เป็นกำลังใจให้ครับ อาจไม่เลิกก็ได้

เพราะ ความสัมผัส ชีวิตคู่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
คนรัก >>> เพื่อน
ของท่านตั้ง 7 ปี ก็เป็นเรื่องปกติ เจอหน้ากัน คุยกันบ่อยๆ ก็มีเบื่ออาจคิดไม่เองว่า รักน้อยลง แต่พอจริงๆ ให้ขาดกันคงไม่ได้
คบกันมา 7 ปี

บอกว่าอย่าคิดมากคงไม่ได้....สู้ๆนะครับเป็นกำลังใจให้ เอาเป็นว่าพยายามอย่าอยู่คนเดียวหากิจกรรมกับเพื่อนๆดีก่าครับ

หาใหม่ครับ
ได้อะไรมาแทนที่ จะรู้สึกดีขึ้น
7 ปี มันก็ขาลงครับ
เป็นเรื่องธรรมดา
รักตัวเองให้มากขึ้น จะได้ไม่เสียใจมาก
หางานอดิเรกทำ หรือมุ่งความสนใจเรื่องอะไรมากขึ้น
หรือ มาทบทวนว่า เลิกกัน เราจะได้มีเวลามากขึ้น
ได้ทำสิ่งที่อยากทำมากขึ้น มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
มีเวลาทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา คิดและวิเคราะห์สาเหตุต่าง ๆ
ในความสูญเสีย จะมีสิ่งเข้ามาทดแทนเสมอครับ
เสียใจแต่มีสติมากขึ้น รอบคอบขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น

ขอบคุณทุกๆคนมากครับ ขอบคุณด้วยใจจริงๆเลย

อยากจะบอกว่า ถ้าตั้งเป็น ชมรมคนอกหัก รับรอง เพี้ยบเลย เพื่อนเยอะดี

ถ้าคุณ อยูในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ แล้วหลับตา สัก 5วินาที ลืมตาขึ้น แล้ว เดินไปถามคนที่อยู่ใกล้คุณมากที่สุด

คุณครับ เคย อกหักไหม....อาจได้คำตอบ ว่า...เรื่องของกุ แต่ในใจอาจบอกกับตัวเองว่า...แม่ง มึงรู้ได้ไงว๊ะ

ผลการสำรวจ...คนในวัยเจริญพันธ์...ร้อยละ69.96 เคยอกหักมาแล้ว

ทีหน้าทีหลัง อย่าคบใครนานเกินไป (นานเกินรอ)..มันจะเซ๊ง รู้ไม๊....แม่งจะเอากะกุว๊ะ..ทำให้กุพลาดโอกาส รถไฟขบวนดีๆ ไปหลาย ขบวนแล้ว

อย่านานเกินไป รีบ แต่งงานกันซะ...จะได้มีเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ กะเขาบ้าง...วันส่งตัวได้มานั่งลุ้น...เฮ้ย มันเป็นชายจริงหญิงแท้หรือเปล่าว๊ะ

สวัสดีครับ

มีพบ ย่อมมีจาก เพียงแต่จะจากกันด้วยเหตุใด

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องของ ธรรมชาติ

ทำความดี ละเว้นความชั้ว ทำจิตใจให้ผ่องใส พูดง่าย เข้าใจดี แต่ทำยาก

อยากจะบอกว่า ไม่ต้องทำใจอะไรมากมาย ในเมื่อเขารักเราน้อยลง ... เราก็ รักเขาให้มากขึ้น ..
วันนี้ หากได้เจอเขา ให้ยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี จริงใจ และบริสุทธิ์ใจ
แล้วบอกเขาว่า " ถึงแม้ว่า นับจากวันนี้ เราต้องห่างกันไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ ขอให้มั่นใจว่า ผมจะยังไม่มีใคร เพราะมันคงไม่ง่ายที่จะเป็นอย่างนั้น และหากว่าคุณไม่อยากให้ผมทำตัวเหมือนที่เคยทำมา 7 ปี ผมก็ยินดีจะไม่ทำ เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเรื่อง..... (เรื่องที่เคยช่วยเหลือกัน) หรือเรื่อง ... (อีกซักเรื่องนึง หฟรือหลายๆเรื่อง) ก็โทรมาหาผมได้ ผมจะรีบมาหา .... " จากนั้นก็จับมือเขาขึ้นมา มองตา แล้วยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วพูดประโยคสุดท้าย ว่า .. " ถ้าอยากเจอผม มาหาผมได้ ที่ร้านมั่นคง สาขาไหนก็โทรมาถามก่อน นะ ผมรักคุณเสมอนะ "

ซา วัก ลี ก๊าฟ...เศร้าไปใย มาหัวเราะกันดีกว่า..อิอิ






ดูหมอซึ่งกันแม่นๆ ทั่วทุกท่านแว้วววว น๊าค๊า
ตานี้ให้สังเกตุเสียงหัวเราะมั่งจิ เปงยังงัย
มีคำทายลักษณะของการหัวเราะให้แม่นป๊ะ ต้องนำไปเปรียบเทียบดูเอง
หัวเราะคนเดียว เกี่ยวไม่เกี่ยว ไม่รุน๊าค๊า... อือ..น่าจะได้น่า
ให้เพื่อนฟังเสียงหัวเราะแล้วบอกลักษณะการหัวเราะให้เรา น่าจะแม่นกว่ามั๊ง..ม่ายรุร็อก
ลอกเค้ามาอีกทีนึง นะเจ้าคะ ..อะลองดู ปฏิบัติ...

หัวเราะ 5555555555 เอิ๊กๆ...อิอิ....ห้ามฮือๆ นะ

ความหมายในเสียงหัวเราะ

หัวเราะเสียงดังลั่น
คนที่หัวเราะเสียงดังลั่นชนิดที่เรียกว่าได้ยินไปสิบบ้านสิบแปดบ้าน อย่างที่เราชอบพูดๆกันนั้น ผลการวิจัยบอกว่า แสดงถึงนิสัยของคนที่จริงใจ จริงจัง มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หรือจะเรียกว่ากล้าได้กล้าเสียก็ไม่ผิดนัก เมื่อมีเรื่องคอขาดบาดตายมาให้ตัดสินใจก็จะทำได้อย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง และเป็นคนที่กระตือรือล้นสูง มักมีงานนั่นงานนี่มาให้ทำอยู่เสมอ เสียแต่ว่าไม่มีความรอบคอบเท่าที่ควร

หัวเราะหลายเสียง
ข้อนี้หมายถึงคนที่มีเสียงหัวเราะหลายแบบอยู่ในตัวเอง คือสามารถหัวเราะเป็นเสียงสูงๆต่ำๆได้อย่างน่าแปลกใจ ซึ่งบ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีมาก ทั้งยังมีบุคลิกที่คล่องแคล่วว่องไว ชอบความสนุกและยังเอาใจคนรอบข้างเก่งอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นบุคคลที่สามารถเข้ากับใครๆได้ง่าย ไม่ถือตัวหรือมีฟอร์มใดๆทั้งสิ้น จะทำงานในหน้าที่บริหารหรือจัดการประสานงานได้ดี

หัวเราะเสียงเบา
สำหรับคนที่หัวเราะด้วยเสียงเบาๆ นุ่มๆ ทั้งหลายนั้น บอกถึงนิสัยที่เป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวเองสูง ค่อนข้างจะมีความคิดซับซ้อนซ่อนอยู่ในใจลึกๆ และมีความต้องการที่จะให้คนรอบข้างสนใจและรู้สึกนิยมชมชอบพอใจในตนเอง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบเป็นที่สุด จึงมีเรื่องให้คิดไตร่ตรองอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ และมีน้ำใจดี พึ่งพาได้ในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ

หัวเราะแล้วน้ำตาไหล
คนที่เวลาหัวเราะแล้วมีน้ำตาไหลนั้น บ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่มีอุดมคติหรืออุดมการณ์นั่นเอง มักมีจิตใจที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างมาก เป็นคนเปิดเผย ร่าเริง ชื่นชมชีวิต รักทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่ว่าจะดีหรือเลว เรียกง่าเป็นศรัทธาต่อการมีชีวิตก็ไม่ผิดเลย แต่ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนสูง ก็จะรู้จักแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว และยังหวงแหนโลกส่วนนี้ของตนเอามากๆ

หัวเราะเสียงสูง
คนที่มีเสียงหัวเราะสูงๆนั้น บ่งบอกว่าเขามักเป็นคนที่มีจิตใจที่กระตือรือล้นอยู่เสมอ เรียกว่ามีไฟอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ผิดแต่ประการใด สนใจเรียนรู้เรื่องแปลกๆใหม่ๆทุกประการ โดยเฉพาะเมื่อได้รวมกลุ่มกับคนหนุ่มสาว จะมีพลังในการสร้างสรรค์สูง มักทำในเรื่องที่สร้างความประหลาดใจต่อผู้อื่นอยู่เสมอๆ แต่ในชณะเดียวกันก็เป็นคนจิตใจดี ไว้เนื้อเชื่อใจคนทุกคน และยังเป็นคนที่มีคุณธรรมในจิตใจสูงส่งอีกด้วย จะไม่ยอมทำในเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมโดยเด็ดขาด

หัวเราะเสียงแห้ง
สำหรับคนที่หัวเราะเสียงแห้งๆไม่มีชีวิตชีวานั้น บ่งบอกถึงนิสัยการเป็นคนที่ชอบต่อสู้ และมีชีวิตอยู่ในโลกของความจริง ไม่มีอารมณ์เพ้อฝันในจิตใจเอาเสียเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ละเอียดลึกซึ้งทีเดียว มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครที่คิดจะมาหลอกลวงอะไรไม่มีทางได้ผล แต่ว่าก็เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือ และเรียกร้องสิทธิเพื่อคนที่ตกทุกข์ได้ยาก มักมีชีวิตง่ายๆ สมถะ มักคบหากับคนด้วยเรื่องของจิดใจมากกว่าฐานะ หรือชื่อเสียงของคนคนนั้น

หัวเราะเสียงหนักแน่น สม่ำเสมอ
สำหรับคนที่หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่สม่ำเสมอกันโดยตลอดนั้น มักเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ คาดหวังเพียงสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องการทำงานที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจสูง เพื่อผลของงานที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีจินตนาการแปลกๆใหม่ๆเสมอ ซึ่งสร้างความสนใจให้กับคนอื่นได้มากทีเดียว ทั้งยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน ที่ช่วยผ่อนคลายความเป็นคนเอาจริงกับทุกเรื่อง ไม่ให้กลายเป็นคนซีเรียส จนใครๆไม่กล้าเข้าใกล้ให้ดูน่ารักขึ้นอีกมาก

หัวเราะเสียงต่ำ
สำหรับผู้ที่มีเวลาหัวเราะแล้วเสียงหัวเราะจะเป็นเสียงในโทนต่ำนั้น อุปนิสัยค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าชู้เอาเรื่องทีเดียว ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญในเรื่องความรักมากอีกด้วย ชีวิตมักวนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ในชณะเดียวกันก็เป็นคนที่พูดจาหว่านล้อมคนได้เก่ง เข้ากับผู้คนได้ง่าย มีแนวคิดที่ลึกซึ้งน่าเลื่อมใสศรัทธา และมักเผยแพร่อิทธิพลความคิดของตนได้ผลเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะทำให้มีคนมารุมล้อมอยู่บ่อยๆด้วยความนิยมรักใคร่

ที่มา :posttoday

7 ปีนั้นนานมากครับ..เห็นใจจริงๆ

แต่หัวใจคุณจะรู้ดีที่สุดว่าควรจะเดินไปทางไหน

เลิกคิดเข้าข้างตัวเอง

ลองออกมามองเรื่องของตัวเองแบบคนนอกมองดู

วอลแตร์ เคยเขียนไว้ในหนังสือเมื่อกว่า 250 ปี ว่า

"ทุกอย่างบนโลก ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า"

ผมใช้เวลานาน กว่าจะเชื่อและเข้าใจ..

เป็นกำลังใจให้นะครับ

ขอให้เข้มแข็งได้เร็วๆ นะครับ

ชีวิตยังต้องมีอะไรให้ทำอีกเยอะครับ

ไม่เคยคบใครเกินปีซักคนเลยครับ - -"

เอาใจช่วยนะครับ บางอย่างยิ่งฝืนอาจจะทำให้ยิ่งแย่นะครับ

ทำใจให้ได้ครับ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมันครับ

จริงๆมันทำยากมากครับเรื่องทำใจ แต่ถ้าเราทำได้ มันก็จะได้กับตัวเราเองนี่แหล่ะครับ

ถ้ามีโอกาสก็ลองคุย ลองปรึกษา ลองปรับความเข้าใจกันดูก่อนครับ ว่าเพราะอะไร

แต่ถ้าเหตุผลหรือสิ่งที่ได้รับตอบกลับมา มัน 100เหตุผล คราวนี้ก็คงต้องเริ่มทำใจแล้วหล่ะครับ

เพราะถ้าคนหนึ่งพยายามที่จะไป ยังไงก็ห้ามไม่ได้ครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องเหตุผลครับ มีเกิน 100 เหตุผลเลยหล่ะครับ

หายใจไม่พร้อมกัน นี่ก็หนึ่งครับ

เอาใจช่วยนะครับ ได้คุย ได้ปรึกษากันแล้ว หลายๆอย่างอาจจะดีขึ้น หรือถ้าจะต้องเปลี่ยนสถานะกันจริงๆ ก็น่าจะเป็นไปด้วยดี ดีกว่าครับ

จริงๆผมก็ไม่กล้าที่จะแนะนำอะไรใครมากหรอกนะครับ คือเราไม่ได้เจอกับตัวเราเอง กลัวจะทำให้ยิ่งแย่ลง

เพราะบางที คนที่รู้ดีที่สุดก็คงเป็นคนสองคนนั่นแหล่ะครับ ลองใจเย็นๆ เปิดใจคุยกันนะครับ

เอาใจช่วยเต็มที่เลยครับผม...ขอให้โชคดีนะครับ

ใจคนมันสามารถเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าสึนามิเข้าเสียอีก เหตุผลของคนบอกเลิกกับเหตุผลของคนถูกบอกเลิกมักจะไม่เหมือนกันเสมอ ดีไม่ดี มันง่ายดายจนไม่ต้องไปหาเหตุผล ผมจึงให้ความสำคัญกับสิ่งที่มั่นคงกว่า เช่น ทีมบอลที่เชียร์ CD เพลงที่ฟัง และ Gadget ที่ชอบ
เพราะว่าจะได้ไม่ต้องพึ่งพาความรักมากจนเกินไป เพราะรักแท้มีน้อย ใช้สอยประหยัด!!!

^^^^^^^
รักแท้มีน้อย ใช้สอยประหยัด!!! โดนมากคำนี้555555
เป็นกำลังใจให้ครับ

เดินต่อไปครับ ^^

" ถ้าอยากเจอผม มาหาผมได้ ที่ร้านมั่นคง สาขาไหนก็โทรมาถามก่อน นะ ผมรักคุณเสมอนะ "

ู^
^
^

แสดงว่าตอนนั้นมาทำงานร้านผมแล้วล่ะพี่ทศพรย์ 555

----------------------------------------------------------------------------------------------


ผมว่าความรู้สึกไม่สมหวังในความรักนั้น มักจะอาการรุนแรงในคนหนุ่ม เพราะคนหนุ่มนั้นมองทุกสิ่งที่มองอยู่เบื้องหน้าเป็นสรณะ ยึดเอาของที่เห็นอยู่ตรงเบื้องหน้าเป็นของตนเอง ทึกทักเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เป็นของตน ต้องเป็นตามอย่างที่ตนต้องการ

พอเราพลาดหรือไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ เราจะรู้สึกหดหู่ และทรมาน อาการแบบนี้เมื่อเวลาผ่านไป หรืออายุมากขึ้น ผมเชื่อว่าทุกคนจะมองแล้วปลงได้ดีขึ้น เราจะมองเรื่องเดียวกันด้วยความสุขุมมากยิ่งขึ้น รอบคอบมากขึ้น

"ตัวกูของกู" เป็นบทธรรมะที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยเขียนไว้ หากเรายึดมั่นทุกอย่างว่าเป็นของเรา ของกู มันย่อมเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองว่ามันไม่ใช่ของเรา ไม่ยึดว่านี่คือของเรา ทุกข์ก็น้อยลง.............

ตามตรงเลยนะครับ ถ้ายื้อต่อไปไม่ไหวอย่าฝืน ปล่อยเขาไป ตั้งสติแล้วเริ่มต้นกับคนใหม่(คนที่เหมาะกับเรายังมีอีกเยอะจ้า)

สาเหตุคือเธอรักผมน้อยลง ( อันนี้เธอบอก )
................................................................

ได้ลองถามดูหรือยังว่าทำไมถึงรักเราน้อยลง เพราะ

๑.ละติจูดไม่ตรงกัน ปรับตัวแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว

๒.ไม่ชอบคุณตรงจุดไหน อยากให้บอกตรงๆ

๓.เธอเจอคนที่ใช่ซะแล้ว

๗ ปีสำหรับผู้หญิงมันนานเหมือนกัน...เธอเสียเวลา และเธอเป็นฝ่ายขาดทุนมากกว่าผู้ชาย...ถ้าจะต้องอกหักจริงๆแล้ว...วันนี้เลยปะไร ต่างฝ่ายจะได้มีเวลาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง...คู่แท้ ถ้าใช่ มันก็ใช่หล่ะค่ะ

ผมอ่านบทความสั้นๆของพี่ทศย์แล้ว น้ำตาจะไหล จริงๆนะครับ ซึ้งจัดเลย

ผมไม่รู้จะบอกยังไง เคยเจอมั้ย ก็เคยครับ 55 แต่อธิบายไม่ถูก

อยู่ที่ใจของท่าน จขกท แล้วครับว่าจะยอมรับทางไหน ซ้ายหรือขวา

เวลานี้ท่านน่าจะมีทางออกอยู่ในใจบ้างแล้ว ไม่ว่าทางไหน

ก็ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆนะครับ คุยกับตัวเอง บอกตัวเอง

ใจของเรานี่แหละครับ ที่จะพาให้เราผ่านไปได้


เอาใจช่วยครับ

มีคนเชื่อว่า มันเป็นอาถรรพ์ปีที่ 7

คือเป็นปีที่คู่รักเลิกรากันมากที่สุดในโลก ตามสถิติ....

"ความรัก" เป็นสิ่งที่ไม่มี ตรรกะ คือไม่ใช่ว่า ทำอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้ ไร้เหตุและผลที่หวังผลได้

ดังนั้น....

ถ้า...กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง...

ก็นั่งทบทวนตัวเองดูก่อนซักพัก รอคลื่นลมสงบก่อน

จะได้รู้ตัวว่า.... "จะล่องเรือต่อ".....หรือ "เข้าหาฝั่ง" กันดี....

ขอบคุณทุกๆความเห็นเลยครับ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล รู้สึกว่าเวบนี้มีความอบอุ่นจริงๆครับ .............จริงๆก็ไม่อยากฝืนเลยครับ แต่รู้สึกว่าแต่ละวันมันเจ็บปวดจริงๆเหมือนคนที่ผมเคยรักหายไปแล้วมีใครก็ไม่รู้มาอยู่ในร่างของแฟนผม....ผมกับแฟนหันหน้ามาคุยกันแล้วปรับความเข้าใจกัน มาดูว่าจะไปด้วยกันได้ไกลอีกแค่ไหน

แปลว่า เขายังไม่ดีพอสำหรับเรา เรามีความพร้อมที่จะคบต่อ แต่เขาไม่ ก้ปล่อยไปดีกว่า เรายังหาดีๆได้อีกเยอะ

ความจริง ชีวิตนี้มีรูปแบบมากกว่าความรักแบบหนุ่มสาวนะครับ ถ้าพยายามเข้าใจชีวิตจริงๆแล้วจะพบว่าชีวิตนั้นไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่ความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจหรือเรียกง่ายๆว่าความทุกข์ ก็เป็นแค่ความยึดมั่นและยึดแน่นของเรานั้นเองครับ ทำให้เรามองสิ่งที่เราประสพอยู่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ เราเรียกว่าเส้นผมบังภูเขา วิธีแก้ปัญหาง่ายนิดเดียวคือมองไปทางอื่นนอกเหนือจากเส้นผมเส้นนั้นครับ ดูรูปแบบความรักอื่น ที่ทำให้เราเข้าใจรูปแบบของความรักมากขึ้น เช่น ความรักที่บริสุทธ์ ที่คุณพ่อคุณแม่ ให้เราตั้งแต่เรายังจำความได้ ความรักของ พี่น้องเราที่มอบให้เรามาตลอดเวลา ความรักของเพื่อนๆ และคนรอบข้าง มองในกรอบของภาพความดีความหมายก็คือเมื่อนึกถึงแล้วอมยิ้มได้ สุดท้ายที่สำคัญที่สุดครับ คือต้องหัดรักตัวเองให้เป็น ครับ คำว่ารักตัวเองให้เป็นในความหมายต้องรักตัวเองแบบปล่อยวางและไม่ถือมั่นและเข้าใจว่าชีวิตเป็นขบวนการนึงที่เราต้องคอยหาคำตอบตลอดเวลา เมื่อเราไม่ยอมหยุดนิ่งมันก็จะทำให้เรานั้นมีทั้งสุขและทุกข์ ครับ ดังนั้นเมื่อพอเข้าใจว่าจริงๆแล้วตัวเรานี้เองก็เป็นส่วนเล็กในธรรมชาติเท่านั้น แต่ที่เราคิดว่าเราต้องสำคัญที่สุดทุกคนทุกเรื่องราวต้องเป็นไปตามอย่างที่เราคิด และเรื่องที่เราต้องการอยากได้และให้มันเป็นไปเป็นไปอย่างที่เราคิดเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เสมอ อย่างเช่นเรื่อง ที่คุณปลากระป๋อง ชุบแป้งทอดได้เกริ่นนำมาในกระทู้ ปัจจัยที่เป็นประเด็นหลัก ก็คือเรื่องของเวลา 7 ปี กับความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวในช่วงเวลาที่ผ่านมา คุณปลากระป๋องลองมองอีกมุมดูนะครับว่า ถ้าเวลานี้เป็นเวลา 7 ขวบแรกตอนที่คุณปลากระป๋องเกิดขึ้นมาบนโลกนี้คุณคิดถึงเรื่องอะไร และลองมองอีกมุมนะครับว่าถ้าคุณปลากระป๋องใช้ชีวิตบั้นปลาย 7ปีสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไปคุณปลากระป๋องคิดถึงเรื่องอะไร ถ้าคุณปรากระป๋องเริ่มเข้าใจมุมมองเหล่านี้ ก็จะเข้าใจว่าทำไมตอนนี้เส้นผมของคุณปลากระป๋องบดบังทำไม่ให้เห็นภูเขาได้ครับ พยายามเข้าใจเรื่องที่เล่ามาเหล่านี้ให้ดีๆครับ ก็จะทำให้คุณปลากระป๋องเข้าใจชีวิต และก็จะก้าวเดินและใช้ชิวิตข้างหน้าได้อย่างคนที่เข้าใจว่าชีวิตก็ไม่มีอะไรมากครับ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรครับ เพราะตอนเราเกิดมาแรกๆเราก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเหมือนกัน
สุดท้ายก็ขอเป็นกำลังใจให้อีกแรงครับขอให้มองผ่านเส้นผมเส้นนี้ให้ได้ครับ
สู้สู้ครับ คุณปลากระป๋อง ชุปแป้งทอด ความรักมีมากกว่าสิ่งที่เราคิดครับ
เหรียญมี2ด้านเสมอครับ แต่แค่เพียงเราหลับตาก็ไม่เห็นเหรีญนั้นแล้วครับ

ขอบคุณ คุณเหรียญ2ด้าน ครับ

อ่านแล้วได้ข้อคิดดีจัง

ขอบคุณเฮียมั่นกับสิ่งที่บอกกล่าวครับ พี่ไก่ย์และพี่ๆทุกท่าน

อ่านไป ได้คิดดีครับ

ไม่เป็นไร มิได้ ครับคุณ 38parallel แบ่งปันความรู้สึก ดีๆให้กันครับ อย่างที่เฮียบอกไว้ครับ case ของคุณ ปลากระป๋อง ชุบแป้งทอดเป็นเรื่องปกติของความรักครับ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พอเลยมาอยู่ในวัยของการเป็นครับครัว ปัญหาก็จะเปลี่ยนเป็นอีกรูปแบบนึง พอเข้าวัยชราปัญหาก็จะเปลี่ยนไปอีก ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องปกติครับ เพราะความจริง ทุกอย่างในธรรมชาติเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ตัวเราเองต่างหากที่ไม่ได้ยอมรับ และเข้าใจอย่างที่เป็น จึงเกิดการยึดเหนี่ยว ซึ่งจริงแล้วมันก็คือการฝืนธรรมชาตินั้นแหละครับ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายนะครับ อย่างเช่นมีคนมาให้ทองคำแท่งกกับเราแต่หนักซักสองร้อยกิโลฟรี แต่มีข้อแม้ให้เราต้องยกกลับบ้านเองด้วยวิธีการแบกด้วยตัวเราเอง ห้ามใช้เครื่องมือใดๆให้คนอื่นช่วยและมีระยะเวลาให้ 3วัน ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราครับ คำตอบคลาสิกสุดก็คือ พวกเราจะหาวิธีการยกทองแท่งนั้นตั้งแต่วันแรกจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะเข้าวันที่ 3 โดยพยายามทุกวิถีทาง อาจจะอดหลับอดนอน เพื่อหา Solution ต่างๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ทองกับบ้านไป แต่ก็จะได้รับความรู้สึกเสียดายจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนจะลาโลกไปว่าทำไมเราไม่สามารถนำทองแท่งนั้นกลับบ้านได้นะ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็จะวนเวียนเข้ามาในสมองของเราตลอดเวลา จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่คำตอบที่แท้จริงของเรื่องนี้ก็คือธรรมชาติของคนเราคนเดียวและไม่มีเครื่องทุ่นแรงนั้น ไม่สามารถยกน้ำหนักสองร้อยกิโลกรัมเดินทางหลายกิโลเมตรเพื่อนำกับบ้านได้ solution ที่แท้จริงก็คือ รับรู้ว่ามีการแจกทองฟรีแต่ธรรมชาติของคนปกติก็คงไม่สามารถนำกลับบ้านได้ แล้วก็เดินผ่านไปใช้ชีวิตตามปกติ เพราะมันคือเรื่องปกติและจะแสนธรรมดาเรื่องหนึ่ง ถ้าคิดในแง่ว่าธรรมชาติว่ามนุษย์เราไม่สามารถยกของหนักขนาดนั้นได้ แต่ในมุมกลับกันถ้าคิดว่าทองคำหนักขนาดนั้นจะตีค่าเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ก็จะกลับเข้าสู่โหมดเดิมคือการยึดมั่นถือมั่นอยากจะได้ทองมาครอบครอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ความคิดเหล่านี้ก็จะติดตัวเราไปจนวันตายเหมือนกับการภายเรืออยู่ในอ่าง ครับ

ดังนั้นเท่าที่เล่ามาทั้งหมด เพื่อให้เราเห็นภาพมากขึ้นครับ ว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงมันเป็นปกติที่อยู่ในธรรมชาตอยู่แล้วที่ต้องเป้นอย่างนั้นหรืออย่างนี้ แต่ความทุกข์หรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่พวกเราสร้างมันขึ้นมาเองทั้งนั้นครับ และยิ่งถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติของเรื่องทางด้านจิตใจแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติครับที่เราก็ต้องมีความทุกข์หรือความไม่สบายใจในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่อง ความรัก การงาน การเงิน ครอบครัว อีกหลายเรื่องที่ตามมา
นักปราชญ์โบราณหรือทางพระ ก็สรุปมาสั้นๆ ครับ ว่าที่จริงแล้ว "ทุกข์ เกิดจากความไม่รู้"
เนื่องจากคนสมัยก่อนมีภูมิปัญญาสูง จึงสรุป แก่นของคำว่าความทุกข์ ไว้ได้สั้นและชัดเจน
แต่คนรุ่นหลังก็จะไม่ค่อยทราบความหมายที่แท้จริงกันเท่าไรครับ สรุปให้เข้าใจง่ายนะครับ
ว่าจริงๆแล้วความทุกข์ หรือ ความสุข ก็คือการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของสภาพตามธรรมชาติ แต่คนเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้กันเอง ก็เลยต้องรับผลก็คือ ความดีใจ ความเสียใจ
ซึ่งเกิดขึ้นไปมาตลอดชีวิตครับ ถ้าเราศึกษาเรื่องเหล่านี้ดีๆเราก็จะทราบว่าธรรมชาติที่แท้จริงนั้นจริงๆแล้ว นั้นมีแต่ความทุกข์ครับ ความสุขเป็นสิ่งที่เราปรุ่งแต่งเพิ่มขึ้นมาเองครับผม
หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างนะครับ สำหรับคนกำลังหลงทาง หรือ กำลังที่จะจมน้ำ
ขอให้โชคดีกันทุกคนครับในเดือนของปีใหม่ไทยของเรา