dynamic driver จะนิยม 45mm ครับ ได้เสียงที่กระชับ ชัดทุกย่านเสียง และเก็บตัวเร็วที่สุด หรือคือจุดที่ทำให้จูนเสียงดีที่สุดได้ง่ายที่สุด

ใหญ่หน่อยก็ 50mm+นิดหน่อย นิยมใช้ในหูฟังรุ่นแพงๆขึ้น หรือบางรุ่น

มีแต่ Sony ครับที่ทำ dynamic driver 70mm ออกมาหลายๆรุ่นล่ะ 555


ส่วน Full-size ใช้ driver ba ผสม dynamic ผมเห็นจะมีแต่ของ Final Audio บางรุ่นเท่านั้นครับ


ส่วน Planar หรือ Electrostatic Driver ขนาดใหญ่เกิน 100mm ไปแล้วครับ 555

ซึ่ง dynamic driver 70mm นี่การสั่นสะเทือนให้ทั่วถึงทำได้ช้ากว่า เสียงก็เก็บตัวช้าลงด้วย

ค่ายหูฟังหลายๆค่ายเลยไม่ใช้กัน  มีแต่ Sony ที่ใช้ประจำหลายๆรุ่น จนเชี่ยวชาญไปแล้วครับ 555

มีไดเวร์กี่ตัวครับ สงสัย
ใช้ iphone 13 พิมพ์

Fullsize เหมือนเอานักเล่นกล้ามหลายๆคน มามัดรวมกัน ก็ยังวิ่งสู้ นักวิ่งมาราธอนคนเดียวไม่ได้อยู่ดีตรับ 555


ส่วน IEM BA หลายไดร์เวอร์ เหมือนเอานักประพันธ์ นักดนตรี หลายๆคนมาช่วยกันบรรเลงดนตรีครับ

ซึ่งถ้า Conductor วงเก่งๆเสียงจะไพเราะมาก (กลับกันถ้าไม่เก่ง เสียงจะมั่ว 555)

ทำไมหูฟังของ sony แพงจังครับ
ps5 ก็เเพง 

ไม่ชอบ sony หลังๆ เเพง

การตลาด marketing และ Brand royality ด้วยครับ

ที่ Sony ทำหูฟังคุณภาพดี ราคาแพงๆ และยังขายได้เพราะมีคนเลือกซื้อและมั่นใจยี่ห้อสนับสนุนครับ

ซึ่งหูฟัง sony คุณภาพก็สมราคานะครับ เพียงแต่จูนเสียงไปแนวฟังสนุกซะส่วนใหญ่ และที่ขายแพงมากๆนี่เน้นตลาด hi-end ด้วยครับ ตัวไม่แพงมากแต่ดีอย่าง Sony mdr1a ก็มีอยู่ครับ (เปลี่ยนสายอัพเกรดดีๆได้ด้วย 555)


ส่วน ps5 ราคาแพงแต่ spec เทพคุ้มมากๆ  เมื่อก่อนมีบริษัทหรือหน่วยงานถึงขั้นซื้อเอา ps3 เป็นร้อยเป็นพันเครื่อง เอาไปทำใช้เป็น Super Computer เลยครับ ซึ่งแรงแต่ประหยัดงบลงได้มากๆๆๆด้วยครับ 555

ที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่นี่คือ ค่าซ่อมผลิตภัณฑ์ sony หรือ apple จากศูนย์แท้ๆ นี่บางทีแพงกว่าซื้อของใหม่ไปไกลอีกครับ 555

(ไม่รู้ศูนย์ในไทยห่วยเองด้วยรึเปล่า 555)