ถ้าเปนหูฟังยังพอเข้าใจ
แต่แดกแอปม์ ยังไม่เข้าใจครับ


วอนท่านผู้รู้อธิบาย ให้น้องๆฟังบ้างครับ

กระผมรอท่านพี่อยู่นะคราฟ

อิอิ ไม่้รู้เหมือนกันครับ แต่เห็นเขาบอกว่าเบิร์นแล้วเสียงดีกว่าเลยเบิร์นไป

ขออีกครับ

อยากทราบจิงครับ

คงเหมือนคนโดนไฟซ็อต ที่ชาไปทั้งตัว แต่พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า มันคงชอบ 555

เป็นความเข้าใจแบบกระบือ กระบือ ของผม



คําว่า เบิร์น ๆ เนี่ย ผมเห็นในเวปนี้เย๊อะเยอะ จนผม แอบมานั่งคิดว่า

ซื้อพัดลม เครื่องดูดฝุ่น จะจับมาเบิร์นก่อนดีมั๊ยน๊าาาา

อยากรู้เหมือนกัน ขนาดสายสัญญาณยังต้อง Burn เลย 555+

สายสัญญาณลองมาแล้วเห็นผล แต่ DAC-AMp อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยเอามาเทียบอ่ะ

แวะมารอฟังเช่นกันครับ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับการเบิร์นให้กระแสไฟฟ้า-สัญญาณในวงจรมันไหลเวียนจนเข้าที่เข้าทางหรือเปล่าครับ

ขอแสดง เม้น แบบ บือ บือ เพิ่มนะครับ ขอเดา

ผมว่า กระแสไฟฟ้า เวลา ไหล ผ่าน วัตถุ สสาร มีผลทําให้โมเลกุล เคลื่อนไหว

แบบ การชุบทอง อะครับ เอ..... เกี่ยวกันป่าว หว่า 5555

ผมเชื่อว่า ต้องมีผู้รู้เข้ามาแนะนำอีก
พี่น้อง รออ่านล่ะกันครับ

ผมก็คิดแบบคุณRollei
แต่อยากทราบอีกครับ

ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เอาเป็นว่าตามที่ท่าน Tum79บอก อะคับเค้าใจง่ายที่สุดละ

คือถ้าจะมองให้ลึกลงไปในระดับโมเลกุล การเบิร์น ก็จะมองลงไปในหลายๆจุด
จุดที่เป็นทางเดินของสัญญาณไฟฟ้า การเบิร์น ก็คือการทำให้ทิศทางการไหลของโมเลกุลไปในทิศทางเดียวกันอย่างคล่องตัว ตรงจุดนี้ก็คือ พวก สายเชื่อมต่างๆ ลายปริ้นท์ ขาอุปกรณ์พวก R C หรือขา IC TR ต่างๆ

อีกจุดนึง ก็คือ คุณสมบัติเฉพาะตัว ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละชนิด มันก็มีลักษณะการทำงานที่ไม่เหมือนกัน อย่างตัวเก็บประจุ ตัวต้านทาน ทรานซิสเตอร์ หรือพวก หลอดต่างๆ การไหลเข้าๆออกๆของสัญญาณไฟฟ้า แล้วเกิดปฏิกิริยากันภายใน การเบิร์น ก็คือการทำให้ปฏิกิริยานั้นๆ ในตัวอุปกรณ์นั้นๆ มันทำงานได้สมบูรณ์ โมเลกุลเรียงตัวกันได้อย่างคงที่สม่ำเสมอทุกครั้งหรือใกล้เคียงความสมบูรณ์ที่สุด เกือบทุกครั้ง

บางครั้ง อาจจะเคยได้ยินว่า สลับด้านเสียบสายสัญญาณ เสียงเปลี่ยน ... อันนี้ก็จะมีผลสืบเนื่องมาจาก ทิศทางการไหลของโมเลกุลมันเปลี่ยนแปลอย่างกระทันหัน ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่อง แต่ก็จะใช้เวลาไม่นานก็จะกลับสู่สภาวะปกติได้ครับ

ถามว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วๆไป ต้องเบิร์นไม๊ อย่างพัดลม ... เปิดเกียร์ 1 แรกๆก็เย็นดี .... ใช้ไปนานๆ เกียร์ 1 เย็นพอๆกับเกียร์ 2 ตอนที่เพิ่งซื้อ .... ... .. งง ไม๊ครับ .... อื่มม อันนี้ผมโม้ 55555

เตารีด ซื้อมาใหม่ๆ ตั้งระดับไฟกลางๆ รีดกางเกงตัวนึงใช้เวลาอ่ะ 3 นาที ... ใช้ไปนานๆ ... ระดับไฟกลางๆ เหมือนเดิม รีดกางเกงตัวนึงเสร็จเร็วกว่าเดิม ..... ... สังเกตไม๊ครับ .... ...​. อื่มม อันนี้ผมก็โม้ 55555

มีอะไรอีกหละ แอร์ ทีวี ฯลฯ ครับทุกๆอย่าง ใช้แรกๆก็ดี ใช้ไปนานๆ อาจจะรู้สึกว่า ดีกว่าเดิมแฮะ และใช้ไปอีกนานๆเข้า ก็จะรู้ว่า อื่มมม ได้เวลาเปลี่ยนละ 555

สุจิ๊ สุจิ๊

เบิร์นนานไหมไม่รู้ แต่ใช้เกินร้อยชั่วโมงแล้วเสียงถูกใจขึ้น+pk1 ฟังสบายนุ่มๆแน่นๆ

มีอะไรอีกหละ แอร์ ทีวี ฯลฯ ครับทุกๆอย่าง ใช้แรกๆก็ดี ใช้ไปนานๆ อาจจะรู้สึกว่า ดีกว่าเดิมแฮะ และใช้ไปอีกนานๆเข้า ก็จะรู้ว่า อื่มมม ได้เวลาเปลี่ยนละ 555

^
^
^

อันนี้ไม่รวมอะไรๆที่เป็นวินเทจ + เมียที่บ้านใช่มะครับ ^^

เอ่อ .... ตีความได้ถั่วต้มแล้วครับ 5555555

ถั่วต้มอย่าทานเยอะนะครับ

ไขมัน มันสูงครับ

ขอบคุณครับผม

ไม่มีทฤษฏีรองรับใดๆทั้งสิ้นครับ เป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคลครับ

ถ้าออกแบบอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ หรือ IC ขึ้นมาตัวนึง หรือชุดนึง ถ้าใช้ๆไปแล้วบอกว่าค่ามันเปลี่ยนได้ นั่นคืออุปกรณ์เสื่อมครับ ค่า R L C มันต้องนิ่งครับ จะเปลี่ยนค่าไปเองไม่ได้ อาจจะมีค่า +/- ได้ตามเปอร์เซ็นต์ที่ผู้ผลิตกำหนด ถ้าโรงงานใดผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าแล้วค่าเปลี่ยนไปได้เอง นั่นคือใช้วัตถุดิบที่ไม่ดี เพราะไม่สามารถรักษาค่าที่ต้องการได้ ถ้าต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ เดี๋ยวอธิบายเพิ่มได้ครับ

ที่บอกกันมาว่าเบิร์นแล้วเสียงเปลี่ยนไป จะเป็นพวกแม็คคานิคส์ นั่นก็คือพวกระบบกลไกทั้งหลาย เช่น ไดอะแฟรมของลำโพงอันนี้ใช่ครับต้องเบิร์น ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด ค่าจะไม่เปลี่ยนครับ ที่บอกสลับสายแล้วเสียงดีขึ้น อาจเป็นเพราะเดิมต่อสายเอาไว้ไม่ดี พอสลับแล้วเกิดต่อสายได้ดี สัญญาณวิ่งสะดวกขึ้น เลยมองกันว่าดีขึ้นครับ

สรุปถ้าแทงกั๊ก ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ ก็ตั้งหน้าเบิร์นไป
ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์ ยังไงซื้อมาแล้วก็ต้องใช้ ก็ใช้ไปตามปกติ
เพลงฟังไปหลายๆเที่ยว มันจำรายละเอียดได้มากขึ้น ก็รู้สึกว่ามันละเอียดขึ้นเท่านั้นเอง
เพราะจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า สัญญาณที่ออกมามันต่างกัน
เคลียร์มะครับ

เหตุผล คุงeeman2
อ่านแล้วคิดตาม ผมคล้อยตามนะครับ
ขอบคุงคับผม

เห็นควรด้วย ค่ะอาย์

ท่านพี่
ท่านใดใช่ D12 ครับ
ชิฟเล็กๆ ที่แถม มาให้ เขาเปลี่ยนกันอย่างไร เปลี่ยนแล้วได้เสียงประมาณไหนบ้างครับ

อ้าวของคุณพี่อีแม้นด้วนแล้วหรือครับพี่ทศย์ อิอิ ไม่น่าเลย

55 มาแอบซุ่มยิงเราอยู่ทู้นี่เองพี่อ้อ เดี๋ยวต้องมีขอเคลียร์เรื่องหนังชมพูเต็มๆ HD เนี่ย กี่TBครับ ดูมากไปก็ไม่ดีนะครับพี่ เดี๋ยวมันจะอึดอัดแบบอีตาพี่ทศย์แกเป็นเวลาดูคลิประทวยขาวเด้ง 555

5555 อุ๊ยยยย์ แอบแลกหนังกันด้วยยยยยย์

เจ้า D12 จะมีชิพตัวเล็กๆ ที่เรียกกันว่า op-amp ครับ มาจากคำเต็ม Operate Amplifier ครับ มันจะเป็นเหมือนวงจรเสียงเล็กๆ ย่อส่วน

แต่ละตัวให้คุณสมบัติทางเสียงต่างกัน เราทดลองเปลี่ยนดู op-amp อันไหน ฟังแล้วโดนใจก็อันนั้นเลยครับ ที่สำคัญอย่าใส่สลับหัวหรือหางครับ ให้มองลายวงจรให้ดี เค้าจะทำตำหนิด้านที่ถูกต้องให้เห็นไว้หน่อยนึงจ้าๆๆๆๆ

อย่าใช้มือดึงออกมาตรงๆนะครับ เพราะอาจทำให้ขาICงอได้ มันจะมีคีมที่ใช้ดึง IC โดยเฉพาะอยู่

Op Amp บางชนิด ตอบสนองไวมากจนไฟฟ้าสถิตย์ที่นิ้วเรา อาจทำความเสียหายให้ตัว op-amp ได้ครับ

แล้วใช้มือดึงแบบอ้อมๆ ได้ไม๊คะอาย์ขา

-_- ไม่น่าเชื่อว่า Opamp บางอันจะเปราะแบบนั้น ผมเคยแกะ D6 เอานิ้วไปลองคล่ำๆเล่น โชคดีไม่พังคานิ้ว 555+

แต่สายสัญญาณเปลี่ยนแล้วเสียงมันไปจริงๆ อย่างของผม PK1 พอเปลี่ยนสายที่ฉนวนเป็นของ cardas ดีๆหน่อย ก็เปลี่ยนแบบพลิกบุคลิกไปเหมือนกันครับ ตอนนี้เหมือน Impact แต่ละเสียงเหมือนถูกเหลาให้มนๆเล็กน้อย ฟังแล้วจะระลื่นหูมากไม่ล้าหรือจี๊ดหู ส่วน Impact ของเสียงที่ถูกเหลาแลกกับความจะแจ้งและเบสที่กระแทกกระทั้นลดลงไป กลายเป็นหูฟังแนว Vocal ลอยละล่องแทน ใครใช้ PK1 เดิมๆอาจจะแปลกๆใจไปเหมือนกันหากไปเปลี่ยนสาย (เอาแบบสังเกตุง่ายๆ หาเพลงที่มีเบสตู้มๆมาแบบแรงๆเร็วๆ จะได้คนละ feel กันเลย)

ส่วนหุฟังเปลี่ยนสายใหม่นอกจากเขาว่าต้อง Burn สาย ผมว่ามันต้อง Burn หูฟังใหม่ด้วยมั้งครับ เพราะ SHURE SRH440 ผมเองก็ไปเปลี่ยนสายมาเหมือนกัน แรกๆมาเบสท้วมท้นนุ่มลึกดีมาก แต่กลางร่นและตำแหน่งเสียงร้องตกลงมาซึ่งปกติเสียงร้องจะลอยๆจรดหน้าผากแถมออกอาการเสียงร้องอั้นๆด้วย แน่นอนทั้งชอบทั้ง Fail เลย แต่ตอนนี้อาการเข้าที่แล้ว กลับมาเป็น SHURE แบบเดิม อาการแรกที่ว่าตอนนี้หายไปหมดแล้ว :-D

IC ตระกูล CMOS มันไวต่อไฟฟ้าสถิตย์มากครับ เพราะจังค์ชั่นในตัว (หมายถึงส่วนประกอบภายในที่เป็นพวกซิลิก้าเลยนะครับ)มันเปราะบางต่อแรงดันไฟฟ้าที่ย้อนกลับมากครับ ซึ่งเราไม่รู้ว่าสเปคที่ผู้ผลิตสร้างมาเป็นยังไง จึง play safe ไว้ก่อนดีกว่า ยิ่งหน้าหนาว อากาศแห้ง หรือในห้องแอร์แล้วปูพรม ยิ่งมีโอกาสเกิดไฟฟ้าสถิตย์ได้ง่าย เคราะห์หามยามซวย ประจุวิ่งเข้า IC เดี๋ยวจะเสียทรัพย์โดยใช่เหตุครับ ถ้าจำเป็นจริงๆให้เราเอามือไปจับดต๊ะหรือโลหะชิ้นใหญ่ๆ เพื่อถ่ายไฟฟ้าสถิตย์ออกจากตัวเราไปก่อน ก็จะปลอดภัยขึ้นมาระดับนึงเลยทีเดียว

เปลี่ยนสายคือการเปลี่ยนวัสดุนะครับ คนละกรณีกับการเบิร์น แน่นอนวัสดุดีขึ้น สัญญาณไปได้ดีขึ้น ก็ต้องให้แผ่นไดอะแฟรมในลำโพงได้ปรับตัวบ้างครับแต่ไม่มาก และไม่นานเหมือนการเบิร์นลำโพงใหม่ๆครับ

ปกติซื้อมาก็ต้องใช้อยู่แล้ว ถ้าผู้ใช้ไม่จิตตก ก็ใช้ๆไปเถอะครับ มันไม่ใช่กระบวนที่ศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย แค่เปิดใช้มันเท่านั้นเอง แล้วก็เสพรับกับความสุขที่เราแสวงหามา

เสียว เลย ว่า จะซนเปลี่ยนop-amp เล่นสะหน่อย 5555

ผมว่า หูฟังของท่านยังไม่เข้าที่มากว่านะ เห็นว่าเพิ่งได้ 225i มาใหม่อ่ะ เพราะเท่าที่ผมเคยใช้แอมป์ หรือ dac มาหลาย ๆ ตัวผมว่า AMP/DAC ที่ burn แล้วกับยังไม่ burn ฟังออกยากกว่าหูฟังมากครับ อย่าง grado เนี่ยระหว่าง burn กับไม่ burn นี้ต่างกัน ฟ้ากับเหวเลย บางคนซื้อมาทนครบ burn ก่อนไม่ไหว ขายไปก่อนก็มีเยอะ

นั้นได้คำตอบแหละ จิงครับผม

200ช.ม. อีกไม่นาน

อยากเปลี่ยน op amp เล่นเองก็ทำได้ครับ ใช้คีมธรรมดานี่แหละครับ เอากระดาษทิชชู่ซ้อนไว้ตรงที่จะจับ แล้วค่อยๆดึงมันออกมาก็ได้ครับ หรือใช้แหนบปากยาวๆดึงออกมาก็ได้ครับ อาจจะช่วยแซะข้างใต้ให้นิดหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกครับ ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็หาทางเลี่ยงได้สารพัดวิธีครับ

เดี๋ยวอนาคต ว่า จะลองเปลี่ยนหน่อย

ให้ฟังตัวที่มาจากโรงงานไปก่อน

อยากรู้จัง ว่าเสียงมันเป็นยังไง

เท่าที่เคยฟัง D12 และลองเปลี่ยนสลับไปมา ผมว่าตัวที่เป็น DF จากโรงงานดีสุดแล้ว

นั่นถ้างั้น ไม่อยากซนเลย เอิ๊กๆ