
เนื่องจากหูฟังแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียที่หลากหลายเหลือเกิน บางตัวใช้ง่ายก็ว่าดี บางตัวใช้ยากแต่ว่าไปได้ไกลกว่าอะไรแบบนี้ ผมเลยขอเสนอทฤษฎีมาตรการวัดคุณสมบัติของหูฟังโดยใช้หลักการดังต่อไปนี้
Measurements
1. หูฟังโดยทั่วไปมีความแตกต่างในพัฒนาการหลังเปลี่ยน source ในอัตราหนึ่ง (เรียกว่าค่า alpha)
2. หูฟังโดยทั่วไปไม่ว่า source จะเป็นอย่างไรก็ตามย่อมมีคุณความดีที่ทำให้เสียงดีอยู่ค่าหนึ่ง (เรียกว่า lower bar)
3. หูฟังโดยทั่วไปจะมีพัฒนาการตาม source มากขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงค่าหนึ่ง (เรียกว่า upper bar)
4. สมมติว่ามีหูฟังที่ดีที่สุดในโลกตัวหนึ่ง ค่า HP ของมันคือ 1000
5. การวัดค่าหูฟังจะไม่ใช้ source เป็นตัวแปรในการคำนวณเพราะจะมุ่งความสนใจไปที่หูฟังเท่านั้น
Proposal
HP = Headphone point (0-1000)
EP = Easy driving point (0-500)
PP = Potential point (0-1000)
L = Lower bar (minimum HP: 0-500)
U = Upper bar (maximum HP: 0-1000)
a = Alpha (0.00-1.00)
EP = a[ L ]
PP = (1-a)[ U ]
HP = EP + PP
Specifications
1. หูฟังที่ขับยากๆมักจะมี a ค่อนข้างต่ำ (อย่าง k1000 ก็ราวๆ 0.1 อะไรแบบนี้) อัพ source แล้วไม่ค่อยเห็นผลก็จะมี a ค่อนข้างสูง (L3000 ประมาณ 0.9) ถ้าอัพ source แล้วเห็นผลพอประมาณก็ควรอยู่ราวๆ 0.4-0.6
2. หูฟังที่ต่อตรงก็เพราะได้จะมี L ค่อนข้างสูง (อย่าง L3000 ราวๆ 450) ต่อตรงแล้วทุเรศเลยก็มี L ต่ำ (k1000 ประมาณ 50)
3. หูฟังที่ยิ่ง source ดียิ่งไปได้ไกลควรจะมีค่า U มากๆ ( k1000 700, orpheus 950) ถ้าความต้องการ source ไม่สูงอย่างพวก IEM ก็ควรจะมีค่า U ต่ำ (ep630 40, cx300 100, super.fi 200)
Examples
k701&squot;s HP = 0.2[ 250 ] + 0.8 [ 600 ] = 530
RS-1&squot;s HP = 0.4 [ 350 ] + 0.6 [ 550 ] = 470
k1000&squot;s HP = 0.1 [ 200 ] + 0.9 [ 700 ] = 680
Notes
1. หูฟังที่อัพ source แล้วดีขึ้นไม่จำเป็นต้องขับยากเสมอไป บางตัวอาจมีค่า a = 0.6 โดยที่ L มีค่าถึง 400 เลยก็ได้อย่าง w5000
2. หูฟังที่ค่า U มากๆไม่จำเป็นที่จะต้องขับยากเสมอไปอย่าง R-10 ที่ค่า U ถึง 650 แต่ค่า a อาจเป็น 0.4 ก็ได้
3. ค่าต่างๆที่สร้างขึ้นมาในหูฟังแต่ละตัวที่ยกขึ้นมาเป็นเพียงสมมติฐานของผู้เสนอทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลมที่เห็นพ้องต้องกันแต่อย่างใด
4. หูฟังที่ใช้ง่ายจะมีค่า EP สูงส่วนหูฟังที่มีศักยภาพในพัฒนาการมากจะมีค่า PP สูง
Proposed by Windows X