Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

I2S Input and Output มีใครลองใช้แล้วบ้างครับ

sumpao

07/04/2021 09:43:04
18
I2S Input and Output มีใครลองใช้แล้วบ้างครับ

เสียงดีกว่า ใช้ USB ไหมครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

Acholate

07/04/2021 19:10:17
5
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

สงสัย

07/04/2021 19:19:06
ไอ้ช่องที่หน้าตาคล้ายๆ HDMI น่ะหรือครับ? สงสัยมาตั้งนานแล้วว่าถ้าเอาสาย HDMI ไปเสียบแล้วจะเป็นยังไง?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

sumpao

08/04/2021 08:08:53
18
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 1 - Acholate
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

ขอบคุณครับ เอาอะไรเป็นตัวป้อน I2S ให้ Terminator ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

DenafripsLover

08/04/2021 17:20:04
รบกวนชี้เป้า ที่ซื้อ Denafrips Terminator ด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

DenafripsLover

08/04/2021 17:20:39
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 1 - Acholate
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

รบกวนชี้เป้า ที่ซื้อ Denafrips Terminator ด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

Acholate

09/04/2021 00:13:46
5
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 3 - sumpao
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 1 - Acholate
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

ขอบคุณครับ เอาอะไรเป็นตัวป้อน I2S ให้ Terminator ครับ
opticalRendu (Farad Super3) -> Matrix X-SPDIF 2-> Denafrips Terminator
สาย HDMI Sommer EXCELSIOR-BlueWater ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

Acholate

09/04/2021 00:15:19
5
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 5 - DenafripsLover
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 1 - Acholate
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

รบกวนชี้เป้า ที่ซื้อ Denafrips Terminator ด้วยครับ
สั่งตรงจาก vinshineaudio สามารถคุยตรงกับเจ้าของให้ prepaid tax ได้ด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

เฟี้ยว

09/04/2021 04:38:37
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

ผมว่านะ

09/04/2021 08:19:41
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ทำไมจะไม่มีผลต่อโทนเสียงล่ะครับ คุณลองรึยังถึงกล้าพูดอย่ายกแค่ทฤษฎีมาอ้างแบบนั้นใครก็พูดได้ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

sumpao

09/04/2021 09:32:43
18
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ลองดูครับ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

เฟี้ยว

09/04/2021 11:42:42
งั้นผมขอผลพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับว่าสองอย่างนี้มันมีผลต่อโทนเสียงอย่างไร เหตุใดถึงต่างกัน ไม่เอาแบบซาวด์มโนหูทองหูเทพความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ขอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มันมีคำอธิบายได้
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

ผมว่านะ

09/04/2021 13:25:04
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 11 - เฟี้ยว
งั้นผมขอผลพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับว่าสองอย่างนี้มันมีผลต่อโทนเสียงอย่างไร เหตุใดถึงต่างกัน ไม่เอาแบบซาวด์มโนหูทองหูเทพความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ขอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มันมีคำอธิบายได้
คำตอบประเภทเหมือนจะรู้จริงเอาหลักการมาอ้างมันน่าขำและก็มักมีมาเรื่อยๆ คนถามเขาถามหาประสบการณ์ใช้งานอยากรู้ผลทางเสียงเพื่อประเมินว่าควรซื้อมาเล่นรึเปล่า เขาไม่อยากเห็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรอกเพราะถ้าเขา่ไม่เชื่อตั้งแต่แรกก็คงไม่มาถามหรอก อีกอย่างนะ USB to I2S มีออกมาขายเยอะพอสมควรทั้งถูกและแพง ใน DAC รุ่นใหม่หลายเครื่องเริ่มมีพอร์ท I2S มาให้เลยถ้าเสียงไม่ต่างกันเขาจะทำออกมาเพื่ออะไร หรือคนซื้อมันโง่...? ถึงได้ถามไงว่าเคยลองรึยัง..?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

sumpao

09/04/2021 14:11:48
18
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 11 - เฟี้ยว
งั้นผมขอผลพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับว่าสองอย่างนี้มันมีผลต่อโทนเสียงอย่างไร เหตุใดถึงต่างกัน ไม่เอาแบบซาวด์มโนหูทองหูเทพความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ขอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มันมีคำอธิบายได้
ไม่มีครับ ถ้าคนไม่เชื่อ ก็จะบอกเป็นน้ำมันงูครับ

แต่ลองเองดีที่สุดครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

เฟี้ยว

09/04/2021 15:10:04
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 12 - ผมว่านะ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 11 - เฟี้ยว
งั้นผมขอผลพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์หน่อยสิครับว่าสองอย่างนี้มันมีผลต่อโทนเสียงอย่างไร เหตุใดถึงต่างกัน ไม่เอาแบบซาวด์มโนหูทองหูเทพความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ขอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มันมีคำอธิบายได้
คำตอบประเภทเหมือนจะรู้จริงเอาหลักการมาอ้างมันน่าขำและก็มักมีมาเรื่อยๆ คนถามเขาถามหาประสบการณ์ใช้งานอยากรู้ผลทางเสียงเพื่อประเมินว่าควรซื้อมาเล่นรึเปล่า เขาไม่อยากเห็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรอกเพราะถ้าเขา่ไม่เชื่อตั้งแต่แรกก็คงไม่มาถามหรอก อีกอย่างนะ USB to I2S มีออกมาขายเยอะพอสมควรทั้งถูกและแพง ใน DAC รุ่นใหม่หลายเครื่องเริ่มมีพอร์ท I2S มาให้เลยถ้าเสียงไม่ต่างกันเขาจะทำออกมาเพื่ออะไร หรือคนซื้อมันโง่...? ถึงได้ถามไงว่าเคยลองรึยัง..?
อย่าเบี่ยงประเด็นสิครับ ทุกอย่างมันเป็นวิทยาศาสตร์มันสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ถ้ามันต่างกันจริงมันต้องมีคำตอบสิครับ หรือว่าคุณไม่สามารถหาคำตอบได้ เลยเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย แล้วถ้าถามเรื่องประสบการณ์ทางด้าน Audio Gears ของผมผมได้ทดลองใช้มาหมดตั้งแต่บ้านๆหลักพันจนไปถึงหลักสิบล้านที่มีตัวเดียวในประเทศ บางชิ้นบางเครื่องเคยถูกนำไปใช้สร้างผลงานเพลงระดับตำนานของโลกเคยผ่าน Performance จากศิลปินตำนานระดับโลกมาก่อนด้วยซ้ำไปแต่โชคดีมีนายทุนไปซื้อต่อเขามาแลมีโอกาสได้จับต้อง และทุกเครื่องทุกชิ้นที่มี Digital Connecting มีอย่างมากแค่ AES,TOSLINK,MADI, ระดับพกพาก็แค่ USB,USB Type C,Thunder Bolt แบบปกติธรรมดา แค่นี้มันก็น่าจะเป็นคำตอบแล้วนะครับว่าสมควรซื้อมาเล่นหรือไม่ เพราะแม้แต่อุปกรณ์ระดับ Professional เขายังไม่ใช้กันเลย เหตุเพราะอะไรก็ตามที่บอกไปนั่นแหละ

ที่น่าขำผมว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่า หนังสือหนังหาควรจะหามาอ่านบ้างนะครับ ศึกษาบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่กับความเชื่อทางไสยศาตร์ อยู่กับคำโปรยการตลาดโฆษณาชวนเชื่อ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

LosInBlue

09/04/2021 16:47:09
116
ขอแจม 555 ดนตรีนี่ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์นะครับ อันนั้นคิดกันเอาเอง 555 แต่เป็นศิลปะศาสตร์ครับ

ความไพเราะ ความสวยงาม อารมณ์ของเสียงนั่นแหละครับ ยังมีเรื่องรสนิยมทางเสียงของแต่ละบุคลอีก


ถ้าฟังสายแพงๆต่างยี่ห้อ ต่างสาย แล้ว ฟังออกว่าไพเราะขึ้นจริงๆ เป็นดนตรีขึ้นจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง ก็ใช้ไปเถอะครับ



จะพิสูจน์ทางเรื่องของเสียงดนตรี ต้องไม่ใช่แค่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ หรือเป็นแค่นักวิทยาศตร์อย่างเดียว แต่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน หรือเป็นนักดนตรีด้วย ต้องเข้าใจเสียงดนตรีที่ไพเราะด้วย เข้าใจความสวยงามของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ หรือไม่ก็ต้องเป็น Sound Engineer ด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

เฟี้ยว

09/04/2021 17:24:45
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 15 - LosInBlue

ขอแจม 555 ดนตรีนี่ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์นะครับ อันนั้นคิดกันเอาเอง 555 แต่เป็นศิลปะศาสตร์ครับ

ความไพเราะ ความสวยงาม อารมณ์ของเสียงนั่นแหละครับ ยังมีเรื่องรสนิยมทางเสียงของแต่ละบุคลอีก


ถ้าฟังสายแพงๆต่างยี่ห้อ ต่างสาย แล้ว ฟังออกว่าไพเราะขึ้นจริงๆ เป็นดนตรีขึ้นจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง ก็ใช้ไปเถอะครับ



จะพิสูจน์ทางเรื่องของเสียงดนตรี ต้องไม่ใช่แค่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ หรือเป็นแค่นักวิทยาศตร์อย่างเดียว แต่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน หรือเป็นนักดนตรีด้วย ต้องเข้าใจเสียงดนตรีที่ไพเราะด้วย เข้าใจความสวยงามของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ หรือไม่ก็ต้องเป็น Sound Engineer ด้วยครับ

ใช่ครับดนตรีไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องดนตรีไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับดุริยางคศาสตร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งสัญญานแบบ Digital Audio ซึ่งมันเป็นเรื่องของ Audio Engineer เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ นั่นแหละครับ ศิลปินอาจจะไม่เคยเป็นหรอกไม่ค่อยถนัดไม่ใช่แนว แต่ถ้านักดนตรีกับ Sound Engineer นั่นล่ะเคยเป็นหมดแล้วครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

LosInBlue

09/04/2021 18:01:30
116
ต้องโทษคนผลิตสายเองล่ะครับ ดันผลิตออกมาไม่ดีพอจนเสียงออกมาไม่สมบรูณ์เท่าต้นฉบับ 100% กลายเป็นเสียงฟังแล้วติดคัลเลอร์ ไม่เที่ยงตรงไปแทนครับ อาจจะ 80~99% สำหรับสายดิจิตัล 555


ถ้าทุกสายสามารถส่งสัญญาณเสียงและแปลงกลับเป็นคุณภาพเท่าเดิมที่ 100% ได้ล่ะก็ สายจะถูกหรือจะแพงหรือแพงมากๆๆก็ไม่มีความหมายเลยครับ ขอแค่ให้ได้มีมาตรฐานเที่ยงตรงพอ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีตัวแปรเยอะมากๆครับ เช่นการออกแบบไม่ดีพอ หรือเช่นการใช้วัสถุคุณภาพต่ำที่ไปลดทอนการเดินของสัญญาณ (พบได้ทั่วไปในสายถูกๆลดต้นทุน) ซึ่งไม่สามารถทำส่งสัญญาณได้ตามทฤษฎีอย่างสัมบรูณ์

อันนี้แหละครับว่าทำไม สาย Ugreen 100 บาท (ลองใช้แล้วไดนามิคเสียงหายไปหมด 555) เสียงถึงห่วยกว่า สาย Audioquest USB อย่างเห็นได้ชัด เพราะมาตรฐาน กับ ไม่มีหรือไม่ตรงตามมาตรฐาน มันต่างมากกัน


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

ผมว่านะ

09/04/2021 18:24:20
จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

Acholate

09/04/2021 19:15:12
5
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ถ้าคุณยึดหลักการนี้ ต้องไปคุยกับพวก asr แล้วล่ะครับ
สำหรับผม ตอนแรกก็คิดว่าอย่างที่คุณว่า พอมาลองเองจริงๆ มันต่างกันมากครับ
ชุดผมแค่เปลี่ยนสาย USB เสียงเปลี่ยนโคตรๆ จะให้ blind test กี่ครั้งผมมั่นใจมากครับว่าผ่านหมด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

เฟี้ยว

09/04/2021 20:33:30
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 17 - LosInBlue

ต้องโทษคนผลิตสายเองล่ะครับ ดันผลิตออกมาไม่ดีพอจนเสียงออกมาไม่สมบรูณ์เท่าต้นฉบับ 100% กลายเป็นเสียงฟังแล้วติดคัลเลอร์ ไม่เที่ยงตรงไปแทนครับ อาจจะ 80~99% สำหรับสายดิจิตัล 555


ถ้าทุกสายสามารถส่งสัญญาณเสียงและแปลงกลับเป็นคุณภาพเท่าเดิมที่ 100% ได้ล่ะก็ สายจะถูกหรือจะแพงหรือแพงมากๆๆก็ไม่มีความหมายเลยครับ ขอแค่ให้ได้มีมาตรฐานเที่ยงตรงพอ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีตัวแปรเยอะมากๆครับ เช่นการออกแบบไม่ดีพอ หรือเช่นการใช้วัสถุคุณภาพต่ำที่ไปลดทอนการเดินของสัญญาณ (พบได้ทั่วไปในสายถูกๆลดต้นทุน) ซึ่งไม่สามารถทำส่งสัญญาณได้ตามทฤษฎีอย่างสัมบรูณ์

อันนี้แหละครับว่าทำไม สาย Ugreen 100 บาท (ลองใช้แล้วไดนามิคเสียงหายไปหมด 555) เสียงถึงห่วยกว่า สาย Audioquest USB อย่างเห็นได้ชัด เพราะมาตรฐาน กับ ไม่มีหรือไม่ตรงตามมาตรฐาน มันต่างมากกัน


ใช่ครับ แต่นั่นมันคือสายสัญญาณแบบ Analog ครับมันส่งสัญญาณเป็นไฟฟ้า มี Distortion มี Noise เพราะคลื่นรบกวน แล้วก็มีการ Loss จากระยะทาง แต่สาย Digital มันส่งแต่ข้อมูล ไม่มี Distortion ไม่มี Loss เพราะถ้าข้อมูลผิดพลาดแม้แต่บิทเดียวมันก็จะแก้ไขให้ถูก แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้มันก็จะถูก Skip ในส่วนนั้นไปเลยทำให้เกิดเป็นเสียง Glitch กระตุกๆเพราะ Waveform มันไม่ครบ Cycle ทำให้ดอกลำโพงที่ปกติต้องดันไปหน้าหลังเกิดการกระตุก ถ้าสาย Digital มันเป็นเหมือนสาย Analog งั้นพวกทำ Live Sound Production ทำเวทีคอนเสิร์ตทั้งหลายลาก Dante ไปเป็นไม่รู้กี่ร้อยเมตรแบบนี้เสียงคงไม่เหลือ ถ้ามันยังเป็นปัญหาเหมือนเดิมเขาจะมาเปลี่ยนจากสาย multi-core เส้นเท่าแขน มาเป็น Dante ทำไม เขาคงไม่ต้องทำกันหรอกครับระบบ Network ถ้าทำแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

เฟี้ยว

09/04/2021 20:44:01
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ

จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง

นี่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องสายสัญญาณแบบ Digital อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คือใครอยากซื้ออะไรพอใจแบบไหนมันก็แล้วแต่สิทธิ์แล้วแต่การตัดสินใจ แต่คุณจะมาบอกว่า 1+1=5 ไก่ออกลูกเป็นตัว หมาออกลูกเป็นไข่ ไม่ได้มั้ยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

เฟี้ยว

09/04/2021 20:55:03
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 19 - Acholate

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ถ้าคุณยึดหลักการนี้ ต้องไปคุยกับพวก asr แล้วล่ะครับ
สำหรับผม ตอนแรกก็คิดว่าอย่างที่คุณว่า พอมาลองเองจริงๆ มันต่างกันมากครับ
ชุดผมแค่เปลี่ยนสาย USB เสียงเปลี่ยนโคตรๆ จะให้ blind test กี่ครั้งผมมั่นใจมากครับว่าผ่านหมด

ผมยึดตามหลักการที่ผมได้ทำการศึกษาร่ำเรียนมา และแน่นอนมันไม่ใช่สิ่งทึ่ใครๆที่ไหนก็ได้จะมาบัญญัติลงในตำราหรือหลักสูตรที่รับรองโดยกระทรวงการศึกษา

ถ้าจะให้คุยผมขอคุยกับคนที่เป็น Sound Engineer และ มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Equipment จริงๆ และเป็นบุคคลากรทางการศึกษาจริงๆมีความน่าเชื่อถือและเป็นกลางถูกต้องทางข้อมูลแท้ๆ ไม่ใช่ขี้ข้าหมารับใช้บริษัทหรือนายทุนรายใดรายหนึ่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

ลองดูครับ

09/04/2021 21:12:18
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

เฟี้ยว

09/04/2021 21:31:20
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 23 - ลองดูครับ
แบบนี้แค่เว็บก็ไม่น่าเชื่อถือแล้ว การทดลองที่ดีมันต้องทดลองแบบ Realtime ให้เห็นกับตา ข้อมูลแบบนี้ใครมันก็เมคเอาได้ครับมันไม่ได้มีหลักฐานหรือมีพยานที่ชัดเจน ถ้าสมมุติผมเป็นเจ้าของแบรนด์เหล่านั้น แล้วผมจะจ้างทำ PR สินค้าของตนผ่านนักรีวิวคนโน้นคนนี้ ผมจะมาจ้างให้เขามาทำลายโอกาสทางการค้าของตัวเองทำไมล่ะครับจริงมั้ย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

ผมว่านะ

09/04/2021 22:35:32
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 21 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ

จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง

นี่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องสายสัญญาณแบบ Digital อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คือใครอยากซื้ออะไรพอใจแบบไหนมันก็แล้วแต่สิทธิ์แล้วแต่การตัดสินใจ แต่คุณจะมาบอกว่า 1+1=5 ไก่ออกลูกเป็นตัว หมาออกลูกเป็นไข่ ไม่ได้มั้ยครับ
ถ้าคุณมองเป็นการส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบ DATA เป็น bit คิดให้ตายยังไงมันก็ไม่สูญเสียอยู่แล้ว

แต่ถ้ามองว่าการฟังเพลงจากไฟล์ดิจิตอลมันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณทางไฟฟ้าจากสัญญาณที่เป็น square wave ไปเป็นสัญญาณ sine wave มันก็ต้องมีการสุญเสียในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าอยู่แล้ว ดิจิตอลมันเป็นแค่นามธรรมว่า 0 กับ 1 แต่จริงๆมันคือสัญญาณไฟฟ้าที่สวิงอยู่ในช่วง 0 ถึงประมาณ 5 โวลท์ ด้วยความถี่ที่สูงมาก ซึ่งแท้จริงมันก็คือสัญาณอนาล็อกนั่นแหละ เพราะในความเป็นจริงสัญาญณไฟฟ้าเวลาเปลี่ยนแปลงแรงดันมันต้องไล่จาก 0-1-2-3-4-5 โวลท์ ในช่วงขาขึ้น และ 5-4-3-2-1-0 ในช่วงขาลงด้วยความเร็วสูงมากจนเรามองเห็นเป็นคลื่นสีเหลี่ยม แต่มันจะเปลี่ยนจากแรงดัน 0v ไป 5v เลยโดยไม่ไล่จาก 1-2-3-4 เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องนี้พิสูจง่ายๆ โวลท์มิเตอร์ดิจิตอลแตะสายที่ขัวถ่านทั้ง 2 แล้วลองเอาสายออกข้างนึงจะเห็นตัวเลขมันเปลี่ยนเพิ่มหรือลดไปด้วย ต่อให้เอาสายแตะเข้าออกด้วยความเร็วยังไงตัวเลขก็เปลี่ยน ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีได้ 

ถ้าผู้ออกแบบสายสัญญาณเขาคิดว่าดิจิตอลคือ Data ที่เป็น 0 กับ 1 ไม่มีการสูญเสีย เราก็คงไม่เห็นสายสัญญาณดิจิตอลผลิตออกมาขายกันแน่ๆ แต่เขาคงมองว่าสัญญาณดิจิตอลแท้จรริงมันคือสัญญาณไฟฟ้าแบบ square wave ความถี่สูง ฉนั้นถ้ามองในมุมนี้มันก็ใช้หลักการเดียวกับการออกแบบสายสัญญาณอนาล็อกทั่วไปได้เหมือนกัน ไล่ไปตั้งแต่ตัวนำไฟฟ้า ฉนวน ซีล แต่ต้องเลือกตัวนำที่นำความถี่สูงได้ดีกว่าเคยสังเกตุไหมว่าสายดิจิตอลที่ดีมักจะมีส่วนผสมของเงินหรือทำจากเงินแท้ในรุ่นสูงๆ สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้ (แต่ต้องฟัง) สายสัญญาณยี่ห้อเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสายดิจิตอลและสายอนาล็อกถ้าใช้ตัวนำและฉนวนที่มีโครงสร้างเหมือนกันก็มักจะให้เสียงออกมาในทางเดียวกัน อันนี้ถ้าใครเล่นสายมาเยอะจะเข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติของบุคลิกเสียงของยี่ห้อนั้น ลองศึกษาจากโครงสร้างสายของ Audioquest จะเข้าใจได้ง่ายสุด 


ให้กำลังใจ 1
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

ผมว่านะ

09/04/2021 22:41:43
ขอแก้ไขข้อความจาก : ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีได้ 

เป็น : ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีไม่ได้ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

เฟี้ยว

09/04/2021 23:26:18
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 25 - ผมว่านะ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 21 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ

จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง

นี่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องสายสัญญาณแบบ Digital อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คือใครอยากซื้ออะไรพอใจแบบไหนมันก็แล้วแต่สิทธิ์แล้วแต่การตัดสินใจ แต่คุณจะมาบอกว่า 1+1=5 ไก่ออกลูกเป็นตัว หมาออกลูกเป็นไข่ ไม่ได้มั้ยครับ
ถ้าคุณมองเป็นการส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบ DATA เป็น bit คิดให้ตายยังไงมันก็ไม่สูญเสียอยู่แล้ว

แต่ถ้ามองว่าการฟังเพลงจากไฟล์ดิจิตอลมันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณทางไฟฟ้าจากสัญญาณที่เป็น square wave ไปเป็นสัญญาณ sine wave มันก็ต้องมีการสุญเสียในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าอยู่แล้ว ดิจิตอลมันเป็นแค่นามธรรมว่า 0 กับ 1 แต่จริงๆมันคือสัญญาณไฟฟ้าที่สวิงอยู่ในช่วง 0 ถึงประมาณ 5 โวลท์ ด้วยความถี่ที่สูงมาก ซึ่งแท้จริงมันก็คือสัญาณอนาล็อกนั่นแหละ เพราะในความเป็นจริงสัญาญณไฟฟ้าเวลาเปลี่ยนแปลงแรงดันมันต้องไล่จาก 0-1-2-3-4-5 โวลท์ ในช่วงขาขึ้น และ 5-4-3-2-1-0 ในช่วงขาลงด้วยความเร็วสูงมากจนเรามองเห็นเป็นคลื่นสีเหลี่ยม แต่มันจะเปลี่ยนจากแรงดัน 0v ไป 5v เลยโดยไม่ไล่จาก 1-2-3-4 เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องนี้พิสูจง่ายๆ โวลท์มิเตอร์ดิจิตอลแตะสายที่ขัวถ่านทั้ง 2 แล้วลองเอาสายออกข้างนึงจะเห็นตัวเลขมันเปลี่ยนเพิ่มหรือลดไปด้วย ต่อให้เอาสายแตะเข้าออกด้วยความเร็วยังไงตัวเลขก็เปลี่ยน ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีได้ 

ถ้าผู้ออกแบบสายสัญญาณเขาคิดว่าดิจิตอลคือ Data ที่เป็น 0 กับ 1 ไม่มีการสูญเสีย เราก็คงไม่เห็นสายสัญญาณดิจิตอลผลิตออกมาขายกันแน่ๆ แต่เขาคงมองว่าสัญญาณดิจิตอลแท้จรริงมันคือสัญญาณไฟฟ้าแบบ square wave ความถี่สูง ฉนั้นถ้ามองในมุมนี้มันก็ใช้หลักการเดียวกับการออกแบบสายสัญญาณอนาล็อกทั่วไปได้เหมือนกัน ไล่ไปตั้งแต่ตัวนำไฟฟ้า ฉนวน ซีล แต่ต้องเลือกตัวนำที่นำความถี่สูงได้ดีกว่าเคยสังเกตุไหมว่าสายดิจิตอลที่ดีมักจะมีส่วนผสมของเงินหรือทำจากเงินแท้ในรุ่นสูงๆ สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้ (แต่ต้องฟัง) สายสัญญาณยี่ห้อเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสายดิจิตอลและสายอนาล็อกถ้าใช้ตัวนำและฉนวนที่มีโครงสร้างเหมือนกันก็มักจะให้เสียงออกมาในทางเดียวกัน อันนี้ถ้าใครเล่นสายมาเยอะจะเข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติของบุคลิกเสียงของยี่ห้อนั้น ลองศึกษาจากโครงสร้างสายของ Audioquest จะเข้าใจได้ง่ายสุด 


เพราะแบบนี้ไงครับเขาถึงมี Error Correction ไงครับเพราะต่อให้สัญญาณผิดเพี้ยนหรือ Loss ไปใช้เชิงไฟฟ้า แต่ตราบใดที่มันยังคงแยกได้ระหว่าง 0 กับ 1 มันก็พร้อมจะแก้ไขเขียนข้อมูลขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิม เพราะสุดท้ายแล้วการส่งสัญญาณแบบ Digital มันก็อยู่ที่ Final Product อยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะส่งมาแบบไหนแต่สุดท้ายปลายทางมันก็ต้องทำให้เป็นเหมือนเดิม เพราะถ้าข้อมูลผิดเพี้ยนจน Error Correction ไม่สามารถแยกออก มันไม่เล่นข้อมูลตรงจุดนั้นให้ฟังหรอกครับ เพราะถ้าคิดแบบว่าการส่งสัญญาณ Digital เป็นไฟฟ้าแบบเพียวๆแบบ Analog แบบนี้ส่งข้อมูลไปตาม Network ทั่วโลกมันไม่เจ๊งชิบหายกันหมดเหรอครับ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

Acholate

10/04/2021 01:43:14
5
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 22 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 19 - Acholate

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ถ้าคุณยึดหลักการนี้ ต้องไปคุยกับพวก asr แล้วล่ะครับ
สำหรับผม ตอนแรกก็คิดว่าอย่างที่คุณว่า พอมาลองเองจริงๆ มันต่างกันมากครับ
ชุดผมแค่เปลี่ยนสาย USB เสียงเปลี่ยนโคตรๆ จะให้ blind test กี่ครั้งผมมั่นใจมากครับว่าผ่านหมด

ผมยึดตามหลักการที่ผมได้ทำการศึกษาร่ำเรียนมา และแน่นอนมันไม่ใช่สิ่งทึ่ใครๆที่ไหนก็ได้จะมาบัญญัติลงในตำราหรือหลักสูตรที่รับรองโดยกระทรวงการศึกษา

ถ้าจะให้คุยผมขอคุยกับคนที่เป็น Sound Engineer และ มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Equipment จริงๆ และเป็นบุคคลากรทางการศึกษาจริงๆมีความน่าเชื่อถือและเป็นกลางถูกต้องทางข้อมูลแท้ๆ ไม่ใช่ขี้ข้าหมารับใช้บริษัทหรือนายทุนรายใดรายหนึ่ง
ผมไม่สามารถตอบในแง่เทคนิค หรือเหตุผลที่ทำให้เสียงมันต่างได้
เรื่องเสียงมันมีทั้ง subjectivist กับ objectivist ที่ audiophile เถียงกันจะเป็นจะตาย อยู่ทุกที่ทั่วโลก
objectivist ยังไงก็มองว่าเสียงเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างพิสูจน์ได้
subjectivist บอกว่าเสียงต้องใช้หูฟังอย่างเดียว
เถียงกันไม่จบ ไม่สิ้น
คุณเป็น objectivist ส่วนผมเป็น subjectivist ยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

แต่อยากให้คุณลองเปิดใจ ลองฟังดูว่ามันต่างจริงไหม
แล้วการที่ผมบอกว่า blind test ผ่าน คุณเชื่อผมเปล่า ถ้าผ่านก็แปลว่า digital มันไม่ได้มีแค่ bit to bit หรือเปล่าครับ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 29

เฟี้ยว

10/04/2021 02:19:27
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 28 - Acholate

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 22 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 19 - Acholate

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - เฟี้ยว
การส่งสัญญานแบบ Digital มันไม่มี Distortion ไม่มีการ Loss ของสัญญานเพราะมันเป็นการส่งข้อมูล ดังนั้นมันมีแค่ช้ากับเร็วแค่นั้น จะถูกหรือแพง เทคโนโลยีเก่าหรือใหม่เรื่องโทนเสียงมันไม่มีผลอยู่แล้ว เพราะถ้าข้อมูลส่งมาไม่เหมือนเดิมกับต้นฉบับจนระบบ Error Correction ไม่สามารถทำงานได้ แน่นอนว่าสิ่งที่คุณได้ยินนั้นย่อมมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นอาการ Glitch เป็นต้น
ถ้าคุณยึดหลักการนี้ ต้องไปคุยกับพวก asr แล้วล่ะครับ
สำหรับผม ตอนแรกก็คิดว่าอย่างที่คุณว่า พอมาลองเองจริงๆ มันต่างกันมากครับ
ชุดผมแค่เปลี่ยนสาย USB เสียงเปลี่ยนโคตรๆ จะให้ blind test กี่ครั้งผมมั่นใจมากครับว่าผ่านหมด

ผมยึดตามหลักการที่ผมได้ทำการศึกษาร่ำเรียนมา และแน่นอนมันไม่ใช่สิ่งทึ่ใครๆที่ไหนก็ได้จะมาบัญญัติลงในตำราหรือหลักสูตรที่รับรองโดยกระทรวงการศึกษา

ถ้าจะให้คุยผมขอคุยกับคนที่เป็น Sound Engineer และ มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Equipment จริงๆ และเป็นบุคคลากรทางการศึกษาจริงๆมีความน่าเชื่อถือและเป็นกลางถูกต้องทางข้อมูลแท้ๆ ไม่ใช่ขี้ข้าหมารับใช้บริษัทหรือนายทุนรายใดรายหนึ่ง
ผมไม่สามารถตอบในแง่เทคนิค หรือเหตุผลที่ทำให้เสียงมันต่างได้
เรื่องเสียงมันมีทั้ง subjectivist กับ objectivist ที่ audiophile เถียงกันจะเป็นจะตาย อยู่ทุกที่ทั่วโลก
objectivist ยังไงก็มองว่าเสียงเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างพิสูจน์ได้
subjectivist บอกว่าเสียงต้องใช้หูฟังอย่างเดียว
เถียงกันไม่จบ ไม่สิ้น
คุณเป็น objectivist ส่วนผมเป็น subjectivist ยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

แต่อยากให้คุณลองเปิดใจ ลองฟังดูว่ามันต่างจริงไหม
แล้วการที่ผมบอกว่า blind test ผ่าน คุณเชื่อผมเปล่า ถ้าผ่านก็แปลว่า digital มันไม่ได้มีแค่ bit to bit หรือเปล่าครับ 

ก่อนจะเกิดเป็น Subjectivist สุดท้ายทุกสิ่งอย่างก็ต้องเกิดจากการรังสรรค์ด้วยวิทยาการโดยอิงจากหลักความเป็นจริง ใช้สิ่งที่มีอยู่จริงบนโลกนี้สรรค์สร้างจนเกิดเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ตราบใดที่คนเราไม่สามารถท่องคาถาเสกทองคำให้เกิดขึ้นมากลางอากาศดื้อๆ เมื่อนั้นมันย่อมไม่มีสิ่งใดสามารถก่อเกิดขึ้นมาเองโดยปราศจากเหตุและผล ผมไม่ใช่ audiophile แต่ผมคือคนที่กระทำสิ่งเหล่านั้นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

ตามนั้น

10/04/2021 08:49:23
ลองเอาสายprinterไปใช้กับdacดูแล้วจะรู้ว่ามันห่วยแตกขนาดไหน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

ผมว่านะ

10/04/2021 10:21:59
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 27 - เฟี้ยว

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 25 - ผมว่านะ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 21 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ

จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง

นี่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องสายสัญญาณแบบ Digital อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คือใครอยากซื้ออะไรพอใจแบบไหนมันก็แล้วแต่สิทธิ์แล้วแต่การตัดสินใจ แต่คุณจะมาบอกว่า 1+1=5 ไก่ออกลูกเป็นตัว หมาออกลูกเป็นไข่ ไม่ได้มั้ยครับ
ถ้าคุณมองเป็นการส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบ DATA เป็น bit คิดให้ตายยังไงมันก็ไม่สูญเสียอยู่แล้ว

แต่ถ้ามองว่าการฟังเพลงจากไฟล์ดิจิตอลมันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณทางไฟฟ้าจากสัญญาณที่เป็น square wave ไปเป็นสัญญาณ sine wave มันก็ต้องมีการสุญเสียในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าอยู่แล้ว ดิจิตอลมันเป็นแค่นามธรรมว่า 0 กับ 1 แต่จริงๆมันคือสัญญาณไฟฟ้าที่สวิงอยู่ในช่วง 0 ถึงประมาณ 5 โวลท์ ด้วยความถี่ที่สูงมาก ซึ่งแท้จริงมันก็คือสัญาณอนาล็อกนั่นแหละ เพราะในความเป็นจริงสัญาญณไฟฟ้าเวลาเปลี่ยนแปลงแรงดันมันต้องไล่จาก 0-1-2-3-4-5 โวลท์ ในช่วงขาขึ้น และ 5-4-3-2-1-0 ในช่วงขาลงด้วยความเร็วสูงมากจนเรามองเห็นเป็นคลื่นสีเหลี่ยม แต่มันจะเปลี่ยนจากแรงดัน 0v ไป 5v เลยโดยไม่ไล่จาก 1-2-3-4 เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องนี้พิสูจง่ายๆ โวลท์มิเตอร์ดิจิตอลแตะสายที่ขัวถ่านทั้ง 2 แล้วลองเอาสายออกข้างนึงจะเห็นตัวเลขมันเปลี่ยนเพิ่มหรือลดไปด้วย ต่อให้เอาสายแตะเข้าออกด้วยความเร็วยังไงตัวเลขก็เปลี่ยน ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีได้ 

ถ้าผู้ออกแบบสายสัญญาณเขาคิดว่าดิจิตอลคือ Data ที่เป็น 0 กับ 1 ไม่มีการสูญเสีย เราก็คงไม่เห็นสายสัญญาณดิจิตอลผลิตออกมาขายกันแน่ๆ แต่เขาคงมองว่าสัญญาณดิจิตอลแท้จรริงมันคือสัญญาณไฟฟ้าแบบ square wave ความถี่สูง ฉนั้นถ้ามองในมุมนี้มันก็ใช้หลักการเดียวกับการออกแบบสายสัญญาณอนาล็อกทั่วไปได้เหมือนกัน ไล่ไปตั้งแต่ตัวนำไฟฟ้า ฉนวน ซีล แต่ต้องเลือกตัวนำที่นำความถี่สูงได้ดีกว่าเคยสังเกตุไหมว่าสายดิจิตอลที่ดีมักจะมีส่วนผสมของเงินหรือทำจากเงินแท้ในรุ่นสูงๆ สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้ (แต่ต้องฟัง) สายสัญญาณยี่ห้อเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสายดิจิตอลและสายอนาล็อกถ้าใช้ตัวนำและฉนวนที่มีโครงสร้างเหมือนกันก็มักจะให้เสียงออกมาในทางเดียวกัน อันนี้ถ้าใครเล่นสายมาเยอะจะเข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติของบุคลิกเสียงของยี่ห้อนั้น ลองศึกษาจากโครงสร้างสายของ Audioquest จะเข้าใจได้ง่ายสุด 


เพราะแบบนี้ไงครับเขาถึงมี Error Correction ไงครับเพราะต่อให้สัญญาณผิดเพี้ยนหรือ Loss ไปใช้เชิงไฟฟ้า แต่ตราบใดที่มันยังคงแยกได้ระหว่าง 0 กับ 1 มันก็พร้อมจะแก้ไขเขียนข้อมูลขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิม เพราะสุดท้ายแล้วการส่งสัญญาณแบบ Digital มันก็อยู่ที่ Final Product อยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะส่งมาแบบไหนแต่สุดท้ายปลายทางมันก็ต้องทำให้เป็นเหมือนเดิม เพราะถ้าข้อมูลผิดเพี้ยนจน Error Correction ไม่สามารถแยกออก มันไม่เล่นข้อมูลตรงจุดนั้นให้ฟังหรอกครับ เพราะถ้าคิดแบบว่าการส่งสัญญาณ Digital เป็นไฟฟ้าแบบเพียวๆแบบ Analog แบบนี้ส่งข้อมูลไปตาม Network ทั่วโลกมันไม่เจ๊งชิบหายกันหมดเหรอครับ 

การส่งข้อมูลไม่เจ้งชิบหายหรอกเพราะมันไม่สูญเสียก็ถูกแล้วยังไง 0 ก็ยังเป็น 0 และ 1 ก็ยังเป็น 1 ตราบไดที่ยังมีความต่างศักย์ทางไฟฟ้าให้มันแยกออกว่าอะไรคือ 0 อะไรคือ 1 ข้อมูลมันก็ไม่ผิดพลาด เพราะเก็บข้อมูลแค่ 0 กับ 1 ไว้ในรูปแบบดิจิตอล แบบนี้ต่อให้ใช้สาย USB เทพแค่ไหนก็ไม่มีผล
แต่เราพูดถึงการฟังเพลงด้วยไฟล์ดิจิตอล ถ้ามองในมุมไฟฟ้ามันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณไฟฟ้า ชื่อมันคือข้อมูลดิจิตอลก็จริง แต่มันคือสัญญาณ square wave ที่ส่งไปในสายเสัญญาณข้าไป DAC และการที่ DAC แปลงจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก มันก็คือการแปลง square wave เป็น sine wave ถูกไหมล่ะ และสัญญาณ sine wave ที่แปลงออกมา มันต้องถูกภาคขยายเสียงเข้าลำโพงเป็นเสียงให้ได้ยิน ซึ่งบังเอิญว่าหูเรามันแยกแยะความแตกต่างเล็กน้อยพวกนี้ได้ ถ้าออกแบบสาย USB ดีๆ ป้องกันการรบกวนได้ดีมันก็ต้องมีผลกับสัญญาณไฟฟ้าปลายทางถูกป่ะ สาเหตุที่สายดิจิตอลทำให้เสียงเปลี่ยน เพราะผลทางไฟฟ้านี่แหละ ไม่ได้มาจากความผิดพลาดทางดิจิตอลเลยสักนิด 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

เฟี้ยว

10/04/2021 17:04:59
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 31 - ผมว่านะ

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 27 - เฟี้ยว

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 25 - ผมว่านะ
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 21 - เฟี้ยว
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 18 - ผมว่านะ

จะเล่นหูฟังหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำเป็นด้วยหรอ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย เพราะคำตอบสุดท้ายต้องฟังเปรียบเทียบไง 

คุุณต้องเข้าใจก่อนบางคนเขามีความสุขกับการได้ลองฟังจับผิดอุปกรณ์ เขาเห็นอะไรใหม่ๆก็อยากลองฟัง เขาไม่สนใจหรอกผลการวัดค่ามันจะต่างกันหรือไม่ ต่อให้มีคนบอกไม่ต่างเขาก็อยากลองฟังอยู่ดี ถ้า A ฟังแล้วต่าง แต่ B บอกไม่ต่าง  A ก็มีความสุขฟังเพลงเพราะขึ้น ส่วน B ก็ไม่เสียเงิน มันก็เป็นแบบนี้แหละ

นักเล่นที่จริงจังอะไรก็ตามที่ทำให้เสียงดีขึ้น  เขาจะสรรหามาเล่นมาลองทั้งนั้น เพราะมันคือความสุขอย่างหนึ่ง แต่ถ้าแค่ฟังเพลงธรรมดามันก็คงไม่ต้องขนาดนี้หรอก คนตั้งกระทู้ถึงถามไงว่าใครเคยลองใช้แล้วบ้าง

นี่พวกเรากำลังพูดถึงเรื่องสายสัญญาณแบบ Digital อยู่ไม่ใช่เหรอครับ คือใครอยากซื้ออะไรพอใจแบบไหนมันก็แล้วแต่สิทธิ์แล้วแต่การตัดสินใจ แต่คุณจะมาบอกว่า 1+1=5 ไก่ออกลูกเป็นตัว หมาออกลูกเป็นไข่ ไม่ได้มั้ยครับ
ถ้าคุณมองเป็นการส่งผ่านข้อมูลในรูปแบบ DATA เป็น bit คิดให้ตายยังไงมันก็ไม่สูญเสียอยู่แล้ว

แต่ถ้ามองว่าการฟังเพลงจากไฟล์ดิจิตอลมันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณทางไฟฟ้าจากสัญญาณที่เป็น square wave ไปเป็นสัญญาณ sine wave มันก็ต้องมีการสุญเสียในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้าอยู่แล้ว ดิจิตอลมันเป็นแค่นามธรรมว่า 0 กับ 1 แต่จริงๆมันคือสัญญาณไฟฟ้าที่สวิงอยู่ในช่วง 0 ถึงประมาณ 5 โวลท์ ด้วยความถี่ที่สูงมาก ซึ่งแท้จริงมันก็คือสัญาณอนาล็อกนั่นแหละ เพราะในความเป็นจริงสัญาญณไฟฟ้าเวลาเปลี่ยนแปลงแรงดันมันต้องไล่จาก 0-1-2-3-4-5 โวลท์ ในช่วงขาขึ้น และ 5-4-3-2-1-0 ในช่วงขาลงด้วยความเร็วสูงมากจนเรามองเห็นเป็นคลื่นสีเหลี่ยม แต่มันจะเปลี่ยนจากแรงดัน 0v ไป 5v เลยโดยไม่ไล่จาก 1-2-3-4 เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องนี้พิสูจง่ายๆ โวลท์มิเตอร์ดิจิตอลแตะสายที่ขัวถ่านทั้ง 2 แล้วลองเอาสายออกข้างนึงจะเห็นตัวเลขมันเปลี่ยนเพิ่มหรือลดไปด้วย ต่อให้เอาสายแตะเข้าออกด้วยความเร็วยังไงตัวเลขก็เปลี่ยน ก็นั่นแหละมันไม่สามารถเปลี่ยนจาก 0V แล้วไป 5V หรือ 5V ไป 0V โดยทันทีได้ 

ถ้าผู้ออกแบบสายสัญญาณเขาคิดว่าดิจิตอลคือ Data ที่เป็น 0 กับ 1 ไม่มีการสูญเสีย เราก็คงไม่เห็นสายสัญญาณดิจิตอลผลิตออกมาขายกันแน่ๆ แต่เขาคงมองว่าสัญญาณดิจิตอลแท้จรริงมันคือสัญญาณไฟฟ้าแบบ square wave ความถี่สูง ฉนั้นถ้ามองในมุมนี้มันก็ใช้หลักการเดียวกับการออกแบบสายสัญญาณอนาล็อกทั่วไปได้เหมือนกัน ไล่ไปตั้งแต่ตัวนำไฟฟ้า ฉนวน ซีล แต่ต้องเลือกตัวนำที่นำความถี่สูงได้ดีกว่าเคยสังเกตุไหมว่าสายดิจิตอลที่ดีมักจะมีส่วนผสมของเงินหรือทำจากเงินแท้ในรุ่นสูงๆ สิ่งนึงที่พิสูจน์ได้ (แต่ต้องฟัง) สายสัญญาณยี่ห้อเดียวกันไม่ว่าจะเป็นสายดิจิตอลและสายอนาล็อกถ้าใช้ตัวนำและฉนวนที่มีโครงสร้างเหมือนกันก็มักจะให้เสียงออกมาในทางเดียวกัน อันนี้ถ้าใครเล่นสายมาเยอะจะเข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติของบุคลิกเสียงของยี่ห้อนั้น ลองศึกษาจากโครงสร้างสายของ Audioquest จะเข้าใจได้ง่ายสุด 


เพราะแบบนี้ไงครับเขาถึงมี Error Correction ไงครับเพราะต่อให้สัญญาณผิดเพี้ยนหรือ Loss ไปใช้เชิงไฟฟ้า แต่ตราบใดที่มันยังคงแยกได้ระหว่าง 0 กับ 1 มันก็พร้อมจะแก้ไขเขียนข้อมูลขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิม เพราะสุดท้ายแล้วการส่งสัญญาณแบบ Digital มันก็อยู่ที่ Final Product อยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ ไม่ว่าจะส่งมาแบบไหนแต่สุดท้ายปลายทางมันก็ต้องทำให้เป็นเหมือนเดิม เพราะถ้าข้อมูลผิดเพี้ยนจน Error Correction ไม่สามารถแยกออก มันไม่เล่นข้อมูลตรงจุดนั้นให้ฟังหรอกครับ เพราะถ้าคิดแบบว่าการส่งสัญญาณ Digital เป็นไฟฟ้าแบบเพียวๆแบบ Analog แบบนี้ส่งข้อมูลไปตาม Network ทั่วโลกมันไม่เจ๊งชิบหายกันหมดเหรอครับ 

การส่งข้อมูลไม่เจ้งชิบหายหรอกเพราะมันไม่สูญเสียก็ถูกแล้วยังไง 0 ก็ยังเป็น 0 และ 1 ก็ยังเป็น 1 ตราบไดที่ยังมีความต่างศักย์ทางไฟฟ้าให้มันแยกออกว่าอะไรคือ 0 อะไรคือ 1 ข้อมูลมันก็ไม่ผิดพลาด เพราะเก็บข้อมูลแค่ 0 กับ 1 ไว้ในรูปแบบดิจิตอล แบบนี้ต่อให้ใช้สาย USB เทพแค่ไหนก็ไม่มีผล
แต่เราพูดถึงการฟังเพลงด้วยไฟล์ดิจิตอล ถ้ามองในมุมไฟฟ้ามันเป็นการเปลี่ยนรูปสัญญาณไฟฟ้า ชื่อมันคือข้อมูลดิจิตอลก็จริง แต่มันคือสัญญาณ square wave ที่ส่งไปในสายเสัญญาณข้าไป DAC และการที่ DAC แปลงจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก มันก็คือการแปลง square wave เป็น sine wave ถูกไหมล่ะ และสัญญาณ sine wave ที่แปลงออกมา มันต้องถูกภาคขยายเสียงเข้าลำโพงเป็นเสียงให้ได้ยิน ซึ่งบังเอิญว่าหูเรามันแยกแยะความแตกต่างเล็กน้อยพวกนี้ได้ ถ้าออกแบบสาย USB ดีๆ ป้องกันการรบกวนได้ดีมันก็ต้องมีผลกับสัญญาณไฟฟ้าปลายทางถูกป่ะ สาเหตุที่สายดิจิตอลทำให้เสียงเปลี่ยน เพราะผลทางไฟฟ้านี่แหละ ไม่ได้มาจากความผิดพลาดทางดิจิตอลเลยสักนิด 

สับสนหรือเปล่าครับ นั่นมันหลักการของ Amp Class D ที่ยังเป็น Analog อันนี้แหละของตายอยู่แล้ว แต่อันนี้ดิจิตอล PCM ครับ 0 กับ 1 ก็แค่ตัวแทนของชุดข้อมูลเพื่อที่จะเอา Decode มาประกอบเป็น Waveform ในเชิงไฟฟ้าจะส่งอย่างไรก็ได้ขอแค่ระบบยังแยกออก มันไม่ได้เอา Sinewave ไป Modulate ให้กลายเป็น Squarewave ตรงๆ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

ผมว่านะ

10/04/2021 20:28:05
ไม่สับสนหรอกครับ อธิบายแบบนี้ละกันสมมุติอยากฟังไฟล์เพลงจากคอม กดโปรแกรมฟังเพลงสัญญาณที่ออกมาจากสาย USB มันเป็น square wave เอามาฟังเพลงไม่ได้ แต่สัญญาณนี้ มันแฝงรหัสบางอย่างมาด้วยในค่า max และ min ของ amplitude ถ้าเราเข้าใจรหัสนี้เราก็สามารถเปลี่ยน square wave ให้เป็นสัญญาณเสียงได้ บังเอิญ DAC มันสามารถถอดรหัสนี้ได้ มันเลยสามารถเปลี่ยนสัญญาณนี้ให้เป็นสัญญาณเสียงได้ 

รหัสที่ว่า มันคือ data ที่อยู่ในรูปของ ดิจิตอล ส่วนผลลัพธ์ของการถอดรหัสมันคือการเปลี่ยน สัญญาณ square wave เป็น sine wave ไงครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

ผมว่านะ

10/04/2021 22:16:41
กลับมาอ่านอีกที คุณลองเอา oscilloscope จับสัญญาณ PCM ดูสิครับ ว่าได้รูปคลื่นอะไร square wave ถูกไหมครับ แล้วถ้าผมจะบอกว่า DAC ทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้า square wave ให้เป็น sine wave มันผิดตรงไหนครับ สิ่งนี้คือวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริงนะครับ 

ผมอ่านความเห็นคุณมาทั้งหมด คุณพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งนั้น แต่คุณไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรม มันคือการส่งผ่านสัญญาณทางไฟฟ้านั้นแหละครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

Venti Wee

15/06/2021 13:12:34
0
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 5 - DenafripsLover

อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 1 - Acholate
ขึ้นอยู่กับ DAC และ Source ครับ
DAC ที่ผมใช้อยู่ Denafrips Terminator i2s ดีกว่าครับ
ถ้า Source ดี streamer/audiophile PC โหดๆ USB กับ i2s ไม่ต่างกันมากครับ

รบกวนชี้เป้า ที่ซื้อ Denafrips Terminator ด้วยครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

Venti Wee

15/06/2021 13:13:46
0
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 4 - DenafripsLover

รบกวนชี้เป้า ที่ซื้อ Denafrips Terminator ด้วยครับ

มีตัวแทนในไทยละครับ
https://www.facebook.com/DenafripsTH/
098-554-2561 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

Apitti

19/06/2021 08:37:54
ก่อนอื่นเลย เราไปศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ที่โครตพื้นฐานอย่าง Serial Communication พวก protocol 
กันก่อนเลยครับ
ส่วนเรื่องที่เกียวกับ DAC ผมไม่ใช่นักฟังแต่ขอออกความเห็นว่า USB DAC กากๆของผม ไม่ว่าจะถอดไปเสียบกับเครื่องไหน Window Mac  Linux  เสียงที่ออกมาเหมือนกันเปะ  รวมถึงพวกหูฟัง Bluetooth TWS ด้วย  อย่างนี่ สภาพอากาศ อัตราส่วนในอากาศระหว่างเครื่องเล่นกับหูฟังมันมีผลจริงหรือ???? 
ขอแสดงความเห็นแค่นี้ก่อนนะครับ  
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

ผมว่านะ

19/06/2021 12:01:36
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 37 - Apitti

ส่วนเรื่องที่เกียวกับ DAC ผมไม่ใช่นักฟังแต่ขอออกความเห็นว่า USB DAC กากๆของผม ไม่ว่าจะถอดไปเสียบกับเครื่องไหน Window Mac  Linux  เสียงที่ออกมาเหมือนกันเปะ  

ถ้าเอา DAC ไปเสียบเล่นกับคอมตรงๆ แบบนี้เสียงมันก็เหมือนๆ กันหมดแหละครับ แต่ถ้าลองใช้งาน WASAPI/ASIO ลองสมัครใช้งาน JRiver, Roon, Tidal (ทดลองใช้งานได้ฟรีนะครับยังไม่ต้องจ่ายเงิน) รับรองว่ารับรู้ได้ถึงความแตกต่างแน่ๆ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 39

น่าเบื่อ

25/06/2021 20:38:56
วิทยาศาสตร์ มีทั้ง ภาค ทฤษฎี และภาค ปฏิบัติ
ทำไมพวกที่อ้าง วิทยาศาสตร์ ไม่ค่อย ปฏิบัติ หรือ ทดลอง
หรือเป็นพวกไม่มีเงิน
พิมพ์เอามันส์อย่างเดียว ?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"I2S Input and Output มีใครลองใช้แล้วบ้างครับ"