สวัสดีครับทุกท่าน "เปา อัมรินทร์" กลับมาพบทุกท่านอีกครั้งนึงแล้วครับ เนื่องจากมีสินค้าเข้ามาใหม่แบบ สด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสินค้าที่ทุกท่านน่าจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ จึงได้หยิบเอามาเขียนรีวิวให้กับทุกท่านได้อ่านกันครับ 

สำหรับสินค้าที่ผมนำมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันนั้นก็จะเป็นสินค้าจากแบรนด์เครื่องเล่นไฟล์เพลงดิจิทัลระดับโลกอย่าง "Astell&Kern" หรือที่พวกเราเรียกกันอย่างติดปากว่า "AK" นั่นเองครับผม 

"ใช่ครับ เค้าออกรุ่นใหม่มาอีกแล้ว" โดยรอบนี้ใช้ชื่อรุ่นว่า "SA700" ที่มีราคาค่าตัวอยู่ที่ "51,900 บาท" โดยจะมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Onyx Black และ Stainless Steel ส่วนจะอยู่ในไลน์อัพไหน หรือ มาแทนสินค้าตัวใดรึเปล่านั้น เดี๋ยวมาดูกันครับ

SA700 นั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นมาเพื่อแทนที่เครื่องเล่นรุ่นไหนทั้งนั้นครับ อันนี้สบายใจได้ เพราะเครื่องของท่านนั้นยังไม่ตกรุ่นครับ แล้วก็ไม่ได้ออกมาทับกับสินค้ารุ่นอื่นอย่าง Kann Cube หรือ ออกมาทดแทน รุ่นอื่น ๆ แต่อย่างใดครับ เนื่องจาก Kann Cube ที่ออกมาวางจำหน่ายก่อนหน้านั้นเป็นสินค้าที่มีตำแหน่งของตัวเองอย่างชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่มีการทับไลน์กันแต่อย่างใดครับ

Kann Cube ที่มีราคา 59,900 บาท นั้นถูกมองว่ามีราคาใกล้เคียงกันกับ SA700 ที่เพิ่งวางจำหน่าย แต่จริง ๆ แล้วตำแหน่งการใช้งานของทั้งสองรุ่นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับ เนื่องจาก Kann Cube นั้นออกแบบมาเพื่อนักเล่นที่ต้องการเครื่องเล่นที่มีศักยภาพ สามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Portable และ Desktop ครับ

นอกจากนี้ Kann Cube นั้นยังมีฟีเจอร์เด็ดที่เครื่องเล่นอื่นให้ไม่ได้อย่าง 5 Pin Mini XLR Balanced Out ที่สามารถใช้ Kann Cube เป็น Source สำหรับต่อมาเข้า Amplifier ระบบ Balanced ได้ครับ แถมยังให้กำลังที่สูงเหมาะสำหรับคนที่มี Desktop Amplifier หรือ ชุดเครื่องเสียงอยู่ที่บ้านด้วย ทำให้เวลาจะใช้งานนอกบ้านก็สามารถพกพาไปใช้งานได้ พอกลับเข้ามาที่บ้านก็สามารถใช้งานกับชุด Desktop ที่บ้านได้อีก ดังนั้น SA700 จึงไม่ได้ออกมาเพื่อทดแทน หรือ ออกมาเบียดกับ Kann Cube แต่อย่างใดครับ

และก่อนที่เราจะไปแกะกล่อง SA700 กันนั้น ผมอยากให้ทุกท่านได้ดูสเปคของ SA700 กันเสียก่อนครับว่าสเปคของเค้านั้นจะมีความน่าสนใจขนาดไหน เลื่อนลงไปดูที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ 

::: Specifications :::

SA700 นั้นมาพร้อมกับตัวแพคเกจที่มาในทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงยาว ตัวกล่องเป็นสีดำ มีโลโก้ของทาง AK เป็นสีแดงที่ดูน่าดึงดูด น้ำหนักกำลังดีไม่หนักจนเกินไปครับ ซึ่งส่วนตัวผมชอบการออกแบบแพคเกจของรุ่นนี้มาก ๆ ดูสวยงามมีสเน่ห์ดีครับ 

ที่ด้านบนตรงมุมเค้าจะมีระบุเอาไว้เลยครับว่าตัวกล่องนี้เป็นสีอะไร ระว่าง Onyx Black กับ Stainless Steel เพื่อให้ง่ายต่อการ สังเกตุเห็นครับ เพราะที่หน้ากล่องเค้านั้นเป็นสีดำสนิทแยกไม่ออกกันเลยทีเดียว

เมื่อหยิบตัวเครื่องออกมานั้นก็จะเห็นว่าที่หน้าจอของเครื่อง SA700 นั้นมีแผ่นสติ้กเกอร์ที่มีสโลแกนของทาง AK แปะเอาไว้อยู่ครับ ซึ่งสามารถลอกออกเองได้ง่าย ๆ โดยไม่ทิ้งคราบไว้บนหน้าจอครับผม  และ สำหรับสีที่ผมนำมาแกะกล่องให้ดูกันนั้นก็คือสี  "Onyx Black"  ครับ 

พลิกมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้างครับ ด้านหลังนั้นก็จะมีโลโก้ ของทาง AK อยู่ตรงกลาง และ ด้านบนจะมีแถบกระจกที่ภายในนั้นมีการวางเสาสัญญาณต่าง ๆ อยู่ภายใน ทั้ง Wifi และ Bluetooth ครับ

ซูมเข้าไปให้ดูใกล้ ๆ เลยครับว่ามีความสวยงามขนาดไหน ภายในที่เห็นเป็นลวดลายเล็ก ๆ นั้นผ่านการ CNC มาอย่างปราณีต แบบ Made in Korea แท้ ๆ เลยครับ 

สำหรับในช่อง Headphone Out ทั้ง 3.5 และ 2.5 นั้นสามารถปล่อยเป็น Line Out ออกไปเข้า Amplifier ภายนอก หรือ เข้าลำโพงได้ทันทีครับ และ ยังสามารถปรับเลือก Gain ได้อีกด้วย โดยในช่อง Balanced 2.5 mm นั้นสามารถปล่อยไปใช้งานร่วมกับ Aroma A100 ที่รองรับ Balanced Input ได้ด้วยเช่นกันครับ

ที่ด้านท้ายของตัวเครื่องก็จะมีช่อง USB C สำหรับชาร์จไฟได้ครับ โดยในรุ่น SA700 นั้นรองรับการชาร์จแบบ QC3.0 และ PD2.0 ด้วยครับผม ใครที่มีหัวชาร์จทั้งสองแบบนั้นก็สามารถใช้งานการชาร์จเร็วได้ทันทีซึ่งจะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครับ แต่หากเป็นการชาร์จด้วยกระแสปกติ 5V/2A นั้นทาง AK ระบุไว้ว่าจะใช้เวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมงครับผม

ส่วนอีกช่องนึงนั้นก็จะเป็นช่องสำหรับใส่ Micro SD Card ที่มีบานเลื่อนเปิด-ปิด เหมือนกับในรุ่น AK120 ที่ออกมายุคแรก ๆ เลยครับ โดยช่องนี้จะรองความจุสูงสุดที่ 1 TB จำนวน 1 ใบ ครับผม

ทางด้านข้างของตัวเครื่องนั้นก็จะเป็น Volume Knob เช่นเคยครับ แต่ใช้ดีไซน์แบบ Bridge Block สำหรับกันกระแทกแบบในรุ่น AK120 เลยครับ

นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ Volume Knob นั้นยังมีความพิเศษอยู่ตรงที่ มีไฟ LED แสดง Bit Depth ของเพลงที่เราเล่นอยู่มาให้ด้วย หรือ เวลาที่เราปรับเพิ่มลดเสียงนั้นไฟก็จะแสดงสถานะแตกต่างกันด้วยครับ โดยเล่นจากส้มอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้มเลยครับผม

Red : 16 Bit
Green : 24 Bit
Blue : 32 Bit
Purple : DSD

หรือถ้าเราไม่ต้องการให้แสดงไฟ LED เนื่องจากกลัวเปลืองแบต หรือ ไฟแยงตาตอนกลางคืนก็สามารถปิดได้จากใน Setting > LED Indicator > Off 

หลังจากที่เราดูรอบ ๆ ตัวเครื่องกันไปแล้วก็มาพูดถึงเรื่องของความรู้สึกในการจับถือกันบ้างครับว่าจะเป็นยังไง ตัวเครื่อง SA700 นั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถถือใช้งานมือเดียวได้สะดวกกว่าในรุ่นอื่น ๆ ขนาดหน้าจอก็ดูพอเหมาะ ทำให้การพกพาไปใช้งานนั้นดูจะง่ายกว่าในรุ่นที่ตัวเครื่องใหญ่กว่าพอสมควรครับ

SA700 นั้นใช้วัสดุที่เป็น Stainless Steel ผ่านกระบวนการ CNC มากมายหลายขั้นตอน กว่าจะออกมาดูหรูหรา พรีเมี่ยมขนาดนี้ครับ ส่วนน้ำหนักของตัวเครื่องนั้นอยู่ที่ 303 กรัม ถือว่าไม่หนักไม่เบาจนเกินไปครับ แต่ก็อย่าเผลอทำตกใส่เท้าเชียว ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการแตกหักได้ ผมหมายถึงเท้าของเรานะครับ ไม่ใช่ตัวเครื่อง ฮ่า ๆ ๆ 

นอกจากตัวเครื่องที่ได้มาแล้วก็ยังมีอุปกรณ์ในกล่องที่แถมมาให้อีกครับ โดยจะมีฟิลม์หน้าหลังแบบ "ด้าน" มาให้ 2 ชุดครับ แล้วก็จะมีเป็นสายชาร์จแบบ USB A to USB C มาให้ 1 เส้น พร้อมกับคู่มือการใช้งานครับผม

สำหรับในรุ่น SA700 นั้นจะไม่มีเคสแถมมาให้ในกล่องนะครับ แต่ทาง AK เค้าก็มีขายด้วยสำหรับใครที่กลัวว่าตัวเครื่องจะเป็นรอย โดยจะเป็นเคสหนังที่มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Viridian Green , Poppy Red และ Neo Black ครับ ราคาจะอยู่ที่ 5,600 บาท เท่ากัน

ที่ด้านหลังของตัวเคสนั้นก็จะมี Heat Ventilation สำหรับระบายความร้อนมาให้ด้วยครับ เนื่องจาก SA700 นั้นจะมีวัสดุเป็น Stainless จึงทำให้เวลาใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำตัวเครื่องก็จะเย็นมาก หรือ ในที่ที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ตัวเครื่องนั้นอุ่น ๆ จนถึงอุ่นมากหน่อย แต่ไม่ถึงกับร้อนจนถือไม่ได้เลยครับ

ซึ่งความร้อนนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรครับ เพราะตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ภายใน และ มีการจ่ายไฟไปที่ภาคแอมป์เยอะ จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาได้ครับ โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถทนความร้อนได้มากกว่าที่เรารู้สึกมากอยู่ครับ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลไปว่าตัวเครื่องจะมีอาการผิดปกติครับ

ตัวเคสเมื่อสวมเข้าไปแล้วจะไม่ได้รู้สึกคับ หรือ ยัดยาก แต่อย่างใดครับ สามารถสวมใส่ได้ง่าย แถมดูเท่ห์อีกต่างหากครับ โดยจะเว้นพื้นที่ด้านข้างสำหรับ Volume เอาไว้ และ เปิดด้านบนไว้ให้ใช้งานได้สะดวกครับ

เอาล่ะครับ เรามาเริ่มเปิดเครื่องกันเลยดีกว่า เมื่อเราเปิดเครื่องติดแล้วก็จะพบกับโลโก้ของทาง AK ที่รอบนี้มาในโทนสี ดำ-แดง ที่ดูสวยงามน่าหลงไหลทีเดียวครับ 

พอเข้าสู่หน้าจอโฮมแบบพร้อมใช้งานแล้วเราก็สามารถลงเพลงอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนเดิมครับ และ ด้วยความจุ 128 GB นั้นก็ลงเอาได้ตามสะดวกเลยครับผม  ถ้าไม่พอก็อัด Micro SD Card อีกสัก 1 ใบ เอาให้จุใจกันไปเลยครับ

หน้าตาเมนูอะไรต่าง ๆ ก็ยังคงใช้งานได้เหมือนกับในรุ่นอื่น ๆ เลยครับ ทำให้ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมายสำหรับผู้ที่ใช้งานเครื่องเล่นของ AK อยู่แล้ว

AK Connect นั้นก็ยังมีมาให้ใช้งานกันอยู่ครับ สามารถส่งเพลงไปเล่นยังลำโพงที่รองรับ หรือ Chord Poly ได้แบบ UPNP ผ่าน Wifi ในวงแลนเดียวกันได้สบาย ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การส่งเพลงจากเครื่องไปอย่างเดียว แต่ยังสามารถเลือกเพลงจากในวงแลนเดียวกันมาเล่นผ่าน SA700 ได้ด้วยครับผม

หรือถ้าใครชอบสีทองแบบเดิมก็สามารถเข้าไปเปลี่ยนได้นะครับ โดยไปที่ Setting > Background Theme > Classic Gold > กด OK จากนั้นเครื่องจะรีสตาร์ทตัวเองก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับ 

ใครที่เปลี่ยนรูปแบบการฟังเพลงจากปกติที่ฟังเพลงด้วยการลงไฟล์ในเครื่อง แต่ตอนนี้หันไปใช้ Music Streaming แทน ก็สามารถโหลดไฟล์ APK มาลงเพื่อฟังได้เลยทั้ง Apple Music, Spotify, Joox หรือ Tidal ก็ได้แบบครบ ๆ เลย

หลังจากที่เราดูทุกมุมทุกส่วนกันไปหมดแล้วก็มาดูในส่วนของเรื่องเสียงกันบ้างดีกว่าครับ ก่อนอื่นเลยนั้นผมขอบอกให้ทุกท่านได้ทราบกันก่อนว่าผมใช้เพลงจาก Music Streaming อย่าง Tidal กับ Spotify ในการทดสอบครับ และ ตัวหูฟังนั้นผมเลือกมา 2 รุ่นในการทดสอบ ได้แก่ AK T9iE & Campfire Audio Solaris ครับ เพราะอะไรผมถึงเลือกใช้ T9iE & Campfire Audio Solaris ในการทดสอบน่ะเหรอครับ ? ผมมีเหตุผลอยู่ 3 ข้อ ดังนี้ครับ

1. AK T9iE นั้นเป็นหูฟังที่สามารถใช้งานได้ทั้ง 3.5 mm และ Balanced 2.5 mm ในตัว ทำให้สามารถทดสอบได้อย่างง่ายดายโดยที่เสียงนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนจนเกินไป ทำให้มองเห็นความแตกต่างของทั้งสองช่อง Output ได้อย่างง่ายดายครับ 

2. AK T9iE นั้นเป็นหูฟังสไตล์ Reference ที่มีความเป็นกลาง และ ยังสามารถปรับเปลี่ยนแนวเสียงของตัวเองไปได้ตามเครื่องเล่น และ ไฟล์เพลงที่ได้ฟัง ทำให้ง่ายต่อการทดสอบเสียง และ มองหาความแตกต่างครับ 

3. AK T9iE & Solaris เป็นหูฟังที่ผมคุ้นหูในช่วงนี้ เพราะเป็นหูฟังที่ผมหยิบมาใช้งานบ่อย ๆ ครับ

สำหรับ SA700 เมื่อตอนแกะกล่องออกมาใหม่ ๆ แบบยังไม่ได้เบิร์นนั้นผมได้ทดลองฟังแล้วรู้สึกว่าเสียงดี แต่ ๆ ๆ โทนรวม ๆ นั้นยังดูไม่ค่อยมีทรงมากนัก ย่านต่ำดูชิดกับเสียงกลางเกินไป ยังมองไม่เห็นถึงความไฮเอนด์จากเครื่องเล่นรุ่นนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อได้ทำการเบิร์นเสียงพ้นช่วง 50 ชั่วโมงแรกมาแล้วก็เริ่มดีขึ้นอย่างสัมผัสได้ จึงทำการเบิร์นเพิ่มไปเรื่อย ๆ จนถึงหลัก 100 ชั่วโมงขึ้นไปจนพ้นระยะเบิร์นอิน พอกลับมาลองฟังใหม่อีกครั้งด้วยเพลงเดียวกับที่ได้ฟังไปในตอนแรก ๆ ปรากฎว่าความไฮเอนด์ที่ขาดหายไปในตอนแรกนั้นได้เผยตัวให้เห็นแล้วครับ

หลังจากที่ผ่านการเบิร์นอย่างเข้มข้นมาแล้วนั้นสิ่งแรกที่ผมฟังแล้วรู้สึกทึ่งก็คือ "ความเงียบสงัด" ซึ่งปกติแล้วเครื่องเล่นของทาง Astell&Kern นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของความสงัดอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผมทึ่งก็คือ ความเงียบสงัดของตัว SA700 นั้นดันใกล้เคียงกับในรุ่น SP1000 อดีตตัวท็อปของค่าย โดยเฉพาะในช่อง Balanced 2.5 mm นั้นเรียกได้ว่าความเงียบสงัดนั้นเบียดกันเลยก็ว่าได้ครับ 

ย่านเสียงต่ำ : ย่านเสียงต่ำของ SA700 นั้นมีการพัฒนาไปในแนวทางที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ของแบรนด์พอสมควรครับ คือในน้ำเสียงของเบสนั้นดูมีเนื้อที่เข้มข้น มีรูปลักษณ์ที่สวย สามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นแนวเพลงที่เสียงเบสนำมาอย่างเพลง Bad Guy ของ Billie Eilish หรือ เพลงที่ตัวเบสแค่คุมโทนอย่างเพลง Don't Know Why ของ Norah Jones ต่างก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดี โดยที่ไม่ได้รู้สึกโอเวอร์จูนมากนัก สำหรับในย่านต่ำนั้นที่ฟังกับสองเพลงนี้แล้วผมรู้สึกว่าดีเลยก็จะเป็นตอนใช้กับ AK T9iE ครับ เพราะฟังเพลงเน้นเบสเน้นจังหวะก็สนุก เพลงช้าคุมโทนก็ฟังเพลิน ดีทั้งสองแบบเลยครับ

ย่านเสียงกลาง : ในย่านเสียงกลางนี้มีความประทับใจส่วนตัวตรงที่ SA700 นั้นให้กลิ่นอายของเครื่องเล่นอย่าง AK120 ในยุคแรกเริ่มที่มีความหวานอิ่ม เนียน และ ให้ความต่อเนื่องของเสียงที่ดีมาก ๆ เนื่องจากแนวเสียงแบบนี้นั้นห่างหายไปจากเครื่องเล่นของ AK ไปสักพักแล้ว พอได้มาฟังจาก SA700 จึงทำให้ผมประทับใจไม่ว่าจะฟังเพลงไหน หรือ กับหูฟังอะไรก็รู้สึกดีไปหมดครับ :D

เสียงนักร้อง : SA700 นั้นเป็นเครื่องเล่นที่ให้พื้นที่นักร้องเยอะทีเดียวครับ ตำแหน่งของเสียงร้องจะยืนอยู่ตรงกลางโดยที่เสียงเครื่องดนตรีอื่น ๆ จะอยู่ล้อมรอบอีกทีครับ แต่ขึ้นอยู่กับเพลงด้วย ถ้าเพลงไหนมีการบันทึกเสียงร้องมาแบบเด่น ๆ กินพื้นที่เสียงดนตรีมากขึ้น ตัว SA700 ก็สามารถแบ่งพื้นที่ของเสียงร้องให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นเพลง The Power Of Love ของ Celine Dion เป็นต้นครับ ส่วนรายละเอียดของเสียงร้องนั้นเรียกได้ว่าออกมาให้ได้ยินครบ ๆ กันอยู่แล้ว เพราะโดยพื้นฐานของเครื่องเล่น AK นั้นให้เสียงร้องที่เนียน มีตัวตน  ฟังแล้วไม่รู้สึกอึดอัด และ เก็บรายละเอียดได้อย่างหมดจดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ ซึ่งในเพลงนี้ผมจะชอบน้ำเสียงที่ได้จาก Solaris มากกว่าครับผม เพราะเสียงร้องนี่โดดเด่น มีพลัง และ ให้เบสที่ทุ้มลึกถึงใจมาก ๆ ครับ

มิติ & เวที : มาดูในส่วนของมิติด้านลึก และ เวทีเสียงกันบ้างครับ SA700 นั้นมีเวทีเสียงที่พอเหมาะ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับในรุ่น SE100 นั้น ทาง SE100 ดูจะกว้างกว่าอยู่นิดหน่อยครับ  แต่ SA700 นั้นได้เปรียบ SE100 ตรงที่ใช้ชิปแบบ Dual ในการแยก L - R ถึงแม้เวทีจะเล็กกว่า แต่กลับมีช่องไฟของเสียงที่มากกว่า และ แจกแจงตำแหน่งของเสียงจากทาง L - R ได้เด็ดขาดมากกว่า ทำให้เวลาที่เราฟังเพลงจาก SA700 นั้นจะไม่รู้สึกว่าเสียงทั้งสองข้างนั้นชิดกับหูเราจนเกินไป และ แน่นอนครับเวลาฟังกับ Solaris แล้วรู้สึกมิติดูโอบล้อมมากกว่าทาง AK T9iE ที่จะออกไปทางด้านข้างมากกว่าครับ ยิ่งถ้าเพลงไหนบันทึกเสียงมาดี ๆ จะยิ่งเห็นชัดเจนเลยครับ

สรุป : โทนเสียงโดยรวมของ SA700 นั้นให้เสียงที่ฟังเพลงได้ดีทั้งด้านเพลง Audiophile แบบจริงจัง และ เพลงตลาดทั่วไปที่ฟังได้สนุก มีไดนามิกของเสียงที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังให้รายละเอียดของเสียงในย่านต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจ โดยที่มีกลิ่นอายของเครื่องเล่น AK ยุคบุกเบิกอย่าง AK120 ที่หลาย ๆ คนยังแอบคิดถึงน้ำเสียงแบบนี้อยู่ซึ่ง SA700 นั้นให้อารมณ์ประมาณนั้นเลยครับ เป็นผลมาจากชิป AK4493ECB ที่ทาง AK นำมาพัฒนาต่อจาก AK4497EQ นั่นเองครับ

สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองนั้นชอบแนวเพลงตลาด และ กังวลว่าจะฟังจาก SA700 แล้วไม่สนุก ไม่คึกคักนั้นหมดห่วงได้เลยครับ เพราะผมเองก็ไม่ใช่คนที่ฟังสาย Audiophile ตลอดเวลา และ ผมได้ลองฟังเพลงร็อคเก่า ๆ อย่างวง Kiss, Guns N' Roses, Bon Jovi, AC/DC และ แนวอื่น ๆ ที่เป็นแนวเพลงไทยยอดนิยมทั้งหลาย ก็ยังรู้สึกประทับใจในน้ำเสียงของ SA700 ที่สามารถฟังได้สนุกไม่แพ้กันเลยล่ะครับ 

และอย่างที่บอกครับ ผมทดลองฟังกับหูฟังที่ผมคุ้นหู และ ชอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งผลที่ออกมานั้นก็เป็นที่น่าพึงพอใจมาก ๆ สำหรับตัวผมเองครับ ซึ่งผมก็แนะนำว่าให้มาทดลองสัมผัสด้วยมือ ลองดูด้วยตา มาฟังด้วยหูของทุกท่านเองอีกครั้งนึงนะครับผม 

นับว่าครบถ้วนแล้วครับสำหรับรีวิว Astell&Kern SA700 เครื่องนี้ที่ร่ายยาวกันมาแบบไม่มีพักเลย ก่อนจากกันไปวันนี้ต้องขอขอบคุณที่ท่านที่เข้ามาอ่านบทความชิ้นนี้นะครับ หากท่านใดที่มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวสินค้าก็สามารถคอมเมนท์สอบถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนนะครับผม สวัสดีครับ ^_^