ครั้งแรกก็งี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน

แกคงพูดติดตลกมั้ง แต่อุปกรณ์อะไรที่เกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้า ต้องเบิร์นหมด สายไป AC, fuse แม้แต่เต้าไฟ (ปลั๊กฝังในบล็อกไม้) ก็ต้องเบิร์นครับ เรื่องจริงแต่เพี้ยน 555

แล้วก็คงต้องเบิร์น โวลุ่ม ด้วยม้าง บิดไป บิดมา แบบเร่งเครื่อง บรื้นๆๆๆๆ 555

สักพักผมว่าคงต้อง  " เบิร์นหูคนฟัง " ด้วย 5555

เป็นเรื่องจริงครับ เพราะออดิโอไฟล์ที่ซีเรียสนั้น เค้าเอาจริงทุกขั้นตอนจ้า 555 แต่เครื่องเสียงที่จะฟังกันแบบซีเรียสแล้ว 5หลักไม่อยู่ครับ อย่างน้อยต้องซัก 4-5 แสนบาท ถึงจะพอคันๆ ครับ

เรื่องขาตั้งลำโพง มันก็เป็นเรื่องจริงครับ เพราะขาตั้งเหล็คยุคนี้ เค้าออกแบบพิสดารขึ้นไปอีก คือทำเป็นเหล็กกลวง แต่ภายในใส่ทรายลงไปจนแน่น

ทรายธรรมดาก็ไม่ได้ ต้องใช้ทรายจากภูเขาไฟ ที่มันเป็นเหมือนผงถ่านสีดำๆ กรอกเข้าไป

แล้วที่ว่าเบิร์นขาตั้งนั้นก็คือ เวลาตั้งเข้าที่แล้ว เค้าต้องรอให้ทรายมันเรียงตัวไหลลงไปด้านล่าง อัดแน่นจนไม่เกิดโพรงอากาศภายในครับ

เพราะขาที่กลวง กับขาที่มันแน่น นั้นมีผลต่อโฟกัสของตำแหน่งดนตรีครับ 555


อะจ๊ากกกกก เรื่องจริงนะครับ 555 แต่ผมไม่มีปัญญาหามาเล่นหรอกครับ เนื่องจากไม่มีปัญญาจะหาชุดที่แพงๆ ระดับ 7 หลักมาเล่น ก็เลยรอดตัวไป 555

ขาตั้งไม่สมดุลก็ไม่ได้ครับ ประเภทว่าสั่นไปสั่นมาตอนเปิดดังๆ นี้
มีผลอย่างเฮียมั่นว่าไว้อ่ะคับ พอดีได้ฟังเครื่องเสียงของพี่ที่เคยทำงานกับ XAV อ่ะคับ เห็นแกบ่นๆ ว่าขาตั้งมันไม่ดีให้ช่างทำยางรอง 12 มิล
มันดันทำให้ 9 มิล เลยไม่ได้ตามที่คำนวณไว้(เพิ่งรู้ว่าแค่ขาตั้งก็คิดมากกันด้วยแฮะ) แกว่าจะไปทำขาตั้งใหม่อยู่

แถมอีกนิดนะ หูฟังที่ไม่ได้ใช้นานๆพอนำมาฟังใหม่ก็ต้องนำมาเบิร์นใหม่ครับ ทุกสี่งขึ้นอยู่กับประสพการณ์และการเรียนรู้โดยเฉพาะถ้าคนเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆจะแคร์เรื่องเบิร์นมากแต่ความจริงอาจไม่ใช่ มีปัจจัยอื่นอีกมากที่น่าจะให้ความสำคัญกว่า หูฟังบางตัวใช้เวลาเบิร์นอาจไม่เท่ากันบางตัวใช้เวลามากบางตัวใช้เวลาน้อยหรือบางตัวแทบไม่ต้องเบิร์นเลยด้วยซ้ำ อยากให้มีกระทู้อย่างนี้ที่มีประโยชย์มากๆจัง ผิด-ถูกอย่างไรต้องขออภัยด้วยครับ

ทรายภูเขาไฟเลยเหรอเนี่ย:183:

ทรายภูเขาไฟมันมีคุณสมบัติพิเศษอะไรหนอ อยากรู้จัง

เอ้า จริงๆ นะ 555 ผมอ่านมาแล้วยังรุ้สึกเวอร์ๆ ชอบกล แต่เค้าก็ทดลองและรีวิวกันมายาวนานเหมือนกัน

นับประสาอะไร แค่สายไฟ เค้าไม่ให้มันวางโดนกับพื้น ต้องหาอะไรมายกให้มันลอยขึ้น เพราะมันมีผลต่อคุณภาพเสียงครับ 555

และของพวกนี้มันบ้าชะมัด มันดันฟังออกซะด้วยซิ 555

จงภูมิใจเถิดที่เกิดมาหูตะกั่ว
จะได้ไม่เจ็บตัว
และเสียตังค์

อ่ะห้า

ความคิดเห็นที่ 3
แล้วก็คงต้องเบิร์น โวลุ่ม ด้วยม้าง บิดไป บิดมา แบบเร่งเครื่อง บรื้นๆๆๆๆ 555
By : น้องเคยเห็นหมี

-----------------------------------------------------------------
อันนี้...ต้องทำจริงๆนะครับ...
โวลลุมผมซื้อมาทำแอมป์ บางตัว ใส่ปุ๊ป ซ้ายขวาเท่ากัน เบินไป 10 ชม. ไม่เท่า ต้องมาปรับจูนบาลาน ที่ตัวโวลุมใหม่...(ถ้าใช้แบบปรับไม่ได้ เจอแบบนี้นี่ ทิ้งลูกเดียว)...

จริงๆต้องเบินแทบจะทุกอย่างเลยครับ...
ลองดูนะครับ สวัสดีครับ

ทรายธรรมดาก็ไม่ได้ ต้องใช้ทรายจากภูเขาไฟ ที่มันเป็นเหมือนผงถ่านสีดำๆ กรอกเข้าไป

อย่างที่เฮียมั่นได้กล่าวมาคงจะเป็นทรายแบบนี้ล่ะสิครับ

* ส่วนรายละเอียดของทรายก็ตามนี้ครับ

http://www.piyanas.com/shopping/productdetail.php?cat=305.327&id=974&lang=th

แม่นแล้วจ้า อ่านแล้วตูจะบ้าตาย 555

ไม่รุ้ว่าจริงๆ เค้าเอาทรายมาจากภูเขาไฟจริงๆ หรือไปดูดทรายที่ก้นเจ้าพระยามาขายอ่ะ 555

แต่จริงๆ เค้าเล่นกันมานานแล้วล่ะครับ 555

ไม่รู้เป็นอะไร แต่ผมอยากเห็นหูทองหน้าแตกน่ะครับ ประมาณว่าทำ ab test แล้วให้พวกหูทองลองฟังดู ว่าที่อภินิหารทั้งหลายเนี่ยเป็นความเชื่อกี่เปอร์เซ็นและความจริงกี่เปอร์เซ็น
เพราะผมคิดว่าหลายอย่างมันเวอร์เกินกว่าจะรับได้ แถมไม่ค่อยจะมีเหตุผลอ้างอิง แถมการทดสอบก็โมๆเมๆทำกันอยู่ในกลุ่ม อยากจะให้มาทดลองกันอย่างวิทยาศาสตร์จริงๆครับ

แถมอีกหน่อย น่าจะจัดให้เซียนทั้งหลายมาทำ blind test ระบบเครื่องเสียงที่ยกสายไม่ยกสายนี่จริงๆ ดูซิว่าจะฟังออกกันซักกี่คน:135:

อ.ไมตรีครับ. ถ้าได้ยินช่วยพวกกระผมด้วย

แหะๆแต่เรื่องขาตั้งกับทรายนี่ผมเชื่อนะครับ เพราะเป็นไปได้ว่าถ้าทรายมันเรียงตัวกันแล้วเวลาลำโพงมันสั่นเพราะเสียขาก็จะไม่สั่นตาม แต่ราคาอาจจะทำให้ขาสั่นได้ อิอิ

ไอ้ทรายภูเขาไฟเนี่ยะมันคือขี้เถ้าลาวาป่าวเนี่ยะ
ชักร้อนๆ 5555+

Blind Test ใ้ช้ไม่ได้ผลกับการฟังในแบบ ออดิโอฟายล์นะครับ

เรื่องพวกนี้ พูดให้ปากฉีกถึงรูหู ถ้าคนไม่เคย คลุกวงในกับของพวกนี้ ไม่มีทางเข้าใจและยอมรับหรอกครับ

แต่ผมเห็นคนที่มีโอกาศได้เล่นกับมันแบบถึงเลือดถึงเนื้อแล้ว .... ไม่เห็นรอดซักราย

อ้อ วอลลุ่มในระดับสูงๆ นี่ใช้เวลาเบิร์นเหมือนกับพาสซีฟคอมโปเนนท์ทั่วๆไปนะครับ คือเหมือนกับชิ้นส่วนปกติในแอมพ์

เพราะมันมักจะทำมาจากการเอา Resistor เป็นตัวๆ จำนวนนับหลายสิบตัวมาประกอบกับสวิทซ์ที่สร้างมาโดยเฉพาะ แล้วประกอบกันเป็นวงจรวอลลุ่มครับ

ผมก็เคยทำใช้โดยใช้กับ Selector แต่ทำให้ปรับได้เสียงดังค่อยได้แค่ 10สเต็ป เพราะหา Selector ราคาถูกได้แค่นี้

เสียงที่ได้เทียบกับAlps ตัวฟ้า หรือแม้แต่ตัวดำ ต่างกันแบบฟังรู้ได้เลย

ไม่ต้องเทียบกับวอลลุ่มคาร์บอนทั่วไปตัวละยี่สิบบาทนะครับ ห่างกันเกินไป

อีกอย่างหนึ่ง การอ้างอิงถึงการทดลองแบบวิทยาศาสตร์นี่ หลายๆเรื่องมันก็ไม่สามารถให้คำตอบที่"ถึง"ได้นะครับ

ไม่ว่าจะเป็น
- สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมาถาม ตรงประเด็นหรือไม่
- กรรมวิธีในการวัดทดสอบ ใช้กับเรื่องนั้นๆได้หรือไม่
- เครื่องมือวัดทดสอบ "คุยเรื่องเดียวกัน" กับวัตถุประสงค์ในการทดสอบหรือไม่

ต้องเข้าใจก่อนว่า เครื่องเสียงไฮเอนด์นี่ มันเป็นตลาดนิช เอามากๆนะครับ ไม่ใช่ตลาดแมส อย่างที่พวกเราที่เล่นๆ พอร์ทเทเบิลคุ้นเคยกันเลยนะครับ

การเอาโลกทัศน์ของสองโลกนี้มาจับประเด็นข้ามกันมัน ไม่สามารถใช้ไ้ด้หรอกนะครับ ในหลายๆประเด็น

พูดถึงเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ผมนึกถึงประเด็นหนึ่งคือ "ทฤษฎีที่เรารับรู้และเชื่อ มันถูกต้องหรือไม่" ในหลายๆเรื่องของเครื่องเสียง เช่น...

หลายปีที่ผ่านมา เราถูกทำให้เชื่อโดยตลอดว่า เครื่องเล่นซีดีนั้น ยิ่งมี จำนวนบิทสูงๆ ยิ่งเสียงดี ยิ่งมีโอเวอร์แซมปลิ้ง มากๆ ยิ่งดี

จากที่เครื่องซีดียุคแรก ไม่มีโอเวอร์แซมปลิ้ง และ16บิท เพียวๆ

ขยับขยายจนเราไ้ด้เห็นเครื่องเล่นซีดี 20bit/18X OverSampling ซึ่งเราก็พบว่ามันให้เสียงได้ดีกว่าเครื่องรุ่นแรกๆจริงๆ

แต่แล้ววันหนึ่ง ก็ได้เห็นคนเปิดตัว ภาคแปลงดิจิตอลไปเป็นอนาลอกที่ 16Bit / Non Oversampling


แล้วมันดันให้เสียงดีกว่า เครื่อง 20Bit/18x oversampling แบบไม่ต้องเี่งี่ยหูฟังเลย


อันนี้ผมแค่ยกเป็นตัวอย่างว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว ผู้บริโภคบางทีก็เป็น ห้องทดลองของนักวิจัยเอาเหมือนกันนะครับ 5555

จริงครับ....นักเล่นสมัยก่อน เบิร์นทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ
ขนาดผมกับเพื่อนๆ ยังไปขนทรายมาใส่แท่นเครื่องเล่นแผ่นเสียง กับขาตั้งลำโพง กันถึงพัทยา..แถมขากลับยังแวะ เบิร์น
น้องหนู ตอง5 ตอง3กัน อีกด้วย..ฮิฮิฮิ..

ส่วนเรื่องเสียงผมว่า เหมือนไสยศาสตร์ คนเคยเจอเข้ากับตัวเอง ก็ย่อมจะเชื่อ..คนไม่เคยเจอย่อมไม่เชื่อ เป็นธรรมดา.....

ความสุขล้วนๆครับ.....สุขที่ได้ยินกับสุขที่เสียตังส์

สมมติว่าแหล่งจ่ายคือน้ำแดงหวาน....ผ่านสายสัญญาณที่มีความเป็นกรดนิดนึงรสชาดเปลี่ยนไปนิดหน่อย....แล้วเข้าไปที่เครื่องขยายต้มน้ำแดงให้เข้มข้นขึ้นแล้วส่งผ่านสายลำโพงที่มีค่าเป็นเบส....ผ่านไปลำโพงคือภาชนะใส่น้ำแดงที่มีค่าเป็นกลาง......ทีนี้หูเราก้ยกน้ำแดงซด....พอดีว่าประสาทการชิมของผมมันหวานน้อยไปเลยเติมน้ำตาลด้วยการปรับทุ้มแหลม......บางคนชอบเพราะคิดว่ามันพอดีแล้ว........
แต่คนทำน้ำแดงมาขายมันวิเคราะห์ว่าน้ำแดงที่ดีก่อนต้มหลังต้มรสชาดมันน่าจะเหมือนกัน............เลือกเอาแล้วแต่ใครจะรสชาดไหนครับ..........ผมคงชอบน้ำอำพันมากกว่า55555555555555

ตอบคุณ nopphong เรื่อง blind test นะครับ

คือเรื่องพวกนี้ผมว่า ถ้าให้ทำ blind test ผมเชื่อว่าจะมีบรรดาหูทองหลายๆคนที่ฟังไม่ออก
แต่ว่าจริงๆแล้วมันยังมีสิ่งที่เรียกว่า placebo effect อีกนะครับ คือถ้าเรารู้ว่าของที่เราใช้เป็นของดี (หรือคิดว่าเป็นของดี) สมองของเราก็จะปรุงแต่งไปว่าสิ่งที่ได้รับเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้สามารถอธิบายได้โดยหลักวิทยาศาสตร์ในบางส่วนครับ อย่างในทางการแพทย์เองก็เคยมีการทดลองนำ แป้งมาอัดเป็นเม็ด แล้วบอกคนไข้ว่าเป็นยา ให้ทานไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าคนไข้อาการดีขึ้น

ถ้าสนใจสามารถหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Placebo

แหะๆอยากไบลด์เทสแบบง่ายๆน่ะครับคุณสาคร เครื่องเสียงสองชุดเหมือนๆกันตั้งห้องเดียวกัน อันนึงยกสายอีกอันนึงไม่ยก เปิดเพลงเดียวกัน ปิดตาตั้งกะก่อนมาถึงห้อง แล้วให้ฟังว่าชุดไหนเสียงดีกว่า ให้ฟังสลับกันเป็นร้อยรอบก็ได้ถ้าอยากจะฟัง อยากพิสูจน์ครับว่าเป็นความเชื่อ หรืออุปทาน หรือมันเป็นวิชาการจริงๆ เพราะมันไม่มีเหตุผลจริงๆถ้าบอกว่าหูคนแยกได้ ก็คงต้องใช้หูในการแยกแยะ แต่อย่างว่าแหละ ใครจะทำเพื่อทุบหม้อข้าวและทำลายความเชื่อและความสุขและเกีย์ติที่ตัวเองได้รับกันล่ะครับ สุดท้ายผมก็ได้แต่ฝันต่อไปว่าจะได้มีการพิสูจน์ว่า จตุคามรามเทพมีจริง.....

เห็นด้วยกันคุณ Az ครับ จิตใจและอารมณ์ในการฟัง ก็มีส่วน ทำให้ความรู้สึกรับรู้ในเสียงปรับเปลี่ยนไปด้วยครับ ครั่งนึง ผมเคยลอง AKG 518 DJ (พระกาฬช้างถีบ ภาค 2) 555 ตอนที่วางขายใหม่ๆ พอของมาถึง

ก็ลองหยิบมาทดสอบ เอะ ทำไมเสียงมันดีกว่าตัว K 81 DJ (พระกาฬช้างถีบ ภาค 1) ว่ะเนี่ย อีก 2-3 วันกลับมาลองที่ร้านใหม่ อ้า วเสียงเหมือนกันนี่หว่า

เพราะไดเวอร์มัน คืตัวเดียวกัน แค่ความรู้สึกว่า มันใหม่ มันทำให้เราหูเพี้ยนไปเลยเหรอเนี่ย บ้าไปเลย 555

เอาเป็นประเด็นก่อนนะครับ
1.ผมไม่ได้จำเพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องยกสายหรือไม่ยกสายนะครับ แต่ผมพูดถึงภาพรวมทั้งหมดของคนเล่นเครื่องเสียงแบบจริงๆจังๆ ไอ้เรื่องกิมมิกทั้งหลายในวงการเครื่องเสีียงมันมีทั้งจริงไม่จริง ฟังออก ฟังไม่ออกผสมกันไป

แต่ผมไม่อยากให้มีการตีภาพรวมไปว่าคนเล่นเครื่องเสียงแบบซีเรียสเป็นคนบ้า ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เหมือนที่ออกมาอย่างทุกวันนี้

เพราะเมื่อวันใดก็ตามใครก็ตามมีโอกาศได้เล่นกับมันอย่างจริงๆจังๆ ไม่ใช่แค่ไปนั่งฟังที่ร้านหรือโชว์ฺรูมแล้วจะเอามาเป็น บรรทัดฐาน ก็หามิได้เลยนะครับ ถ้าได้เ่ล่นกันแบบนั้น ประสพการณ์ทีไ้ด้รับอาจจะทำให้ต้องกลับมาทบทวน ความเชื่อเก่าๆกัน

2.ไบลน์เทสผมทำเป็นครับ ไม่ได้โง่ เคยทำมาหลายสิบครั้งแล้ว ไม่ใช่เฉพาะกับยกสายหรือไม่ยกสาย แต่รวมทั้งสุมหัวกันกับเพืื่อนในก๊วน ถอดหลอดเปลี่ยนหลอด บัดกรีเอาแค็ปออก เปลี่ยนแค็ปอีกยี่ห้อเข้าใส่

แต่บอกได้ว่า มันใช้ไม่ได้จริงในการหาคำตอบที่แท้จริงครับ

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความเป็น "มนุษย์" นี่แหละครับ นอกจากเรื่องไบแอสที่มีต่อความพอใจของตนแล้ว ยังมีความเหนื่อยล้าในการฟังกันนานๆ ความสับสนจากการสลับไปสลับมา

เอาแค่ตัวเลือกง่ายๆไม่ต้องไบลน์เทสให้เมื่อย เพลย์เยอร์หรือหูฟังตัวเดียวกัน ฟังไฟล์อันเดียวกัน แต่ฟังต่างวันเวลา ต่างอารมณ์ในขณะนั้น ทำไมหลายๆคนบอกว่ามันแตกต่างกัน

หรือเครื่องเสียงบางชุดยกเข้าบ้านใหม่ๆ พออกพอใจกับเสียงมันมาก แต่อยู่ๆกันไปซักอาทิตย์หนึ่ง กลายเป็นฟังขัดหูไปเสียฉิบ

แล้วคนแต่ละคนก็มีสมรรถภาพไม่เท่ากัน (สมรรถภาพทางเพลงนะครับ ไม่ใช่สมรรถภาพทางอื่น เหอๆๆ) ประสพการณ์ในการ"เล่นและฟัง"ก็ไม่เท่ากัน บางคนใช้"เวลา"ในการรับรู้ความแตกต่างช้า บางคนเร็ว ดังนั้น

เราจะจับใครคนใดคนหนึ่งมาทำไบลน์เทส ก็ไม่สามารถบ่งบอกคำตอบที่แท้จริงได้ ในทางการทดลอง ย่อมถือได้ว่า ล้มเหลวในการควบคุมตัวแปรในการทดลองครับ


**** ของแบบนี้มันต้องคลุกอยู่กันซักระยะหนึ่งนะครับ ถึงจะได้ข้อสรุปออกมาว่าเรื่องแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร เครื่องไหนดี เครื่องไหนเลว ****

ที่สำคัญเหนืออื่นใด.... ผมเล่นเครื่องเสียงเพื่อหาความสุขครับ ไม่ได้เล่นเพื่อมานั่งจับผิดว่้าไอ้นั่นกี่เปอร์เซ็นต์ ไอ้นี่กี่ทศนิยม แล้วโดยส่วนตัว แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของอุปกรณ์เครืืองเสียงที่จับได้ต้องได้ เป็นรูปธรรม แต่ตัว"คนฟัง" นี่แหละครับที่เป็นนามธรรม ดังนั้นผมจริงไม่ใส่ใจอะไรนักหรอกกับน้ำหนักทางวิชาการ เพราะผมคลุกอยู่กับเรื่องการฟังเพลง ไม่ได้ทำวิจัย

ถ้าคุณอ่านข้อความโพสของผมมาตลอดจะเห็นว่าจุดยืนที่ผมย้ำเสมอก็คือ ฟังแล้วชอบก็เลือกอันนั้น และใช้หูเป็นเครื่องตัดสินใจมากกว่าอย่างอื่น

โลกไม่ได้มีแค่ "เหตุและผล" หรอกครับ ในมุมมองของผม แต่มันประกอบด้วย "เหตุ+ปัจจัย จึ่งกลายเป็นผล"

แม้ว่าพื้นฐานของเครื่องเสียงจะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อถึงปลายทางมันยังมีเรื่อง "รสนิยม" และ "ประสพการณ์" มาเกี่ยวข้องด้วยในสัดส่วนที่หนักหนามากพอดู การจะเอากลวิธีทางวิทยาศาสตร์มาจับอย่างเดียว ไม่พอหรอกครับ

อ้อ มันไม่เกี่ยวอะไรกับท้าวขัตตุคามท้าวรามเทพหรอกนะครับ

ฮ่าๆผมพูดติดตลกน่ะครับคุณสาคร ประมาณว่าถ้าการเล่นเครื่องเสียงมันพิสูจน์ไม่ได้ มันก็ไม่ต่างกับความเชื่อ เช่นการเชื่อในองค์จตุคามรามเทพนะครับ คนที่เชื่อ ก็บอกว่าศักสิทธิ์จริง มีจริงๆไม่เชื่อลองเอาไปบูชาดูแล้วจะดี คนที่ขายก็ได้เงิน คนที่บูชาก็สบายใจ มีความหวังในชีวิต
ในขณะที่คนที่ไม่เชื่อต้องการการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เช่น ก่อนบูชามีรายได้เท่าไร แล้วหลังบูชาดีขึ้นมั๊ย แล้วดีขึ้นทุกคนที่บูชาหรือเปล่า
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ สุดท้ายก็จบที่ความพอใจของคน เบรคยังไงก็ไม่อยู่ก็คนมันเชื่อนี่หว่า เราจะไปทำลายความเชื่อความฝันและความหวังของเขาได้ยังไง (เคยดูหนังฝรั่งเขาพูดว่า you step on my dream)
ทุกอย่างทำ blind test ได้ครับ เพราะตัดตัวแปรทุกอย่างออกให้หมดเท่าที่จะทำได้ เช่นให้คนเดียวกันฟังในระยะเวลาติดต่อกันสลับกันไปมา จะมาอ้างอารมณ์บรรยากาศหรือสับสนอะไรไม่ได้เพราะมันก็ฟังที่เดียวกันติดๆกันเนี่ยแหละ ถ้าเกิดฟังแล้วสับสนเลือกไม่ได้ก็แสดงว่ามันไม่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ในที่นี้ไม่ได้ให้เทสว่าแบบไหนดีกว่านะครับ เพราะอันนั้นมันแล้วแต่รสนิยม แต่ให้เทสว่า มันต่างกันหรือไม่ต่างหากครับ ถ้าฟังแล้วมันต่างก็โอเคเลยทีนี้ก็แล้วแต่คนฟังจะเลือกชอบ แต่ถ้าฟังแล้วมันไม่ต่างแต่ก็ยังเชื่อยังทำกันนี่รู้สึกไม่ค่อยเข้าท่าครับ

"Can you Tell a Green Field .From A Cold Steel Rail"

...... Wish You Where Here..PinkFloyd .....

ผมว่าเพลงนี้เพราะนะ

5555555.... เบิร์นมันทุกอย่างแม้แต่กางเกงในก็ยังต้องเบิร์นเลยครับ

อย่างที่เฮียชอบพูดประมาณว่าเสียงหูฟังตัวนี้ต่างจากตัวโน้นแต่ให้มาลองฟังก่อนว่าชอบแบบไหน บอกไม่ได้ว่าตัวไหนจะดีกว่า อันนั้นล่ะใช่เลยครับ คือต่างคนก็ต่างชอบ เพลงเดียวกันเปิดคนละอารมณ์ยังชอบไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่สามารถบอกได้ตลอดเวลาไม่ว่าอารมณ์ไหนๆหรือใครมาฟังก็คือ หูสองอันนี้เสียงมัน ต่าง กัน อันนี้แหละครับที่อยากให้ทำ blind test กัน เหมือนเอา ipod video กับ ipod photo มาใส่เพลงเดียวกันหูอันเดียวกันเปิดสลับกัน ถ้าบอกได้ว่าอันนี้เสียงจาก ipod รุ่นไหนได้ถูกต้องมากว่าผิด ก็แสดงว่าสองรุ่นนี้ต่างกัน แต่ไม่ได้บอกว่าอันไหนดีกว่ากันแล้วแต่คนชอบ อยากให้เทสความเชื่อของเครื่องเสียงหลายๆอย่างแบบนี้น่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องยกสายเนี่ยอยากให้ลองมากๆ หรือเอาขาตั้งสองคู่ คู่นึงใส่ทรายบ้านๆ อีกคู่ใส่ทรายภูเขาไฟ แล้วไม่บอกคนฟังแล้วถามว่าเสียงมันต่างกันไหม(ไม่ได้ถามว่าเสียงอันไหนดีกว่า)

ยกตัวอย่างแบบที่อยากให้ลองนะครับ คือจับคนฟังปิดตา แล้วก็เปิดเพลงเดียวกัน ยกสายบ้างไม่ยกสายบ้าง แล้วให้คนฟังบอกสลับกันว่าครั้งที่ฟังนี้ต่างจากที่ฟังครั้งก่อนหรือเปล่า อาจจะมีที่เข้าไปขยุกขยิกซักนิดแต่ไม่ได้ยกสายจริงๆแล้วให้ฟัง ถ้าบอกความแตกต่างได้ถูกต้องเกิน 80% แต่ี่ไม่ต้องบอกนะครับว่าแบบไหนเสียงดีกว่า แค่บอกว่าต่างกันหรือไม่ให้ได้ก็พอ ถ้าทำได้สงสัยผมจะต้องกลับไปเรียนฟิสิกส์ใหม่เสียแล้ว อิอิ

5555

ขอบคุณพี่สาครสำหรับแนวคิดครับ 555 ไอ้ของพวกนี้ผมก็บ้าเล่นมานมนาน และก็มักจะมีเรื่องตลกให้คนอื่นแซวกันอยู่เรื่อยๆ

ผมว่าตลาดออดิโอไฟล์มันเป็นตลาดใหญ่ กำลังซื้อค่อนข้างสูง ถึงสูงมาก การจะผลิตสินค้าแล้วใช้แต่หลักทางเทคโนโลยีเป็นเกณฑ์ตัดสินอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ผล

เพราะสัมผัสของมนุษย์นั้น ว่ากันแล้วมันมีความซับซ้อนกว่าเครื่องมือวัดใดๆ ครับ มันประเมินความพอใจด้วยสมอง ด้วยสัมผัส ด้วยความรู้สึก ด้วยวิจารณญาณส่วนตัวเข้าไปอีก เฉกเช่นกับการไปเลือกหญิงบริการจากสถานอาบอบนวดนั่นแล 5555


เรื่องที่ว่าฟังออกหรือไม่ออกนั้น ผมว่าฟังออกแน่นอน แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วยครับ จะทำอะไรก็ตาม จะให้ปิดตา แล้วเอามือคลำอย่างเดียว มันไม่เวิร์คครับ ต้องมือจับด้วย หูฟังด้วย ตาเห็นด้วย มันถึงจะดี 5555

ไม่เชื่อลองถามตั่วปุ๊ยดูซิ 555

ตัวอย่างที่เฮียยกมานี่อ่านแล้วเสียวท้องน้อยจังเลยวุ้ย เหอๆๆๆ

ว่าแต่ว่า อาบนวดไหน ใช้หินภูเขาไฟแต่งห้องมั่งเนี่ย อิอิอิ

ผมพนันพันนึงว่าถ้าปิดตาแล้วฟังไม่ออก(เรื่องยกสายนะครับอิอิ) เอ้าใครจะลงพนันข้างผมบ้าง...
น่าจะนัดมีทติ้งพนันกันทดลองดูนะครับน่าสนุกดี

แถมนิด เฮียครับลักษณะที่อยากให้ทดลอง ไม่ใช่ให้บอกว่าผู้หญิงแบบไหนจะดีกว่านะครับ แต่เข้าทำนองที่ว่าหาฝาแฝดมาสองคนแล้วให้บอกว่าสองคนนี้ต่างกันหรือไม่น่ะครับ ถ้าได้ใช้บริการแล้วบอกความแตกต่างได้นั่นแหละแสดงว่าต่างกันจริง และผู้ที่บอกความต่างได้ถึงสมควรได้รับการนับถือว่าเป็นยอดชายครับฮ่าๆๆ

555 ถ้าพนันกันจริงๆ ผมว่าคงไม่มีใครกล้าเล่นด้วยหรอกครับ 555

อย่างเรื่องการยกสายไฟให้ลอย หรืออย่าวางสายไฟให้ทับซ้อนกัน ผมเชื่อว่ามันมีผลแน่นอนครับ แต่จะสามารถแยกแยะออกมาเป็นเสียงว่ากี่เปอร์เซ็นต์ คงจะยากจ้า 555


แต่ช่วยเรื่องทางใจ ผมว่ามันได้ผลนะ 555

เหมือนกับเราไหว้พระพุทธรูปนั่นแหละ เราไปไหว้พระปูนอะไรก็ไม่รู้ (ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์) แต่ถ้าไหว้แล้วสบายใจ ผมว่าดีออก 555

อ่านที่คุณนพพงษ์โพสมาในเรป31แล้วผมชอบอย่างหนึ่งนะ คือไอ้เรื่องความเชื่อหลายๆอย่างของวงการเครืองเสียงเนี่ย ผมอยู่กับมันมายี่สิบกว่าปี เห็นหลายๆอย่างคงอยู่หลายๆอย่างหายไปกับกาลเวลา น่าจะลองรวบรวมดูเท่าที่นึกได้ก็น่าจะมี

1.ทิปโท...มีผลจริง คงอยู่มาจนทุกวันนี้ (แต่ไอ้ที่ว่า เดือยเหล็กดีกว่ากว่าเดือนทองเหลือง หรือเดือยเซรามิคดีกว่าเดือยทองแดงนี่ผมละไว้นะ ไปเถียงกันเอง 555)

2.สายสัญญาณ สายลำโพงให้เสียงแตกต่างกัน... มีผลจริง นับตั้งแต่วันที่เรื่องสายลำโพงถูกเปิดประเด็นโดยมอนสเตอร์(มั้ง) โลกไม่เคยหวนกลับ

3.สายไฟเอซีและปลั๊กไฟ ...จริง ถามคนขายสายได้เลย 5555

4.อิฐมหัศจรรย์ วีพีไอบล็อก ... จริงมั่งไม่จริงมั่งผสมกันไป เพราะแค่หาอะไรหนักๆ มาทับลำโพงก็เสียงดีขึ้นแล้ว แถมบางทีเอาอิฐของแท้มาวางดันไม่มีไรแตกต่าง

5.จุกโลหะ ช้อตกราวน์ไว้ปิดหัว rca input ที่ไม่ได้ใช้งาน ส่วนใหญ่ดีขึ้นจริง ยกเว้นเครื่องที่่ทำมาดีมากๆ (มักจะแพงเลือดสาดเหมือนกัน)จะไม่ค่อยแตกต่าง

6.ขาตั้งเสียงต่างกัน ... จริง...ไม่รวมเรื่องทรายภูเขาไฟนะ อันนั้นไปเถึยงกันเองเหมือนกัน ขี้เกียจแล้วครับ

7.ขายกสายไม่ให้สัมผัสพื้น ... จริงไม่จริงปนกันไป ที่ฟังออกว่าจริง มักเป็นพวกนักเทสท์ในฝั่งยุโรป หรือเมืองหนาว เพราะไฟฟ้าสถิตย์บนพรมมันแรงเอาเรื่อง แต่เมืองร้อนอย่างบ้านเรานี่ไม่ค่อยเห็นอะไรนัก เสียตังค์เปล่า

8.มีลำโพงที่ไม่ได้ใช้งานไว้ในห้องฟัง เสียงแย่ลง ... จริงแต่ผลกระทบน้อยมาก และก็ไม่ต้องไปไกลขนาดที่เกจิบางคนแนะนำว่า ลำโพงในโทรศัพท์มือถือก็ไม่ควรเอาไว้ในห้องฟัง ผมก็ว่ามันบ้าไปว่ะ

นึกได้แค่นี้ก่อนครับ 555

ไม่ต้องกี่% หรอกครับเฮีย แค่บอกได้อย่างถูกต้องว่ามันต่างเอาไปเลยพันนึง ถ้าบอกไม่ถูกผมเอาบาทเดียวพอเป็นพิธีครับ อิอิ แต่เรื่องทำแล้วสบายใจนี่ผมไม่เถียงนะครับเห็นด้วยเพราะเข้าข่ายเรื่องจตุคามที่ยกตัวอย่างมานั่นแหละครับ

เอ่ออ โพสที่36นี่ผมเกรงว่าจะกระเทือนน้ำใจของ ผู้หญิงที่เข้ามาอ่านในบอร์ดเรานะครับ ขอท้วงติงคุณนพพงษ์ไว้หน่อยครับ

เอ....หรือในบอร์ดเรานี่มีแต่พวกหนุ่มโฉดหว่า

ที่คุณสาครบอกมาผมเชื่อทุกข้อเลยครับ ค่อนข้างจะมีเหตุผลประกอบว่ามันมีที่มาที่ไปทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อที่ไม่เว่อร์นะครับ

แว๊ก คุณ nopphong

โอ๊ยให้มันเหมือนกันยิ่งกว่าฝาแฝดก็แยกออกครับ 5555

เรื่องพรรค์งี้แยกออกเลยครับ ไม่ต้องใช้อะไรหรอก ใช้เข็มมิเตอร์ในตัวเรานี่วัดก็พอแล้ว ถ้าเข็มมันชี้ขึ้น 90 องศาเท่าๆ กัน แสดงว่าเหมือนกัน แต่ถ้าชี้องศาไม่เท่ากัน แสดงว่าต่างกัน

แต่ถ้าเข็มมิเตอร์ไม่ยอมชี้ แสดงว่าเครื่องเราเสีย 555


555

แหะๆอย่าคิดลึกครับ บริการใน หัวข้อที่ 36 หมายถึงบริการนวดน่ะครับ อิอิ

คิดซะลึกสุดกู่ไปแล้วอ่าาาา เหอๆๆๆ

อ้าว ผมก็นึกว่าบริการอย่างว่าซะอีก 555