้วขอให้ส่งมาใหม่

สรุปได้ว่า การทำสำเนาหลัง ๆ มาเปิดฟังแล้วไม่เท่าเก่า เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เป็นความเพี้ยนจากปัจจัยภายนอกที่ป้องกันได้ครับ

---------------

แจมของเฮียมั่นฯ #20 เกี่ยวกับคุณภาพดีเลวของสายโคแอ็กเชียล มีหรือไม่มีผลกับการรับส่งสัญญานดิจิตอล ใช้เหตุผลในการถกประเด็นคล้ายกันครับ

ตามทฤษฏีมันจะรับส่งได้ดีเท่ากัน แต่ในความเป็นจริง สายเลว ๆ มันปกป้องข้อมูลระหว่างสายไม่ได้ อันนี้เจอกับตัวเองเลย ใช้สายห่วย ๆ สัญญานรบกวนมันแทรกเข้ามาได้ ปลายทางจึงรับข้อมูลดิจิตอลที่ถูกต้องบวกกับขยะที่ถูกหนีบติดเข้ามาด้วย

จะอย่างไรก็เถอะ สายโคแอ็กฯดี ๆ เส้นละพันบาท ก็ส่งข้อมูลดิจิตอลไปปลายทางได้ ๑๐๐% แล้ว ลองเทียบกับสายอินเตอร์คอนเน็คชั่นแบบอนาล็อกจิ บางเส้นราคาปาเข้าไปห้าหมื่นบาท ยังส่งข้อมูลไปปลายทางได้แค่ ๙๙.๙๙๙๙๙๙% เอง.. อิอิ

========================

หากจะให้สรุปประเด็นนี้ ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า ระบบดิจิตอล จะรับส่งข้อมูลถูกต้อง ๑๐๐% ได้ภายใต้ต้นทุน medium และสภาพแวดล้อมที่ราคาต่ำกว่าระบบอนาล็อกครับ

ความคิดเห็นที่ : 25

ชิม

10/09/2008 08:05:12



จริงครับคุณอา ในทางทฤษฏีมันน่าจะเป็นอย่างที่อาพูดจริงๆ ผมก็ได้ลองทำดูตามที่เคยรู้ว่ามันน่าจะเหมือนกันแต่ผลมันไม่เหมือน ซึ่งก็ได้ตีความกันต่างๆนาๆ อธิบายได้แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง เหอๆ เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันผมจะเล่าให้อาฟังดีกว่า มันมีหลายความเห็นซึ่งตอนนี้ก็ยังสลุบกันไม่ได้อะครับ ถ้าฟังแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากก็ผากอาเล่าด้วยละกันครับ เพราะผมเล่าไม่เป็นจริงๆ (ไม่ได้กวนนะครับ ไม่เป็นจริงๆ) …........
ไม่ทราบว่า คุณอาจะเข้าไปร้านเฮียอีกทีเมื่อไรครับ??? ปรกติผมจะไปวันอาทิตย์ หลังเที่ยงถึง ทุ่มนึง ถ้ามีโอกาส คงได้คุยกันครับ........

ความคิดเห็นที่ : 26

acer ercey

10/09/2008 08:24:11
ผมก็สงสัยมานานแล้วครับ ไอ้ประเด็นเอานิ้วโป้ง นิ้วก้อย เปลี่ยนถ่านรีโมท หรือถอดถ่านรีโมทออกเนี่ย มันจะอภินิหารเกินไปแล้ว


ยังไม่พอ ยังมีเอาสายไฟเปล่าๆ ที่ไม่ได้ต่อกับอะไรเลย ไปเสียบกับปลั๊กผนังที่ไม่เกี่ยวอะไรกับชุดเครื่องเสียง... แล้วเสียงเปลี่ยน

บ้าไปกว่านั้น ถ้าขดสายไฟที่ว่าเสียงก็จะอุ่นขึ้น ถ้าเหยียดสายให้ตรง.. เสียงก็จะแข็งขึ้น



ไม่เรียกสะกดจิตหมู่ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ความคิดเห็นที่ : 27

unclepiak

10/09/2008 09:12:01

#25 คุณชิม.. ผมอยู่บ้านนอกครับ นาน ๆ จึงจะเข้ากทม.สักที เอาไว้มีโอกาสเข้าเมือง อาจจะได้เสวนาตัวเป็น ๆ กันครับ อ้อ.. เรียกผมว่าคุณอา.. ทำเอาเขินครับ อิอิ ผมหยุดอายุไว้แค่ ๒๘ มายี่สิบปีแล้ว ยังไม่แก่ ๆ

#26 คุณacer ercey ครับ เรื่องที่ฟังดูไม่น่าเชื่อ รวมทั้งฟังดูเหมือนไม่มีเหตุผลเลย ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดนะครับ บางเรื่องอาจจะไร้สาระจริง แต่บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ปัจจุบันยังรู้ไม่พอ

ส่วน ตัวผมจึงรับฟังเรื่องเหลือเชื่อได้เป็นปกติ บางอย่างมันรู้แต่แรกไม่ได้ครับ อย่างวิชาพีชคณิตที่เรียน ๆ กันตอนมัธยม เราไม่รู้ค่าของ x แต่ต้องยอมให้มีค่า x ไว้ก่อน เพื่อว่าเมื่อนำไปเข้าสมการแล้ว คำตอบของค่า x จึงออกมาได้ภายหลัง

ความรู้ทางวิทยาศาสาตร์ของมนุษย์ยังมีขอบเขตอยู่ครับ ลองไต่ขอบความรู้ดูจะพบว่า มีความมืดกว้างใหญ่ภายนอกให้เรียนรู้กันได้อีกแยะเลย


 

ความคิดเห็นที่ : 28

นายมั่นคง

10/09/2008 09:46:06



เล่าและคุยเรื่องไสยศาสตร์ก่อน.......

ไอ้เรื่องใช้นิ้วจิ้มนี่ ผมอ่านเค้ามาอีกที แต่ผมก็เชื่อว่าท่านที่ทดลองทำ แล้วมาบอก คงจะรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง หรือไม่งั้นก็คงต้องโม้ยกเมฆทั้งดุ้น 555

แต่เรื่องพวกนี้ นักเล่นระดับปรมาจารย์เค้าทดลองกันมาพอควร อย่างเช่นสายไฟขดๆๆ กับเหยียดให้ตรง ผมว่าอันนี้เป็นวิทยาศาสตร์ล่ะ หรืออย่างการจับสายไม่ให้แตะถูกกัน เพื่อสัยญาณที่ดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องจริงๆๆๆ

ลองง่ายๆๆ เอาสายอากาศที่เข้าโทรทัศน์ ลองเอามันรวบเข้ากับสายไฟ ภาพจะมีคลื่นแทรกทันที พูดง่ายๆๆ มีสัยญาณกวนให้เห็นแน่ๆๆ ครับ ส่วนเรื่องกดปุ่มด้วยนิ้วไหนแล้วเสียงมันดีต่างกันๆๆ บอกตามตรง ผมยังเข้าไม่ถึงจรงิๆๆๆๆ 555

ส่วนเรื่องอื่นๆๆ ต้องพิจารณาเป็นอย่างๆๆ ไป บางอันผมก็เชื่อว่าเป็นอุปทานหมู่เหมือนกัน แต่บางอันผมว่ามันมีเหตุผลรองรับอยู่พอควร.....

555


มาต่อเรื่อง DAC ต่อครับ ความจริงอุปกรณือย่าง DAC ถ้าในโลกเครื่องเสียงบ้าน มันมีมานานเป็นสิบๆๆปีแล้วล่ะครับ แต่พอมาในโลกของหูฟัง อันนี้เป็นของที่มาใหม่ ถึงจะไม่ใหม่ซิงๆๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการแตกแขนงออกมาใหม่ล่ะ.........

และ DAC เป็นอะไรที่ต้องศึกษาเพื่อต่อยอดออกไปอีกแน่ๆๆ ละ

555
ความคิดเห็นที่ : 29

nopphong

10/09/2008 10:00:27

เฮียมาดึงกลับเข้าเรื่องแล้ว กลับมากันเร้ว..อย่าเพิ่งไปคุยเรื่องอภินิหาร เรื่องพวกนี้มันก็เหมือนผี ใครยังไม่เคนโดนผีหลอกให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อ แต่คนที่โดนมาแล้วก็เชื่อสนิทใจครับ


 


ว่าเรื่อง dac ผมเคยทำเล่นอยู่ตัวนึงใช้ pcm2902ปรากฎว่าเมื่อเทียบจากการฟังจาก ipod เสียงมันดีขึ้นจริงครับ และเมื่อเทียบกับฟังจากซาวการ์ดออนบอร์ดก็ดีขึ้นจริง แต่พอฟังเทียบกับซาวการ์ดดีๆ ที่ราคาสัก 2-3000 มันกลับสู้ไม่ได้ครับ ทีนี้ถ้าจะให้สู้ซาวการ์ดพวกนั้นได้ก็ต้องลงทุนทำวงจรจนราคามันเกิน 2-3000 ที่ว่า ผมเลยมองว่า DAC กับซาวการ์ดดีๆ ผมว่าซาวการ์ดคุ้มกว่านะครับ


แต่ถ้าจะเล่น dac ก็ให้เล่นตัวแพงๆไปเลยเพราะมันจะเลยจากคุณภาพของซาวการ์ดขึ้นไปได้ครับ

ความคิดเห็นที่ : 30

gokorat

10/09/2008 10:31:11

ขอบังอาจออกความเห็นครับ


สม
มุตว่าคุณมีข้อมูลดิจิตอลชนิด 1 บิต จำนวน 10 ชุด
แปลว่าแต่ละชุดจะมีค่าแตกต่างกันได้แค่สองสถานะหรือสองค่า คือ 0 กับ 1
ผลรวมคือคุณจะมีค่าที่แตกต่างกันได้ 10x2 = 20
ค่าที่สามารถนำไปประมวลผลได้ ข้อมูลชนิด 1 บิตจึงนำไปใช้ได้อย่างจำกัด
เพราะจำนวนค่าของข้อมูลมันน้อยมากนั่นเอง


 


จริงๆต้อง


2 ยกกำลัง 10 ครับ


เริ่มจาก


0000000000


0000000001


1 หลัก > 2 ยกกำลัง 1 มี 2 ค่า


0000000010


0000000011


2 หลัก > 2 ยกกำลัง 2 มี 4 ค่า


.


.


.


1111111111


10 หลัก > 2 ยกกำลัง 10 มี 1024 ค่า

ความคิดเห็นที่ : 31

unclepiak

10/09/2008 12:03:21

#30 คุณgokorat แย้งมาแล้วจิ ผมหมายถึงข้อมูลชนิด 1 บิต จำนวน 10 ชุด คือ ชุดที่ ๑ มี ๒ ค่า คือ 0 กับ 1, ชุดที่ ๒ ก็มี ๒ ค่า คือ 0 กับ 1 รวมทั้งหมดสิบชุดจึงมี ๒๐ ค่าครับ


ตามที่คุณยกตัวอย่างมานั้น เป็นข้อมูลชนิด 10 บิต กลับมาคุยเรื่อง DAC ดีกว่าครับ สนุกกว่า


 

ความคิดเห็นที่ : 32

Bob

10/09/2008 12:33:00

เอ่อ.. เฮียครับ ผมกดอ่านหน้า 2 ไม่ได้อ่ะ


ทำไงดีครับ

ความคิดเห็นที่ : 33

gokorat

10/09/2008 12:55:22

อ่อ ผมเข้าใจผิดไป ยอมรับไว้คนเดียวครับ

ความคิดเห็นที่ : 34

nopphong

10/09/2008 17:29:42

เฮียครับ แบนเน่อร์ด้านข้างมีรูปขวดน้ำชาและยาสูบครับ ยังไม่อยากเอาโอเลี้ยงไปเยี่ยมเฮียนะครับ


อย่างน้อยถ้าจะใช้รูปเดิมก็เซ้นเซอร์เสียหน่อยพอเป็นพิธีครับ อิอิ

ความคิดเห็นที่ : 35

Collagen

10/09/2008 20:28:54
แจมสักนิด...

เรื่องของสายขดๆ กับสายที่เหยียดให้ตรงๆ หรือไม่กองๆ รวมกัน ในทางทฤษฎีก็อาจจะเป็นไปได้ครับ ที่จะมีผลต่อเรื่องของคุณภาพเสียง...

ทีนี้มาดูว่าอะไรทำให้เสียง (สัญญาณ) มันเปลี่ยน...
ต้องทำความเข้าใจถึงเรื่องของไฟฟ้าก่อนนะครับ คือสายสัญญาณ ก็คือสายไฟฟ้าประเภทหนึ่งที่ส่งสัญญาณไฟฟ้า จากตัวส่งไปยังตัวรับสัญญาณ...

เมื่อนำสายไฟฟ้ามาขดๆ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ทางแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าการเหนี่ยวนำ (Induction)
การเหนี่ยวนำก็คือการที่เกิดกระแสไฟฟ้าภายในตัวนำไฟฟ้าที่เกิดจากเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก

แล้วสายไฟขดๆ มันจะเกี่ยวอะไรกับสนามแม่เหล็ก?
การเกิดสนามแม่เหล็กนั้น เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำก็เกิดสนามแม่เหล็กเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเราไม่รู้สึกกันเท่านั้นเอง เนื่องจากมีปริมาณน้อย. มีฉนวนหุ้มหรือมีการสลับขั้วกระแสไฟฟ้าไปๆมาๆ ทำให้สภาพขั้วของสนามแม่เหล็กเปลี่ยนไปๆมาๆ จนไม่รู้สึก...

ถ้าหากว่าสนามแม่เหล็กมีปริมาณน้อย...ผลก็คือการเกิดกระแสเหนี่ยวนำก็น้อย แต่ถึงอย่างไรก็มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นเรียกว่ากระแสเหนี่ยวนำ (Induction Current)...

เมื่อมีกระแสเหนี่ยวนำเกิดขึ้นผลก็คือกระแสส่วนนี้ไปรบกวนกระแสไฟฟ้า (หรือสัญญาณไฟฟ้า) ที่ไหล (ส่ง) อยู่ในสายไฟฟ้า (สายสัญญาณ) ทำให้คุณภาพเสียงเปลี่ยนไปได้ครับ...แต่ผมไม่ค่อยจะรู้สึกสักเท่าใดครับ (หูยังไม่เทพ)
ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็สามารถใช้ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ครับผม

กระแสเหนี่ยวนำมีแต่ผลเสียหรือไม่?
กระแสเหนี่ยวนำไม่ได้มีแต่ข้อเสียที่ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน แต่การเหนี่ยวนำนี้ก่อให้เกิดอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆ อย่างครับ เช่น หม้อแปลง (Transformer) , เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกทั้งเรื่องของสายไฟขดๆ ก็พบในอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆ อย่างครับ โดยตัวขดๆ มีชื่อเรียกว่า &dquot;ขวดลวดเหนี่ยวนำ&dquot; ครับ ซึ่งมีผลต่อกระแสไฟฟ้าในหลายๆ รูปแบบ โดยเฉพาะในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative Current หรือ AC) เช่น ไฟฟ้าตามบ้าน ซึ่งส่งผลให้เฟสของกระแสและความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ไหลผ่านขวดลวดต่างกันครับ เพื่อให้อุปกรณ์ไฟฟ้านั้นๆ สามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้... (โม้เยอะเกิน)

หากท่านใดสนใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือฟิสิกส์ ม. ปลาย ในเรื่องของแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าต้องการมากขึ้นก็หนังสือฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัยครับ (เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกัน) จะมีสมการมากมายมาทำให้เท่านได้ฝึกสมองไปเรื่อยๆครับ ส่วนใน Internet ผมแนะนำ http://en.wikipedia.org/wiki/Electromagnetic_induction ครับ

ปล. เรื่องนี้ผมต้องยกประโยชน์ให้ทางท่านชิมครับ เนื่องจากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านชิมได้บอกผมว่า ถ้าสายขดๆ มันมีผลต่อคุณภาพเสียง และได้อ่านๆ จากที่คุณลุงเปี๊กและเฮียมั่นคงเพิ่มเติม ผมก็ศึกษาเพิ่มเติมนิดๆ (+มั่วหน่อยๆ) ก็สรุปได้ว่าปรากฏการณ์ที่ทำให้เสียง (สัญญาณ) เปลี่ยนน่าจะมาจากปรากฏการณ์การเหนี่ยวนำครับ...

ปล.2 หากผมผิดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และรบกวนช่วยชี้แนะข้าน้อยด้วยครับ...
ความคิดเห็นที่ : 36

นายมั่นคง

10/09/2008 21:02:09



โอวววว....ขอบคุณที่ทักท้วงเรื่องขวดน้ำชาและยาสูบครับ 555


เดี๋ยวจัดการให้เลยครับ.....ไม่ได้เจตนาจริงๆๆ ครับ เพียงแต่พยายามหาภาพที่มันให้อารมณ์เดียวกับชื่อกระทู้น่ะครับ 555


เดี่ยวตกแต่งใหม่ครับ.......เกือบซวยแล้วตู เกือบได้กินโอเลี้ยงของพี่ Nopphong ซะแล้ว 555
ความคิดเห็นที่ : 37

nopphong

10/09/2008 21:05:30

ผมว่าเข้าใจคำถามผิดครับ เพราะที่เขาถามไว้คือแบบนี้


***


ยังไม่พอ ยังมีเอาสายไฟเปล่าๆ ที่ไม่ได้ต่อกับอะไรเลย ไปเสียบกับปลั๊กผนังที่ไม่เกี่ยวอะไรกับชุดเครื่องเสียง... แล้วเสียงเปลี่ยน

บ้าไปกว่านั้น ถ้าขดสายไฟที่ว่าเสียงก็จะอุ่นขึ้น ถ้าเหยียดสายให้ตรง.. เสียงก็จะแข็งขึ้น


****


คือถ้าสายสัญญาณมันขดอันนี้ยอมรับได้ครับ


แต่ถ้าเอาสายอะไรไม่รู้เสียบปลั๊กไว้ลอยๆ แล้วพอมันขดหรือยืดแล้วเสียงเปลี่ยนนี่ผมก็ว่ามันเป็นการสะกดจิตหมู่เหมือนกันครับ อิอิ


 

ความคิดเห็นที่ : 38

นายมั่นคง

10/09/2008 21:10:12



555

เออใช่แฮะ 555 เอ้า ขออภัยตรงนี้เลยครับ บางทีตาหูมันผ้าฟาง อ่านแล้วไม่เข้าใจเองครับ.........หวังว่าไม่ว่าเฮียเด้อ.....

เรื่องเอาสายไฟจิ้มปลั๊กข้างๆๆ นั้น โอเคเลยครับ ผมว่าไม่รุ้จะนึกว่ามันจะช่วยได้ยังไง

แต่สารภาพตามตรง ผมเพิ่งซื้อไอ้ก้อนสี่เหลี่ยม AudioPrism QuiteLine มาใช้งานดูเล่นๆๆ เป็นลูกสี่เหลี่ยมเหมือนอแดปเตอร์นั่นแหละ เพียงแต่ไม่มีสาย และก็แค่เสียบเฉยๆๆ ตรงรูปลั๊กที่ว่างๆๆๆๆ

5555

ว่าจะไม่เชื่อเหมือนกัน แต่มีคนโทรมาแนะนำผม และหลังจากเสริชหาข้อมูล บ้าชะมัด มันดันทำได้ยังไงล่ะนั่น


พี่ nopphongลองไปเสิร์ชหาอ่านดูมั่งซิครับ แล้วดูซิว่าหลักการของมันเข้าข่ายไสยศาสตร์หรือเปล่า 555
ความคิดเห็นที่ : 39

nopphong

10/09/2008 22:59:37

AudioPrism QuiteLine พอดีผมหาหลักการมันไม่เจอ


แต่ถ้ามันเป็นก้อนอันนั้นผมว่าเป็นไปได้นะ คืออย่างในชุดกรองไฟพวก power bridge แบบนี้ก็จะมี C และตัวกันพวก spike ขนานกับสายอยู่ และมี L ไว้ช่วยกันอีกส่วนนึง ถ้าเราไม่คิดเรื่อง L แล้ว (พูดง่ายๆตัด L ออก) วงจรมันก็จะเหลือแต่เจ้าสองตัวที่ขนานกับสาย ทีนี้จะไปขนานกันในปลั๊กแบบตัว power btidge หรือจะทำเป็นก้อนออกมาเสียบปลั๊กไว้ข้างๆก็จะให้ผลใกล้เคียงกัน แต่จะมีข้อดีเรื่องความสะดวก และเรื่องความต่อเนื่องของกระแสไฟที่มันไม่ต้องวิ่งผ่านปลั๊กพ่วงหลายชั้น ไม่ต้องผ่านแผงวงจรอะไรเลย น่าจะแก้ปัญหาที่ใช้ตัวกรองไฟแล้วเสียงแห้งลงไปได้ เรียกว่าไฟก็วิ่งเข้าเครื่องไป พวกสัญญาณรบกวนก็จะมาไหลผ่านเจ้าตัวนี้หมดไปแทนน่ะครับ


ผมว่าไอเดียเขาดีเลยทีเดียว แต่ถ้าเทียบประสิทธิภาพการกันสัญญาณรบกวน(ไม่พูดเรื่องเสียงแห้ง) แบบปลั๊กกรองไฟจะกรองได้ดีกว่าแบบนี้เพราะมันมี L ช่วยอีกชั้นครับ

ความคิดเห็นที่ : 40

rurika

11/09/2008 01:27:20
... แบบนี้ต้อง จับทำ blind test แล้ว..

ว่าใช้ นิ้วอะไร กด .... ปุ่ม play ....

............

..แบบนี้ ใช้นิ้วชี้ ทำแอมป์ .. เสียงจะแย่กว่าใช้นิ้วก้อย ทำแอมป์ ด้วยไหม .. ถ้าแค่การกดยังมีผล ..

โอ .. ความลับของจักรวาล ...
ความคิดเห็นที่ : 41

unclepiak

11/09/2008 08:32:53

555 เรื่องกดปุ่มต่างนิ้วเสียงไม่เหมือนกันเนี่ย ขอโหวตว่าไร้สาระครับ

ความคิดเห็นที่ : 42

เปี๊ยก

16/09/2008 12:47:56

&dquot;หากคุณเป็นผู้เล่นเครื่องระดับไฮเอนด์ ผมคิดว่าประสบการณ์ที่กำลังจะเล่านี้ อาจจะทำให้คุณบ่นว่าเสียเวลาว่ะ&dquot;


....ไม่หรอกครับ จะไฮเอนด์ มิดเอนด์ หรือโลวเอนด์ ก็ตามที ก็ควรต้องมีความรู้ประดับสมองไว้มั่งจริงไม๊ครับ ถึงใครจะรวยแล้ว แต่ก็คงไม่อยากหลับหูหลับตาจ่ายตังคอย่างเดียว์แน่ๆ ขอขอบพระคุณเจ้าของกระทู้ (unclepiak) มากๆ เลยครับ เรื่องเทคนิคประดับสมองนี่ เผยแพร่เอาบุญเถิดครับ...ชอบๆๆๆๆ


 

ความคิดเห็นที่ : 43

xxx

16/10/2008 16:39:36
xxxsfdsfrresf
ความคิดเห็นที่ : 44

ว่าจะมาหาราคา hd650

16/10/2008 17:09:47
บทความดีครับแต่ขอบังอาจ นิดหน่อย 555

cd เพลง ที่เปิดๆกันนี้ ไม่ใช่ digital เพียวๆ ครับ
มันเก็บเสียง analog เป็น digital เท่านั้น
ถ้าจะเอา ของจริงเพียวๆ ต้องใช้ program สร้างเอาบน computer ครับ
อันนั้น digital ชัวๆ

อ้าวไม่ใช่ digital แท้ๆแล้วมันคือ อันหยัง
cd เพลง มีมาตั้งกะ ราวๆปี 80 ตอนต้น ถ้าจำไม่ผิด วิธีของ แผ่น cd คล้ายๆ แผ่นเสียงครับ

สมมติว่ามีคลื่นเสียงชุดนึงมียอดคลื่น ขึ้น - ลงๆ ใน 1 วินาที 20,000 รอบ คือ 20kH

ผ่าน mic แล้วผ่านตัว ADC แปลง analog เป็น digital ตัว ADC จะ
สุ่มว่ายอดคลื่นสูงแค่ใหน ที่ ... รอบ ต่อ วินาที สมมติว่า เป็น 40,000 รอบ ต่อ วิ
ความสูงของคลื่น แบบออกเป็น 4 ระดับ

ADC ตัวนี้ Spec คือ 2 Bit 40 kHz (2 bit - 00,01,10,11 - 4 ระดับ)

ถ้าเป็น spec cd ก็ 16 bit (65535 ระดับ หรือราว 96 dB ไม่แน่ใจ แต่แผ่น hdcd
ที่มี bit เพิ่มมาอีก 4 อยู่ที่ 102 - 104 dB) 44.1 kH 44100 ครั้ง ต่อ วิ

ถ้ามี spec แปะต่อว่า over sampling 8 time คือ สุ่มจริงๆ 44100 x 8 ครั้งต่อ วิ
แล้ว เอาค่ามาเฉลี่ย จนเหลือแค่ค่าเดียว แล้วส่งออกมา (ก็ยังเป็น 44100 x 16 bit เหมือนเดิม)

Data ดิบ ที่ออกมาจาก ADC เรียกว่า PCM (Phase Change Modula) เป็น
เลข 0101010 นั่นแหละครับ คราวนี้ ก็บันทึกลงบน แผ่น cd

การบันทึกลง cd เป็น cd เพลง จะไม่เหมือน data cd ของ cd เพลง จะบันทึก ลงไปทั้งๆ
อย่างงั้นเลย แล้ว mark ตำแหน่งบน cd เอา ไม่ได้เก็บ เป็น file แบบ data

แล้วตัว drive cd เวลาอ่าน data กลับจาก แผ่น มันจะรู้แค่
1 track
2 มุมรอบหมุน (เพราะมันเป็น steping motor)

เพราะงั้น เวลา dup แผ่น cd หลายๆ รอบ &dquot;มุมรอบหมุน&dquot; ของ
cd แต่ละ ยี่ห้อมันไม่เหมือนกัน เสียงจึงเพี้ยนไป นิดหน่อย ทุกครั้ง
แต่ในการผลิตแผ่น cd เพลง จะมี program ต่างหาก เพื่อ บอกการ mark ตำแหน่ง
ที่ถูกต้อง บนแผ่น ครับ

แต่ในสมัยนี้ ใช้ iPod หรือ file lossless ทั้งหลาย แล้วจึงไม่จำเป็นต้องสนใจ tech ตรงนี้อีก

ในความเห็นผม
เสียงจะดีไม่ดี ขึ้นอยู่กับ
1. ยี่ห้อ DAC
2. ภาคจ่ายไฟ
3. การออกแบบแผงวงจร และสัญญาณ กวนข้าม ตัวอุปกรณ์

ที่ external dac ทำเสียง ได้ดีกว่า com onboard ก็เพราะตรงนี้ครับ
ด้วยความเคารพ
ความคิดเห็นที่ : 45

นายมั่นคง

16/10/2008 20:45:05



โอวววว ขอบคุณหลายๆๆ เลยครับ สาระเน้นๆๆ เลยนะนั่น 555

ปกติเรามักจะมองสาระแบบนี้เหมือนยาขม คือพอเห็นตัวเลข เห็นศัพท์แสงก็พาลจะงง และพาลจะเลิกเล่นเอาไปเลย 555 แต่ที่อธิบายมา มันเห็นภาพเลยครับ ว่ามันมีกระบวนการอะไรบ้างที่ทำให้เสียงมันแปรเปลี่ยน

เยี่ยมๆๆๆๆๆ ครับ

555

โฮก.........ขอคารวะ 555
ความคิดเห็นที่ : 46

unclepiak

24/10/2008 03:53:38
0
ผมกำลังเซ็ตอัพคอมพ์ตั้งโต๊ะใหม่ครับ ของคงจะมาถึงวันสองวันนี้แหละ คราวนี้จะลองใช้ sound onboard เป็น M/B ของ Asus รุ่น P5QL-E มี digital out ทั้งแบบ Coax และ Optical เลย กะว่าจะเอามาบวกกับ DAC ยังไม่แน่ใจว่าเสียงจะออกมายังไง

(คาดหวังว่าจะดีไว้ก่อน อิอิ..)

ปล. อาเฮียฯ บอร์ดใหม่ดูเข้าท่ากว่าเดิมเยอะครับ แต่ผมว่าเมื่อสมัครสมาชิกและล็อกอินแล้ว ไม่เห็นจะต้องป้อนรหัสตอนโพสต์อีก ปัญหาโพสต์สองครั้งยังแก้ไม่ได้ ก็เพราะ รหัสโพสต์ นี่แหละ
ความคิดเห็นที่ : 47

นายมั่นคง

24/10/2008 10:14:32
0
555 ขอบคุณมากครับเฮียเปี๊ยก ตอนนี้ผมกำลังตามล่าตามล้างเรื่องบอร์ดนี่ล่ะ

กะว่าจะซื้อแก๊สโซฮอลล์ซัก 1 แกลลอน และนำไปเผาออฟฟิตของ tarad.com แน่นอนครับงานนี้ เพราะยังแก้ไขให้เรื่องกดส่งกระทู้เบิ้ล 2 ทีไม่หายซะที 555

ไว้โทรคุญกันครับเฮียเปี๊ยก
ความคิดเห็นที่ : 48

555

29/05/2010 10:47:05
เขียนดีมากครับ ขอชม
หัวข้อ น่าสนใจ ทันสมัย
ภาษาดี
ความรู้ดี
ความคิดเห็นที่ : 49

mhxymcl

20/10/2010 22:26:13
0
Dissemination of how to make your hair a healthy atmosphere, GHD Australia professional specifically for your use hair straightener,ghd Straightener,ghd hair and ghd Hair Straightener to help you repair your hair,In addition the company in New Zealand GHD NZ also provide the same products ghd hair,ghd Straighteners and hair straighteners,We guarantee that our ghd Hair Straighteners good quality and cheap price.By the way,have you heard golf for sale,discount golf clubs,golf clubs for sale and ladies golf club?yes,our business partners callaway golf clubs offer price reduction is being,While the focus we recommend that you look more out of exercise to maintain a healthy body, ping golf clubs is a perfect sport, if you need any left handed golf clubs,taylor made golf clubs and golf club drivers,weclome to our discount golf store to buy what you need like Golf Balls.
Our company also offers the following services like Golf Equipment,TaylorMade Golf,Golf Irons,Callaway Golf,Golf Fairway Woods and Hybrid Golf Clubs,If you like Titleist Golf or Golf Wedges,please check our Golf Putters web,You can enjoy the best prices of Mizuno Golf,Golf Bags,Ping Golf,Golf Set,We sincerely recommend that you use these products, after years of marketing experience we guarantee that you will be wise choice,It includes:Taylor made irons,Callaway clubs,golf for sale,wholesale golf,golf for wholesale and golf for discount,Callaway club,edit by 英文seo,Other movie Web:动漫网站
ความคิดเห็นที่ : 50

replicawatches

21/10/2010 07:50:55
0
The oris miles watch making industry is the a very competitive one which always present people with many new audemars piguet alinghi. The iwc mark xv 1 brand A.Lange & Sohne is such a rolex day date platinum maker that always amaze people by its creative timepieces.Established back in 1845 by U Boat watches, the rolex datejust dials is a brand of tissot 1853 manual manufacturing renowned for its admiring obsession with a lange & sohne glashutte and franck muller geneve watch. Rolex Yachtmaster is known worldwide as a brand that uses gold and silver and never steel in its designs and that proposes mechanisms characterized by breitling tourbillion. In 2007, A.Lange & Sohne added another revolutionary achievement to the tradition of tag heuer replica manufacturing when the brand introduced on the market the first wearable mechanical rolex explorer ii history with a 31-day power reserve, a technical complication that takes great talent and effort.The new model that attracts our attention goes by the name of omega constellation and it's an imposing timepiece characterized by patek philippe nautilus, but whose design still maintains a refined, almost classy look. With its beautifully curved and seductive lines, the design of this new fake Rado watches hints to sophistication and passion for value. The case measures 41.9 mm in diameter and it is crafted from yellow gold, a material that has come to be distinctive for this brand of designer watches. The round case comes covered in sapphire crystal both on its top and on its back and it also comes equipped with rolex gmt master ii price crown for the adjustment of cartier santos 100.The classy appearance of the new patek philippe grand complication its respect not only to the yellow gold case, but also to the silvery dial completed with u-boat replica. The montblanc timewalker gmt is quite simple as it indicates the main functions of hours and minutes through a 9 o'clock sub-dial via yellow gold hands, while the hour markers are made from gold Roman numerals for hermes watches arceau and Omega Constellation. A large date window is located at 2 o'clock, element which was previously patented by tag heuer grand carrera.The mechanism activating all the functions at the new patek philippe calatrava is a Calibre L901.2., manually wound. This movement can guarantee up to 72 hours of rolex day date president, while assuring the best reliability of its functions. No matter if you're interested in classy design or more contemporary ones; you simply cannot remain unmoved at the sight of such exquisite timepiece that screams excellence and passion for design.The color of a maurice lacroix chronograph always decides whether a breguet type xxi is good-looking or not. This tag heuer grand carrera calibre 8 is a good example of excellent matching of longines watches wiki design by the brown leather strap. Wearing such a replica graham watches is not only tells people that you are a person with good taste, but also tell people the history of such a world famous how good are omega watches brand.
ความคิดเห็นที่ : 51

น้องมด

06/09/2011 21:08:53
สงสัยมานานแล้ว พี่มั่นคงทำไมถึงไม่ไว้ผมครับ
ความคิดเห็นที่ : 52

Flatphonia

15/02/2012 21:19:40
555 ขำน้องมด แล้วเฮียจะตอบมั้ยเนี่ย 555

ผมว่ากดด้วยนิ้วชี้นิ้วก้อยเนี่ย ผมฟังไม่ออกแหงๆ 555 แต่คิดว่ามีผลอ่ะมีแหละ ถ้า effect นี้มันไม่ไป cancel กับอะไรซักอย่างก่อน แต่ว่าหูคนเรามันจะฟังออกหรอกคับ

ผมว่ามันคล้ายๆ ที่ตาคนเรามองไม่เห็นไวรัสอ่ะ แต่มันก็มีอยู่ถ้ามองด้วยกล้อง

ความคิดเห็นที่ : 53

Supatud krueakaew

16/02/2012 01:01:28
0
สวัสดีครับคุณอา nopphong ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนผมชื่อ นายศุภธัช เครือแก้ว ผมเรียนเกี่ยวกับเครื่องเสียงมา เช่น การออกแบบพาสซิฟ การใช้RTA การใช้WT3ตัวหาค่าลำโพง และอื่นๆ และทำอาชีพเปิดร้านเครื่องรถยนต์ ผมได้อ่านบทความของคุณอาแล้วรู้สึกมีความสุขมากครับ ในความรู้สึก ผมเคารพความรู้ของคุณอาจริงๆ คุณอาตรงไปตรงมาดี เคารพความเห็นของผู้ (ผมชอบที่คุณอาบอกว่า ความรู้ทางวิทยาศาสาตร์ของมนุษย์ยังมีขอบเขตอยู่ครับ ลองไต่ขอบความรู้ดูจะพบว่า มีความมืดกว้างใหญ่ภายนอกให้เรียนรู้กันได้อีกแยะเลย) ถ้าข้อความมีคุณอาได้อ่าน ชอบถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ผมด้วยไปต่อยอดด้วยนะครับนะครับคุณอา
เขียนวันที่ 16/2/2012
[email protected]
ความคิดเห็นที่ : 54

Supatud krueakaew

16/02/2012 01:08:52
0
สวัสดีครับคุณอา unclepiak ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนผมชื่อ นายศุภธัช เครือแก้ว ผมเรียนเกี่ยวกับเครื่องเสียงมา เช่น การออกแบบพาสซิฟ การใช้RTA การใช้WT3ตัวหาค่าลำโพง และอื่นๆ และทำอาชีพเปิดร้านเครื่องรถยนต์ ผมได้อ่านบทความของคุณอาแล้วรู้สึกมีความสุขมากครับ ในความรู้สึก ผมเคารพความรู้ของคุณอาจริงๆ คุณอาตรงไปตรงมาดี เคารพความเห็นของผู้ (ผมชอบที่คุณอาบอกว่า ความรู้ทางวิทยาศาสาตร์ของมนุษย์ยังมีขอบเขตอยู่ครับ ลองไต่ขอบความรู้ดูจะพบว่า มีความมืดกว้างใหญ่ภายนอกให้เรียนรู้กันได้อีกแยะเลย) ถ้าข้อความมีคุณอาได้อ่าน ชอบถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ผมด้วยไปต่อยอดด้วยนะครับนะครับคุณอา
เขียนวันที่ 16/2/2012
[email protected]
ความคิดเห็นที่ : 55

Pharme773

30/01/2013 04:18:39
Hello! fbekbeb interesting fbekbeb site! I'm really like it! Very, very fbekbeb good!
ความคิดเห็นที่ : 56

Pharmk911

10/02/2013 07:35:53
Hello! ebcfdee interesting ebcfdee site! I'm really like it! Very, very ebcfdee good!
ความคิดเห็นที่ : 57

Pharmd608

10/02/2013 07:36:42
Hello! gedekaf interesting gedekaf site! I'm really like it! Very, very gedekaf good!
ความคิดเห็นที่ : 58

Pharmb982

23/02/2013 09:03:49
Hello! ffddaee interesting ffddaee site! I'm really like it! Very, very ffddaee good!
ความคิดเห็นที่ : 59

13/04/2016 09:07:55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 60

13/04/2016 09:07:57
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 61

13/04/2016 09:07:59
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"ตั้งวงชวนคุยเรื่อง DAC"