อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ
ATH M40X
Fiio A5

เพลงที่ใช้ทดสอบ
High Life - Jazz at the Pawnshop
รายละเอียดต่างๆไม่มีการทับซ้อนกันเลยครับ แทบไม่ต้องเพ่งก็จับรายละเอียดได้ง่ายดาย แซกโซโฟนที่โซโลอย่างรวดเร็วก็สัมผัสได้ทุกตัวโน๊ต เสียงเคาะของฉาบชนิดต่างๆ รวมถึงเสียงกลองสามารถสัมผัสถึงความหนักเบาได้ทันที เสียบปรบมือ เสียงพูดคุยที่แทรกเข้ามาก็สัมผัสได้ว่ามาจากจุดที่คนดูอยู่

Giorgio by Moroder - Daft Punk
เสียงพูดของ Giorgio จะอยู่ข้างหน้า โดยที่เรายังสามารถสัมผัสเสียงเฮฮาของคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังได้ เบสเป็นเบสที่กระชับ และยังได้ยินเสียงกีต้าห์ไฟฟ้า หรือเสียงสังเคราะห์อื่นๆไปพร้อมๆกันได้โดยไม่ต้องเพ่งเลย

Girls On Boys - Galantis
ลองฟัง EDM ดู ผมคิดว่าเสียงน่าจะโปร่งและขาดอิมแพคเกินไปสำหรับเพลงแนวนี้

adrenaline!!! - TrySail
แนวอนิเมะผมว่าเข้ากันได้ดีเลย จังหวะเพลงที่รวดเร็วสนุกสนาน ไม่ต้องการอิมแพคมาก รู้สึกสนุกไปกับเพลงได้โดยไม่ขัดใจอะไรเลย

Tachiagare! - Wake Up Girl!
แนวไอดอลที่บันทึกเสียงไม่ได้ดีมาก แต่ผมกลับไม่รู้สึกขัดใจนะ คิดว่า DAC ตัวนี้ก็เข้ากับแนวนี้ได้ดีอีกแนว

Psychosocial - Slipknot
แนวเมทัล รายละเอียดอย่างเสียงฉาบหงายที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน DAC ตัวนี้กลับแสดงออกมาได้ จังหวะโซโลกีต้าห์หรือกลองที่รวดเร็วก็ตามทันได้หมด แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดิบเท่าไหร่ อาจเพราะอิมแพคที่ไม่มาก รวมถึงเสียงที่เปิดสว่างทำให้เพลงดูสดใสมากกว่าดิบเถื่อน

โดยรวมแล้วเสียงที่ได้จาก DAC ตัวนี้คือความโปร่ง รายละเอียด มิติเสียงที่เกินราคา โทนเสียงจะค่อยไปทางสว่าง คม เหมาะกับแนวออดิโอไฟล์รวมถึงแนวตลาดที่ไม่ต้องการเบสหรืออิมแพคมากๆครับ

เพิ่มเติม ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเสียงที่คม เลยวัดดวงสั่ง Audioquest Cinnemon USB-C มาลองดูว่าจะช่วยได้รึเปล่า
เสียงที่ได้คือปลายของเสียงไม่ระคายหูผมอีกแล้ว โดยที่สไตล์เสียงแทบจะคงเดิมทุกอย่าง สัมผัสความต่างได้แค่ว่าเสียงเหมือนจะเป็นเนื้อเสียงเดียงกันมากขึ้น โดยที่ไม่สูญเสียการแยกชิ้นดนตรีแต่อย่างได เป็นสาย USB ที่เข้าคู่กันอย่างดีกับเจ้าตัวนี้เลยครับ

ตัวนี้ราคาเท่าไรครับบมีช่องต่ออะไรบ้าง

99 USD ครับ
สเปคตามนี้ https://www.khadas.com/tone-specs

ไม่ทราบว่าเทียบกับ Topping D50 หรือ DX7S เป็นอย่างไรบ้างครับ 

ไม่เคยฟังสองตัวนั้นนะครับ แต่เทียบกับ D50 แล้ว Tone Board จะทำอะไรได้น้อยกว่า ช่องต่อก็น้อยกว่าด้วย ตามราคา
ส่วน DX7s เป็น DAC/AMP ในขณะที่ Tone Board เป็น DAC อย่างเดียว ใช้กับหูฟังก็ต้องหา AMP มาเพิ่มอีกครับ

แบบนี้กิน Mojo กระจุยเลยไหมครับ TT

Mojo ถึงค่า SINAD จะน้อยกว่า แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ดีมาก และมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็น DAC/AMP พกพาได้สะดวก และใช้งานได้หลากหลายกว่า แถมภาค AMP ก็มี Output impedance ที่ดีมาก (0.7 ohm) ครับ

ผมก็พึ่งสั่งไปครับ สั่งแบบ VIM Edition ไปด้วย เผื่อจะเอามาใช้กับ VIM2 อิอิ

ปล. เอามาใช้กับพวก Pi ที่ลง Volumio ก็แจ่มนะครับ

ผมไม่มี DAC ตัวอื่นเทียบเลยไม่รู้ว่าเจ้าตัวนี้มันดีระดับไหนนะครับ เท่าที่รู้คือคุณภาพเสียงดีกว่า FiiO X3II มากๆ
ถ้าได้รีวิวจากคุณ Artnoi จะดีมากๆเลยครับ

รอของผมมาแล้วจะบอกนะคร้าบ จริงๆไม่ต้องรออ่านรีวิวหรอกครับแค่ดูจาก ASR ก็พอรู้แล้วว่าเป็นยังไง คนทำตั้งใจวัดใส่ใจในรายละเอียดแค่ไหนแล้สครับ คุณ ClearSky_n_NiceBreeze ถ้าชอบแนวหน้าตา Tone ผมแนะนำให้ลองสั่ง Raspberry Pi, Odroid หรือ VIM ของ khadas เลย มาทำเป็น Music Server ดูครับ คุณภาพ bit-perfect ในราคาถูก ประหยัดไฟ ไม่ต้องลำบากคอมเราด้วยครับ ที่บ้านผทเซ็ทอัพ SBC ตัวนึงเป็น NAS server อีกตัวเป็น Volumio ใช้โคตรดี+สะดวกตามสาย geek เลยครับ

มีรุปรวมร่างเสร็จไหมครับบบ น่าสนใจมากก

เดี๋ยวกลับบ้านไปถ่ายให้ดูครับ

มาโพสต์รูปตามที่โม้ไว้ครับ ผมจับ RPI 3B+ ยัดใส่เคส ลง volumio ทำตัวเป็น streamer ต่อกับ USB DAC เอาไว้ (เดี๋ยว Khadas Tone board จะมาแทนครับอิอิ) แล้วไปออกแอมป์ O2 อีกที ทีเด็ดคือ volumio ตัวนี้ต่อกับ Wi Fi บ้านผมครับ แปลว่าใครก็ตามในวง WLAN นี้สามารถเข้าถึง Volumio ได้หมด ไม่ว่าจะเล่นเพลงผ่านตัวมันเอง ผ่านเซอเวอร์ NAS หรือแม้แต่ผ่าน AirPlay ครับ เดี๋ยวจะมาโชว์ UI กับประโยชน์ต่อครับ

ผมพยายามใช้สายให้สั้นที่สุด เพื่อลด loss และก็ไม่ให้เกะกะครับ (อย่างน้อยทีมงานเว็บ ASR ก็พิสูจน์แล้วว่าสายแพง วัดค่าความแตกต่างแทบไม่ได้ แต่แค่เปลี่ยนเป็นสายสั้น วัดค่าน็อยส์/จิตเตอร์ได้ลดลง แค่าสั้นไม่ต้องวิเศษไรมากก็ช่วยมากแล้วครับ) อย่างหลังนี่เน้นกว่าครับเพราะโต๊ะผมจะรกมากอยู่แล้ว สายทุกสเน้เลยสั่งทำให้สั้นที่สุด แต่ก็กลัวสายมันจะแข็ง เลยกด สาย mogami กับ belden (USB) ตัวที่ flexible จัดๆมามั้งครับถ้าจำไม่ผิด อ่อนดี

เนื่องจากเจ้า Pi ต้องทั้งดึงข้อมูลจาก NAS ผ่าน Wi-Fi ทั้งส่งแรงไปเปิด DAC (DAC ผมเป็น USB bus-powered ไม่มี power supply ครับ) ทำให้บอร์ดผมค่อนข้างร้อน ผมก็แค่เช็คด้วยการ ssh เข้าไปดู ถ้าวันไหนอากาศร้อนๆแล้ว Pi ขึ้นไปเกิน 60c ผมจะเปิดฝาพอก็ช่วยได้ละครับ ถ้าร้อนๆมันจะช้าเพราะ SoC ทำงานเหลือแค่ 1.2GHz ครับ

หน้าจอหลักครับ เป็น web UI สามารถเข้าผ่าน web browser จากคอมที่อยู่ในวง LAN ได้เลยครับ สะดวกมากๆๆๆๆๆ จากสมาร์ทโฟนก็ได้นะครับ หรือๆๆ ถ้าไม่มีเราท์เตอร์ เจ้า Pi สามารถปล่อย hot spot ได้ครับ!! เอาง่ายๆคือยังไงก็ interface ได้ครับถ้าคุณไม่ใช่คนโลว์เทค

คอมทุกเครื่องสามารถ Output ไปที่เจ้า Volumio ผ่าน AirPlay ได้เลยครับ ทั้งใน iTunes และใน system-wide config เลยครับ ง่ายๆคือคอมเราไม่ต้องเสียบ DAC อีกต่อไป ทั้งหมดนี้ในราคาแค่พันสามร้อยบาท เพราะซอฟต์แวร์ฟรีครับ

โผล่มาใน iTunes ก็มีนะครับ เรียกได้ว่าทำงานได้ flawless เลยสำหรับคนที่ใช้ Apple Ecosystem เยอะๆอย่างผมนะครับ

สาเหตุจริงๆที่ผมเซ็ททั้งหมดขึ้นมาคือ มันเกิดจากความหงุดหงิดผมเองครับ ที่สงสัยว่าแค่จะเล่นเพลงทำไมต้องเปิดคอม (ที่โคตรร้อนของผม) และทำไม iTunes ต้องใช้แรมตั้ง ~400MB ในการเล่นเพลงและเอาท์พุทไปแดคเฉยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะพวก services, store ต่างๆของแอปเปิลเองทำให้ตัวไอทูนส์ bloated ขนาดนี้

ผมเลยหาวิธีที่ optimal ที่สุดครับ และใช่ครับ volumio ทั้งสตรีมเพลง ทั้งดึงข้อมูลจาก NAS ทั้งดูแล music database แต่กลับใช้ความจำไปแค่ 150-200MB เท่านั้นเองครับเวลาเล่นเพลง เพลงๆนึงโหลดเข้าแรมไปก่อน 10% สำหรับ volumio ได้ตัวเลขต่ำขนาดนี้ผมว่าสุดยอดมากละครับ

(โทษทีครับพอดี htop ใน volumio ผมมันสีฟ็อนต์ดำ เทอร์มินอลดาร์คโหมดใน macOS ชอบเจอปัญหานี้ครับผมขี้เกียจแก้)

ของแถมนะครับ คุมผ่าน iOS ก็ได้นะครับสวยๆเลย จากแอพ Music เลย แถมตัว Volumio เองมี Tidal ด้วยครับ

แต่สำหรับผมพระเอกตัวจริงคงเป็นคนนี้ครับ Rock Pi 4B ผมลง Armbian (Debian) ไว้ทำเป็น NAS server แต่ตอนนี้ Armbian สำหรับชิปผม (RK3399) ยังใช้ NFS ไม่ได้ (ลง NFS จาก APT แล้วแต่ services nfs start ไม่ได้ ใครเซียน linux บอกผมทีนะครับต้องทำไงถ้าไม่อยากรอ kernel ใหม่) ได้แต่ Samba (CIFS) ครับ สปีดก็เลยช้ากว่า NFS นิดหน่อย

ต่อกับ Wi-Fi เหมือนกัน ไม่ต่อแบบสายเพราะผมสงสารน้อง ต้องตื่นทั้งวัน ที่เราท์เตอร์อยู่มันอากาศร้อนครับ HDD ที่ต่อเป็นของเก่ามากกกกอายุ 10 ปีแต่ไม่มี bad ซักจุด ตอนนี้ผมเอาไว้โยนไฟล์เพลงที่ฟังบ่อยมากๆจนมีฟังทั้งวันไม่ต้องเปิดคอม กับพวกไฟล์ config ของ Linux ทั้งหลายครับ รวมถึง shell script ด้วย เพราะทั้งสองเครื่อง Rock Pi และ Raspberry Pi ผมใช้เป็น headless server หมดเลยครับ

แจ่มเลยยยครับบบ งบเท่าไรครับแต่ละชิ้น ไหนไหนก็ไหนไหนแล้วทำรีวิวเฉพาะเลยก็ดีครับผมจะได้ทำตามหาอุปกร์มาลองบ้าง 

เยี่ยมเลยครับคุณ Artnoi พึ่งทราบว่า Volumio มี Tidal มาด้วย ผมไม่เคยใช้ Volumio เคยใช้แต่ RuneAudio นานหลายปีมาแล้ว เจอปัญหากับ AirPlay เล่นๆ แล้วหยุด เลยเลิกเล่นไป

ผมพึ่งทำ headless สำเร็จไปโจทย์ผมคือ- ต้องเป็น Headless music server.
- เล่น Playlist ที่ rip มาจาก CD เพลงที่มีอยู่ + Soptify + Tidal โดยไม่ต้องสลับโปรแกรมไปมา

.
ตอนแรกเจอ Daphile เข้าใจว่าเป็น arch linux สามารถลงบน usb drive แล้วบูตส์สลับกับ Windows 10 ทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ แถมเสียงดีมาก (ผมใช้ real-time kernel) มาติดตรงที่เวลา rip แผ่นแล้วต้องใส่ปก ต้องกลับมาทำบน Windows 10 บนเครื่องเดียวกัน มันเลยวุ่นวายไปนิด จนมาเจอ piCorePlayer (tinycore linux) นี่หละครับ เล่นบน raspberry pi แถมยังมีเวอชั่น real-tile kernel ด้วย เรื่องเสียงหูตะกั่วอย่างผมคิดว่ามันดีมากๆ อยู่นะครับ บน pi 3 ผม under clock เรื่องความร้อนก็พอๆ กับ pi 2

.
เห็นที่ต้องลอง Volumio บ้าง คุณ Artnoi เคยฟังเทียบกับ piCorePlayer ไหมครับ ?

มี bal มั้ยครับ อยากได้บ้าง

เป็น Pure DAC นะครับ มี RCA out กับ S/PDIF in และ out ในช่องเดียวกัน

Pi bal DAC ยังไม่เคยเห็นนะครับ แต่ Raspberry Pi มี I2S interface อยู่ (ตรง GPIO pin) น่าจะหา bal I2S DAC มาใช้ด้วยกันได้นะครับ แต่คงต้องบัดกรีสายกันยาว

ปล. พวก Hifiberry ก็ใช้ I2S นี่แหละครับ ส่วน Tone Board มีสองอินพุทคือ SPDIF และ USB ดูเหมือนมี GPIO ก็จริง แต่สัญญาณที่รับจะเป็น USB bus ครับ แค่หน้าตา GPIO คล้ายของ Raspberry Pi เฉยๆ

พอดีเล่นเว็บผ่านๆแล้วเจอครับ ไม่ใช่ bal DAC แต่เป็น digital transport w/ balanced AES (XLR) digital output

ผมก็พึ่งเห็น ตอนนี่มี Pi มี bal digital output แล้วนะครับ ต่อด้วย I2S เหมือนเดิม jitter performance ~ quite good ครับ

https://www.audiosciencereview.com/forum/index.php?threads/pi2aes-digital-audio-shield-for-the-raspberry-pi.7136/#post-169736

พึ่งได้มาครับอิอิ

รอติดตามครับ 

เดี๋ยวไว้ผมเขียนรีวิชุดล่าสุดผม+วิธีเซ็ทง่ายๆทีเดียวเลยดีกว่าครับ ชุดตั้งโต๊ะที่จบในตัว (ไม่ต้องใช้คอมเพิ่ม) ที่ Extremely High Fidelity และ Bit-perfect ครับสำหรับคนงบไม่เยอะแบบผม $35 Raspberry Pi + $99 DAC (Khadas Tone) + $99 Amp (Massdrop O2, or JDS Atom) ทั้งชุดรวมกันประมาณ 7000 นิดๆไม่รวมค่าส่ง ไม่รวมค่าเคส Pi และ Tone

คุณ Artnoi เซ็ตจบเหมือนกันเลย 555 แนะนำๆ

แนะนำให้หาเคสอลูมิเนียมครอบ khadas tone คับ เพราะ noise ในตัวมันเอง ต่ำกว่า noise จากคลื่นในอากาศอีก

อ่าถูกต้องครับต้องหาเคสมาครอบ ตอนนี้สั่งมาแล้วครับผม จากอันนี้ https://www.audiophonics.fr/en/aluminium-boxes-cases/aluminum-case-for-khadas-tone-board-p-13626.html 

ตอนแรกว่าจะหาเคสที่ใส่ VIM กับ Tone ได้ แต่สรุปว่ามันเป็น open + acrylic สะส่วนใหญ่ครับ 

ว่าจะสั่งมาเหมือนกันครับ

ไอหย๋า เคสข้างบนจาก audiophonics.fr ใส่ Khadas รุ่น VIM edition ไม่ได้ครับผม.. ใส่ได้แค่ generic edition ตอนนี้กำลังหาซื้อเคส BEX แบบในลิงค์ข้างล่างอยู่ครับ ว่าแต่ใครพอจะรู้สถานที่รับเจาะเคสไหมแบบในรูปในลิงค์ข้างล่างไหมครับ? ถ้าไม่มีคงต้องสั่ง 3d printing service (มีไฟล์เคส Tone board อยู่เยอะครับ)

https://www.audiosciencereview.com/forum/index.php?threads/making-a-case-enclosure-for-the-khadas-tone-board.5054/

เคสมาถึงวันนี้พอดี ใส่เคสแล้วดูดีขึ้นมากเลยครับ


หลังจากผ่านไป 1 เดือน ผมใช้เจ้าตัวนี้กับลำโพง Edifier R1280T เป็นหลัก
ส่วนหูฟังหลังจากลองหัดเล่นฟูลไซต์ M40X + แอมป์ A5 เป็นเวลาปีกว่าๆ ผมพบว่าชอบที่จะใช้งานหูฟังกับ DAP มากกว่าอยู่ดี คงไม่มีชุดตั้งโต๊ะหลังจากนี้อีกแล้ว

สิ่งที่พบเพิ่มเติมจากการใช้กับลำโพงคือ ถ้าฟังอัลบั้ม Live ที่บันทึกเสียงดีๆ อย่างเช่น Eric Clapton Unplugged
เสียงที่ได้จะมีโฟกัสที่แน่นอนมากๆ มีมิติด้านลึกที่แยกเลเยอร์กันอย่างดีมาก ถึงขั้นที่ว่ารู้สึกเหมือนนักร้องนักดนตรีล่องหนอยู่ตรงหน้าเราเลยทีเดียว
ซึ่งผมไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากลำโพงราคาไม่ถึง 4000 เคยคิดว่าถ้าอยากได้อะไรแบบนี้ต้องเปลี่ยนลำโพงหรือหูฟังไประดับสูงขึ้นเท่านั้น
ทำให้ผมยิ่งเชื่อมั่นใน Tone Board มากขึ้นว่า สมควรแล้วที่ได้อยู่ในกลุ่มท็อปจาก DAC ที่ทดสอบโดยคุณ amirm แห่งเว็บ Audiosciencereview