Toggle Dropdown
ค้นหา
ค้นหาชื่อสินค้า
ค้าหารีวิวและบทความ
ค้นหาโปรโมชั่น
ค้นหาฟีดข่าว
ค้นหาไฮไลท์
TH
EN
หน้าแรก
สินค้า
เว็บบอร์ด
เกี่ยวกับเรา
สาขา
วิธีชำระเงิน
ติดต่อเรา
Guest
อีเมล์ / ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
ลืมรหัสผ่าน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
หรือ
ค้นหาโดย Google
ค้นหาทุกคำ
ค้นหาชื่อกระทู้
ค้นหาชื่อผู้ตั้งกระทู้
เว็บบอร์ดจับฉ่าย
หูฟังมือสอง
ซื้อขายจิปาถะ
รีวิวและบทความ
กระทู้เฮีย
คลับ
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย
ช่องทางการติดต่ออื่น
All
5
10
15
flac กับ wav
Shared
ติดตามกระทู้นี้
แจ้งลบ
domemk108
27/12/2012 09:40:18
12
คุณคิดว่า
ไฟล์FLAC กับ ไฟล์WAV
ไฟล์ไหนเสียงดีกว่ากันเพราะอะไร
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1
Salek
27/12/2012 10:43:34
187
ถ้าใช้โปรแกรมเดียวกันในการริป และใช้เพลเยอร์ตัวเดียวกันในการฟัง
ถ้าฟังแล้วแยกออกได้ 100% ต้องเรียกว่าหูมหาเทพแล้วครับ
ถ้าใช้โปรแกรมเดียวกันในการริป และใช้เพลเยอร์ตัวเดียวกันในการฟัง
ถ้าฟังแล้วแยกออกได้ 100% ต้องเรียกว่าหูมหาเทพแล้วครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 2
veedemort
27/12/2012 11:06:33
58
.wav เสียงดีกว่าคับ ... ผมสามารถแยกออกได้ในกรณีเปิดเทียบกันเพลงต่อเพลง
แต่ถ้าอยู่ดีๆ จะให้บอกว่า เพลงที่เปิดเป็น .wav หรือ .flac คงยาก (คงตอบถูกไม่เกินครึ่ง)
ลักษณะของเสียงคือ .wav จะมีความเป็น analog มากกว่า .flac คับ (จะกลมๆ กว่า)
.wav เสียงดีกว่าคับ ... ผมสามารถแยกออกได้ในกรณีเปิดเทียบกันเพลงต่อเพลง
แต่ถ้าอยู่ดีๆ จะให้บอกว่า เพลงที่เปิดเป็น .wav หรือ .flac คงยาก (คงตอบถูกไม่เกินครึ่ง)
ลักษณะของเสียงคือ .wav จะมีความเป็น analog มากกว่า .flac คับ (จะกลมๆ กว่า)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 3
domemk108
27/12/2012 17:24:59
12
^_^
^_^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4
borpit
27/12/2012 19:59:40
1
ขึ้นกับหลายองค์ประกอบครับ
เช่น ถ้าไปเล่นบนเครื่องที่อ่านไฟล์ช้า .wav อาจกระตุกได้เพราะไฟล์ใหญ่มาก
แล้วคำว่าดีกว่า คือ ใช้อะไรเทียบ ถ้าคุณชอบเสียงคมๆชัดแบบดิจิตอล คงชอบ flacมากกว่า
ถ้าชอบเสียงแบบต้นฉบับเป๊ะ wavย่อมดีกว่า
แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่เปิดสองไฟล์เทียบกันสลับไปมาทันทีแยกไม่ค่อยออก
ขึ้นกับหลายองค์ประกอบครับ
เช่น ถ้าไปเล่นบนเครื่องที่อ่านไฟล์ช้า .wav อาจกระตุกได้เพราะไฟล์ใหญ่มาก
แล้วคำว่าดีกว่า คือ ใช้อะไรเทียบ ถ้าคุณชอบเสียงคมๆชัดแบบดิจิตอล คงชอบ flacมากกว่า
ถ้าชอบเสียงแบบต้นฉบับเป๊ะ wavย่อมดีกว่า
แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่เปิดสองไฟล์เทียบกันสลับไปมาทันทีแยกไม่ค่อยออก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5
nuuuuu
28/12/2012 23:22:39
0
เอามาฝากครับบทความของคุณmiki จากเว็ปgotoknow
ไฟล์เพลงหรือไฟล์ออดิโอมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ ไฟล์เพลงชนิดที่ไม่บีบอัด ซึ่งจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ไฟล์เพลงที่บีบอัดแบบลดคุณภาพ และไฟล์ที่บีบอัดแต่ไม่ลดคุณภาพ
ชนิดของไฟล์เพลง
1. ไฟล์เพลงที่ไม่บีบอัด
WAV (WAVe PCM Sound) เป็นรูปแบบของไฟล์เพลงมาตรฐานที่ใช้ได้ในระบบปฏิบัติการ Windows ไมีมีการบีบอัดทำให้ไฟล์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เป็นไฟล์ที่มีคุณภาพของเสียงที่ดี ขนาดของไฟล์จะขึ้นอยู่กับ sampling frequencey, รูปแบบของเสียง (mono หรือ stereo) และจำนวนบิตที่ใช้
AIFF (Audio Interchange File Format) เป็นรูปแบบเสียงที่คล้ายกับ Wave ไม่มีการบีบอัดข้อมูลจึงทำให้คุณภาพเสียงดีแต่ไฟล์มีขนาดใหญ่ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Apple Computer และใช้เป็นไฟล์มาตรฐานบนเครื่อง Macintosh
CDA (CD Audio track) CD Audio (.cda) track เป็นไฟล์ที่ถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นซีดีเพลง ซึ่งเราสามารถเล่นไฟล์นี้ได้ด้วย CD-ROM เท่านั้น ในไฟล์ .cda จะไม่มีส่วนของเพลงจริง ๆ รวมอยู่ด้วยเป็นเพียงตัวที่เชื่อมโยงไปถึงเท่านั้น ดังนั้นถาเราก๊อปไฟล์ .cda จากแผ่นซีดีมาไว้ในฮาร์ดดิสก์ก็จะไม่สามารถเล่นเพลงได้.
2. ไฟล์เพลงที่มีการบีบอัดและลดคุณภาพ
MP3 (MPEG-1 Layer 3)เป็นรูปแบบที่กำลังเป็นที่นิยมมาก ณ ขณะนี้ เนื่องจากไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กแต่คุณภาพขอเสียงไม่ได้ด้วยไปกว่าเพลงที่ฟังจากแผ่นซีดีเพลง แผ่นซีดี 1 แผ่นสามารถเก็บเพลงในรูปแบบ mp3 ได้ถึง 200-250 เพลง ในขณะที่ซีดีเพลง .cda ธรรมดาได้ได้เพียง 20 เพลงเท่านั้น
MP3 Pro เป็นรูปแบบที่พัฒนาต่อมาจาก mp3 โดยให้ไฟล์ที่มีขนาดเล็กลงครึ่งหนึ่งของ mp3 เดิมในขณะที่คุณภาพเท่ากัน
Ogg Vorbis เป็นรูปแบบที่พัฒนามาแข่งกับ mp3 โดยสามารถบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดที่เล็กกว่า แต่คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ยังมีการใช้ยังไม่แพร่หลายเท่า mp3
WMA (Windows Media Audio) เป็นไฟล์เพลงในรูปแบบของ Microsoft Windows ที่ให้ไฟล์ที่มขนาดเล็กกว่า mp3 ในระดับคุณภาพที่เท่าเทียมกัน ไฟล์ wma ที่บิตเรท 64K จะให้คุณภาพเสียงเท่ากับแผ่นซีดีเพลง (.cda) เลยทีเดียว
Nero Digital Audio (HE-AAC) เป็นการบีบอัดไฟล์ในรูปแบบ mp4 (MPEG Audio Layer 4) ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า mp3 ถึง 30% ที่บิตเรทที่เท่ากัน และยังสามารถรองรับระบบเสียงในแบบ 5.1 แชลแนลด้วย เดิมจะรู้จักกันในชื่อ AAC มากกว่า
M4A (MPEG-4 compressed audio file) MP4A จะใช้การบีบอัดข้อมูลเช่นเดียวกับไฟล์วีดีโอ .MP4 แต่ไม่มีส่วนของคุณภาพ
TWIN VQ (Transform-domain Weighted INterleave Vector Quantization) เป็นรูปแบบที่ให้คุณภาพเสีงที่ดีที่ีบิตเรทต่ำ เช่น ไฟล์เพลงที่บีบอัดมาที่บิตเรท 96 kbps จะให้คุณภาพใกล้เครยงกับไฟล์ mp3 ที่บิตเรท 128 kbps แต่ไม่เป็นที่นิยม
3. ไฟล์เพลงที่มีการบีบอัดแต่ไม่ลดคุณภาพ
APE (เอพ) APE เป็นรูปแบบของไฟล์เพลงที่ถูกบีบอัดโดยไม่ลดคุณภาพ ซึ่งต่างจากไฟล์ mp3 หรือ ogg ซึ่งการลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดคุณภาพนี้จะต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยการตัดช่วงความถี่ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน คือต่ำกว่า 20 Hz และสูงกว่า 40,000 Hz ออกไป จากนั้นจะใช้เทคนิคการคืนข้อมูลเสียงที่ถูกบีบอัดไว้กลับสู่สภาพตั้นต้น ไฟล์ APE นี้จะถูกสร้างจากโปรแกรม Monkey's Audio จึงใช้ชื่อว่า ape (เอพ) ที่แปลว่าวานรโดยผลจากการสร้างเราจะได้ไฟล์ .ape ที่สร้างจากแทร็คเพลงทุกแทร็คจากแผ่นซีดีเพลงรวมกันอยู่ในไฟล์เดียว (image file) พร้อมทั้งไฟล์ .cue ที่เป็นตัวบอกชื่อเพลง, ความยาวของเพลง และตำแหน่งเริ่มต้นของแต่ละเพลง ซึ่งเมื่อใช้ไฟล์ทั้งสองร่วมกันจะทำให้คุณภาพของเสียงเหมือนซีดีต้นฉบับเลยทีเดียว ในการเล่นเพลงจาก ape นี้ขอแนะนำให้ใช้โปรแกรม foobar 2000 ซึ่งสามารถเล่นเพลงจากไฟล์ cue ที่เชื่อมไปยังไฟล์ ape เพื่อเลือกฟังเพลงแต่ละเทร็คได้อย่างอิสระ
FLAC (Free Lossless Audio Codec) FLAC มีลักษณะคล้ายกับไฟล์ mp3 แต่ไม่ลดคุณภาพของไฟล์ โดยไฟล์เพลงจะถูกบีบอัดให้เล็กลงแต่ไม่มีการลดคุณภาพใด ๆ เลย โดยใช้การบีบอัดเช่นเดียวกับโปรแกรม zip แต่มีคุณภาพที่ดีกว่าเพราะออกแบบมาสำหรับไฟล์เพลงโดยเฉพาะ
WV (WavPack lossiess compressed audio file) ไฟล์ .WV สามารถบีบอัดไฟล์เสียงให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์ .WAV ได้สามารถรองรับระบบเสียงรอบทิศทางและอัตราการสุ่มที่ความถี่สูงข้อมูลจะถูกลดขนาดลงประมาณ 30% ถึง 70% นิยมใช้ในการบีบอัดไฟล์เพลงทั่ว ๆ ไปได้ และให้คุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเมื่อใช้กับเพลงที่มีช่วงไดนามิคกว้าง ๆ เช่น เพลงคลาสสิค เป็นต้น WavPack นี้เป็นรูปแบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี ซึ่งพัฒนาโดย David Bryant
CUE (Cue Sheet6) ไฟล์ cue sheet หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า cue เป็นไฟล์ข้อความธรรดาที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจัดวางแทร็คเพลงของไฟล์ที่แปลงมาจากแผ่นซีดีโดยตรง โดยประกอบด้วยส่วนของชื่อเพลง ชื่อศิลปิน และตำแหน่งของเพลงแต่ละแทร็ก ไฟล์ cue นี้จะนิยมใช้ในการฟังหรือไรท์แผ่นจากไฟล์ที่ดึงมาจากแผ่นซีดีทั้งแผ่นที่รวมทุกแทร็คไว้ในไฟล์เดียว (image file) ซึ่งอาจเป็นไฟล์ wav, wv, ape, flac หรือ bin ก็ได้ ซึ่งไฟล์ cue นี้สามารถเปิดด้วยโปรแกรม notepad เราสามารถที่จะแก้ไขส่วนต่าง ๆ ได้เอง ยกเว้นส่วนของ INDEX ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของแต่ละเพลงที่เราไม่ควรไปยุ่ง
เอามาฝากครับบทความของคุณmiki จากเว็ปgotoknow
ไฟล์เพลงหรือไฟล์ออดิโอมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ ไฟล์เพลงชนิดที่ไม่บีบอัด ซึ่งจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ไฟล์เพลงที่บีบอัดแบบลดคุณภาพ และไฟล์ที่บีบอัดแต่ไม่ลดคุณภาพ
ชนิดของไฟล์เพลง
1. ไฟล์เพลงที่ไม่บีบอัด
WAV (WAVe PCM Sound) เป็นรูปแบบของไฟล์เพลงมาตรฐานที่ใช้ได้ในระบบปฏิบัติการ Windows ไมีมีการบีบอัดทำให้ไฟล์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่เป็นไฟล์ที่มีคุณภาพของเสียงที่ดี ขนาดของไฟล์จะขึ้นอยู่กับ sampling frequencey, รูปแบบของเสียง (mono หรือ stereo) และจำนวนบิตที่ใช้
AIFF (Audio Interchange File Format) เป็นรูปแบบเสียงที่คล้ายกับ Wave ไม่มีการบีบอัดข้อมูลจึงทำให้คุณภาพเสียงดีแต่ไฟล์มีขนาดใหญ่ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Apple Computer และใช้เป็นไฟล์มาตรฐานบนเครื่อง Macintosh
CDA (CD Audio track) CD Audio (.cda) track เป็นไฟล์ที่ถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นซีดีเพลง ซึ่งเราสามารถเล่นไฟล์นี้ได้ด้วย CD-ROM เท่านั้น ในไฟล์ .cda จะไม่มีส่วนของเพลงจริง ๆ รวมอยู่ด้วยเป็นเพียงตัวที่เชื่อมโยงไปถึงเท่านั้น ดังนั้นถาเราก๊อปไฟล์ .cda จากแผ่นซีดีมาไว้ในฮาร์ดดิสก์ก็จะไม่สามารถเล่นเพลงได้.
2. ไฟล์เพลงที่มีการบีบอัดและลดคุณภาพ
MP3 (MPEG-1 Layer 3)เป็นรูปแบบที่กำลังเป็นที่นิยมมาก ณ ขณะนี้ เนื่องจากไฟล์ที่ได้มีขนาดเล็กแต่คุณภาพขอเสียงไม่ได้ด้วยไปกว่าเพลงที่ฟังจากแผ่นซีดีเพลง แผ่นซีดี 1 แผ่นสามารถเก็บเพลงในรูปแบบ mp3 ได้ถึง 200-250 เพลง ในขณะที่ซีดีเพลง .cda ธรรมดาได้ได้เพียง 20 เพลงเท่านั้น
MP3 Pro เป็นรูปแบบที่พัฒนาต่อมาจาก mp3 โดยให้ไฟล์ที่มีขนาดเล็กลงครึ่งหนึ่งของ mp3 เดิมในขณะที่คุณภาพเท่ากัน
Ogg Vorbis เป็นรูปแบบที่พัฒนามาแข่งกับ mp3 โดยสามารถบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดที่เล็กกว่า แต่คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ยังมีการใช้ยังไม่แพร่หลายเท่า mp3
WMA (Windows Media Audio) เป็นไฟล์เพลงในรูปแบบของ Microsoft Windows ที่ให้ไฟล์ที่มขนาดเล็กกว่า mp3 ในระดับคุณภาพที่เท่าเทียมกัน ไฟล์ wma ที่บิตเรท 64K จะให้คุณภาพเสียงเท่ากับแผ่นซีดีเพลง (.cda) เลยทีเดียว
Nero Digital Audio (HE-AAC) เป็นการบีบอัดไฟล์ในรูปแบบ mp4 (MPEG Audio Layer 4) ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า mp3 ถึง 30% ที่บิตเรทที่เท่ากัน และยังสามารถรองรับระบบเสียงในแบบ 5.1 แชลแนลด้วย เดิมจะรู้จักกันในชื่อ AAC มากกว่า
M4A (MPEG-4 compressed audio file) MP4A จะใช้การบีบอัดข้อมูลเช่นเดียวกับไฟล์วีดีโอ .MP4 แต่ไม่มีส่วนของคุณภาพ
TWIN VQ (Transform-domain Weighted INterleave Vector Quantization) เป็นรูปแบบที่ให้คุณภาพเสีงที่ดีที่ีบิตเรทต่ำ เช่น ไฟล์เพลงที่บีบอัดมาที่บิตเรท 96 kbps จะให้คุณภาพใกล้เครยงกับไฟล์ mp3 ที่บิตเรท 128 kbps แต่ไม่เป็นที่นิยม
3. ไฟล์เพลงที่มีการบีบอัดแต่ไม่ลดคุณภาพ
APE (เอพ) APE เป็นรูปแบบของไฟล์เพลงที่ถูกบีบอัดโดยไม่ลดคุณภาพ ซึ่งต่างจากไฟล์ mp3 หรือ ogg ซึ่งการลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดคุณภาพนี้จะต้องอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยการตัดช่วงความถี่ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน คือต่ำกว่า 20 Hz และสูงกว่า 40,000 Hz ออกไป จากนั้นจะใช้เทคนิคการคืนข้อมูลเสียงที่ถูกบีบอัดไว้กลับสู่สภาพตั้นต้น ไฟล์ APE นี้จะถูกสร้างจากโปรแกรม Monkey's Audio จึงใช้ชื่อว่า ape (เอพ) ที่แปลว่าวานรโดยผลจากการสร้างเราจะได้ไฟล์ .ape ที่สร้างจากแทร็คเพลงทุกแทร็คจากแผ่นซีดีเพลงรวมกันอยู่ในไฟล์เดียว (image file) พร้อมทั้งไฟล์ .cue ที่เป็นตัวบอกชื่อเพลง, ความยาวของเพลง และตำแหน่งเริ่มต้นของแต่ละเพลง ซึ่งเมื่อใช้ไฟล์ทั้งสองร่วมกันจะทำให้คุณภาพของเสียงเหมือนซีดีต้นฉบับเลยทีเดียว ในการเล่นเพลงจาก ape นี้ขอแนะนำให้ใช้โปรแกรม foobar 2000 ซึ่งสามารถเล่นเพลงจากไฟล์ cue ที่เชื่อมไปยังไฟล์ ape เพื่อเลือกฟังเพลงแต่ละเทร็คได้อย่างอิสระ
FLAC (Free Lossless Audio Codec) FLAC มีลักษณะคล้ายกับไฟล์ mp3 แต่ไม่ลดคุณภาพของไฟล์ โดยไฟล์เพลงจะถูกบีบอัดให้เล็กลงแต่ไม่มีการลดคุณภาพใด ๆ เลย โดยใช้การบีบอัดเช่นเดียวกับโปรแกรม zip แต่มีคุณภาพที่ดีกว่าเพราะออกแบบมาสำหรับไฟล์เพลงโดยเฉพาะ
WV (WavPack lossiess compressed audio file) ไฟล์ .WV สามารถบีบอัดไฟล์เสียงให้อยู่ในรูปแบบของไฟล์ .WAV ได้สามารถรองรับระบบเสียงรอบทิศทางและอัตราการสุ่มที่ความถี่สูงข้อมูลจะถูกลดขนาดลงประมาณ 30% ถึง 70% นิยมใช้ในการบีบอัดไฟล์เพลงทั่ว ๆ ไปได้ และให้คุณภาพที่ดียิ่งขึ้นเมื่อใช้กับเพลงที่มีช่วงไดนามิคกว้าง ๆ เช่น เพลงคลาสสิค เป็นต้น WavPack นี้เป็นรูปแบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี ซึ่งพัฒนาโดย David Bryant
CUE (Cue Sheet6) ไฟล์ cue sheet หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า cue เป็นไฟล์ข้อความธรรดาที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจัดวางแทร็คเพลงของไฟล์ที่แปลงมาจากแผ่นซีดีโดยตรง โดยประกอบด้วยส่วนของชื่อเพลง ชื่อศิลปิน และตำแหน่งของเพลงแต่ละแทร็ก ไฟล์ cue นี้จะนิยมใช้ในการฟังหรือไรท์แผ่นจากไฟล์ที่ดึงมาจากแผ่นซีดีทั้งแผ่นที่รวมทุกแทร็คไว้ในไฟล์เดียว (image file) ซึ่งอาจเป็นไฟล์ wav, wv, ape, flac หรือ bin ก็ได้ ซึ่งไฟล์ cue นี้สามารถเปิดด้วยโปรแกรม notepad เราสามารถที่จะแก้ไขส่วนต่าง ๆ ได้เอง ยกเว้นส่วนของ INDEX ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของแต่ละเพลงที่เราไม่ควรไปยุ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6
Theeranai
29/12/2012 00:30:15
28
เสียงดี คำนี้พูดยากครับ ขึ้นอยู่กับคุณล่ะครับว่าชอบอันไหน ส่วนตัวผมเคยเจอไฟล์เพลง MP3 บันทึกมาห่วย เสียงออกก้องๆ แต่ผมกลับชอบกว่าไฟล์เพลงเดียวกับแบบ lossiess อีก สุดท้ายผมก็ฟังกับไฟล์ MP3 ดังนั้นในทางทฤษฏีแล้ว .WAV จะดีกว่า แบบอื่นเพราะไม่ถูกบีบอัด แต่จะดีไหมก็ขึ้นอยู่กับคุณครับ
เสียงดี คำนี้พูดยากครับ ขึ้นอยู่กับคุณล่ะครับว่าชอบอันไหน ส่วนตัวผมเคยเจอไฟล์เพลง MP3 บันทึกมาห่วย เสียงออกก้องๆ แต่ผมกลับชอบกว่าไฟล์เพลงเดียวกับแบบ lossiess อีก สุดท้ายผมก็ฟังกับไฟล์ MP3 ดังนั้นในทางทฤษฏีแล้ว .WAV จะดีกว่า แบบอื่นเพราะไม่ถูกบีบอัด แต่จะดีไหมก็ขึ้นอยู่กับคุณครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ตอบกระทู้ :
"flac กับ wav"
รายละเอียด :
ชื่อ :
รหัสความปลอดภัย :
ตกลง
ตั้งค่าใหม่
แจกหูพิเศษ :
แจ้งลบกระทู้ / ข้อความ
สาเหตุ :
โพสที่แจ้งลบ
แจ้งโดย
เหตุที่แจ้ง
สถานะ