
สวัสดีครับพี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆ น้า ๆ ชาวมั่นคงทุกคน วันนี้กระผมกระทาชายนายเอลวิสย์ที่ปกติจะไร้สาระมามาก (ตอนนี้ก็ยังไร้สาระอยู่) ก็อยากจะมาขอรีวิวหนังสือเล่มนึงที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ลองหาอ่านดูนะครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่รวมวลี, ประโยค, และนิทาน ซึ่งแต่งโดยคุณ “ช่วง มูลพินิจ” ซึ่งแสดงถึงความสามารถทางแง่คิดและวรรณศิลป์ที่น่าทึ่งของคุณช่วงมากทีเดียว โดยในตอนแรกนั้นคุณช่วงเขียนโดยใช้ลายมือลงในสมุดลายไทย และจึงนำมารวมเป็นรูปเล่มอย่างสมบูรณ์ครับ
ผมจะขอยกคำนิยมจากผู้เขียนคือคุณช่วงมาให้ชมนะครับ ...
“เรานับถือยกย่องเทิดทูนแต่องค์พระศาสดา แต่คำสอนไม่นำพาสนใจ เราเอาวิชาการสมัยใหม่มากลบฝังจริยธรรมดั้งเดิม เพื่อจริยธรรมจะได้ไม่มาขัดขวางพวกฉ้อฉลกลโกงธุรกิจการค้า
เมื่อไร้จริยธรรม ความโลภของมุนษย์ก็ทะยานถึงขีดสุด เมื่อขาดจริยธรรมก็สิ้นความเป็นมนุษย์ เราคือสิ่งมีชีวิตที่เลวที่สุดบนผืนโลก เราพากันยกย่องพินอบพิเทาคนโลภคนรวยเพื่อหวังผลประโยชน์ แต่เรากลับไม่สนใจพินอบพิเทาธรรมชาติที่ให้แต่คุณประโยชน์ตลอดกาล
ฐานของเศรษฐกิจคือเป็น เป็นโลภะจริต
ฐานของศิลปะคือความดีงาม
ทั้งสองนี้ถ้าไร้ฐานก็ง่อนแง่นและล่มสลายในที่สุด
ฝูงมนุษย์อยากให้อะไรดำรงอยู่เล่า
ความดีงาม
หรือ
ความโลภ ...”
ซึ่งตัวหนังสือนี้รวมคำคมไว้มากมาย โดยผมจะขอยกขึ้นมาไม่กี่ประโยคที่คิดว่าน่าสนใจและให้แง่คิดนะครับ ...
“ฝูงมนุษย์ผู้เนรคุณ ฝูงมันเหยียดหยามพื้นดินที่ทรงกาย พากันไปยกย่องสวรรค์อันไร้ค่า”
เมื่อเห็นประโยคนี้ผมก็นึกถึงต้นไม้ใหญ่ ... ที่สุขุมวิท 35 ที่ได้มีข่าวว่ากำลังจะถูกตัดทำลายโค่นลง ทั้งที่ใช้เวลามาไม่รู้กี่สิบปีกว่าจะโตขึ้นมาได้ขนาดนั้น ให้ล่มเงาแก่มวลมนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่มากมาย แต่อีกไม่กี่วันนี้ มันก็จะถูกปลิดชีวิตลง ...
“ต้นเอยต้นไม้ เมื่อพอใจเขาเฝ้าแต่รักษา พอเบื่อหน่ายพวกมันฟันลงมา ขาดเมตตา เยื่อใย น้ำใจคน”
“ชาวนาไม่ใช่นักบุญ ไม่เคยอุทิศตนช่วยเหลือใคร แต่งานของเขายิ่งใหญ่ทางคุณค่าแก่มวลมนุษย์ ดุจสายลมแสงแดดที่มนุษย์มองไม่เห็นค่า”
ตัวผมเองนั้นก็เป็นลูกชาวไร่ โตขึ้นมาก็เพราะต้นไม้น้อยใหญ่ทั้งหลาย ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนี้อยู่บ้าง ... ทุกวันนี้หลายคนมองว่าอาชีพชาวนาชาวไร่เป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ บางคนนั้นถึงกับมองว่าเป็นอาชีพของคน “ชั้นล่าง” เสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ขอภูมิใจที่เป็นคน “ชั้นล่าง” เช่นนี้ ...
“มนุษย์แต่งจริตเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ แต่จะน่าเชื่อถือกว่าสัตว์เดรัจฉานก็หาไม่ บุคลิกที่ดีเกิดจากความจริงใจ มิใช่มารยา”
ประโยคนี้ส่วนตัวแล้วชอบมากครับ ...
สุดท้ายนี้ก็ขอแปะนิทานที่เอามาจากหนังสือฝูงมนุษย์สักเรื่องนะครับ ...
เรื่อง "เพชร"
... ดาวเม็ดสุดท้ายสิ้นแสง ตีนฟ้าเรืองเรื่อ ลมเช้าเย็นชื่นใจ รับไอตะวันอุ่น น้ำค้างค่อยละลายลงดินดำ รวมตัวเป็นโอชะของพืชพันธุ์ ...
เพชรเม็ดหนึ่งส่องประกายรับแสงรับแสงแดดอ่อนอยู่บนดิน มันแวววาว
กว่าดินมากนัก เพราะได้รับอิสระจากเรือนทอง คือแหวนวงหนึ่ง ยินดี
ที่ได้มาประดับพื้นโลกอันเป็นมาตุภูมิเดิมแท้อีกครั้ง จึงกล่าวแก่ดินว่า ...
“เราถูกพรากจากครรภ์มารดาคือ ภูเขาลูกใหญ่ อันมนุษย์ได้ทลายลงเสียสิ้น เพื่อควักเราออกมาแสวงหาทรัพย์ด้วยความโลภอันไร้ขอบเขต ความจริงเราจะมีค่าอย่างแท้จริง เท่ากับดินดำน้ำชุ่มอย่างท่านก็หาไม่ เพราะท่านยังพืชพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารแก่มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายได้บำรุงชีวิต อันจะหาจากเรามิได้เลยอีกนานนัก เราจึงสลายตัวลงมาเป็นดินให้พืชได้อาศัยเกิด”
"ดิน" จึงกล่าวแก่เพชรว่า
“ดีแล้วที่ได้กลับสู่บ้านเก่า มิต้องเร่ร่อนขายตัวตามที่ต่างๆ โดยความโลภของมนุษย์ เราจะกลบซ่อนท่านด้วยกาลเวลา ... เพราะความโลภ เขายอมทลายภูเขาทั้งลูกหาเพชร แลผู้โง่เขลา ย่อมยินดีประดับความฉิบหายของโลกไว้บนนิ้วมือตนเอง”
ก็จบแค่นี้นะครับ ยังไงถ้าสนใจก็ลองหาอ่านกันดูได้ ผมว่าเป็นหนังสือที่ดีเล่มนึงเลยทีเดียว ^_^ ... ขอบคุณมากครับ