Dragonfly นี่เสียบกับโน๊ทบุ๊ค กับเสียบมือถือ หูฟังตัวเดียวกัน เสียงเหมือนกันมั้ยครับ
Dragonfly นี่เสียบกับโน๊ทบุ๊ค กับเสียบมือถือ หูฟังตัวเดียวกัน เสียงเหมือนกันมั้ยครับ
จะเรียกว่า Cobalt นั้นถูกยกเครื่องใหม่ก็ไม่ได้ผิดแต่ประการใดครับ ถึงแม่หน้าตาจะคล้ายๆรุ่นก่อนหน้า แต่ระบบภายในคือสิ่งที่ทำให้คุณภาพเสียงของ Cobalt นั้นสามารถก้าวไปได้ไกลอีกขั้นนึงเลยทีเดียว
– “ชิพ DAC ตัวใหม่ไฉไลกว่าเดิม” ถึงจะยังคงใช้ DAC จาก ESS Saber แต่ก็ได้อัพเกรดจาก ESS ES9016 ที่อยู่ในรุ่น Red ขยับมาเป็น ESS ES9038Q2M ซึ่งมีระบบ Digital Filter ที่ดีกว่าเดิมทำให้เสียงเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่จะสามารถแสดงรายละเอียดสูงสุดได้ที่ Sampling Rate 96kHz ซึ่งถ้าคุณเป็นคนมีคลังเพลงระดับ 192kHz เยอะมากจริงๆก็อาจต้องพิจารณากันนิดหน่อยครับ แต่โดยปกติที่ความละเอียดระดับ 96kHz นี่ก็ถือว่าเหลือเฟือมากๆแล้ว
จากข้อมูลของทาง Darko Audio ได้บอกไว้ว่าจริงๆที่ Cobalt สามารถแสดงรายละเอียดได้แค่ 96kHz ไม่ใช่ปัญหาจากชิพ DAC แต่อย่างใด เพราะจริงๆแล้วชิพ ESS 9038Q2M สามารถรองรับความละเอียดได้สูงถึง 384kHz เลยทีเดียว แต่ข้อจำกัดไปอยู่ที่ระบบ USB Class 1 ที่ทาง AudioQuest ต้องการให้ Cobalt สามารถใช้งานได้ในทุกระบบปฎิบัติการโดยที่ไม่ต้องใช้ไดรเวอร์ ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, Windows, MacOS หรือแม้กระทั่ง Linux
– ด้านสมองกลที่ใช้คิดคำนวนก็เปลี่ยนใหม่ มาเป็นไมโครชิพ รุ่น PIC32MX274 ซึ่งตามสเปคบอกว่าทำให้ Cobalt นั้นสามารถทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 33% และยังมีส่วนช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงานอีกด้วยครับ
– ระบบพลังงานก็ถูกเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกัน โดย Power Supply ตัวใหม่จะช่วยในเรื่องของการลด Noise ที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบได้ ไม่ว่าจะเป็น Noise ที่มาจากสัญญาณมือถือ, สัญญาณ Wi-Fi หรือว่า Bluetooth นั่นก็หมายความว่าเราจะได้พื้นหลังของเสียงดนตรีที่สงัดมากขึ้น สามารถที่จะได้ยินรายละเอียดต่างๆของเสียงดีกว่าเดิม
ด้านการบริโภคพลังงานนั้น จากการเทสของทาง Darko Audio ก็ได้บอกไว้ว่า Cobalt ไม่ได้กินแบตเตอรี่จากสมาร์ทโฟนมากอย่างที่คิดกัน ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นแล้วอาจจะเป็นการใช้งานแบตเตอรี่แค่เพียง 5 – 10% จากการใช้งานสมาร์ทโฟนโดยทั่วไปเท่านั้นเอง
– เพิ่มเติมระบบ Bit Perfect Volume Control ซึ่งได้มาจาก Headphone Amp รุ่น ESS Sabre 9601 ที่อยู่ภายใน ทำให้ Cobalt มีค่า Signal-to-Noise ที่ดีมาก นั่นก็แปลว่าเราสามารถลดเสียงรบกวนได้อีกทางหนึ่ง เมื่อรวมกับระบบ Power Supply Filter ที่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ Cobalt มีระบบเสียงที่สะอาดสุดๆเลยทีเดียว
– ทางด้านเอาท์พุตเลเวลนั้นจะเป็นระดับ line level ที่ 2.1 volt ความสามารถในการขับหูฟังนั้นถือว่าเหลือเฟืออยู่แล้ว และด้วยค่าเอาท์พุต 2.1 volt ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเอาท์พุตของเครื่องเล่น CD ส่วนใหญ่ ทำให้เราสามารถต่อ Cobalt เข้ากับระบบเครื่องเสียงบ้านได้ทันที จะต่อไปเข้ากับปรีแอมป์เพื่อฟังเพลงบนระบบที่ใหญ่กว่าอย่างลำโพงก็ทำได้สบายมากครับ
และถ้าจะลงลึกไปอีกหน่อย Cobalt นั้นถูกพัฒนาระบบ Clock หรือสัญญาณนาฬิกาดิจิตอลให้เป็นแบบ Mono Clock แทนที่จะเป็น Multiple Clock แบบเดิม และยังนำเทคโนโลยีบางส่วนจากอุปกรณ์อย่าง Jitter Bug ของทาง AudioQuest เองเข้ามาใช้ ซึ่งจะลดปัญหาเรื่อง Jitter ลงไปได้อีก
จากเดิมที่ DragonFly รุ่น Red นั้นครองตำแหน่งลูกพี่ของ Portable DAC ค่าย AudioQuest มานานพอสมควร พอ Cobalt เปิดตัวออกมาโดยเบียดทั้งสเปคและราคา จึงอดไม่ได้ที่นักฟังหลายๆคนจะเอาทั้ง 2 รุ่นนี้มาเปรียบเทียบกัน
สื่อต่างประเทศอย่างสำนัก Audio Advice ได้ทดลองฟังเปรียบเทียบกันโดยทดลองกับหูฟังถึง 3 รุ่นและผลลัพธ์ที่ได้ต่างก็ต้องยกนิ้วให้กับน้องใหม่อย่าง Cobalt ทันทีที่ได้ฟังเลยทีเดียว
จากการเทสกับหูฟังอย่าง Audeze – LCD-3 ซึ่งถือว่าเป็นหูฟังที่ขับยากอยู่เหมือนกัน ผลทดสอบปรากฎว่า Cobalt นั้นสอบผ่านในด้านกำลังขับ การปรับระดับโวลลุ่มที่ประมาณ 35% ก็ทำให้รู้สึกว่าได้เสียงที่ดังพอสมควรแล้ว
สำหรับ DragonFly Red ที่ให้คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ Cobalt ก็สามารถให้ฮาร์โมนิคและความอิ่มของเสียงได้มากกว่าเดิม ความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของชิ้นดนตรีต่างๆก็ดีขึ้น เนื่องมาจากสัญญาณเสียงที่สะอาด ทาง Audio Advice ถึงกับกล่าวไว้ว่า “ไม่ใช่ว่า DragonFly Red และ Black นั้นไม่ดี มันเป็น DAC ที่คุณภาพเยี่ยมทั้งคู่เช่นเดียวกัน แต่เมื่อคุณได้ลองมาฟัง Cobalt แล้วมันก็ยากที่จะย้อนกลับไปใช้รุ่นเดิม”
สรุปDragonFly Cobalt จะเป็น DAC พกพาที่สามารถตอบโจทย์คนที่ซีเรียสกับการฟังเพลงได้ 100% อย่างแน่นอน ด้วยความสะดวกในการใช้งานแบบ Plug & Play ที่แทบจะเข้ากันได้กับทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องพึ่งไดรเวอร์ บวกกับขนาดที่กะทัดรัดจนสามารถยัดใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับโทรศัพท์ได้สบายๆ
เมื่อรวมเข้ากับคุณภาพเสียงที่ดีแล้ว ใครเป็นนักฟังที่จัดเต็มกับอุปกรณ์อย่างหูฟังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วล่ะก็ การลงทุนกับ DAC คุณภาพเยี่ยมซักตัวจะทำให้คุณสามารถรีดประสิทธิภาพของหูฟังให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ไปในทันทีครับ
ถ้าคุณเคยผ่านการใช้งาน DragonFly รุ่น Red และ Black มาก่อนแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณจะหลงรัก Cobalt อย่างแน่นอนครับ
รอ Red พังแหละครับ คงอีกนาน แต่ผมขยันทำตกบ่อยจริง ยังใช้ได้ปกติดี
Red + SR225e ลงตัวสุดสำหรับผมแล้ว พอลอง Grado แล้วไปฟังเจ้าอื่นไม่ได้เลย อึดอัด
รอ Red พังแหละครับ คงอีกนาน แต่ผมขยันทำตกบ่อยจริง ยังใช้ได้ปกติดี
Red + SR225e ลงตัวสุดสำหรับผมแล้ว พอลอง Grado แล้วไปฟังเจ้าอื่นไม่ได้เลย อึดอัด
รอ Red พังแหละครับ คงอีกนาน แต่ผมขยันทำตกบ่อยจริง ยังใช้ได้ปกติดี
Red + SR225e ลงตัวสุดสำหรับผมแล้ว พอลอง Grado แล้วไปฟังเจ้าอื่นไม่ได้เลย อึดอัด