บทความจากผู้จัดการออนไลน์
“มีบางคนเชื่อว่าฟุตบอลคือ สาระแห่งชีวิตและความตาย ผมผิดหวังอย่างยิ่งกับทัศนคติที่ว่านี้ ผมขอยืนยันว่ามันสำคัญยิ่งกว่านั้นมากมายนัก”
วาจาอมตะและอหังการของ บิล แชงคลีย์ อดีตผู้จัดการและตำนานของทีมลิเวอร์พูลเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว แต่เขาอาจถูก เมื่อทุกวันนี้ ทุนและการตลาดได้สถาปนาฟุตบอลให้กลายเป็นศาสนาใหม่ไปแล้ว ไม่แปลก ถ้าจะมีใครยอมพลีกาย พลีใจเพื่อทีมฟุตบอลที่ตนเองรักและเทิดทูน
ฮูลิแกน อันธพาลลูกหนังอังกฤษที่โด่งดังทั่วโลก เพราะความแรง ดิบ เถื่อน ถือเป็นเงามืดแห่งวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่แล้วพี่ไทยก็พลาดท่าเอาอย่าง เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างกองเชียร์ของทีม ‘สิงห์เจ้าท่า-การท่าเรือแห่งประเทศไทย’ กับ ‘กิเลนผยอง-เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด’ ในศึกชิงแชมป์ถ้วย ก ที่สนามศุภชลาศัย
เมื่อกองเชียร์ทีมสิงห์เจ้าท่าไม่พอใจคำตัดสินของกรรมการ ขณะที่สิงห์เจ้าท่าตามอยู่ 2-0 แล้วความไม่พอใจก็แปรเป็นพฤติกรรมไล่ทำร้ายกองเชียร์ฝ่ายตรงข้าม การกีฬาอันเป็นยาวิเศษจึงเปลี่ยนเป็นการจลาจลขนาดย่อมที่คนโดนลูกหลงต้องไปหายารักษาตัวกันเอง และ พิเชษฐ์ มั่นคง ประธานสโมสรการท่าเรือได้แสดงความรับผิดชอบประกาศให้กิเลนผยองชนะ ทั้งที่เวลาการแข่งขันยังไม่หมด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และยิ่งไม่น่าจะใช่ครั้งสุดท้าย แต่เมื่อวงการฟุตบอลบ้านเรากำลังก้าวเดินด้วยแรงผลักจากกระแสไทยลีก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลของแฟนบอลในอนาคต ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็น่าจะเริ่มต้นคิดได้แล้วว่าจะหาวิธีป้องกันบรรดา ไทย-ฮูลิแกน อย่างไร