ส่วนนี้ผมขออนุญาตเสริมความต่อจากครั้งที่แล้วนะครับ ในส่วนของประวัติศาสตร์เพลงคลาสสิก ครับ
ในส่วนนี้ผมขอคั่นจังหวะสักนิดนะครับก่อนที่จะไปยุคต่อไปครับ
ผมขออนุญาต คั่นด้วย &dquot;ประวัติศาสตร์ในดนตรีในเยอรมัน&dquot; และ &dquot;เครื่องดนตรีในยุคกลาง&dquot; สักนิดนะครับ
ดนตรีเยอรมันแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่ม Minnesinder หรือ Love Singers ได้รับความนิยมในช่วงคริสตศตวรรษที่ 12-14 เน้นในส่วนการขับร้องเพลงประเภท Minnelied ซึ่งมีอัตราจังหวะ 2/4, 4/4, 3/4 หรือ 6/8
2. กลุม Meiltersingers หรือ Master Singers ไนวเพลงในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมต่อจากกลุ่ม Minnesinders ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 14-16 ซึ่งแนวเพลงของกลุ่มนี้เรียกว่า Meisteroesang
เท่านี้หละคร้าบบบ
ต่อมาในส่วนของเครื่องดนตรีในสมัยกลาง ในสมัยกลางเครื่องดนตรีมีไม่มากส่วนมากเล่นเพลงในรูปแบบจังหวะเดียวซ้ำๆ ดังนั้นเครื่องดนตรีในยุคกลางแบ่งเป็นประเภทหลักได้ดังนี้
-เครื่องสายที่ใช้คันชัก (Bow) คือ ศอวีแอล (Vielle) ซึ่งมีขนาดและชื่อเรียกต่างๆ เช่น ซอรีเบค (Rebec), ซอทรอมบา มารินา (Tromba Marina) โดยซอทรอมบา มารินา เป็นซอขนาดใหญ่ มี 1-2 สาย มีเสียงเดียว (และใกล้ๆ กัน) ใช้ยืน หากจินตนาการเครื่องดนตรีประเภทนี้ไม่ออกให้นึกถึง ซออู้ ซอด้วงไว้ครับ มีลักษณะคล้างๆ กัน
- เครื่องสายที่ใช้นิ้วดีด ได้แก่ พิณลิวท์ หรือ ลูท (Lute) และ ซัลเตรี (Psattery) โดยพิณลิวท์ มีลักษะคล้ายๆ กับพิณน้ำเต้าของไทย เพียงแต่ว่าเวลาเล่นไม่ต้องใช้ &dquot;พุง&dquot; ช่วยในการบรรเลงครับ
- เครื่องลม (เครื่องเป่า) ได้แก่ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ (Recorder) ปี่ชอม (Shawm) ในสมัยนี้ ขลุ่ย Recorder ยังมีให้เห็นอยู่นะครับ และมีขายอยู่อันนึงไม่น่าเกิน 100 บาทครับ (สำหรับนร. ฝึกหัด)
- เครื่องดนตรีที่มีแป้นกด (Keyboard) มีอยู่ประเภทเดียวคือ ออร์แกน ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทตามขนาด คือ
1. Portative Organ - เป็นออร์แกนขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายสะดวก หรือเรียกว่า Organnetto
2. Positive Organ - เป็นออร์แกนขนาดกลาง ฝึงติดกับผนังหรือกำแพง บ้านหรือปราสาทขนาดเล็กๆ
3. Grand Organ - เป็นออร์แกนขนาดใหญ่ (มาก) สร้างติดกับวิหารขนาดใหญ่ในยุโรป ออร์แกนบางที่ประกอบด้วยท่อลมมากกว่า 2500 ท่อ (ซึ่งให้เสียงอลังการมากๆ)
ในวันนี้ผมขอโม้แต่เพียงเท่านี้ครับ (ตั้งนานยังไม่จบยุคกลางเลย) ในส่วนของตอนต่อไปก็เป็นดนตรีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ครับ โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้ครับ.... ^ ^
ขอบคุณครับ...
ปล. เสริมนิดนึงครับ ในครั้งที่แล้วผมได้ใช้ตัวย่อ A.D. ซึ่งย่อมาจาก Anno Domini หรือ คริสตศักราชครับ...
โย่วววววว ดีใจจริงๆๆๆเมื่อเห็นน้อง collagen อีกครา...............55
กระทู้นี้ ถ้าเปรียบเป้นอาหารสำหรับผมแล้ว เหมือนกับ ได้กินสเต๊กเนื้อ โคขุนอย่างดี เลย ครับ 5555 แบบว่า นาน นาน กินที กินทีไรทั้งอิ่มแถมด้วยความสุขทุกที..........อิ อิ อิ
ต้อขออภัย เฮียมั่น, คุณเบียสและท่านอื่นๆ ที่ติดตามด้วยนะครับที่หายไปนาน เนื่องจากติดปัญหาเรื่องคอมฯ อยู่ครับ...
ในวันนี้ผมขออนุญาตโม้ต่อในส่วนของประวัติศาสตร์ดนตรีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือ Renaissance
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือ Renaissance (หรือแปลว่า Rebirth ในภาษาอังกฤษ) คือช่วงเวลาประมาณ ค.ศ. 1400 - 1600
ในช่วงนี้มีเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น
- ปี 1453 กรุง Constantinople (หรือ Istanbul ตุรกี ในปัจจุบัน) ได้ถูกพวก Turk ยึดครอง ถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรโรมันตะวันออก (มีการเปลี่ยนถ่ายศาสนาจากคริสต์ไปเป็นอิสลาม)
- ปี 1492 Christopher Columbus เดินเรือไปถึงทวีป America
การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ได้เริ่มจากหัวเมืองทางภาคเหนือของอิตาลี โดยเฉพาะเมือง Florence (หรือ Firenze), Venice (หรือ Venecia), Pisa, Genoa, Tuscany (หรือ Toscana) และแคว้น Lombardy และได้ขยายต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส, เยอรมัน, เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ
เข้าเรื่องของเพลงหละครับ
- การปฏิรูปทางด้านดนตรีนั้น เริ่มจากทางภาคเหนือของประเทศฝรั่งเศส เบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์
- รูปแบบของเพลงโดยมากจะนำเพลงในยุคกลางมาปรับปรุง มากกว่าที่จะทำเพลงสมัยกรีกและโรมันมาเรียบเรียงขึ้นใหม่
- แนวดนตรีเป็นแนวของ Polyphony Style
- มีสำนักคีตกวีด้านดนตรีเกิดขึ้นหลายแห่ง และที่มีชื่อเสียงเช่น Burgundian (ดังเช่นเดียวกับไวน์) ซึ่งแนวเพลงจะมีลักษณะรูปแบบการแต่ง 3 - 4 แนวพร้อมกัน และใช้คอร์ด (Chord) ประสานกัน ซึ่งในแนวเสียงที่พลิ้วไหว และเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงที่แต่งโดยใช้คู่ 4 หรือคู่ 5
- หลังจากสำนักคีตกวี Burgundian เริ่มหมดความนิยม สำนักคีตกวี Felmish ได้มีชื่อเสียงขึ้นมาแทน โดยพัฒนาเพลงร้องโดยให้มีการขับร้องทุกแนวมีความสำคัญเท่ากันและมีการนำเทคนิค Counterpoint (แต่ละแนวของเพลงผลัดกันทำหน้าที่เป็นทำนองหลักของเพลง) มาใช้
- เพลงบรรเลงเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นและในบางโอกาส เพลงบรรเลงมีความสำคัญมากกว่าเพลงขับร้อง
- มีการให้ความสำคัญกับเพลงในด้านการพักผ่อนมากขึ้น โดยเฉพาะ มีเพลงประเภท Madrigral และ Chanson เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นรมย์
- ในขณะที่เพลงขับร้องในด้านการศาสนาก็มีการพัฒนาไปเช่นเดียวกัน โดยเพลงในแนว Mass และ Motet ยังคงเป็นเพลงขับร้องทางศาสนาที่สำคัญ
- เครื่องดนตรีประเภท Keyboard โดยเฉพาะ Organ มีบทบาทมากขึ้น ซึ่งเพลงประเภท Fantasy, Toccata และ Ricercar เป็นเพลงที่มีความสำคัญและบรรเลงโดยใช้ Organ
- ในขณะที่เครื่องดนตรีประเภท แตร (Horn) ก็มีเพลงประเภท Fanfare ในการบรรเลง ซึ่งใช้ในการบรรเลงในกิจกรรมของทหารและพิธีในราชสำนัก
ในส่วนของเครื่องดนตรี ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีดังต่อไปนี้
- กลุ่มเครื่องสาย เช่น ซอ Viole ในขนาดต่าง (ซึ่งซอประเภทนี้ตค่อมาได้พัฒนาเป็น Viola, Violin, Cello, ฯลฯ), ซอ Rebec, พิณ Lute, Clavichord, Harpsichord
- กลุ่มเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย Recorder (ยังคงได้รับการพัฒนาต่อ), ปี่ Shawm, ปี่ Cornet, Trumpet, Trombone
- และกลุ่มเครื่อง Keyboard ที่ยังเป็นที่นิยมยังคงเป็น Organ ซึ่งมีการพัฒนาต่อจากช่วงยุคกลาง
คีตกวีในยุคนี้ ที่มีชื่อเสียง เช่น
- Giovanni Pierluigi da Palestrina (A.D. 1525 - 1594) เป็นชาวอิตาเลียน (ดูชื่อก็รู้) ซึ่งชื่อ Palestrina มาจากชื่อเมืองเล็กๆ ใกล้ๆ กรุงโรม ท่านนี้ได้ทำงานเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ มาตั้งแต่เด็ก (ทำอยู่งานเดียว) และเมื่ออายุมากขึ้น (แก่) ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้ากลุ่มนักร้องที่โบสถ์ St. Peter (หรือ San Petro) ในกรุงโรม อิตาลี (ปัจจุบันอยู่ในนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระสันตปาปา)
ประวัติศาสตร์ดนตรีในยุคฟื้นฟูศิลปะวิยาการก็จบแต่เพียงเท่านี้ครับ ... โปรดติดตามตอนต่อไปใน ประวัติศาสตร์ดนตรีในยุคบาโรค (Baroque) ครับ เร็วๆ นี้....
ถึงคุณ สะใจโรคจิต ค่อยๆ อ่านก็ได้ครับ เฮียมั่นคงอยู่อยู่กับเราไปอีกนานนนนนนนน
ปล. ใน Post ที่แล้วผมลืมตอบไป ต้องขอโทษด้วยครับ
ขอบคุณอีกครั้งเลยล่ะครับ ผมว่ากระทู้นี้ มีแฟนคลาสสิคแอบอ่านกันเยอะโคตรเลยล่ะ เป็นพลังเงียบจริงๆๆ ครับ ขอบคุณน้อง Collagen จริงๆ ครับ ที่ทุ่มเทเพื่อคนอื่นจริงๆๆๆ
นับถือ นับถือ
ปกติก็ชอบฟังแนวนี้นะครับ
แต่ไม่ค่อยมีให้ฟัง เพราะไม่ค่อยรู้แหล่ง ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
คือฟังเพราะชอบที่มีเครื่องดนตรีหลากหลายดี
แล้วก็มันไม่จัดเหมือน แจส กำลังไล่ ๆ โหลอยู่ ไม่ไหวเยะมากกกก
หรือว่าเฮียเบียสมีโหลดไว้ อิอิ จะได้แอบไปสูบ
ปล.ขอบคุณ คุณ Collagen มาก ๆ ครับ
555 แวะมาได้ ครับคุณ สะใจโรคจิต พวก เพลง Classic ในเครื่องของผม พอมีเหมือนกัน ของเพื่อน เพือนนั่นแหละ ครับเอามาฝากไว้ 555 ส่วนใหญ่เป้นแบบ
เบสิค อะ ครับ ยังไม่ลงลึก เพิ่งหัดฟังเหมือนกัน ครับ 555 ฟังเพราะ มีลูกนี่แหละ จ้า
เห็นเค้าบอกกันว่า เปิดเพลง Classic ให้ลูกฟังแล้วลูกจะฉลาด (จริงป่าวหว่า) 5555 ไอ้เรามันก็ลองดูซักหน่อย ตอนแรก ฟังก็ เฉย เฉย ครับ พอไปไป มา มา ชักชิน 555
แต่ก็ยังไม่ได้ฟังมากมายอะไร ครับ ....................อิ อิ อิ
ก่อนอื่นผมขอขอบคุณ เฮียมั่นคง คุณเบียส คุณลุงเปี๊ยก คุณพี่ nopphong คุณหมอ คุณสะใจโรคจิต คุณหมูหยอง คุณ Mercury และท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านทั้งที่ประสงค์จะออกนามและไม่ประสงค์จะออกนามที่ ช่วยเป็นกำลังใจให้ผม มีลูกบ้างในการโม้เกี่ยวกับเพลงคลาสสิคมาได้ถึงทุกวันนี้ (ก็ร่วมๆ จะ ครึ่งปีแล้ว)
ในส่วนของกระผมที่มาโม้ในส่วนขจองเพลงคลาสสิคผมก็อาศัยแหล่งข้อมูลจากหลายๆ แหล่งครับ ทั้งจาก Wikipedia, หนังสือ &dquot;ดนตรีแห่งชีวิต&dquot;, หนังสือเรียน แล้วก็สูจิบัตรงานคอนเสิร์ตต่างๆ ครับ รวมกับความมั่วๆ ส่วนตัวของผมครับ ^ ^ ซึ่งอาจจะไม่ตรงใจในบางท่านผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ในการโม้ครั้งนี้ ก็ยังคงอยู่ที่ประวัติศาสตร์ดนตรีคลาสสิคครับ ซึ่งยุคต่อจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) คือยุคบาโรค (Baroque) ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1600 - 1750
ช่วงนี้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญๆ คือ
- โลกเข้าสู่ยุคแสวงหาอาณานิคม ความเชื่อเรื่องโลกแบนได้ถูกลบล้าง ประเทศที่เป็นผู้นำในการแสวงหาอาณานิคมเช่น โปรตุเกส (เริ่มจาก Vasgoda Gama ล่องเรือผ่านแหลง Good Hope ที่แอฟริกาใต้ และไปถึงทวีปเอเชียเป็นผลสำเร็จ) สเปน (ประเทศนี้ไปหาอาณานิคมทางฝั่งอเมริกา หลังจาก Columbus ค้นพบทวีปอเมริกา) และ เนเธอร์แลนด์ (มาทางด้าน เอเชียเช่นกัน แต่ล่องมาทางตะวันออกไกล และอุษาคเนย์)
- ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ความเชื่อทางด้านศาสนายังคงมีอิทธิพลอยู่
- Galileo, Kepler และ Copernicus เปลี่ยนแนวความเชื่อทางศาสนาที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็น พระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบจักรวาล (ซึ่งภายหลังทั้ง 3 ท่านก็โดนขึ้นศาลศาสนา)
- Isaac Newton ค้นพบทฤษฎีด้านกลศาสตร์ (Mechanics) แรงโน้มถ่วงและแคลคูลัส (Calculus) (แต่จริงๆ ผมและหลายๆ ท่านต้องมาปวดหัวเพราะทฤษฎีของตานี่แหละ)
เข้าเรื่องของดนตรีคลาสสิคดีกว่า....
- คำว่า Baroque ถูกนำมาใช้โดย Jakob Burckhandt โดยตานี้ใช้เรียกสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม ซึ่งมีความหมายว่า ศิลปะที่เต็มไปด้วยการตกแต่งรายละเอียดให้มีความลึกซึ้งและให้ความรู้สึกที่อ่อนไหว ซึ่งรวมถึงศิลปะของดนตรีด้วย
- ผลงานดนตรีในยุคบาโรคที่ฟังแล้วให้กลิ่นอายของศิลปะแบบบาโรค จะเด่นชัดในเพลงของ Handel และ Bach
- ในยุคบาโรคตอนต้นดนตรีที่เป็นที่นิยม คือนแนวคีตกวี แนว Monody Style (เพลงร้องทำนองเดี่ยวและมีดนตรีเสียงต่ำคลอประกอบ) ในส่วนของ Polyphony Style ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ยังคงได้รับความนิยมอยู่ตลอดทั้งยุคนี้ ซึ่งปรากฏในบทเพลงประเภท Fugue และ Toccata (อย่างเช่นเพลง Fugue & Toccata ของ Bach)
- แนวดนตรีเริ่มมีการใช้แนวดนตรีที่ดีความนัดกัน (Contrasting) ในส่วนของความช้า-เร็ว, ดัง-เบา ในการบรระลงเพลงเดี่ยว หรือบรรเลงรวมกันเป็นวง ซึ่งรวมอยู่ในเพลงเดียวกัน โดยเพลงเหล่านี้พบในเพลงประเภท Concerto Grosso, Sinfonia และ Cantata
- เพลงในยุคนี้เริ่มมีความยืดหยุนมากขึ้น ผู้บรรเลงเพลงสามารถใช้ทักษะในการเปลี่ยนแปลงบทเพลง บางส่วน โดยยังคงทำนองหลักของผู้แต่งเพลงไว้ โดยการดัดแปลงนี้เรียกว่า Ornamentation หรือการประดิษฐ์เม็ดพรายตกแต่งทำนอง (แปลไทยแล้วแปลกๆ ดีแฮะ) รวมทั้งดนตรีสามารถบรรเลงเดี่ยวแบบสดๆ ได้ (หรือที่เรียกว่า Improvization)
- ในส่วนของเพลงบรรเลงยังคงได้รับความนิยมเช่นเดียวกับเพลงร้อง
- ในปี ค.ศ. 1637 ได้เกิดดนตรี (และละคร) แนวใหม่ขึ้นที่อิตาลี เรียกว่า Opera หรือ อุปรากร
- เพลงโหมโรง (หรือ Overture) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน โดยในช่วงแรกๆ ได้เป็นเพลงบทนำเข้าสู่การแสดงอุปรากร ซึ่งบรรเลงด้วยวง Orchestra ประจำโรงละคร (ตัวอย่างที่หาง่ายๆ ก็ ภาพยนตร์เรื่อง The Phantom of The Opera ครับ เป็นตัวอย่างถึงระบบโรงละครอุปรากรได้ดีเลยครับ) โดยต่อมาเพลงโหมโรง (หรือ Overture) ได้นำมาใช้กับการแสดง Ballet เช่น Swan Lake หรือ 1812 (ผลงานเด่นๆ ของ Tchaikovsky) และได้นำมาใช้กับการแสดงคอนเสิร์ต
- การประพันธ์เพลงในยุคนี้นิยมแต่งเพลงในแนว Contrapunal Style ซึ่งหมายถึง การสลับทำนองจากสูงไปต่ำและต่ำไปสูง ซึ่งมีจดเริ่มมาจากยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (แต่ยังไม่เป็นที่นิยม)
- เริ่มมีการใช้ Major Scale ในแนวเพลงสดใส และ Minor Scale ในแนวเพลงเศร้า ซึ่งในยุคก่อนใช้คำว่า Mode
- เริ่มมีการกำหนดอัตราความเร็วของจังไวะไว้แน่นอน เช่น Allegro (เร็ว), Moderato (ค่อนเข้างเร็ว), Andante (ความเร็วปกติ) และ Largo (ช้า) แต่ในปัจจุบันยังมีอีกหลายคำครับ เช่น Allergetto ซึ่งทางผมจะพยายามหามาเสริมให้ครับ
- เริ่มมีการประพันธ์เพลงลูกผสมระหว่าง Polyphony Style และ Modody Style คือเพลงบรรเลงและมีเสียงต่ำคลอประกอบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรียกเพลงลูกผสมนี้ว่า Basso Continuo โดยเครื่องดนตรีที่เป็นพระเอกของเพลงแนวนี้คือ Harpsichord (ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดนตรีชนิดนี้)
- Johann Sebastian Bach ได้กำหนดมาตรฐานความห่างของเสียง และได้ประพันธ์ The well-tempered Clavier ประกอบด้วยชุดเพลง Prelude 24 บท และ Fugues 24 บท โดยเพลงที่แต่งขึ้นมีครบทุกบันไดเสียง...
ในส่วนของเครื่องดนตรีในยุคนี้นะครับ
- เกิดเครื่องดนตรีที่สำคัญคือ เครื่องสีตระกูล Violin (Violin Family) ซึ่งพัฒนามาจากซอ Rebec และ ซอ Vielle
- โดยเครื่องดนตรีในตระกูล Violin ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Violin Viola Cello และ Double Bass
- เครื่องดนตรีในตระกูล Violin นี้ ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของโลกก็ประดิษฐ์ในยุคนี้เช่นกัน ซึ่งมีอยู่ 3 เจ้า คือ
1. Stradivarius (หลายๆ ท่านก็ได้ยินชื่อนี้ แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ยินเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรียี่ห้อนี้เลย)
2. Guarnerius (เจ้านี้ เจ้าของเป็นญาติกับเจ้าแรก คาดว่าให้อารมณ์ประมาณ Grado กับ Alessando ครับ ซึ่งทั้ง 2 เจ้าอยู่ที่อิตาลีครับ)
และ 3. มั่นคง เอ๊ะ...ไม่ใช่ เจ้าที่ 3 คือ Staniner เจ้านี้เป็นของเยอรมัน (หรือไม่ก็ออสเตรีย) ไม่แน่ใจครับ และเจ้านี้ก็ไม่เป็นที่ติดตลาดเท่า 2 เจ้าบนครับ แต่ยี่ห้อมั่นคงก็ติดตลาดครองใจไปนานแล้วครับ ^ ^
- เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ (Woodwind Instrument) ได้มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะ Oboe, Bassoon และ Flute (ต่อมากลายเป็นเครื่องลมทองเหลือง หรือ Brasswind Instrument)
- สุดยอดเครื่องดนตรีอีกชินดก็ได้ประดิษฐ์ในยุคนี้เช่นกันครับ โดยชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Bartolomeo Cristofori ได้ประดิษฐ์ Piano-Forte ในช่วงปลายยุคบาโรค ซึ่งเครื่องดนตรีนี้มีชื่อมาจากคำว่า Piano (แปลว่า เบา) และ Forte (แปลว่า ดัง) ซึ่งใช้หลักการ ของเครื่องดนตรีนี้ใช้หลักการเคาะ (หรือตี) สาย มนขณะที่ Harpsichord ในหลักการดีดสาย) ซึ่งเครื่องดนตรีนี้ได้วิวัฒนาการต่อมาเป็น Piano ครับ
คีตกวีที่สำคัญๆ ในยุคนี้ ผมคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากนะครับ ได้แก่
- Johann Sebastian Bach - ผลงานเด่น Toccata & Fugues in D Minor, Brandenburg Concerto, Air in G-String และ The Well-Tempered Clavier
- Johann Pachelbel - ผลงานเด่น Canon in D
- George Frederick Handel - ผลงานเด่น Water Music, Firework Music
- Antonio Vivaldi - ผลงานเด่น Four Seasons
- Arcangelo Corelli - ผลงานเด่น ผลงานชุด Concerti Grossi
ในยุคบาโรคประวัติศาสตร์ดนตรีก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ ในยุคต่อไป ยุคคลาสสิค (ตอนจบแล้วครับ) โปรดติดตามนะครับ เร็วๆ นี้
ปล. อธิบายศัพท์
Cantata - เพลงศาสนา
Concerto - การบรรเลงเครื่องดนตรีเครื่องเดียวประชันกับวง Orchestra เช่น Violin Concerto หรือ Piano Concerto
Concerto Grosso - การบรรเลงเพลงในวง Orchestra โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มเล่นประชันกัน
Sinfonia - หรือที่เรียกว่า Symphony - การบรรเลงเพลงในวง Orchestra ร่วมกัน
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อ่านมาถึงตรงนี้ครับ ^ ^
แล้วก็ในวันนี้ ผมขออนุญาตโม้ ปิดในส่วนของประวัติศาสตร์ดนตรีคลาสสิคเลยนะครับ ประวัติศาสตร์ก็ล่วงเลยจากยุคบาโรคเข้าสู่ยุคคลาสสิค (Classic)
ยุคคลาสสิค (Classical) ค.ศ. 1750 - 1820
ในยุคนี้มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญๆ ดังนี้
- เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส โค่นล้มระบอบกษัตริย์ ใน ค.ศ. 1789 ซึ่งการปฏิวัตินี้ถือเป็นแม่แบบของการปฏิวัติรูปแบบการปกครองทั้งในจีนและรัสเซีย
- การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีบทบาทในสังคมมากขึ้น
- โลกเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม
ลักษณะของดนตรีในยุคคลาสสิค
- เพลงบรรเลงได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในขณะที่เพลงร้องเข้าสู่ภาวะถดถอย
- เกิดรูปแบบการบรรเลงเพลง Symphony Orchestra ซึ่งเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องสาย (เช่น Violin, Viola), เครื่องเคาะจังหวะ (เช่น กลอง, ฉาบ), เครื่องลมไม้ (เช่น Oboe, Bassoon) และเครื่องทองเหลือง (เช่นแตร)
- แนวเพลงที่เป็นที่นิยมคือ Solo Concerto (คือการบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีเดี่ยวประชันกับวง Orchestra) ซึ่งเพลงแบ่งเป็น 3 ท่อน
- การประพันธ์เพลง Concerto หรือ Orchestra มีการนำแบบแผน Sonata-Allergro Form เป็นมาตรฐานในการแต่งเพลง
- รูปแบบดนตรีบริสุทธิ์ (Pure Music หรือ Absolute Music) ได้ถือกำเนิดในยุคนี้ ซึ่งดนตรีบริสุทธิ์มีเจตนารมณ์ในการแสดงเทคนิค การบรรเลงดนตรีที่ไพเราะ การสอดประสานของท่วงทำนอง การรับ-ส่งระหว่างทำนอง การล้อเลียนเสียงจากท่วงทำนองหนึ่งไปยังอีกท่วงทำนอง แนวเสียงเน้นเสียงตามหลักทฤษฎี และมาตรฐานการแต่งเพลง ทั้งนี้เพื่อคุณค่าทางศิลปะแห่งดนตรี หรือที่เรียกว่า ศิลปะเพื่อศิลปะ (Art for Art)
- การบรรเลงเพลงเปลี่ยนไปใช้การบรรเลงแนว Homophony Style ซึ่งก็คือ การบรรเลงดนตรีที่มีการเล่นดนตรีคลอประกอบเป็นช่วงๆ
- ความวิจิตรบรรจง และความพริ้วไหวของดนตรีมีความพริ้วน้อยกว่าดนตรีในยุคบาโรค
- ในยุคนี้นักประพันธ์มีความเป็นเอกเทศมากขึ้น โดยไม่ต้องยึดติดกับต้นสังกัด (เช่น โบสถ์ หรือชนชั้นปกครอง) ดังนั้นนักแต่งเพลงจึงมีความคิดที่เป็นอิสระและสามารถแสดงอารมณ์ของตนเองลงในบทเพลงได้อย่างเต็มที่
- แนวเพลง Basso Continuo และ Improvization (หรือ Improvisation) ไม่ได้รับความนิยมเฉกเช่นในยุคบาโรค
- มีการจัดระเบียบแนวเพลงอุปรากรใหม่ โดย Christoph Willibald Gluck นักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ซึ่งจัดรูปแบบของเพลงอุปรากรให้เป็นแบบแผน ต่อมา ท่าน Gluck ผู้นี้ได้รับสมญานามว่าเป็น บิดา (หรือผู้ปฏิวัติ) แห่งอุปรากร
ในส่วนของเครื่องดนตรี
- Piano มีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่ Harpsichord แทบจะเก็บเข้ากรุ
- Charl Philip Emmanuelle Bach (Bach อีกแล้ว) เป็นผู้วางรากฐานการกำหนดมาตรฐานของการบรรเลง Piano
คีตกวีในยุคนี้มีหลากหลายมากมาย เช่น
- Wolfgang Amadeus Mozart
- Ludwig van Beethoven
- Franz Joseph Haydn
- Franz Liszt
- Franz Seraph Peter Schubert
- Nicolo Paganini
- Frederic Chopin
และอื่นๆ อีกมากมายครับ
ดังนั้นแล้วจึงไม่เป็นที่น่าแปลงกใจเลยครับว่า ทำไมเพลงบรรเลงที่ฟังๆ กันอยู่นี้ ถึงได้เรียกว่าเพลงคลาสสิค...
ในส่วนของประวัติศาสตร์ดนตรี ที่ผมนำมาปรับปรุง (ให้งงกว่าเดิม) ก็จบแต่เพียงเท่านี้ครับ
ท้ายนี้ผมขอขอบคุณท่านผุ้อ่านทุกๆ ท่านที่ได้ให้กำลังใจ ให้ผมบ้าโม้มาได้จนจบครับ
ขอบคุณครับ...
คารวะ 1 จอก
แล้วก็ โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้ครับ....
ปล. แก้คำผิดจากครั้งที่แล้วครับ
1. ในส่วนของ ยี่ห้อของ Violin เจ้าที่ 3 ผมสะกดผิดครับ ที่ถูกต้อง สะกดเป็น Stainer ครับ
2. ในส่วนของ Piano-Forte ผมเข้าใจผิดครับ คือ Piano-Forte ก็คือ Piano ในปัจจุบันครับ ซึ่งได้ตัดคำว่า Forte ออกไป เนื่องจากยาวเกิน ครับ
ผมต้องขออภัยในความผิดพลาดของผมด้วยครับ
ขอเสริมความเกี่ยวกับ เครื่องดนตรีตระกูล Violin ยี่ห้อ Stradivarius หรือทชื่อเต็มๆ ว่า Antonius Stradivarius ครับ
โดยเครื่องดนตรีตระกูล Violin ซึ่งประกอบด้วย Violin, Viola, Cello และ Double Bass โดยเครื่องดนตรีเหล่านี้ดังที่ผมได้กล่าวไว้ ผู้ผลิตที่ถือว่าเป็นอันดับ Top 3 ของโลกได้แก่ Stradivarius, Guanerius และ Stainer ซึ่งเจ้าของมีชื่อว่า Antonio Stradivari ผู้นี้ได้ศึกษาวิชาการดนตรีจาก Niccolo Amati ที่เมือง Cremona พร้อมๆ กับ Andrea Guarneri ซึ่งผู้นี้เป็นปู่ของ Giuseppe Guarnerin เจ้าของแบรนด์ Guarnerius แต่อย่างไรก็ตามชื่อของ Antionio Stradivari ก็ยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ผลิต Violin ที่สุดยอดที่สุดครับ
เครื่องดนตรีที่ผลิตโดย Stradivari นอกจาก Violin แล้ว ยังมีเครื่องสายประเภท Viola, Cello และ Double Bass ด้วยครับ
นักดนตรีระดับโลก อย่างเช่น Nicolo Paganini ก็ได้ใช้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้ในการบรรเลง ซึ่งรับประกันถึงคุณภาพได้ว่าสินค้าจากร้านเฮียมั่นคงดีทุกตัว เอ๊ะจะเขียนอย่างนี้นี่หว่า...... เครื่องดนตรีที่ผลิตโดย Stradivari มีคุณภาพดีและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และได้สถิติไว้ว่าเป็น 1 ในเครื่องดนตรีที่แพงที่สุดในโลกครับ
555 หูย หูย.... มาเป็นชุด สุด บรรยาย จริง จริง เยี่ยม ครับ คาราวะท่าน 1 จอก เอี๊อก..........อิ อิ อิ อิ
เนื่องในโอกาสที่กระทู้ของผม มีผู้ชมเกิน 7500 คน (ค่อนหมื่น) และกระทู้ที่ตอบไป ถึง 200 Replies ทางผมก็ใครขออนุญาตเฮียมั่นคง และคุณเบียส สมนาคุณกับท่านผู้มีอุปการะคุณกับกระทู้ของผมนะครับ
คือ ผมจะแจกแผ่นเพลงคลาสสิค ให้กับผู้ที่ตอบคำถามนี้ถูกต้องเป็นท่านแรกนะครับ
ผมใคร่ขอเรียนเชิญเฮียมั่นคงและคุณเบียส และท่านอื่นๆ ร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วยนะครับ
คำถามนะครับ
นักแต่งเพลงที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเฮียมั่นคงท่านนี้คือใครครับ?
คำใบ้ 1. ชื่อของนักแต่งเพลงท่านนี้ผมได้โม้เพลงของท่านนี้ไว้แล้ว แล้วก็เป็นที่รู้จักกันพอสมควรด้วยครับ
ผู้ที่ตอบถูกเป็นท่านแรกรับไปเลยครับ แผ่น CD Dr.Sax Chamber Orchestra อัลบั้ม Great compositions for chamber orchestra ซึ่งในแผ่นนี้ประกอบด้วยเพลง
- Mozart Divertimento
- Tschaikovsky Serenade
- Bartok Divertimento
หมดเวลาร่วมสนุกวันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2551 เวลา 22.00 น. นะครับ
ประกาศรายชื่อผู้โชคดีวันที่ 21 พฤษภาคม 2551 (หรือเร็วกว่านั้น หากมีผู้ตอบถูกก่อน)
สำหรับของรางวัล รับได้ที่ร้านมั่งคงสาขาประตูน้ำ (ต้องรบกวนเฮียมั่นคงด้วยนะครับ) วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2551 (หรือเร็วกว่านั้น)
ส่วนผู้ที่ไม่สะดวกมารับ ผมขออนุญาตจัดส่งให้ทางไปรษณีย์นะครับ
ปล. เพิ่งรู้ว่าเฮียมีฝาแฝดเป็นนักแต่งเพลงด้วยนะครับ ^ ^
ฮือ ฮือ น้ำตาจะไหล...........
ขอบคุณน้อง Collagen มากๆ เลยครับ ที่ช่วยเหลือเฮียมากขนาดนี้ ช่วยเขียนให้ยังไม่พอ ช่วยหารางวัลมาแจกกันอีก...........
ลำพังเว็บเฮงซวยของเฮียก็ไม่ค่อยมีสาระกับเค้าเท่าไหร่นัก มาได้กระทู้ดีๆๆ ของน้อง Collagen นี่ล่ะ ที่เชิดหน้าชูตาเว็บเฮียจริงๆๆๆ เพราะถ้าหวังแต่กระทู้หรือรีวิวของเฮีย มีแต่รังจะทำให้เว็บติงต๊องไปทุกที
เป็นกระทู้ที่เน้นสาระ ความรู้ ที่อ่านสนุกและน่าติดตามจริงๆๆ
ขอบคุณเท่าไหร่ถ็ไม่พอจริงๆๆๆ
ผมก็ต้องขอขอบคุณเฮียมั่นคงแล้วก็คุณเบียสเป็นอย่างมากเลยครับที่สละเนื้อที่ให้ผมได้มีโอกาสมานั้งโม้ ในส่วนที่ผมแจกรางวัลอันนี้ ผมก็ต้องรบกวนเฮียมั่นคงอีกเช่นที่ต้องขอรบกวนสถานที่ในการแจกของรางวัล อันที่จริงในตอนแรกผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้ชมได้มากขนาดนี้ ที่กระทู้ผมมาได้ขนาดนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณเฮียมั่นคง คุณเบียส และท่านอื่นๆ ที่คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ผมครับ... ถ้าผมไม่ได้เว็บของเฮียมั่นคงผมก็คงไม่ได้มีโอกาสเหมือนเช่นวันนี้ที่มานั่งโม้ แล้วก็ต้องขอขอบคุณรีวิวดีๆ ของอาเฮียที่ทำให้ผมได้มีความสขุกับเพลงที่ผมชอบทั้งเพลงคลาสสิคและเพลงอื่นๆ ครับ ในส่วนของรางวัลก็ไม่ได้มีราคาอะไรมากมายเท่าไรครับ ผมก็อยากจะตอบแทนให้กับหลายๆ ท่านรวมทั้งเฮียมั่นคง คุณเบียส และท่านอื่นๆ ครับ
ตรงนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณอาเฮียมากๆ เลยครับ...
ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
ปล. สงสัยผมต้องไปหารางวัลมาเพิ่มอีกสักหน่อยดีกว่า ^ ^
คำใบ้อีกนิดนะครับ ปกติรูปของท่านนี้ที่เห็นจนชินตามักจะเป็นรูปที่ใส่วิกครับ รูปนี้เป็นรูปที่ไม่ได้ใส่วิกนะครับ
ผมตอบว่า George Frideric Handel ล่ะกันครับ
เพราะหน้าเหมือนคนข้างบ้านมากๆ
ขอเพิ่มเติมรายละเอียด George Frideric Handel คีตกวีชาวเยอรมัน(แต่ต่อมาได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นอังกฤษ) เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 1685 (ปีเดียวกัน บาทหลวงเดอ ชัวสี ตาซารต์ ทูตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยใน สมัยพระนารายณ์ )หลังๆมันเกียวอะไร..
ผมขอตอบอีกครั้งว่า คุณ Handel แน่นอน
ขอมั่วด้วยคนครับว่าเป็น
Johann Chrysostom Wolfgang Amadeus Mozart
ต้องเป็น
แน่นอน ฟันธง อิอิ
ผมว่าต้องเป็น เฮียมั่นคง
หน้าเหมือนเฮียอย่างนี้จะเป็นใครไปได้ ฟันธง อิอิ
555 เยี่ยมไปเลย ครับ 555 ขอบคุณ คุณ Collagen แทนทุกท่าน ด้วย คนครับ
ขอบคุณที่แวะมาช่วยสร้างสีสันให้ Web เป้นระยะ ระยะ ขอบอกได้ คำเดียวว่า คุณ
Collogen ซู๊ด...ดด ยอ...ดด อิ อิ อิ
อ่าาาาา เฮียมั่นคงอุตส่าห์โปรโมท กระทู้อัน้อยนิดของผมซะมโหฬารขนาดนี้ ผมก็ขออนุญาตแจกอีก 1 รางวัลนะครับ
แต่รางวัลนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลงคลาสสิคสักเท่าใดนะครับ โดยของรางวัลรอบนี้เป็น
DVD Consert &dquot;Music for Monserrat&dquot; ครับ โดยแสดงที่ The Royal Albert Hall เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ปี 1997 (เก่าดี)
ซึ่งมีนักร้องคุณภาพอย่าง Eric Clapton, Phil Collins, Sir Elton John, Sir Paul McCartney ร่วมแสดงด้วย
ในส่วนของคำถามผมก็ขอเป็นคำถามเดิมนะครับ แต่ในรอบนี้ ผมขออนุญาตเปลี่ยนกติกานิดหน่อยนะครับ โดยอธิบายดังนี้
1. ท่านที่ตอบคำถามถูกเป็นท่านแรก ได้รางวัลไปแน่ๆ ครับ และเลือกได้ครับว่าจะรับรางวัลไหน
2. สำหรับท่านที่ตอบถูกเป็นอับดับ 2 ไปเรื่อยๆ ผมขออนุญาตสุ่มรายชื่อผู้โชคดีนะครับ
ท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกๆท่านที่ร่วมสนุกกับกิจกรรมในครั้งนี้ แล้วก็ที่สำคัญอย่างยิ่งคือเฮียมั่นคงและคุณเบียส ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการจัดกิจกรรมบ้าๆบอๆ ครั้งนี้ครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ
George Frideric Handel ครับ
นักประพันธ์ ชาว เยอรมันชัวร์คับ อิอิ
ของรางวัล ในวันนี้ผมได้นำไปฝากไว้ที่ร้านมั่นคงสาขาประตูน้ำแล้วครับ ซึ่งในจุดนี้ผมต้องขอขอบคุณ เฮียเบียส คุณปิงปิง พี่โอ๊ค เป็นอย่างมากเลยครับ...
ขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับหูฟังดีๆ ที่ผมได้ลองในวันนี้ แล้วก็คำแนะนำดีๆ รวมทั้งกำลังใจครับ
เอ้า เพื่อร่วมสนุกกับ Collagen ผมเพิ่มรางวัลเป็น Sennheiser MX400 1 ตัวครับ น้อง Collagen ถ้ามาอ่านเจอ ก็จัดการเรื่องของรางวัลได้เลยครับ จะแจกยังไงก็สุดแท้แต่น้อง Collagen ละกันครับ
เอ้า รางวัลเพิ่มอีก 1 รายการแล้วเด้อ
Sennheiser MX400 ใครก็สามารถร่วมสนุกได้นะครับ 555
ของรางวัลชิ้นนี้รับได้ที่ประตูน้ำเช่นกันคร้าบบบบ
555
โอ้.... ขอขอบคุณเฮียมั่นคงมากเลยครับ ฮือ...ฮือ.... น้ำตาจะไหล ซึ้งใจเป้นอย่างยิ่งเลยครับ ที่เฮียให้ความเมตตากับกระทู้น้อยๆ ของผม T-T ผมปลื้มใจอย่างสุดซึ้ง เลยครับ ทั้งในเรื่องการแนะนำสินค้าที่ให้ผมได้สินค้าในสิ่งที่ผมชอบในราคาที่เหมาะสมหรือแม้กระทั่ง การบริการหลังการขายของหูฟังตัวต่างๆ และ Player ด้วยครับ... ผมรู้สึกรบกวนแล้วก็เกรงใจเฮียมั่นคง เฮียเบียส คุณตั่วปุ๊ย คุณลุงเปี๊ยก แล้วก็พนักงานร้านเฮียหลายๆ ท่านมาเลยครับ ทั้งพี่โอ๊ค พี่ปิงปิง พี่โม และลูกค้าอีกหลายๆ ท่านที่ให้คำแนะนำแก่คนเล่นหูฟังตัวบางๆ อย่างผม และสุดท้ายผมต้องขอบคุณ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของผมที่แนะนำร้านนี้ และ หูฟัง iPod ของผม ถ้าหากว่ามันไม่หาย ผมก็คงไม่ได้รู้จัก สุดยอดร้านหูฟัง อย่าง &dquot;ร้านมั่นคง&dquot; ครับ...
ปล. เพลงคลาสสิคในส่วนของผม ผมจะทยอยเอาแผ่นไปให้ทางคุณปิงปิง Rip นะครับ
ปล. 2 ผมว่า ผมต้องหาเวลาว่างๆ สักวันเข้าไปคารวะเฮียมั่นคง นะครับ...
เล่นด้วยคนนะครับ...George Frideric Hande (จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล )....ตอบไปไม่รู้กี่คนแล้ว
โผล่มาแสดงตัวว่าตามอ่านอยู่ครับ *: )
ขอชื่นชม Collagen ในน้ำจิตน้ำใจ ในความสุภาพ ในอัธยาศัยที่น่ารักต่อทุก ๆ คน บทความที่เขียนมาทั้งหมด มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ๆ ทั้งกับผู้เริ่มต้น และผู้ที่สนใจเช่นผม นับเป็นอุตสาหะที่ควรต่อการแสดงความชื่นชมจากใจครับ
สุดยอดดดดด !
ทำไมๆ ไม่ทายแนว gothic บ้างอ่า แต่ขอ คารวะ ให้คุณ Collagen จริงๆครับ สุดยอดมากๆ
เอ้า เฮียขอคารวะต่อจากเฮียเปี๊ยกมั่ง...........
ผมเองยอมรับเลยครับ ว่าการเอาความรู้ต่างๆ ในด้านดนตรีคลาสสิคมาถ่ายทอดให้อ่านกันถึงในมุ้งแบบนี้ และใช้ความยาวนานต่อเนื่องแบบนี้ ผมบอกตามตรง ผมเห็น Collagen เป็นคนแรก และเป็นคนเดียว
เพราะอะไร ?????
การทำบทความตามหนังสือ หรือตามสถานที่อื่นๆๆ นั้น มักจะมีผลตอบแทน มีค่าแรงไม่มากก็น้อย บางคนรับทำบทความเป็นอาชีพด้วยซ้ำไป
แต่ !!!! Collagen ทำฟรีๆๆๆ ครับ ผมสาบานได้ว่า ไม่เคยเสนอค่าแรงหรือรางวัลให้ Collagen เลย แถมน้อง Collagen ยังต้องมาเสียสตางค์ในการเอานู่นเอานี่มาแจกอีก...
Collagen เป็นน้องที่สุภาพ อ่อนน้อม เป็นเด็กใสๆๆ ที่อนาคตยังอีกไกลนัก ขอให้น้องประสพความสำเร็จในชีวิตทุกด้านด้วยเทอญ...............
คารวะอีกหน...........
เล่นเอาผมเขินไปเลยครับ ...
ผมว่าเฮียมั่นคงก็กล่าวเกินไป....เขินเลย ผมก็แค่คนบ้าๆ บอๆ เท่านั้นเองครับ อันที่จริงผมต้องขอบคุณทางเฮียมั่นคงและท่านอื่นๆ มากกว่าที่เปิดโอกาสให้ผมได้มีโอกาสมาขีดๆ เขียนๆ เรื่องราว บ้าๆ บอๆ เกี่ยวกับเพลงคลาสสิค ซึ่งผมก็ว่าไปเรื่อยๆ ครับ เผื่อว่าจะมีคนมาสนใจเพลงคลาสสิคมากขึ้น เพราะผมก็เชื่อว่าเพลงคลาสสิกก็เป็นเพลงที่ฟังได้ง่ายๆ ทั่วๆไป ครับ ไม่จำเป็นต้องไต่กระไดฟังหรอกครับ...
ท้ายนี้ผมก็ขอขอบคุณมากๆ เลยครับ
ปล. ขอขอบคุณคุณแพะด้วยครับที่ Copy ข้อมูลไปที่ ear-hifi ด้วยครับ (จะได้สะดวกต่อการค้นหา)
555 แวะมาคาราวะมั่ง ครับ เอ้า คำนับครั้งที่ 1 เอ๊ย!! 5555 ช่าย ครับ คุณ Collagen นี่แก เป็นคนจิตใจงดงาม ครับ คุยด้วยกี่ครั้งก็
รู้สึกประทับใจในรอยยิ้มทุกครั้งไป ครับ 5555
และกระทู้ี่ผ่านร้อนหนาวมาจนถึงตอนนี้ได้เนี่ย ก็ถือ สุดยอดละ ครับ ยังไงก้ขอ คาราวะอีก 1 จอกก็แล้วกัน ครับ เอี๊อก !!! .............อิ อิ อิ
ตอนนี้ก็หมดเลยในส่วนของการเล่นเกมส์แล้วครับ ผมก็ขอเฉลยคำถามร่วมสนุกนะครับ
คำเฉลยของ คำถามที่ผมถามนะครับ นักแต่งเพลงท่านนี้ก็คือ George Frederick Handel ครับ
ผมก็ขออนุญาตเขียนถึงชีวประวัติของท่านสักหน่อยนะครับ
Handel เกิดที่เมือง Halle ในแค้วน Turingen เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 (พ.ศ. 2228) ซึ่งเกิดในปีเดียวกับ Johann Sebastian Bach และ Domenico Scarlatti ในช่วงเด็ก บิดาของ Handel มีความต้องการให้ Handel เรียนกฏหมาย ถึงแม้ว่า Handel มีความสามารถในการเล่น Organ มาตั้งแต่เด็ก และเมื่ออายุได้ 10 ปี การเล่น Organ ของ Handel ได้ประทับใจ Duke Johann Adolf of Weisenfels แต่ถึงกระนั้นบิดาของ Handel ก็ยังต้องการให้เรียนกฏหมาย และ Handel ก็ได้สืบสานความต้องการของบิดาและได้เรียนกฏหมายที่ University of Halle แต่ในภายหลัง Handel ก็หันมารับงานด้านดนตรีเพียงอย่างเดียว
งานแรกของ Handel ในอาชีพดนตรีคือการเป็นนักเล่น Organ ที่โบสถ์ในเมือง Halle หลังจากนั้นในปี 1703 (บางแห่งกล่าวว่าเป็นปี 1704) Handel ได้ลาออกจากการเป็นนัก Organ และเดินทางไปยังเมือง Hamburg ซึ่งเป็นศุนย์กลางทางดนตรีของเยอรมัน โดย Handel ได้เริ่มงานด้วยการเป็นนัก Violin ประจำโรงอุปรากรที่เมืองนี้ และได้เป็นนักเล่น Harpsichord ต่อไป Handel ได้แต่งอุปรากร 2 เรื่องแรก ได้แก่ Almira และ Nero สำเร็จในปี 1705 โดย Almira เป็นอุปรากรเรื่องแรก แต่งเป็นภาษาเยอรมัน 44 ตอน และ อิตาเลียน 15 ตอน ในระยะแรกได้รับความนิยมพอสมควร แต่นานไปๆ ก็หมดความนิยม โดยผู้คนเริ่มมีความนิยมในอุปรากรอิตาเลียน ซึ่งทำให้ Handel เดินทางไปยังอิตาลี ในปี 1706 - 1709 โดยได้พำนักที่ Rome, Florence และ Naplesตามคำเชิญชวนของ Gian Gastone de&squot; Medici และได้ประลองฝีมือกับ Scarlatti ซึ่งผลปรากฏว่าในการแข่ง Harpsichord ผลเสมอกัน แต่ในส่วนของ Organ แล้ว Handel ชนะขาด
ในปี 1709 Handel เดินทางมายังเมืองเวนิช เพื่อเตรียมการแสดงอุปรากรเรื่อง Agrippina ในเมืองนี้ Handel ได้พบกับ Prince Ernst August อนุชาของผู้ครองแคว้น Hannover ตลอดจน Duke of Manchester ผู้ดำรงตำแน่งทูตอังกฤษประจำราชสำนักเวนิช ซึ่งทั่งสองได้เสนอให้ Handel มาทำงานทั้งใน Hannover และ London โดย Handel ตกลงใจไปทำงานที่ Hannover ก่อน โดยมีข้อแม้ว่าเขามีสิทธิ์ที่จะลาไป London ได้ในตามที่ต้องการ
ในปี 1710 Handel มารับตำแน่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำราชสำนัก Hannover และต่อมาในปีเดียวกันเขาก็ขอลาเดินทางมายังกรุง London ซึ่งในขณะนั้นกระแสความนิยมอุปรากรอิตาเลียนยังคงได้รับความนิยมอย่างสูง ระหว่างที่พักอยู่ใน London ทาง Handel ได้เขียนอุปรากรเรื่อง Rinaldo ขึ้นและประสบความสำเร็จอย่างมากมาย หลังจากที่เดินทางมาที่ London ได้ 6 เดือน Handel ได้กบับไปทำงานตามเดิมที่ Hannover ซึ่งในขณะนั้นเมือง Hannover เป็นเมืองขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่โตหรูหราเท่ากรุง London โดย Handel เห็นว่าเขามีโอกาสที่จะได้รับชื่อเสียงและเงินทองมากมายในนครหลวงของอังกฤษมากกว่าที่ Hannover ซึ่งรายได้ที่เมือง Hannover มีเพียงเงินรายปีเท่านั้น
ดังนั้นในปี 1712 Handel ได้ขอลาไปอังกฤษอีกครั้ง โดยมีเงื่อนไขว่าจะไปในเวลาพอสมควร แต่ในคราวนี้ Handel ไปแล้วไปเลย โดยไม่กลับมายัง Hannover อีก ชีวิตใน London ทาง Handel ได้แต่งอุปรากรขึ้นมาอีกและมีรายได้ปีละ 200 ปอนด์ (เงินในสมัยนั้น ก็ถือว่ามากพอสมควร) จากพระราชินี Anne ในการแต่งเพลงถวาย ซึ่ง Handel พักอยู่ที่ London 2 ปี โดยไม่คิดที่จะกลับไป Hannover อีกเลย แล้วความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพระราชินี Anne เส็ดจสวรรคต แล้วเจ้านายเก่า (ผู้ครองแคว้น Hannover) ได้เป็นกษัตริย์อังกฤษโดยมีพระนามว่า King George I ซึ่งทำให้ Handel ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ทว่า Handel ก็ขอคืนดีกับพระเจ้า George ที่หนึ่งโดยแต่งเพลง Water Music ถวายระกว่างเสด็จประพาสแม่น้ำเทมส์ ซึ่งทำให้ Handel กลายเป็นคนโปรดของพระเจ้ากรุงอักฤษอีกครัง และพระองค์ได้พราะราชทานรายได้อีกเท่าตัวนอกจากนี้ Handel ยังมีรายได้จากคนอื่นๆ อีก
ในปี 1723 Handel ได้ย้ายไปอยู่ในบ้านใหม่ที่ 25 Brook Street London ซึ่งเป็นบ้านเช่าและได้เช่าอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1759 (ต่อมาบ้านหลังนี้ได้ดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ Handel และได้เปิดในปี 2001)
ในปี 1727 พระเจ้า George II แห่งอังกฤษได้ขึ้นครองราชย์ ทาง Handel ได้แต่งเพลงในพระราชพิธีราชาภิเษก ซึ่งเพลง Zadok the Priest (เป็นบทเพลงหนึ่งในชุดนี้) ได้กลายเป็นเพลงที่มีการบรรเลงทุกครั้งเมื่อมีพิธีราชาภิเษก
ในระหว่างที่ Handel พำนักอยู่ที่อังกฤษ Handel ได้แต่งอุปรากรมากกว่า 45 เรื่อง และได้ออกแสดงทั้งในอังกฤษและยุโรป โดยอุปรการของ Handel มักมีปัญหากับนักร้องนากเอกเสมอๆ แต่สุดท้าย Handel มักจะเป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากท่าที่ที่ไม่ค่อยจะยอมทำตามนักร้องที่ต้องการแก้บทเพลง
หลังจากประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ความนิยมในอุปรากรอิตาเลียนก็เสื่อมลง โดยผู้คนหันมานิยมอุปรากรที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษและมีเนื้อเรื่องในลักษณะล้อเลียนเสียดสี ทำให้บริษัทจัดการแสดงอุปรากรแบบอิตาเลียนของ Handel แทบล้มละลาย ถึงแม้ว่าจะเพิ่มทุนเข้าไปอีก 10,000 ปอนด์ ก็ไม่สามารถทำให้สถานะทางการเงินดีขึ้น
เมื่ออุปรากรแบบอิตาเลียนไม่มีทีท่าว่าจะกลับมารุ่งเรืองได้อีกทาง Handel จึงหันมาแต่งเพลง Oratorio ซึ่งเป็นเพลงศาสนา โดยเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Messiah ซึ่งได้แต่งขึ้นในปี 1741 และนำออกแสดงครั้งแรกในวันที่ 13 เมษายน 1742 โดยเพลงนี้ใช้เวลาแต่งเพียง 24 วัน การแสงดครั้งแรกของเพลงนี้แสดงที่ New Musick Hall ที่ถนน Fishamble เมือง Dublin โดยมีเด็กชาย 26 คน และบุรุษ 5 คน จากวงประสานเสียง St. Patrick&squot;s and Christ Church (Choir of St. Patrick&squot;s and Christ Church) บรรเลงเพลงนี้ เมื่อพระเจ้ากรุงอังกฤษได้ฟสดับก็ทรงเต็มตื้นด้วยความรู้สึกในท่อน Hallujah Chorus จนถึงกับทรงลุกขึ้นยืน และนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็กลายเป็นธรรมเนียมที่ผู้ฟังจะลุกขึ้นยืนเมื่อมีการบรรเลงเพลงนี้ถึงท่อนทำนองนั้น
โดยเพลง Messiah ได้กลายเป็นเพลง Ortorio สำหรับบรรเลงในช่วงคริสต์มาสและร้องกันตามโบสถ์ต่างๆ จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่ก่อให้เกิดความรู้สึกประทับใจและยิ่งใหญ่เพราะเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงใจ มีความผ่าเผย และโน้มน้าวให้เกิดความรู้สึกทางศาสนา ครับ...
ในปี 1749 Handel ได้แต่งเพลง Music for Royal Fireworks ซึ่งมีการจุดพลุในเรือกลางแม่น้ำเทมส์ (หากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Shanghai noon - ถ้าผมจำไม่ผิด ที่ Jackie Chan เล่นคู่กับ Owen Wilson โดยเนื้อกล่าวถึงประเทศอังกฤษในยุค Victoria ก็มีฉากการจุดพลุกลางแม่น้ำเทมส์) โดยการแสดงครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมฟังถึง 12,000 คน และมีรายงานผู้เสียชีวิต 3 คน และ 1 ในนั้นเป็นนักดนตรี
ในเดือนสิงหาคม ปี 1750 ระหว่างการเดินทางจากเยอรมันี กลับไปยังกรุง London Handel ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทางจากกรุง Hague และเมือง Haarlem ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อมาในปี 1751 Handel สูญเสียการมองเห็น และตาบอดไป 1 ข้าง
ชีวิตในช่วงสุดท้ายของ Handel แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียง และได้รับการอุปถัมภ์เป็นอย่างดีจากกษัตริย์ของอังกฤษ แต่การดำเนินชีวิตก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายกับเพื่อนสนิท 2-3 คน เขามักจะนั่งดื่มเบียร์และสูบกล้องยาเส้นอยู่เงียบๆ ในฐานะที่เป็นคนโสดมาทั้งชีวิต
เขามีความหวังว่า หากตากจะของตายในวัน Good Friday และในวันที่ 13 เม.ย. 1759 (พ.ศ. 2302) ซึ่งเป็น Good Friday นักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้จากไปเมื่ออายุได้ 74 ปี โดยศพของเขาได้ฝังรวมกับบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของอังกฤษที่ มหาวิหาร Westminster โดยมีบทเพลงมากกว่า 600 บทเพลงที่ Handel ได้ทิ้งไว้เป็นมรคก...
หากท่านในสนใจว่าผลงานของ Handel มีอะไรบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_compositions_by_George_Frideric_Handel ครับ
ปล. เสริมความ Good Friday ครับ Good Friday คือวันศุกร์ก่อนวันฟื้นคืนชีพของพระเยซู (หรือวัน Easter ซึ่งหมายถึงวันอาทิตย์หนึ่งหลังจากพระจันทร์เต็มดวง เมื่อฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านไปของแต่ละปี) Good Friday เป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกตอกตรึงไม้กางเขน ในวันนี้จะงดการรับประทานเนื้อสัตว์ และในโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิคตะไม่มีการประกอบพิธีมิสซาครับ....
สำหรับผู้ที่ตอบถูกเป็นท่านแรก ก็คือคุณ JoMoRo ครับ
และท่านที่ตอบถูกท่านอื่นๆ ได้แก่ คุณ bankhalkdown, คุณ 5fbcq, คุณ auintei, คุณทอง และ คุณโนริสาหร่าย ครับ
ซึ่งตามกติกา ผมขอสงวนสิทธิ์ในของรางวัลโดยให้คุณ JoMoRo เป็นผู้เลือกก่อนนะครับ
โดยของรางวัลได้แก่
1. CD Dr.Sax Chamber Orchestra อัลบั้ม Great compositions for chamber orchestra
2. DVD Consert &dquot;Music for Monserrat&dquot;
3. หูฟัง Sennheiser MX-400 (ที่อนุเคราะห์โดยเฮียมั่นคง)
4. รางวัลปลอบใจ
ในส่วนนี้ผมคิดๆ ดูแล้วครับ ก็แจกให้กับผู้ที่ตอบถูกทุกท่านเลยดีกว่า แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ในของรางวัลโดยให้คุณ JoMoRo เลือกก่อน และในส่วนรางวัลที่เหลือผมขออนุญาตสุ่มรายชื่อผู้โชคดีครับ
ในส่วนของคุณ JoMoRo ผมขอรบกวนคุณ JoMoRo ตอบกลับว่าจะเลือกรางวัลใด ภายในวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2551 เวลา 21.30 น. นะครับ หากหลังจากนั้น ผมขออนุญาตสุ่มรางวัลให้ครับ
สำหรับท่านอื่นๆ รบกวนแจ้งความจำนงว่าจะรับรนางวัลที่ร้านเฮียมั่นคงสาขาประตูน้ำหรือจะให้จัดส่งไปครับ
ขอบคุณครับ
ต้องอีก Post ท่านที่ตอบถูกใดที่มีเมลล์แจ้งไว้ในเว็บนี้แล้ว ผมขออนุญาตส่งเมลล์ไปแจ้งทาง e-mail นะครับ
ปล. e-mail ผม (ไม่เป็นทางการ) matrixmetalloproteinase แอด yahoo จุด คอม ครับ
ในส่วนของของรางวัลของท่านอื่นๆ ผมขออนุญาตประกาศในวันที่ 22 พ.ค. 2551 เวลา 22.00 น. นะครับ
ในส่วนของคุณ JoMoRo, Auinteiม ฺBankhalkdown และคุณ โนริสาหร่าย ผมได้ส่ง e-mail ไปให้แล้วนะครับ ตาม e-mail ที่ได้แจ้งไว้ในเว็บนี้ครับ
รบกวนคุณทองและคุณ 5fbcq ช่วยตอบกลับมาด้วยนะครับว่าสะดวกรับรางวัลอย่างไรครับ
มีชื่อผมด้วยแหะ ผมคงเป็นจัดส่งนะครับ ที่อยู่ผมเฮียก็มีครับ ช่วงนี้ร้อนแรง
เดี๋ยวรายละเอียดจะมาบอกนะครับขอตัวไปกินข้าวก่อน หิวจนลมออกหูแล้ว
ขอบคุณคุณ Collagen เป็นอย่างมากครับที่เมลล์มาผมเห็นจากเมลล์นี่ละ
ขอบคุณสำหรับน้ำใจในการแบ่งปันด้วยครับ...ผมดีใจที่อย่างน้อยผมได้รู้จักคนอย่างคุณ
อย่างแรกผมก็ต้องขอขอบคุณคุณ Collagen ที่จัดกิจกรรมดีดีขึ้นให้ พวกเรารวมสนุกกัน แล้วที่ขาดไม่ได้ก็คือ เฮียมั่นคง ที่ทำให้มีเว็บบอร์ดดีดีให้เราแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆกัน ขอบคุณมากๆนะครับ
ผมขอเลีอกเป็น หูฟัง Sennheiser MX-400 แล้วกันนะครับ
ผมคงจะให้จัดส่งมาล่ะกันนะครับ ที่อยู่ผมจะส่งไปให้ทาง mail ที่ได้รับข้อความมานะครับผม
สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ผมจะไปรับของรางวัลเองที่ พันทิปประตูน้ำนะคับ จะเข้าไปเอาพร้อมkoss35 ขอบคุณ ท่านCollagen มากคับ
ผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลจากการร่วมสนุกครับ...
ทางคุณ JoMoRo ได้ตัดสินใจเลือก รางวัลหูฟัง Sennheiser MX-400 ไป
ในส่วนของรางวัลที่เหลือ ผมได้ส่มรายชื่อและขอประกาศรายชื่อผู้โชคดีดังนี้ครับ
1. หูฟัง Sennheiser MX-400 ผู้ที่ได้รับรางวัล ได้แก่คุณ JoMoRo
2. CD Dr.Sax Chamber Orchestra อัลบั้ม Great compositions for chamber orchestra ได้แก่คุณ ทอง
3. DVD Consert &dquot;Music for Monserrat&dquot; ได้แก่คุณ Bankhalkdown
4. รางวัลปลอบใจ ได้แก่ คุณ โนริสาหร่าย, คุณ Auintei และคุณ 5fbcq ครับ
ในส่วนของคุณ JoMoRo และคุณ Auintei และคุณ โนริสาหร่าย ผมจะประสานกับทางเฮียมั่นคงเพื่อจะได้จัดส่งของรางวัลให้ถึงที่เลยครับ
ส่วนของคุณ ทอง, คุณ Bankhalkdown, คุณ 5fbcq สามารถรับของรางวัลที่ได้ร้านเฮียมั่นคงสาขาประตูน้ำ ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไปครับ
ท้ายนี้ผมก็ขอบขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมสนุกในครั้งนี้ครับ และขอขอบคุณเฮียมั่นคงและหลายๆ ท่านที่อนุเคราะห์ของรางวัลรวมทั้งเวลาและสถานที่ในการจัดกิจกรรมรวมสนุกครับ
ปล. รบกวนทางคุณทอง คุณ Bankhalkdown และคุณ 5fbcq ติดต่อกลับเพื่อรับของรางวัลด้วยนะครับ ถ้าหากหลังวันที่ 10 มิ.ย. 2551 ยังไม่มีผู้ไปรับรางวัลผมขอสงวนสิทธิ์ในการนำของรางวัลไปมอบให้กับผู้อื่นครับ
เย้....Collagen บอกเฮียด้วยนะว่าจะให้ส่งระเบิด เอ๊ย ...ส่งหูฟังไปให้ใคร ที่อยู่อะไรด้วยล่ะ 555
ขอบคุณมากครับทีหาเกมส์มาให้เล่น ขออนุญาติไปรับแผ่นในวันจันทร์ ที่ 26 แต่สงสัยว่าจะยืนยันตัวยังไงดี ผมลง email ไว้ละกันครับ
ได้เลยครับ คุณทอง ในวันพรุ่งนี้ผมจะได้ประสานงานกับทาง Staff ของร้านให้ครับผม...
รับของมาแล้วครับ ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องมากๆๆ ซื้อแผ่นจาก โรงเรียนดนตรีที่เซนทรัลปิ่นเกล้าหรือเปล่าครับ คุณ Collagen
เปล่าครับคุณทอง แผ่นนี้ผมซื้อมาจากร้านที่ Siam Paragon ครับ... ^ ^
ได้รับของแล้วนะครับ
ต้องขอขอบคุณ เฮียมั่นคง กับหูฟังSennheiser MX-400 มากครับ
แล้วก็ขาดไม่ได้เลยคุณ Collagen กันกิจกรรมนี้ครับ
หลังจากที่ประกาศรางวัลไป ผมก็หายไปพร้อมกับของรางวัลที่แจกให้หลายๆ ท่าน ซึ่ง ในวันนี้ผมขอโม้นอกเรื่องหน่อยนะครับ
ในวันนี้จะขอโม้เรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้องกับดนตรีคลาสสิคแบบอ้อมๆๆ หน่อยนะครับ
คำเตือนก่อนอ่านบทความนี้: บทความนี้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชน กรุณาใช้วิจารณญาณก่อนการอ่าน (ถ้าเฮียเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ลบได้เลยนะครับ)
ในการบรรเลงดนตรีคลาสสิคบางครั้งก็บรรเลงพร้อมกับงานรับประทานอาหรแบบไฮโซ..... หรือที่เรียกว่า กาล่าดินเนอร์ ครับ (ในชาตินี้ยังไม่เคยไปสักครั้ง)
ซึ่งนอกจากอาหารที่ยกมาที่โต๊ะแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหน่อยไปกว่ากันก็คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือที่เรียกภาษาทั่วไปว่า เหล้า นั่นเองครับ....
โดยทั่วไป การเสิร์ฟบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่านี้ก็มีศัพท์ และช่วงเวลาในการเสิร์ฟที่แตกต่างกันครับ คือ
1. Apéritif คือ เหล้าก่อนอาหาร
2. Vins de Desserts คือ เปล้าหลังอาหาร
แต่ระหว่างรับประทานอาหารจะไม่มีการเสริฟเหล้าครับ เนื่องจากเป็นการรบกวนการรับประทาน ครับ
การแบ่งประเภทเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สามารถแบ่งได้หลายประเภทครับ โดยในการเสริฟแขกผู้มีเกียรติในงานสังคมชั้นสูง มีการแบ่งประเภท ประมาณนี้ครับ
1. ไวน์ (เหล้าองุ่นแดง - เหล้าองุ่นขาว)
2. Champagne
3. Soda (เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์แต่มีความจำเป็นในการในผสมกับเครื่องดื่มอื่นๆ)
4. เบียร์
5. เหล้าต่างๆ ที่ใช้กับของหวาน
- Apértif
- Bitter ต่างๆ
- Campari Bitter
- Amer Picon
- Dubonnet
- Appenzelle Bitter
6. Spiritueux - ผลไม้และธัญญาพืชหมักแล้วกลั่นเป็นแอลกอฮอล์
- Cognac
- Armagnac
- Kirsch
- Gin
- Rum
- Whisky
7. Liqueurs
- Cointreau, Triple sec.
- Bénédictine
- Anisette Marie Brizard
- Maraschino
- Crème de Menthe
- Cherry Brandy
- Curacao
- Crème de Vanille
- Crème de Banane
- Crème de Cacao
- Crème de Mandarine
- Apricot Brandy
- Peach Brandy
- Grand Marnier
- Chartreuse Jaune
- Chartreuse Verte
8. Cocktail
ประเภทของ Cocktail ก็มีอยู่มากมายหลากหลาย ผมก็ขอไม่กล่าวถึงนะครับ
ในส่วนของ Cognac ผมขอกล่าวเสริมเพิ่มเติมสักนิดครับ...
Cognac ได้มาจากการกลั่นเหล้าองุ่นที่หมักจนได้ที่จากฝรั่งเศส ในแคว้น Charente และบ่มในถังไม้โอ๊คเพื่อให้มีอายุการเก็บมากขึ้นแล้วจึงนำมาบรรจุขวด และเวลาที่จะซื้อเหล้าประเภท Cognac ความหมายต่างๆที่อยู่บนฉลากมีดังนี้ครับ
จำนวนดาวและตัวย่อ หมายถึงคุณภาพและอายุของเหล้า...
ดาว 1 ดวง หมายถึง Fine อายุของเหล้า 5 - 10 ปี
ดาว 2 ดวง หมายถึง Surfine อายุของเหล้า 10 ปี
ดาว 3 ดวง หมายถึง Extra อายุของเหล้า 10 - 15 ปี
V.O หมายถึง Very Old อายุของเหล้า 15 - 20 ปี
V.S.O หมายถึง Very Superior Old อายุของเหล้า 25 ปี
V.S.O.P. หมายถึง Very Superior Old Pale อายุของเหล้า 30 ปี
และ X.O. อยู่ หมายถึง Extra Old หรือ Extra Vieux ซึ่งมีอายุของเหล้าอย่างน้อย 40 ปี
การเสิร์ฟเหล้าที่เหมาะสม ควรเสิร์ฟในปริมาณดังนี้ครับ
1. Vin de dessert หรือ Apéritif ควรเสิร์ฟ ประมาณ 50 มิลลิลิตร
2. Whisky ควรเสิร์ฟประมาณ 40 มิลลิลิตร (แบบไม่ผสม)
3. Spiritueux Liqueur ควรเสิร์ฟประมาณ 25 มิลลิลิตร
4. Cocktail ควรเสิร์ฟประมาณ 50 มิลลิลิตร..... ครับ
อนึ่งข้อมูลในส่วนนี้ผมดัดแปลงมาจากหนังสือ &dquot;วิวัฒนาการและศิลปะการจัดโต๊ะอาหาร เครื่องดื่ม และเมนูอาหาร&dquot; ครับ และในส่วนนี้ผมไม่ได้สนับสนุนให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นนะครับ .... เมาไม่ขับ.....
ปล. โปรดติดตามตอนต่อไปครับ เกี่ยวกับประเภทของเหล้า.... เอิ๊กกกก.....
ขอบคุณสำหรับ canon ขอครับ หลับตาฟังแล้ว แหม....ภาพบรรยายกาศกลางท้องทุ่งมันออกมาเลยครับ ^^
โหยย พี่วุฒิฟิตเหมือนเดิมเลยยย
ว่าแต่ไอ้ Requiem ที่เอามานิหลอนนนนนมากๆอ่ะ
ฟังคลาสสิคสักพักแล้วชักสงสัยประเภทของเพลงครับ
เห็นมี sonata, rapsody,concerto,symphony ฯลฯ (ไม่รู้มีอีกหรือเปล่า) เลยอยากรู้ครับว่ามันมีอะไรบ้างต่างกันยังไงน่ะครับ
เอาคร่าวๆก็ได้ครับ แค่ประดับความรู้ไว้เท่านั้นแหละครับ อิอิ
เพลงที่อัพไว้ ลิงค์เสียหมดแล้วนะครับ เข้าไปไฟล์ขนาด 0kb ทุกอันเลย
เวบคงลบไฟล์ไปแล้ว ผมแนะนำให้ใช้บริการ Sky Drive ของ
Hotmail ดีกว่านะครับ ใช้อีเมลล์ของ hotmail เข้าใช้งานได้เลย
ฟากไฟล์เสร็จเขามีลิงค์ให้โพสตามเวบได้เสร็จสับ ฟากได้สูงสุดไฟล์ละ 50Mb
เนื้อที่ฟากไฟล์ทั้งหมด 5Gb ไม่มีลบด้วย สะดวกดีครับ ลองใช้กันดู
ขอโอกาสได้แปะลิ๊งค์บ้างนะครับ ... อัลบั้มนี้บันทึกเสียงมานิ่ง สงัด และไพเราะมากครับ .... คงคุ้นเคยกันกับบางท่อนของ นัทแคร๊กเกอร์ สวีท นะครับ ผลงานของไชคอฟสกี้ครับ
The Nutcracker Op. 71, is a fairy tale-ballet in two acts, three scenes, by Pyotr Ilyich Tchaikovsky, composed in 1891–92. Alexandre Dumas père&squot;s adaptation of the story by E.T.A. Hoffmann was set to music by Tchaikovsky (written by Marius Petipa and commissioned by the director of the Imperial Theatres Ivan Vsevolozhsky in 1891). In Western countries, this ballet has become perhaps the most popular ballet performed, primarily around Christmas time.
Act One
No.1 Scene of decorating and lighting the Christmas tree
No.2 March
No.3 Little Gallop [of the children] and entry of the parents
No.4 Scene dansante [Drosselmeyer&squot;s arrival and distribution of presents]
No.5 Scene and dance of the Grandfather
No.6 Scene [Departure of the guests -- DAYTIME]
No.7 Scene [the battle]
No.8 Scene [a pine forest in winter]
No.9 Waltz of the Snowflakes
Act Two
No.10 Scene [Introduction]
No.11 Scene [Arrival of Clara and the Prince]
No.12 Divertissement
a. Chocolate (Spanish dance)
b. Coffee (Arabian dance)
c. Tea (Chinese dance)
d. Trepak (Russian Dance)
e. Dance of the Mirlitons [also known as &dquot;Dance of the Reed-Flutes,&dquot; &dquot;Dance of the Shepherdesses,&dquot; and &dquot;Marzipan&dquot;]
f. Mother Ginger and the clowns [or &dquot;Mother Ginger and her children&dquot;]
No.13 Waltz of the Flowers [featuring a female soloist &dquot;Dew Drop&dquot; in Balanchine&squot;s production]
No.14 Pas de Deux: Adagio (Sugar-Plum Fairy and a cavalier)
Variation I (for the male dancer) [Tarantella]
Variation II (for the female dancer) [Dance of the Sugar-Plum Fairy]
Coda
No.15 Final Waltz and Apotheosis
Download-
อันนี้ไม่ค่อยคลาสสิกแฮะ แต่ว่าอัดเสียงมางามจริงๆ ละเอียดทุกเม็ด
เป็นการบรรเลงซอจีน กับกูเจิ้งครับ
Funa & Huang Jiang Qin | Face To Face (Guzheng vs Erhu)
Year: 2007
Style: World, guzheng, erhu
Country: China
Label: Miaoyin record
Quality: 320 kbps
Size: 82 + 55 MB
Track List
01 Acacia
02 Zhenguan long song
03 Raise the Red Lantern
04 Ge Wei and Quan Yecha
05 Guess
06 Chrysanthemum Taiwan
07 Red roses
08 Great Wall never inverted
09 Smoke condensate
10 Autumn and resentment
11 Zizhu Diao
12 Relatives at an early date is willing to support good injury
13 Snowster point mobiledog
http://rapidshare.com/files/128290327/FHJQ_-FTFGuzheng_VS_Erhu_maspie.part1.rar http://rapidshare.com/files/128290329/FHJQ_-FTFGuzheng_VS_Erhu_maspie.part2.rar
Code:
อันนี้ก็เป็นเรคคอร์ดดิ้งที่ได้รับการโหวตว่า เป็นหนึ่งในห้า เรคคอร์ดดิ้งที่ดีที่สุดในรอบสามสิบปีครับ
เป็นซิมโฟนีของเบโธเฟ่นที่สุขุม และสง่างามเยี่ยงวงออร์เครสตร้ายุโรป (ที่มิใช่เยอรมัน) อย่างดีเลยครับ
Beethoven - Symphonies 1-9(Harnoncourt - CO of Europe)
คุณvym ถามหารัคมานินอฟเบอร์สอง
ผมมีฉบับนี้ครับ เสียงอาจไม่ดีนัก แต่อย่าถือสาเลยครับ ในเมื่อมันเป็น &dquot;Rachmaninoff plays Rachmaninoff&dquot; ครับ
เจ้าของเพลงมาเล่นเอง อารมณ์เกินบรรยายครับ (ลิ๊งนี้คือ เปียโนคอนแชโต้หมายเลขสองและสามครับ)
http://rapidshare.com/files/112685953/RpR18.rar
http://rapidshare.com/files/112686555/RpR30.rar
ใช้อย่างอื่นนอกจากrapid share ได้ป่าวครับ คือผมไม่รู้ทำไรผิดหรือ ป่าว โหลดไม่ได้เลยครับ อยากได้
Funa & Huang Jiang Qin | Face To Face (Guzheng vs Erhu) มากเลยครับ
แจกเพลงบรรเลงที่ใช้ในเรื่อง season chang อ่ะ เอาไว้ฟังตอนนอนคับ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
Classic Cardy Ugg is a season, some shoes, for example: Sandals for summer clothing, winter is generally do not have to wear shoes or UGG Nightfall Boots , Classic Ugg Boots, and so on, for example: only in the winter only, if you put it out in the summer, when it comes to the big joke. So regardless of Uggs Boots or shoes to wear when you save to their maximum effect.Winter shoes and UGG Ultra Short Boots are the best of warm clothing, and a variety of fabrics for Ugg Classic Tall , snow boots to become the preferred girls winter fashion and health. For Ugg Bailey Button , boots are saved when you don't have boots deformation.
Nike Shoes are a acceptable anatomy of cossack that originated in the Southern Hemisphere in Australia. Cheap Nike Shoes are created by application a sheep derma for the alien of the Nike Running Shoes and application sheeps absolute for the close lining to actualize a awful adequate Air Force One. They were decidedly accepted amidst farmers aural the arena as they helped to absorber their anxiety from the acrid winters.During the 1960\'s the Nike Air Max began to become accepted amidst surfers who would cull them on afterwards departure the ocean to advice accumulate their anxiety chargeless from the affliction of sand. One such surfer was Brian Walker who was aswell something of an administrator and absitively to accounts a surfing cruise to the west bank of the United States of America by demography a bassinet of Air Max 90 with him to advertise to locals if he arrived. The Air Jordan 2010 awash well, so able-bodied in actuality that in 1979 he set up a aggregation Nike Free 3.0 to deliver the boots beyond the states.During the aboriginal allotment of the twenty aboriginal aeon the Nike Shox Shoes started to advance a band afterward amidst celebrities in Hollywood causing the acceptance of the Nike Mercurial Vapors to soar. Seeing this success the ample Australian aggregation Decker absitively to buy the aggregation and one of their aboriginal accomplishments was to brand the name Nike Soccer Shoes.