จริงรึ

เข้าใจว่าพันทิพไม่คึกคักเหมือนก่อน แล้วเฮียก็มีสาขาอื่นๆรองรับอยู่แล้ว

สาขาพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ เริ่มเน้น ไปทาง IT , SMARTPHONE , เกมส์เก่า RETRO ไปแล้ว จึงน่าจะไม่เหมาะกับ สาขานี้แล้ว

สาขา พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ยังเหมาะอยู่ เพราะ เป็น แหล่ง พระเครื่อง ของเก่า เทป CD แท้มือสอง อยู่

เข้าใจอารมณ์ครับ  พูดถึงพันทิปในภาพจำของผม  เป็นห้างที่ผมไปเดินวันแรกที่ห้างเปิด สมัยก่อนมีอีกชื่อคือห้างเอ็กเซลจะอยู่ส่วนครึ่งตึกหน้า อีกครึ่งตึกหลังคือห้างพันทิป  เป็นห้างที่มีร้าน A&W เป็นสาขาแรกๆตั้งอยู่ตรงหน้าตึก  และก็มีบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในเอเซีย(สมัยนั้น)  ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงหนังพาราเม้าท์  ในพันทิปช่วงเปิดแรกๆยังไม่มี แต่ตอนหลังก็มีโรงหนังเหมือนกัน อยู่ชั้นล่างข้างหลัง ใกล้ๆกับร้านเฮีย

หลังจากห้างเอ็กเซลเจ๊ง  ก็เปลี่ยนมาเป็นห้างพันทิปเน้นเป็นห้างไอทีเต็มตัว  นอกจากไอทีที่ดัง สมัยก่อนอีกอย่างที่ดังคือแผงพระเครื่องตรงชั้นลอย  แล้วยังเป็นที่อยู่ของร้านเทปและซีดี ในตำนานอีกร้านคือร้านเจ้จู  อยู่ชั้นสองใกล้ๆลิฟท์แก้ว ติดกับร้านสตาร์ซ็อคเกอร์   แต่ก่อนผมซื้อเทปร้านแกจนจำหน้ากันได้เป็นลูกค้าประจำ  ไปถึงยังไม่ทันอ้าปาก แกก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าผมจะพูดอะไร  ระยะหลังผมไม่ได้เหยียบพันทิปเป็นสิบๆปี  เพิ่งมารู้ว่าเจ้แกเป็นมะเร็งเสียไปแล้ว

ขออภัยที่เวิ่นเว้อมาซะเยอะ  คงเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ตลาดคอมเล็กลงเรื่อยๆ แถมมีเปิดทั่วทุกมุมเมือง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะซื้ออะไรเกี่ยวกับคอม ก็ต้องมาแต่พันทิป  เสน่ห์ของห้างก็ค่อยๆหายไป  แต่ภาพจำสุดท้าย ณ ตอนนี้ที่พันทิป ก็คงเป็นร้านเฮียนี่แหละครับ

สาขานั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้อุดหนุนหูฟังเส้นแรกจากร้านเฮียเลยนะครับ พอเห็นกระทู้นี้แล้วก็ใจหาย

อุดหนุนเฮีย ชิ้นแรก ก็ Pk2 จากสาขานี้แหละครับ จำได้ว่า ตอนนั้น เป็นคุณมด กับคุณแฮม สลับกันประจำการ สาขานี้

แต่ผมว่าย้ายไป CTW ดีแล้วครับคนไม่มีรถสะดวก อากาศมันร้อนขึ้นด้วย
เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่รู้จะไป pantip ทำไม ซื้อหน้าร้านไม่ลดซื้อผ่าน web ลด 1000
PC มันไม่จำเป็นต้องลองแบบหูฟัง

เฮียอย่าปิดงามวงค์วานนะครับ ผมขี้เกียจเข้าเมืองอย่างแรง

หูฟังตัวแรกของผมจากร้านมั่นคงก็เริ่มจากสาขานี้ครับ
เป็นฟูลไซส์ HFI580 ซื้อมาดูหนังเล่นเกม และอินเอียร์ตัวแรกที่โดนรีวิวของเฮียบิ้วอย่างแรง KC06 ทั้งที่เป็นคนอคติกับอินเอียร์ในตอนนั้น
แต่หลังจากสาขาปิ่นเกล้ามา ก็ไม่ได้ไปอีกเลย เพราะปิ่นเกล้าใกล้ที่พักมากกว่า

สรุปว่าตอนนี้ สาขาที่เป็นแบบประตูปิด (เสียงภายนอกไม่รบกวน เหมาะจะลองเอียบัดกับฟูลไซส์แบบเปิด) ก็จะเหลือแค่ที่อัมรินทร์กับพันธ์ทิพย์งามวงวานใช่มั้ยครับ

พันทิปประตูน้ำเป็นอีกที่ ที่ผมไม่เชื่อว่าจะได้เห็นยุคเสื่อมลงของห้าง เพราะตอนที่คอมแบบตั้งโต๊ะบูม มันบูมจนคิดว่าไม่มีอะไรจะมาทดแทนได้แล้ว 

อยากให้ขยายสาขาเพิ่มนะ เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินก็เปิดสาขาที่เซ็นทรัลพระราม9 รถไฟฟ้าม่วงก็เซ็นทรัลบางใหญ่ 

และรวมรถไฟฟ้าในอนาคตด้วย ว่าเส้นหนึ่งสาขาหนึ่งจะดีมาก ลงตัวที่สุด

ห้างแยกประตูน้ำก็มีพื้นที่เช่าเหลือเยอะเลย หรือCTWแทนก็ได้ ตั้งสาขาหน้าธนาคารตามแนวไปเลย แบบว่าเป็นสาขาที่ยาวที่สุดในไทย

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสเดินไปเยือนพันทิพย์ตั้งแต่เปิดวันแรก จริงๆก่อนห้างเปิดผมก็ไปเดินแล้วครับ สำหรับร้านมั่นคงนั้น เติบโตมากับสาขาพันทิพย์ประตูน้ำนี่แหละ เราลากกันมาเป็นเวลา 11 ปี จนในที่สุดทุกอย่างในโลกก็ต้องหมุนไปครับ

เวลาเปลี่ยนยุคเปลี่ยน สินค้าไอทีเป็นสินค้าที่ซื้อกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม คอมประกอบเป็นถังๆไม่มีอีกต่อไปแล้ว แม้แต่โน้ตบุ๊คก็ไม่ใช่สินค้าจำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่อีกต่อไป ผู้ประกอบการทุกคนพ่ายแพ้ต่อเทคโนโลยีและแพลทฟอร์มขนาดใหญ่แล้วครับ

เมื่อวานผมได้รับเชิญจากธนาคารกสิกรไปร่วมเสวนาในหัวข้อการปรับตัวและหาทางรอดของธุรกิจออนไลน์ จำได้ว่าผมบอกไปว่าต่อจากนี้ไปออนไลน์ไม่ใช่เรื่องของคนไม่มีทุนอีกต่อไป สื่อออนไลน์ทุกประเภทเปลียนมาเก็บค่าบริการโฆษณาในอัตราที่คนใหม่อาจจะไม่มีที่แทรกตัวเข้ามาอีกต่อไป

ผมบอกว่าเรียกผมมาพูดหัวข้อแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเอากันตรงๆ ตัวผมเองก็เอาตัวไม่รอดเหมือนทุกท่านเช่นกัน 555 พิธีกรยังทักผมว่าทำไมพูดแล้วดูเศร้าจัง ผมบอกว่าคนที่มานั่งฟังอยากฟังอะไรล่ะ อยากฟังอะไรที่มันหลอกๆและดูสวยงาม แล้วกลับไปเสียเงินขาดทุน หรืออยากจะฟังเรื่องจริงๆแล้วทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบมากขึ้น

ก็ถือว่าเป็นการอำลาอาลัยสาขาประตูน้ำครับ กำลังซื้อและจำนวนคนเดินจับจ่ายใช้สอยไม่เพียงพอที่จะทำให้เราอยู่ได้จริงๆ และปัญหาอันนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นกับสาขาต่อไปในไม่ช้า และสำหรับการขยายสาขาออฟไลน์นั้น ผมยืนยันว่าคงไม่มีอีกต่อไปแล้วครับ แพลนต่างๆที่เคยแจ้งทุกท่านไว้ ต้องเรียนตามตรงว่าผมคงไปต่อในเรื่องการขยายสาขาไม่ได้อีกแล้ว

ฟังดูเศร้าๆ เหงาๆ แต่ก็เป็นเรื่องจริงๆที่เกิดขึ้น ขอให้นึกว่าเป็นการคุยกันในฐานะคนคุ้นเคยนะครับ มีอะไรผมก็เล่าให้ท่านทราบ แต่ทุกท่านไม่ต้องห่วงนะครับ ผมยังไม่ได้อยู่ในอาการสิ้นหวัง หรือท้อถอย เพียงแต่ผมยังนึกไม่ออกว่าจะปรับเปลี่ยนและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไรเท่านั้น

เอาเป็นว่าร้านมั่นคงยังคงสู้และอยู่ดูแลทุกท่าน และไม่ลดคุณภาพการบริการหรือสินค้าลงอย่างแน่นอนครับ 555

สู้ว๊อยๆๆๆๆๆ..............

ขนาดเมื่อวานคุยซีเรียส คนฟังกลับบอกว่าสนุกดี 555

ไม่ได้เข้ามานาน. จนลืมรหัสผ่านไปแล้ว5555
ไม่รู้นึกไงเข้ามาเจอข้อความพอดี

มีกรณีน่าศึกษามากกรณีหนึ่ง
ทุกวันนี้หนังสือพิมม์ทยอยปิดตัวลงไป 
แต่กลับมีหนังสือพิมม์ยี่ห้อหนึ่งรุ่งโลด
"ไทยเขียว"ครับ
... อาจเป็นความโชคดีหรือยังไม่ถึงคราวปิดตัวของหนังสือพิมม์ไทยเขียวก็เป็นได้
ทำให้ผู้บริหารคนเก่าชิงเสียชีวิตลงก่อน
... รุ่นลูกจึงได้มาบริหารงาน และเปลี่ยนบริษัทครั้งใหญ่.โดยนำระบบระบอบข่าว
เข้าสู่ระบบออนไลน์. มีทั้งเพจ ทั้งคอลัมนิส และพามาอยู่ในรูปแบบ วิจารณ์วิเคราะห์
แบบรายการสด เรียกว่า ลุยทุกด้านแบบออนไลน์ โดยหนังสือพิมม์แบบเก่าก็ยังรักษาอยู่
แต่ไม่หวังเป็นรายได้หลัก แค่อนุรักษ์ไว้แค่นั้น

** ในขณะที่หนังสือพิมม์ยี่ห้ออื่น ทยอยหายไปทีละน้อยๆๆ. โดยมีผู้บริหารเก่าเป็นผู้บริหาร

นี่แสดงให้เห็นว่า. *** ยุคนี้คนรุ่นเก่า ไม่เหมาะกับการบริหารงาน**
เพราะช้า กลัว คิดนาน ไม่กล้าลองอะไรใหม่ นอนกินบุญเก่าอย่างเดียว ชอบคนเลียอีกต่างหาก
________________________________________________

ไม่ได้ไปพันทิพย์ประตูน้ำนานแล้ว
ครั้งสุดที่เห็น คือร้านทยอยปิดหายไปมากมาย จนน่าใจหาย
ทางเข้าร้านหูฟังตอนนั้นก็มีร้านขายกระเป๋ามาตั้งขาย ปิดฮวงจุ๋ยอีก

__________________________________________

ผมเคยบอกน้องชายผมที่กำลังจะเปิดร้านแว่นตา ในห้างใหญ่ว่า
ทำธุระกิจค้าขาย ไม่จำเป็นต้องเช่าที่ในห้างใหญ่. เพราะทำเท่าไหร่
ค่าเช่าห้างไปกินหมด ต่อไปการค้าขาย มีแค่ กล้องกับ mac
เดียวก้ค้าขายได้แล้ว(ผมพูดเมื่อ6-7 ปีก่อน)
ผมบอกให้ไปหัดใช้คอมพิวเตอร์เก่งๆ หัดถ่ายภาพให้เก่งๆ

สุดท้ายน้องผมว่าผมบ้า แกไม่เชื่อผม. เปิดร้านใหญ่โต. เจ้งสนิทภายในสองปี
ทุกวันนี้กลายเป็นคนขี้เหล้า ไม่ทำกิน

ผมไม่รู้ว่า สตีป ก๊อป ได้ทิ้งความเจริญไว้ให้โลก
หรือว่า ทิ้งความหายนะไว้ให้โลกกันแน่

แต่ที่แน่ๆ ผมรักน้าอูบครับ ตั้งแต่เข้ามาปะเทสฯ์นี้ดีขึ้นเรื่อยๆ


กำมุนา วะตะตี โลเล 
เราทำไรไว้เราก็เป็นเบ้ของกำนั้นครับ

สู้ สู้ ครับ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น

แว่นตายังไงก็ต้องมีหน้าร้านครับ
ผมซื้อ Rayban แบบ online มาแล้วมันเบี้ยว ไม่ให้ร้านที่ไม่ได้ซื้อเขาก็ดัดให้แต่ก็เกรงใจ
อันต่อไปผมไม่ซื้อ online แล้วไปซื้อที่ร้านดีกว่ามีปัญหาจะได้สะบายใจ

ซื้อ Raptor pro II ที่มั่นคงประตูนำ้นี่แหละเกือบสิบปีแล้วครับ 

นึกถึงตอน clearance ปีไหนจำไม่ได้ที่ pantip ประตูน้ำ ต่อแถวยังกับจองตั๋ว BNK48 พอห้างเปิดวิ่งกรูกันเข้าไปต่อแถว

ผมเล็ง UE700 ไว้แต่ไม่ทัน ได้ Bose รุ่นนึงมาใช้ไม่กี่วันต้องขายทิ้งเพราะไม่กันเสียงภายนอกเลย 55

เรื่องออนไลน์ ผมว่าเป็นผลดีกับผู้บริโภคมากๆทั้งความหลากหลาย ความสะดวก แต่เป็นงานยากและท้าทายมากๆของผู้ประกอบการจริงๆ ผมค้าขายไม่เป็นแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นพ่อค้าแม่ค้า ก็ขอเอาใจช่วยเฮียละกันครับ

น่าจะปีนี้ครับ

https://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=165835

รอกันแต่เช้า

ล้นมานอกห้าง  คงไม่ได้เห็นอีกแล้ว

ปล.แต่ก็ไม่แน่ครับ เพราะพันทิพนี่ผมเคยเห็นตั้งแต่จุดสูงสุด ยันจุดต่ำสุด ถึงจะล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ประคองเอาตัวรอดมาได้ตลอด  ไม่ต่างจากแมวเก้าชีวิต เพราะอยู่ในจุดที่ทำเลพลุกพล่าน มากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ  คล้ายๆมาบุญครองนะครับ ขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่าจะจับจุดถูกหรือเปล่า   อนาคตร้านมั่นคงอาจกลับมาเปิดอีกรอบ(อาจจะฐานะอื่นที่ไม่ได้ขายหูฟังอย่างเดียว)ก็เป็นไปได้

555 ปีนั้นสนุกมากๆๆเลยครับ เกิดปรากฏการณ์ที่ผมเองก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจมากันเยอะขนาดนี้ 555

เฮียจะออนไลน์  หรือจะออฟไลน์  ผมก็จะซื้อเฮียต่อไปครับ  สู้ๆ ครับ

สู้ๆครับเฮีย จริงๆอยากให้ปิดเรือธงมากกว่า หมั่นไส้พนักงานครับ ดูง่วงๆ แต่ยอดขายพุ่งเอาๆ 555

ได้SR60ก็จากมั่นคงพันทิพ ตอนนั้นเล่นคอมด้วย สมัย Pantium4 , Athlon XP
สมัยนั้นร้านเฮียยังเล็กๆ มีหูGradoแขวนเรียงหน้าร้าน
ยุคพันทิพบูมนี่เดินกันแทบจะขี่คอ มียุคนึงผมเดินหาซีพียูX2 3800+ทั่วพันทิพไม่มีของ มันขายดีขนาดไม่มีของให้ซื้อ คิดดู
ยังไงจะอุดหนุนร้านเฮียต่อไปครับ หูฟังสำหรับผมต้องลองฟังครับ

สาขาที่สร้างบุรุษในตำนาน555

สินค้า online แรงขึ้น ... การจัดส่งแรงขึ้น ... บอกตรงๆ หลายๆ ธุรกิจที่ผู้ซื้อ "ไม่สนใจประกัน", ไม่สนใจ "การทดสอบสินค้า" และ "ไม่รีบใช้" จะทำให้หลายธุรกิจค้าขายในไทยยากขึ้นครับ

บางอย่างเห็นชัดเจนว่าราคาในไทยแพงกว่าต่างชาติเยอะ อาจจะเพราะระบบภาษี การจัดส่ง ต้นทุนหน้าร้าน หรืออื่นๆ (หวังแค่ว่าจะไม่ใช่เพราะผูกขาดก็เลยโก่งซะแพง)

ลูกค้าพอกด online ได้ก็จะเห็นว่าราคาต่างประเทศถูกกว่า ... ก็แค่กดสั่ง รอของ ก็ได้ของถูกกว่า หลายสินค้าถูกกว่าหลายสิบ % กันเลยก็มี

บางธุรกิจก็ต้องวัดใจครับว่าเจ้าของธุรกิจจะทำให้ลูกค้าสนใจในสิ่งที่กล่าวมาได้หรือไม่ ... บางธุรกิจที่หวือหวา ของใช้แล้วตกรุ่นบ่อย ตกรุ่นเร็ว ไม่เสียง่าย หรือ เสียก็ทิ้ง อาจจะทำยากสักนิดครับ

แต่ถ้าเจ้าของธุรกิจทำตัวไม่มีคุณค่าอยู่แต่แรก คนซื้อไม่เห็นว่าจะได้ความมั่นใจ บริการ หรือไม่มีของให้ทันที ก็อาจจะเปลี่ยนใจสั่งจากบางประเทศที่อาจจะมีกำแพงภาษีน้อยกว่าทำให้ถูกกว่าอย่างชัดเจนได้โดยไม่ยากครับ

เอาใจช่วยเจ้าของธุรกิจดีๆ ทุกท่านครับ ... ยังอยากเห็นธุรกิจดีๆ มีความผูกพันกันระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย คงอยู่กับเราไปอีกนานๆ ครับ

ตำนานร้านซอกข้างกำแพง 555

ตอนนั้นมีตัวแทนต่างประเทศแวะมาขอเยี่ยมชมร้าน ผมก็พามาดูที่ร้านสาขาพันทิพย์ประตูน้ำนี่แหละครับ พอมาถึงเค้าก็ก้มๆเงยๆ พยายามเอามือผลักนู่นผลักนี่ บอกว่าประตูเข้าร้านอยู่ตรงไหน

ผมบอกไม่มีประตู ร้านผมมีเท่าที่เห็นนี่แหละ 555

เล่นเอาตัวแทนตกใจขวัญหนีดีฝ่อกันไปเลย 555

บุรุษในตำนานที่หลายคนเรียกร้องให้ลบชื่อออกจากฐานข้อมูล 555

เราพาร้านมั่นคงมาถึงจุดๆนี้ได้ไงเนี่ย 555 ลุ๊ควินเทจดูเชยๆชอบกล 555

ผมว่าเฮียเหมาตึกพันทิปเลยครับ

เปิดเป็นคลังแสงเครื่องเสียงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยครับ

ทำมันครบวงจรเลยครับ ตั้งแต่ หูฟัง ลำโพง DAP แผ่นเสียง อุปกรณ์เสริม ร้านรับวางระบบโฮมเทียร์เตอร์เอาแบบมีห้องต้นแบบให้ลูกค้าเลือกดูเหมือนร้านเฟอร์นิเจอร์เลยครับ ร้านรับทำระบบไฟ ร้านรับจัดคอนเสิร์ต ร้านรับอัพเกรดสายหูฟัง ร้านรับซ่อมหูฟัง ร้านรับซ่อมเครื่องเสียง ศูนย์เครมของแต่ละยี่ห้อ และสุดท้ายขาดไม่ได้คือร้านขายมาม่าครับ

เอาแบบว่าเข้ามาปุ๊บ ได้ครบทั้งระบบเลยครับ 555

ไหนๆก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ก็ขอเล่าให้ฟังกันเล่นๆนะครับ 555

เมื่อ 2 ปีก่อน ผมตั้งใจว่าจะมีซักสาขาที่ขนาดใหญ่กว่าพารากอน อาจจะเป็นพื้นที่ซัก 120-150 ตรม. แล้วเอาหูฟังมาเรียงแบบแน่นเอี๊ยดทั้งร้านแบบร้านหูฟังในญี่ปุ่น เอาป้ายเขียนมือมาแปะวางไว้ แล้วเอาหูฟังเดโมห้อยไว้เรียงกันไปเลยเยอะๆครบๆทุกแบรนด์

ใครอยากฟังอะไรก็ใช้วิธีช่วยตัวเองแบบ self service คือของต้องเรียงแน่นจนตาลายและมีหูฟังให้เลือกลองฟังจนหูอื้อกันไปเลย อาจจะมีพนักงานคอยช่วยเซอร์วิสอยู่ข้างๆไกลๆ คือฟิลลิ่งต้องฉีกไปจากสาขาพารากอนไปเลย เป็นอีกแนวที่คนชอบลองฟังมาลองด้วยตัวเองจริงๆ

เมื่อตอนนั้นผมยังวิเคราะห์ว่าคนยังมีฟิลลิ่งในการเลือกสินค้าด้วยตัวเองอยู่ ยังไงคนยังเดินช็อปปิ้งตามห้างอยู่ แต่ตอนนี้ปัจจัยหลายๆอย่างเปลี่ยนไปพอสมควร กลายเป็นว่าไม่สามารถทำได้แล้วครับ เพราะมองไม่ออกว่าจุดคุ้มทุนอยู่ตรงไหนไปแล้ว จะเอาแค่พออยู่ได้ก็คงไม่มีทาง แต่กลายเป็นว่าต้องคิดว่าสามารถขาดทุนได้เดือนละเท่าไหร่แทน 555

เฮียครับ แล้วแบบนี้สาขาลาดพร้าว เฮียยังจะมาเปิดหรือป่าวครับ :)

ไม่ได้เปิดแล้วครับเสี่ยปิง 555

อันนี้คอนเฟิมว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ไม่มีการเปิดสาขาเพิ่มอีกต่อไปแน่นอนครับ อาจจะต้องดูทิศทางของค้าปลีกในไทยว่าสุดท้ายคนไทยจะอยากไปทิศทางไหนก่อนน่ะครับ 555

ช่วงนี้ถ้าอยากโตเอาๆ ต้องไปทำสวนทุเรียนครับ555

อย่าว่าแต่ค้าปลีก(รายเล็ก,smeทั่วไป)เลย  แม้แต่แบงค์ก็ต้องปรับตัวขนานใหญ่ ปิดสาขากันไปเยอะ แต่ก็ยังต้องคงไว้บางส่วน เพื่องานบริการบางอย่าง  โลกมันหมุนไวจริงๆครับ

ถึงออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรามากขึ้น  แต่หน้าร้านก็ยังมีส่วนสำคัญอยู่ครับ  ยิ่งสินค้าที่ต้องใช้ specialist(เรียกให้เท่ห์ๆไปอย่างนั้น555) อย่างอุปกรณ์ไอที  เพื่อคอยให้ข้อมูลกับลูกค้า และให้ลูกค้าได้ลองจับลองใช้  ยังคงมีความจำเป็นอยู่ครับ  

ซื้อที่ดินและสร้างร้านเองชัวร์กว่า ติดรถไฟฟ้าทำทางเชื่อมด้วย หรือสร้างUFOแบบเฮียสตีฟ จ็อบส์ 

สวัสดีครับพี่ tangkoo และทุกๆท่านที่เอาใจช่วย 555

ตอนนี้เราเข้าสู่ยุค"น้ำจะท่วมฟ้า ปลา(ใหญ่)จะกินดาว" กันแล้ว มันเป็นวัฏสงสารครับ คือถึงคิวของการล่มสลายของปลาเล็กแน่นอนแล้วครับ มันเป็นกลไกและการมาของระบบหรือตอนนี้เราเรียกมันว่าแพลทฟอร์ม ซึ่งคนที่สามารถจะนำแพลทฟอร์มมาใช้แบบอยู่หมัด สามารถทำได้ไม่กี่รายในโลกเท่านั้นครับ

ผมคุยกับผู้บริหารแบงค์ ทุกคนก็บอกว่าเหนื่อย เพราะตอนนี้เอากันจริงๆยังไม่ถือว่าเป็นการออกหมัดแรกด้วยซ้ำ ถ้ามีการขยับออกหมัดแรก คือแค่ออกหมัดแย็บ ผมว่ามีหน้าสะบัดเหมือนกัน หรือถ้าถึงขั้นอัพเปอร์คัดตัดลำตัว และถ้าไปถึงควงหมัดโปโลเข้าใส่ ก็เป็นอันนั่งกองไปกับพื้นแล้ว 555

ตอนนี้ผมต้องพยายามปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อดูคลื่นสึนามิว่าจะมาสูงขนาดไหน แล้วกวาดอะไรหายไปบ้าง ถึงตอนนั้นค่อยลงจากต้นมะพร้าวมาบูรณะซ่อมแซมน่าจะยังไม่สายไปครับ 555

สำหรับมั่นคงก็ยังเหมือนเดิมครับ ผมยังคงส่องสินค้าใหม่ๆที่ดีมาให้ท่านตลอด หลายคนไม่รู้อาจจะคิดว่ามั่นคงคือร้านแบบหน้าร้านอาจจะไม่รู้สึกว่าผมคือร้านออนไลน์ แต่จริงๆผมอยากจะบอกว่า ผมนี่ละคือพวกออนไลน์โดยสายเลือด คือพูดและคุยและสื่อสาร รวมถึงทำมาร์เก็ตติ้งออนไลน์แบบบ้าๆบอๆด้วยตัวเองมา 12 ปีแล้ว 555

เรายังคงทำในทุกมิติครับ คือต้องเป็น Omni Channel ที่ดีให้ได้ เราต้องบริหารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ไปให้ได้ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนไทยที่ยังไงผมก็เชื่อว่าไทยเรายังชอบเดินช็อปปิ้ง ยังชอบที่จะทดลองสินค้าราคาสูงๆก่อนตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ชอบความสะดวกจิ้มกดสั่งซื้อด้วยปลายนิ้ว ทั้งหมดทั้งมวลผมเดินหน้าอยู่ครับ

แต่ตอนนี้ผมขอตัวปีนขึ้นต้นมะพร้าวก่อนว่างั้น 555

ผมมีความรู้สึกว่า ลึกๆแล้ว เฮียอยากเตือนน้องๆที่ทำมาหากินในรูปลักษณ์ค้าปลีกตามระบบโบราณ traditional trade  ไม่ว่าขายอะไร ให้ระวังการคลื่นเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ว่าอยู่กันให้รอดนะพวกมึง...โดยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง 

ข้อความไม่กี่บรรทัดในความเห็น 37 นี่ กลั่นมาจากความคิดการกระทำมากมายที่เฮียทำการบ้านให้ดู โดยบอกระหว่างบรรทัดว่า ..กูต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยนะมึง  พวกมึง เอ๊ย พวกน้องๆเตรียมตัวกัน หรือ แม้แต่ เริ่มคิดจะเตรียมตัวกันหรือยัง ระวังไม่ทันนะเว้ย...

จากที่"รู้"ข้อมูล แต่ไม่ได้"คิด" มาเห็นกระทู้นี้ ตอนนี้เริ่มคิดจะกลัวแล้วครับ เฮีย = =*

เอาใจช่วยครับเฮียมั่นสาขาประตูน้ำผมซื้อหูฟังที่ร้านนี้บ่อยเลย

อันนี้ถามเฮียเป็นความรู้นะครับ ปัญหาของเฮียคือคู่แข่ง?หรือว่าอะไรครับ ในมุมที่ผมทำออนไลน์ การที่มีออนไลน์ ทำให้การเข้าถึงคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไล่ตามร้านที่ขายสินค้าแบบเฮีย เฮียก็เจ้าใหญ่สุด และสาระคือ มีสินค้าหูฟัง อะไรต่อมิอะไรมากกว่า หลายเว็บดัง ก็มีสินค้า แต่ไม่ได้แบบครบเท่า เกี่ยวไหมว่า ตัวหูฟังเอง ทำราคาสินค้าที่ถีบไปไกลมากๆ ทำให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ไปไม่ถึง (คนที่ไปตัวท๊อปจริงๆ น้อยลง)

จำนวนคนเข้าถึงในระบบออนไลน์ที่สามารถเห็น เข้าถึงสินค้าเฮียง่ายขึ้น แต่ผู้ซื้อน้อยลง ถ้าจะมีเจ้าอื่นโดดลงมา ผมก็ยังไม่เห็นว่าใครขายสินค้ามากแบรนด์เท่าเฮีย หรือว่าพฤติกรรมผู้บริโภค ถ้าซื้อออนไลน์ ก็คงเน้นราคาเบาๆ ฟังดีกว่าหูฟังธรรมดา 

ยุคนี้ 4.0 ยุคที่ จะ หางานทำ ทำธุรกิจ ยากขึ้น แล้วต่อไป หุ่นยนต์ AI จะมาแย่งงานมนุษย์ ใน ด้านแรงงานมนุษย์ จะหางานทำได้ยากขึ้น ถ้าไม่ปรับตัว พัฒนาตัวเอง ให้เหนือกว่า  AI

ผมว่าคนมันห่วยแองมากกว่า ทั้งขโมยของ ใช้ห้องน้ำแล้วไม่ล้าง ทำงานไม่ใช้สมอง

เรื่องปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต ที่จะมาแทนแรงงานคน  เอาแค่เรื่องใกล้ตัวเรา  ถ้ามีรถหุ่นยนต์แท็กซี่เหมือนในหนัง  แค่นี้ก็ไม่ต้องไปเรื่องอื่นแล้วครับ ว่าเราจะเลือกอะไรกัน555

ส่วเรื่องทิศทางตลาดหูฟัง  ความเห็นส่วนตัวผมว่าก็เป็นเหมือนสินค้าอื่นๆ มีขึ้นมีลง มีจุดอิ่มตัว  สมัยก่อนนู้นตอนซาวอเบาท์ฮิตๆ  ก็มีกันทั้งบ้านทั้งเมืองเหมือนกัน พอหมดยุค ก็เปลี่ยนมาเป็นพวก mp3 แล้วที่น่าจะปลุกตลาดให้คึกคัก อีกทีก็คงเป็นไอพอด  อานิสงค์ก็เลยมาถึงหูฟังด้วย  จากที่เคยพกกันแต่เครื่องเล่นอย่างเดียว  ก็มีแอมป์ มี dac มีสายสัญญาณ  จริงๆตลาดกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรอยู่แล้ว  เพียงแต่เติบโตกว่าแต่ก่อน  ที่มีกลุ่มคนเฉพาะจริงๆที่เขาเล่นกัน

อีกอย่างสินค้าแบบนี้ ไม่ใช่สินค้าจำเป็นอะไร พอถึงช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็จะโดนหางเลขเป็นกลุ่มแรกๆ  แล้วถึงจะเป็นนักเล่นด้วยกันเองก็เถอะ  ถึงจะชอบจะรัก แต่คงไม่มีใครมานั่งซื้อนั่งเทรด กันอยู่ตลอด บางคนเล่นเป็นพักๆแล้วก็หายไปเลย  บางทีนานๆทีถึงจะกลับมา เคยเล่นแบบเต็มสูบ บางทีก็อยากได้อะไรง่ายๆสบายๆบ้าง  หันไปพกหูฟังกับเครื่องเล่นดีๆสักตัวก็พอ  ครั้นจะหวังนักเล่นน่าใหม่ให้สนใจ  ก็ต้องใช้เวลากันพอสมควร  สังเกตุได้จากคนเล่นทั่วๆไป  มักจะเริ่มกับพวกหูฟังราคาไม่สูงมากก่อน  เพราะไม่รู้ว่าไอ้ที่เขาว่าเสียงดีๆกัน มันจริงหรือเปล่า  บางทีดราม่าก็เยอะ  พอตั้งหลักจับทางได้  คราวนี้ก็จะค่อยๆงอกมาทีละอย่างสองอย่าง ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์  และสุดท้ายมันก็จะวนไปเป็นวัฏจักร อย่างที่บอกแหละครับ

ปล.ผมหวังว่าเฮียคงปืนขึ้นไปสังเกตุการณ์ บนมะพร้าวอยู่สักระยะหนึ่ง ไม่อยากให้นานแล้วลงกลับมานอนเล่น  บนชายหาดกันเหมือนเดิมนะครับ555

เกี่ยวไหมครับที่ราคาหูฟัง กับเพลเยอร์ ถีบไปไกลมาก เมื่อก่อนไอพอตเครื่อง กับ 535 หรือไม่ก็ w4 นี่ก็ตัวท๊อป หมดเต็มที่ไม่เกินสามหมื่น แต่เดี๋ยวนี้ งบระดับนั้น ยังไม่ได้เสี้ยวหูฟังตัวท๊อปๆ เลยประกอบกับเศรษฐกิจที่แย่ ความจำเป็นที่ต้องมาซื้อของแพงน้อย

เรื่องราคาผมว่าก็ส่วนหนึ่งครับ  แต่ไม่น่าใช่ส่วนสำคัญทั้งหมด  เพราะหูฟังกับเพลเยอร์ที่ดีๆในระดับราคาไม่แรง ก็ยังมีให้เล่นกันอยู่  เท่าที่จำได้ระดับราคามันค่อยๆไต่ขึ้นมาทีละนิดๆ  จากหมื่นต้นๆมาเกือบครึ่งแสน ช่วงนั้นมีพวก hifiman hm901,ak120ii  ที่น่าจะแพงที่สุด  แต่พอ ak ออกตัว ak240 มาหลังจากนั้นราคา dap ตัวท็อปทะยอยพุ่งทะลุเพดานกันไปหมด

ส่วนสำคัญผมยังมองว่าเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ กับตลาดหูฟังมันยังไม่ใหญ่พอ ขนาดที่จะหล่อเลี้ยงร้านที่มีจำนวนสาขาเยอะได้ครับ

บางคนจะอะไรกันนักครับ ร้านเฮียไม่ได้เจ้งซะหน่อยเขาแค่ปิดสาขาซึ่งดูแล้วไม่คุ้มทุนถ้าฝืนดันทุรังเปิดต่อไปก็มีแต่จะขาดทุน ธุรกิจมันก็แบบนี้ล่ะครับเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย เศรฐกิจมันแย่ทั้งประเทศมันเลยลากไปหมดทุกวงการไม่ต้องไปหาเหตุผลมันหรอกคนไม่เข้าร้านของขายไม่ได้ก็แค่นี้เอง

ยินดีครับที่มีข้อซักถาม ซึ่งอันนี้เป็นเสน่ห์ของเว็บมั่นคง ซึ่งเราแลกเปลี่ยนความเห็นและทัศนะกันครับ ผมขอคุยแบบชาวบ้านๆที่ไม่ใช่นักวิชาการนะครับ เพราะคุยแนวนั้นผมก็ไม่รู้จะคุยยังไงเหมือนกัน 555

--------------------------
ปัญหาของค้าปลีก อันนี้ไม่ต้องมองถึงร้านหูฟังอย่างมั่นคงหรอกครับ แต่น่าจะรวมถึงค้าปลีกหมดทั้งระบบ ผมว่าปัญหาคือไม่ใช่คู่แข่ง เพราะคำว่า"คู่แข่ง" หมายถึงคนที่แข่งกันได้ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มีศักยภาพที่ทัดเทียมในการแข่งขันกัน หากลเม็ดในการแข่งขัน และแข่งกันภายใต้กติกาเดียวกัน

แต่ผมว่าปัญหาของธุรกิจค้าปลีกคือแพลทฟอร์มขนาดยักษ์ อันนี้เกินคำว่าคู่แข่ง ผมว่าต้องเรียกคำว่า"นักล่าอาณานิคม" คำว่านักล่าอาณานิคมถ้ายุคเก่าก็ลงเรือข้ามน้ำข้ามภูเขา เอาก้อนหินหรือมีดขวานด้ามพร้าฟาดฟันใส่กัน แต่นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ก็คือนักล่าไซเบอร์ในโลกอินเตอร์เน็ท ไม่ต้องใช้มีด แต่ใช้นิ้วกดปุ่มแทน

เหมือนในหนังไซไฟครับ นักล่าอาณานิคมก็แสวงหาดาวดวงใหม่ๆที่อุดมสมบูรณ์ สำรวจดูตรงไหนดีก็ลงไปจัดสรรและสูบทรัพยากรจนหมดแล้วก็ไปหาดาวดวงใหม่เพื่อกวาดทรัพยากรต่อ ไม่ต่างกับตอนนี้หรอกครับ ตอนนี้นักล่าไซเบอร์เข้าหาพื้นที่ใหม่ๆ และสิ่งที่ทำคือต้อนทุกคนให้เป็นเชลยก่อนให้ได้

ส่วนนักล่าไซเบอร์รายอื่นๆ ที่กำลังจ้องมองดาวดวงเดียวกัน ก็จะถูกนักล่าผู้แข็งแรงกว่าไล่ล่าทำทุกทางให้ออกไปพ้นทาง ภาพที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือภาพลักษณ์อันสวยงามของผู้มาเยือนที่ทำให้ทุกคนเกิดความสะดวก ทำให้ทุกคนเพลิดเพลินกับการจับจ่ายใช้สอย ทุกคนกำลังโดนเหยื่อที่เคลือบยาไซนาไนด์ไว้

ใครที่รีบส่งส่วยบรรณาการก็รอดไป คนที่ไม่เข้าสวามิภักดิ์จะถูกเขี่ยให้ออกจากวงโคจร และนักล่าก็จะเลี้ยงแต่เชลยที่ไม่คิดสู้ ไม่คิดหนี ขอแค่เป็นพวกก็พอ แล้วพอวันหนึ่งที่ประชากรดาวดวงนี้ต้องพึ่งพานักล่าแต่เพียงผู้เดียว เมื่อนั้นนักล่าจะคิดขยับไปทางไหนทำอะไรก็ได้หมดดังใจปอง เพราะนักล่าควบคุมทุกอย่างไว้หมดสิ้นแม้กระทั่งลมหายใจ....


โว้ยยยยๆๆๆๆๆ อ่านไม่รู้เรื่องโว้ยเฮียมั่น 5555

ผมก็คงเขียนให้อ่านรู้เรื่องมากกว่านี้ไม่ได้หรอกครับ คงได้แต่เขียนแบบแอ๊บสแตร็ค เอาเป็นว่าถ้านั่งคุยกันแบบไพรเวทอันนี้ได้ แต่ที่ผมเล่านี้ท่านสามารถเก็บคำพยากรณ์อันนี้ใส่ลิ้นชักไว้ได้เลยครับ แล้วถึงตอนนั้นก็ไปเปิดเอาออกจากลิ้นชักมากางดูได้เลยว่าแม่นไม๊ 555

เอาใจช่วยเฮียครับ 

ขอบคุณครับ 555


จริงๆ ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมเข้ามอบตัว หรือสวามิภักดิ์ต่อแพลทฟอร์มระดับโลก ทั้งๆที่คนอื่นๆเค้าเข้าไปเป็นเชลยกันหมดแล้ว จะบอกว่าผมเป็นพวกอินดี้หรืออาร์ทตัวปู่ก็น่าจะได้ครับ 555 ผมคิดว่าหลักการและวิธีการมันผิดกับการมาของนักล่าไซเบอร์ในครั้งนี้

การทุ่มทุกอย่างโดยไม่สนใจวิถีหรือสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของประชากรบนดาวดวงนี้ ทำเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลและกุมพฤติกรรมรวมถึงผูกขาดกินรวบตั้งแต่ต้นยันจบมันผิด อีกหน่อยเราอาจจะต้องถึงขั้นเปลี่ยนสกุลเงินด้วยซ้ำ

สำหรับร้านมั่นคงก็คงไม่ได้กริ่งเกรงอะไรจนเกินไปนักครับ เราทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ เราทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงจะไปไหวไม่ไหวหรือเจ๊งในอนาคตก็คงไม่ได้เสียดายอะไรอีกแล้วครับ 555


ปล.ต้องขออภัยที่เขียนแล้วบางท่านอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจนะครับ อีกหน่อยพอร้อนวิชาหนักกว่านี้ ผมอาจจะไปเขียนนิยายไซไฟก็เป็นได้ 555

คงปิด แค่ สาขา พันธุ์ทิพย์ประตูน้ำ สาขาเดียว เพราะ มันเป็น ห้างขายเฉพาะทางเกิน ไม่ได้ เป็นห้างใหญ่ ขายแบบจับฉ่าย โดยตรง แบบ สาขาอื่น ของ มั่นคง

สุดท้าย ใน อนาคต 20-50-100 ปี มนุษย์ IT , หุ่นยนต์ AI จะ ยึดครองโลกใบนี้ ทำให้ผมนึกถึง หนังเรื่อง คนเหล็ก TERMINATOR

ส่วนอีก 1000 ปี ข้างหน้า โลกร้อน โลกแตก ผลจาก มนุษย์ บ้าสร้าง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี แบบไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์จะอพยพ ไปอยู่ใน ดาวดวงอื่น กาแล็กซี่อื่น อาจถึงขั้น สร้างยานอวกาศ ที่มี ความเร็วเหนือแสง แบบ STAR WAR ท่อง จักรวาล เพื่อไปหา ดาวดวงใหม่ ที่มี มนุษย์ต่างดาว อาศัย อยู่เลย ก้ เป็นได้ 555+

มันก็น่ากลัวจริงๆ ครับ เหล่านักล่าอาณานิคมที่มีอาวุธหลักคือเงินทุนมหาศาลพ่วงด้วยนวัตกรรมและเครือข่ายสารพัดที่รายย่อยไม่สามารถมีได้ ก่อเกิดอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดสำหรับตลาดคือ ความสะดวกสบา่ต้อนหน้าต้อนหลังผู้บริโภคให้เคลิบเคลิ้มอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตัวอย่างที่เห็นกันทุกคนคือ สโลแกนที่ว่า "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา..." ใครจะคิดว่าแค่สโลแกนง่ายๆ ในวันนั้น มาวันนี้มันไม่ใช้แค่สโลแกนแต่กลับกลายเป็น "พฤติกรรมผู้บริโภค" ไปทั่วหย่อมหญ้าเสียแล้ว...

เรื่องหุฟังนี่ยังไงก็ขอลองฟังที่ร้านดีสุดครับ
ไม่ว่าจะร้านเฮียหรือร้านอื่นๆ ยังไงก็อยากให้คงหน้าร้านอยู่บ้าง อย่างน้อยได้พูดคุยเรื่องหุฟังบ้าง
ถ้าเฮียทำอย่างญี่ปุ่นก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ข้างหน้ามีแต่หูฟังให้ลอง
ไปร้านต่างๆ หน้าร้านมันคือเสน่ห์อย่างนึงที่ยังพอจะได้คุยกับคนขายที่ชอบหูฟัง

สุดท้ายก็ยังอยากให้หน้าร้านคงอยู่ เพราะหูเราได้ลองหูฟังไม่ใช่เพียงเพราะการอ่านรีวิวแล้วตัดสินใจว่ามันเหมาะกับหูเราหรือไม่ครับ

เคยแวะไปอยู่ครับ สาขาเล็กๆ อบอุ่นดีครับ สาขาเล็กๆแต่ของครบ เสียดายเหมือนกันที่จะต้องปิดตัวลงครับ
ปล.อยากให้มีสาขาที่เมกะบางนาครับ ถ้ามีนี่ผมนี่น่าจะได้เสียตังแทบทุกเดือนแน่ๆเลย

ทำไมอ่านไปอ่านมา เหมือนอ่านนิยายไอแซค อาซิมอฟ กับดูหนังสตาร์วอร์เอพพิโสด4-6 ยังไงก็ไม่รู้  ที่อัศวินเจไดโดนจักรวรรดิราดหน้าเอ็มไพร์ ไล่ต้อนจนเจไดเหลืออยู่คนเดียว  แต่รวบรวมสมัครพรรคพวก ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ฮึดกลับมา คืนสันติสุขให้จักรวาลลจนได้555

ผมไม่รู้ชีวิตจริงจะเหมือนหนังหรือเปล่านะ  แต่อย่างน้อยๆ เว็ปมั่นคงก็สร้างประวัติศาสตร์ ในมุมเล็กๆของกลุ่มคนเล็กๆ  ไว้แล้วว่า ครั้งหนึ่งถ้าพูดถึงร้านหูฟัง  คนจะนึกถึง มั่นคงเป็นอันดับแรกเสมอ

https://youtu.be/hNv5sPu0C1E

ผมเข้าใจสิ่งที่เฮียพยามจะบอกครับ ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก ถ้าปลาเล็กไม่ยอมให้กินก็โดนบีบไปเรื่อยๆสู้ไม่ใหวก็โดนเขมือบ (ปลาใหญ่ทุนเยอะอยากมาขายปลีกซะเอง) 

555 กลายเป็นเจไดไปซะแล้ว 555

คืออันนี้คุยกันในฐานะเพื่อนคุ้นเคยกันประจำเว็บนะครับ ผมว่าการที่แพลทฟอร์มขนาดยักษ์เข้าไทยในลักษณะแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นการ"ฮั้ว" ที่เอาเปรียบคู่ค้าระดับโลกรายอื่น การงดเว้นภาษีนำเข้าในช่องทางพิเศษ ผมเองก็ไม่รู้ว่าการผลักดันให้เกิดขึ้นแบบนี้เป็นการ"ฮั้ว" ให้นักล่าทำงานสะดวกขึ้น  อย่าลืมนะครับ สินค้าจากซีกโลกอื่น คนไทยยังสั่งและนำเข้าไม่ได้ เพราะวางกำแพงภาษีไว้เต็มที่ แต่ในขณะนึงก็หลิ่วตาให้กับนักล่าเจ้าใหญ่

จริงอยู่ครับ ตอนนี้ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าดิซิ เป็นผลดีต่อผู้บริโภค เราจะได้ซื้อสินค้าราคาถูกลง แต่ผมอยากจะบอกว่า ตอนนี้กลไกปกติกำลังจะพังลง เพราะนักล่าจำเป็นต้องทุบทุกคนให้ดิ้นก่อนที่จะลงมือ พอทุกคนสลบหรือหมดแรง หรือเลิกไป ผมว่าการจ้างงานทั้งระบบของประเทศมันจะพังลงทันทีครับ เราซื้อของได้ถูกชิ้นสองชิ้น แต่หันไปมองญาติพี่น้องที่เป็นผู้ประกอบการ หรือเป็นพนักงาน ผมว่าตอนนั้นน่ากลัวครับ

นักล่าไม่ใช่นักบุญครับ มาเพื่อทำกำไร ไอ้ที่แต่งนิยายว่าไม่ต้องการรวบทุกอย่างไว้คนเดียว และทำการค้าแบบแบ่งปัน อันนั้นไม่จริงหรอกครับ เป็นมาร์เก็ตติ้งที่แต่งจนอ่านแล้วเคลิบเคลิ้ม ผมเองก็เคยเคลิ้มครับ เคยปัญญาอ่อนขนาดส่งให้ลูกอ่านว่าเออมีคติข้อคิดดี แต่คนเราต้องดูการกระทำครับ ดูหน้ามันไม่เห็นข้างในแน่ๆๆ 555

มั่นคงขอประกาศว่าไม่มีการเข้าไปสังกัดกับค่ายนักล่าเด็ดขาด เพราะเข้าไปก็เป็นชายไร้ศักดิ์ศรี ถ้าหากจะอยู่ไม่ได้เพราะไม่ยอมไปเข้าสังกัดกับพวกนักล่า ผมยอมเจ๊งปิดร้านครับ 555 (แต่ทำไมเค้าเข้าไปกันหมดแล้วหว่า 555)

เป็นไปได้ไงครับ นักล่ารู้เรื่องอะไรกับสิ่งที่เราเล่นเราสนใจ นักล่าไม่รู้อะไรซักอย่าง นักล่าไม่เคยฟังเพลงอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีเป็นยังไงด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าเอาราคาตั้งมากากะบาดแล้วลด 70-90% แล้วก็ตีปี๊บบอกว่าครบรอบวันเกิดเมีย ลด 3 วัน ครบรอบวันเกิดแม่ยาย ลด 7 วัน 555

คอยจับตาดูต่อแต่นี้ไปครับ ทุกวงการจะไปต่อลำบาก ค้าปลีก ธนาคาร ผู้นำเข้า SME  พายุใหญ่มาแล้วครับ

เห็นมีคนเดียวที่น่าจะทำได้ทุกอย่าง คงจะเป็นลุงกำนันครับ เห็นวันก่อนร้องไห้น้ำตาไหลพรากได้ขนาดนั้น ผมว่าประเทศชาติได้บรรลัยแน่ 555

**ขอพูดการเมืองนิดเดียวนะครับ**

ผมมันพวกบ้าหนังครับเฮียจับโยงกันได้หมด555  นี่ถ้าคืนนี้ไม่หลับไปซะก่อน  ว่าจะดูวิลเลี่ยม  วอลเลซ ประกาศอิสรภาพกับพวกล่าอาณานิคมซักหน่อย555

ถ้าเป็นแบบที่เฮียเล่ามา ผมก็ขอเอาใจช่วยเฮียครับ และผมเชื่อว่า เฮียเองก็ยังมีฐานลูกค้าเก่าที่รักเฮียและร้านมั่นคงอย่างเหนียวแน่น จนทำให้เป็นเฮียมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ ผมเชื่อครับว่าเฮียต้องผ่านมันไปได้

ร้านมั่นคง คงพออยู่ได้ เรื่อยๆ ยาวๆ ถ้า ค่อยๆ ปรับตัว ปรับกลยุทธ ไปตาม ยุคสมัย ให้เหมาะสม เพราะ คนในกรุงเทพ ก้ ต้องการ หูฟัง ไว้ พกพา อยู่ดี เพียงแต่ กลุ่มลูกค้า ร้านมั่นคง อาจไม่ใช่ แค่ นักเล่นหูฟัง เพียงกลุ่มเดียว แต่ ยังมีกลุ่มลูกค้า หูฟัง ออกกำลังกาย , ไร้สาย , บลูธูท , ลำโพงบลูทูธ ที่ยังพอเห็นความสำคัญ ของ ร้านมั่นคง อยู่บ้าง

เพียงแต่ยุคอนาคต คนทั่วไป จะหันมาเล่น หูฟังไร้สาย เพื่อความสะดวกสบาย เป็นหลัก มากขึ้น

ยิ่งถ้า คนกรุงเทพ รู้จักร้านมั่นคง มากขึ้น ก้ ต้องมาซื้อ หูฟังไร้สาย ครบเครื่อง ร้านมั่นคง อยู่ดี

เพียงแต่ ร้านเล่นหูฟัง ร้านอื่นๆ อาจจะมี โอกาสปิดตัวสูง หลายร้าน เพราะ ไม่ได้ มี ชื่อเสียง ดังกระฉ่อน แบบ ร้านมั่นคง 

555 ก็เป็นออกความเห็นในฐานะคนกันเองนะครับ 555

ผมก็คงทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เรื่องถอดใจวิ่งหันหลังหนีคงไม่มีแน่ๆๆครับ ผมก็คงต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างให้สอดคล้องกัยตัวเองและเพื่อนๆทุกคนที่สุดครับ

 
เรื่องที่กำลังจะเกิด ผมรู้สึกตั้งแต่ 7 -11 เริ่มแพร่กระจายสาขาเร็วเหมือนดอกเห็ด จนกระทั่งปัจจุบันบ้านผมถูกขนาบข้างด้วยเซเว่น 2 สาขาติดกัน  รายการทีวีก็เน้นแต่ SME มีแต่รายการส่งเสริมให้เป็นเจ้าของธุรกิจ เถ้าแก่น้อยร้อยล้าน แต่ผมว่าที่ทำแล้วประสบความสำเร็จอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนจริงๆจะมีสักกี่ราย  โฆษณาก็ส่งเสริมการหาเงินด่วนแบบ CAR FOR CASH , Home for cash ถ้าเกิดธุรกิจเจ๊งไปแล้วจะไปซุกหัวนอนที่ไหนกันครับนี่

เฮียมั่นคง น่าจะเป็น John snow จากserires GAME OF THRONES ครับ ผู้รวบรวม7 อาณาจักรเข้าต่อกรกับ WHITE WALKER ผมชื่นชมในอุดมการณ์และการทำงานของเฮียครับขอเป็นกำลังใจให้ยังไงก็ยังอุดหนุเฮียอยู่เรื่อยๆถ้ามีโอกาสนะครับ

คงต้องปิดท้ายสถานการณ์ตอนนี้ด้วยประโยคสุดคลาสสิคจาก Game of Thrones

Winter is coming ... 

อื่ม มันน่ากลัวราวกับ winter is coming จริงๆครับ

ผมขออนุญาตแนะนำ ปนเสนอความเห็นนะครับ
มั่นคงแก็ดเก็ต ถ้าโตมากๆในแง่การลงทุนหน้าร้าน
จะต้องแบกภาระไปสู้กับตลาดยักษ์ใหญ่ อันนี้จะเหนื่อยและหมดแรงในที่สุด
แต่ถ้าสเกลลดลงสักหน่อย  และดูแลลูกค้าในระดับที่ AI และคอมพิวเตอร์ทำไม่ได้
ก็คือทำแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การพูดคุยกับคนซื้อผ่านเว็บบอร์ดแบบนี้ 
ผมก็เชื่อว่า ลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้จะพยายามอุดหนุนครับ
ผมเอง ไม่ค่อยได้ซื้อบ่อย  ยังต้องซื้อบางอย่างจากเฮีย หรือแนะนำเพื่อนไปซื้อที่ร้านเฮีย
จริงๆแนะนำเพื่อนซื้อเยอะกว่าที่ซื้อใช้เองเสียอีก

จุดเด่นของร้านมั่นคงที่ทำให้ผมเสียเงินซื้อหลักๆคือของ  rare item
ประเภท ksc35 ล็อตสุดท้าย   มินิคอมโป jvc ลำโพงไม้ 
ยังจำได้เลยว่าหูฟัง jvc ผมมาช้าชั่วโมงนึงเสียดายมาก
ซึ่งของพวกนี้ ดูดเงินเรื่อยๆ จริงๆ

จุดเด่นอีกอย่างที่เอียมั่นพัฒนาไว้คือ ประกันร้านมั่นคง  คำนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก
การันตีระหว่างคนซื้อคนขาย  ถ้าบอกว่า หูฟังประกันแจ็คหม่า  กับประกันร้านมั่นคง
ผมเชื่อว่าคนซื้อชอบประกันร้านมั่นคงนะ

มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับค้าปลีกญี่ปุ่น ที่รวมตัวกันแข่งกับค้าปลึกทันสมัย
กับเรื่องแท็กซี่ uber ไม่เกิดในญี่ปุ่น  ทำอะไรแท็กซี่ในท้องถิ่นไม่ได้
เบื้องหลังทั้งสองเรื่อง มันมาจากคำว่า service mind และความรู้จริงในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ


เอาใจช่วยครับ ร้านมั่นคงมีจุดแข็ง ทำจุดแข็งเหล่านี้ให้ปึ๊กจริงๆ ก็ยืนหยัดได้ครับ

ขอบคุณครับคุณ pockethifi 55

ตอนนี้ผมก็ไปในทิศทางตามที่คุณ pocket แนะนำนั่นแหละครับ ผมตัดสินใจปรับขนาดองค์กรด้วยการไม่เพิ่มสาขา และลดสาขาที่ยอดขายค่อนข้างน้อยลงก่อนแล้วในเบื้องต้น และก็ประชุมเรื่องเหล่านี้หนักหน่วงในช่วงหลายๆเดือนที่ผ่านมา งานที่พวกเราทำได้ก็คืองานบริการนั่นแหละครับ และงานสร้างความเชื่อมั่นว่าหากคุณเล่นหูฟังซักตัว ผมนี่แหละจะเป็นคนที่ดูแลพวกคุณทุกคน

สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับมาร์เก็ตเพลสขนาดยักษ์ ไม่ใช่เพราะผมกลัวเสียผลประโยชน์ หรือกลัวตัวเองกำไรน้อยเพราะยักษ์ใหญ่จำหน่ายสินค้าถูกกว่า ซึ่งหากวิเคราะห์จริงๆ ราคาต่างๆยังถูกควบคุมโดยศูนย์ไทย(บางศูนย์) การจะจำหน่ายสินค้าแบบยอมขาดทุน ผมมองว่ามันคือการฆ่าคนที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันให้ตายหมดก่อน หลังจากนั้นพอทางสะดวกค่อยว่ากัน

คนที่ทำธุรกิจแบบนี้เป็นคนที่เบียดบังเอาเปรียบคนทั้งโลก และกอบโกยทรัพยากรของโลกไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างน่ารังเกียจ ผมรู้สึกว่ามาร์เก็ตเพลสพวกนี้เอาเงินฟาดหัวคนไทยอยู่ครับ เอาไอ้นี่ไป เอาไอ้นั่นไป ผลประกอบการก็ฟ้องกันอยู่ว่ามาร์เก็ตเพลสขนาดใหญ่ไม่มีใครกำไรเลยแม้แต่คนเดียว แต่ละรายขาดทุนปีละเป็นพันล้านบาท

แล้วเค้าทำไปทำไม??

เค้าหวังสูงไปกว่านั้นครับ หว่านพืชแล้วหวังผล ยังคงเป็นภาษิตสอนใจอย่างดี การขาดทุนให้ตัวเองมีฐานเสียง มีคะแนนนิยม และฝังทัศนะคติการซื้อของออนไลน์แบบนี้ในหัวคนไทยได้สำเร็จ เมื่อนั้นหมายถึงว่าอีกหน่อยเรื่องไฟแนนช์เชียล การศึกษา การธนาคาร การขนส่ง ค้าปลีกใหญ่-เล็ก รวมถึงพืชผลเกษตรกรจะถูกกำหนดโดยนักล่ารายนี้รายเดียวเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ นี่คือการกินรวบระดับมโหฬารที่สุด

ผมได้รับการเชิญชวนให้เข้าไปขายร่วมกับมาร์เก็ตเพลสยักษ์ใหญ่หลายต่อหลายราย แต่ผมปฏิเสธไปหมด ไม่ใช่ตัวเองเย่อหยิ่ง หรือทะนง แต่ผมมองว่านี่คือความผิดพลาดในการทำธุรกิจ การที่เรียกทุกคนเข้าไปเป็นเชลยหมด นั่นหมายถึงการทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางตัวใหญ่ที่สุด และผมก็นึกขำว่าทำไมคนไทยเราถึงกลัวเสียโอกาสกันถึงกับต้องวิ่งเข้าไปศิโรราบกับเค้าด้วย

การทำแบบนี้เท่ากับการยื่นข้อมือให้ใส่กุญแจมือครับ คอยดูที่ผมพิมพ์ไว้นี้ครับ ผมมั่นใจว่าเป็นจริงทุกอย่าง ผมกล้าท้าเลยว่า ถ้ามาร์เก็ตเพลสยักษ์ใหญ่ที่สักแต่ว่าเงินเยอะแล้วรวยมหาศาลพวกนี้ ถ้าลงมาแข่งขันกับผู้ประกอบการทุกรายในไทยด้วยกติกาเดียวกัน รับรองว่าได้วิ่งหางจุกตูดกลับประเทศไม่ทันครับ แต่นี่มันแบกน้ำหนักกันแบบจัดชกไม่ได้ครับ

ไทยเราก็ใช้อีคอมเมิร์ชเป็นครับ ผู้ค้าไทยมีเว็บ มีเฟซบุ๊ค มีสื่อออนไลน์และใช้เป็นทุกคน ทุกคนขายสินค้าและพึ่งพาตัวเองได้ ทุกคนไลฟ์สด ทุกคนอินบอกซ์ เราขายออนไลน์ของเราได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราให้ต่างชาติเข้ามาวางแผงขนาดใหญ่ สั่งสินค้าแล้วโอนเงินให้เค้า และให้เค้าส่งมาแบบไม่เสียภาษี  ผมว่าผู้ใหญ่บ้านเมืองเราสมองทึบกันหมด

มาร์เก็ตเพลสขนาดยักษ์หรือเว็บออนไลน์ที่ขายสินค้าอย่างเดียวแบบไม่รู้จักสินค้าเลย แล้วเอาส่วนลด(ที่ผิดปกติ)เข้าล่อคนซื้อ ผมดูถูกคนพวกนี้ครับ ขายกล้องแต่ไม่รู้ว่ากล้องกดปุ่มตรงไหน ขายลำโพงแต่ยังไม่รู้เปิดเสียงตรงไหน ผมว่ามันดูถูกภูมิปัญญาคนซื้อมากไปหน่อย

ผมมีเพื่อนเป็นร้านขายยาในต่างจังหวัด เค้าสั่งของจากตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพไปในราคาต้นทุน 1400 บาท แล้วไปขายในต่างจังหวัดแบบขายปลีก 1700-1800 บาท แต่วันหนึ่งเข้าไปลองดูสินค้าในมาร์เก็ตเพลส ปรากฏว่าราคาขายคือ 990 บาท เพื่อนผมพูดไม่ออก และก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้องหยุดขายยาตัวนั้นลง

การจำหน่ายสินค้าราคาถูกมหัศจรรย์ ทำให้ลูกค้าทั่วไปเกลียดชังพ่อค้าหรือร้านค้าที่คุ้นเคยซื้อขายกันมายาวนาน ลูกค้าทุกคนจะคิดว่า ไอ้ร้านนี้ฟันหัวกูมานานแน่ๆๆ และมาร์เก็ตเพลสยักษ์ใหญ่คือพ่อพระลงมาเกิด ผมว่าการสร้างความเกลียดชังของลูกค้ากับร้านค้ารายย่อยๆเป็นกลไกและเป็นกลยุทธหนึ่งในการกินรวบ ก็เหมือนกับการซื้อเสียงในการเลือกตั้งนั่นแหละครับ

คนไทยยังไปไม่ถึงไหนซักทีเพราะเราโดนฝังหัว เรารับเงิน 300-500 เพื่อเลือกคนๆหนึ่งให้เข้าไปโกงเรามากเป็นร้อยเท่าพันเท่า แล้วเราก็ได้นักการเมืองสวะๆกลับมาทำงานให้ และหนำซ้ำเรายังโดนคนไทยด้วยกันพูดสาบถสาบานว่าไม่แล้ว ไม่เอาแล้วการเมือง พอถึงเวลาเหมาะสมก็มาบอกว่ายอมตระบัดสัตย์เพื่อชาติ

ประเด็นเรื่องชาตินิยมและค่านิยมของคนญี่ปุ่นอันนี้ผมเห็นด้วยครับ เค้ามีการศึกษา เค้าคิดเป็น และเค้าคิดออกว่าอะไรคือประโยชน์ อะไรคือโทษของคนทั้งประเทศ เค้าเลือกทางที่เหมาะสมที่สุดของประเทศเค้า แต่ของไทยเรา คนที่เลือกความเหมาะสมให้คนทั้งประเทศ เป็นคนไทยไม่กี่คน และผมก็ไม่แน่ใจว่าประโยชน์นั้นเข้ากระเป๋าตัวเองเกินครึ่งหรือไม่

ใครอ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่าวันนี้เฮียพิมพ์ซะเข้มจัง ก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องเกร็งตามไปนะครับ ชั่วโมงนี้เราช่วยกันไปไล่พวกสารพัดร่างทรง และไม่เลือกนักการเมืองชั่วเข้ามาอีก ผมว่าแค่นี้ประเทศก็รุดหน้าแล้วครับ

สวัสดีประเทศไทย....

ขอบคุณความเห็นจากเฮียครับ ทำให้เห็นภาพธุรกิจได้เยอะขึ้นจริงๆ

เรื่องไม่ให้รับเงินยากนะครับ พวกพนักงานโรงงาน bonus ที เกือบแสน เงินคนจน 300 ยังจะเอา
ผลักดันเรื่องทำแท้งให้ภูก กฎหมาย และปลูกฝังความคิดคน ไม่รวยไม่ต้องมีลูกให้ได้ก่อนครับ

ผมรู้สึกทุกวันนี้โลกหมุนเร็วมากครับ  แก่เร็วขึ้น แป็ปๆเดี๋ยวปีแป็ปๆเดี๋ยวปี นี่ก็กลางปีอีกแล้ว  แต่ก่อนเป็นเด็กวัยรุ่น อยากโน่นอยากนี่  แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว  เริ่มคิดว่าที่เหลือของชีวิต  จะสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมได้บ้าง  ไม่ต้องให้ใครมาจดจำ  แต่อยากเห็นสิ่งดีๆเกิดขึ้นรอบตัวบ้าง

แต่ถึงโลกจะหมุนเร็ว  ทุกอย่างพัฒนาขึ้น จนผมก็ตามไม่ทัน  ต้องอาศัยพวกเด็กๆคอยสอนคอยบอก  ว่าเดี๋ยวนี้เขาอย่างนั้นอย่างนี้กันแล้วนะ  ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะโดนเทเอา555

แต่อย่างหนึ่งที่ผมคิดว่า ไม่ได้พัฒนาไปตามกาลเวลา  อย่างที่ควรเป็น คือธรรมชาติของมนุษย์ครับ  คนรวยไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนดี  คนตกงานก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไปลักจี้ชิงปล้นใคร  ทุกอย่างเป็นวัฏจักร กฏธรรมชาติก็จริง ที่ว่าปลาเล็กกินปลาใหญ่   แต่ธรรมชาติโดยแท้แล้ว สัตว์นักล่าจะล่าเหยื่อพื่อเป็นอาหารเท่านั้น  อาณาเขตก็อยู่เฉพาะที่ของตน  ไม่ได้ขยายอาณาจักรจนเกินตัวมีบ้านเป็นสิบๆหลัง555

มนุษย์เรามีศาสนากันมาเป็นพันๆปี  เพื่อขัดเกลาจิตใจ  ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีกันหมด  ให้รู้จักเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่กัน  แต่พันๆปีที่ผ่านมามนุษย์ก็ยังคงฆ่าฟัน รบรากันเหมือนเดิม  ทั้งสงครามอาวุธ หรือสงครามเศรษฐกิจ  ภาพพวกนี้ผมว่าอีกร้อยอีกพันปี  ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก ตราบที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์ ที่กำหนดทุกอย่างบนโลก  เอวัง

อ่านๆไปชักเริ่มเครียดครับ ขอปรับโหมด มา รำลึกความหลังร้านเฮียสาขาพันทิพย์กันดีไหมครับ ใครมีรูป มีประสบการณ์อะไร มาแชร์เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยครับ
 ผมไม่เคยไปครับเพราะมารูู้จักทีี่ DGW กับพารากอนครับ ^^

555 เปลี่ยนบรรยากาศกันมั่งนะครับ

สมัยก่อนตอนที่ผมไปขอเช่าพื้นที่ๆสาขาประตูน้ำ ทางห้างเค้าไม่รู้จะให้เช่าในลักษณะอะไร จนสุดท้ายเค้าใช้คำว่า "พื้นที่พิเศษ" ในสัญญาเช่า และระบุขนาดพื้นที่ว่า 0.50 ม. x 4.00 ม. (จำนวน 2 ตารางเมตร)

นับว่าเป็นร้านที่น่าจะเล็กที่สุดในพันทิพย์ประตูน้ำครับ และผมว่าเป็นร้านที่ค่าเช่าแพงที่สุดในประเทศด้วยเช่นกัน (หมื่นกว่าบาท) 555

สมัยก่อนพวกเราจะนั่งตรงเก้าอี้พลาสติกแบบในรูปครับ และตู้โชว์กระจกก็จะติดหลอดไฟสีเหลืองๆแบบร้านข้าวต้มรอบดึก ผมเจาะจงสีเหลืองเพราะเป็นสีเดียวกับโลโก้ และถ้าเดินมาทางด้านหน้าห้าง จะพอมองเห็นแสงเหลืองๆแต่ไกล...

นั่นแหละร้านมั่นคงครับ 555

ตอนพิมพ์นอกหน้าต่างมันคลื้มๆ  เลยพิมพ์เพ้อเจ้อไปเรื่อยๆครับ555  งั้นเอาสุดยอดหนังสั้นฟิลม์นัวร์ในตำนาน  ที่ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปร่า ไม่ได้กล่าวไว้  กลับมาชมรำลึกกันอีกรอบนะครับ555

นี่มันโคตรหนังเลยนะครับพี่ tangkoo 555

หนังสั้นเรื่องนี้ผมเขียนบทเอง กำกับเอง แสดงเอง โดยมีซุปเปอร์สตาร์ให้เกียรติเข้าฉาก 555


นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมยังไม่ได้ไล่ไอ้หลุยส์ออกจากงานด้วยครับ 555

ย้อนดูคลิปสัมภาษณ์อันนี้กันครับ ทั้งผมและเบียสและหมูหวาน แต่ละคนยังเอ๊าะๆๆอยู่เลยนะครับ 555

ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากครับ สาขานี้เคยไปซื้อ Kross kc35 ครั้งแรกตอนนั้น ม.5 หาทางไปจากโรงเรียนแถวร่มเกล้า แล้วก็เข้าวงการมายาวๆ ก็มีซื้อมือสองบ้าง แต่ถ้ามือหนึ่งก็จะเดินเข้ามั่นคงอย่างไม่ลังเลเลยครับ ไม่รุ้ว่าสาขาต่อไปจะเป็นสาขาประจำผมรึเปล่า (พาราไดซ์) แต่ยังไงก็เอาใจช่วยครับ ถึงเหลือร้านเดียวแต่อยู่ยาวๆก็ยังดีครับ 55555

ภาพสมัยที่ตั้งที่แรกๆครับ

ถ้าคนที่เคยผ่านสมัยพันทิป ประตูน้ำ ที่พีคมากๆ บางจุดเวลาเดินแทบจะไหลตามกัน ขนาดตามมุมที่คิดว่าเปลี่ยว ยังได้ยินเสียงตะโกน โป้มั้ยพี่ๆ คงไม่มีใครคิดว่าปัจจุบันห้างนี้จะเงียบลงได้ขนาดนี้

เศร้าเหมือนกันที่จะไม่มีสาขานี้ เพราะผมยังจำเสียงเฮียมั่นฯตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกับเสียงที่อึกทึกของห้างที่คนเดินกันคึกคักได้ดีครับ T T

ผมว่าแล้วเฮียมั่นเสียงคุ้นๆ ที่แท้......(คิดเอาเองครับ แหะๆ)

555 ผมยังไม่เคยตะโกนขายหนังโป๊เลยนะคร้าบบบ 555


เสียงคุ้นได้ไงเนี่ย 555

ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยตรงปกครับ เอ๊ะพูดเรื่องอะไร 

ล้อเล่นนะครับเฮียคลายเครียด แต่เสียงเฮียมั่นคุ้นๆจริงๆครับ555

มิน่าผมคุ้นๆตั้งแต่สมัยแผงหนังสือสนามหลวงแล้ว 555

"โป๊เพ่ โป๊เพ่" ผมส่งเสียงพร้อมกับชูแผ่นปกดีวีดีในมือให้คนเดินผ่านไปผ่านมาได้ชมก่อน แล้วบอกว่า ร้อยเดียวเพ่ ร้อยเดียว 555  พอใครเดิมมา ผมก็พาไปซุ่มในซอกด้านหลังพันทิพย์ครับ

จ๊ากๆๆๆๆๆๆ 55555


เอ้า เล่าเป็นวิทยาทานหน่อยนึงครับ 555

สมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อนที่ตลาดนัดสนามหลวง แผงหนังสือโป๊(สมัยก่อนไม่มีซีดี) ไม่มีอะไรนอกจากหนังสือครับ เราเรียกมันว่า"วรรณกรรมพิมพ์ดีด" หรือ"หนังสือปกขาว" หรือเรียกออกเสียงภาษาจีนก็ "โซ๊ยปึ้ง"

คำว่า "โซ๊ยปึ้ง" แปลงตรงตัวก็คือ "เล่มเล็ก"

สมัยก่อนไม่มีหนังสือที่เป็นรูปโป๊นะครับ สมัยก่อนใช้อ่านตัวอักษรล้วนๆ และปกหนังสือจะเป็นกระดาษขาวๆ และมีชื่อเรื่องพิมพ์เล็กๆอยู่กลางปก สมมุตว่า "ร้อนสวาทกลางสายฝน" แล้วคนรุ่นนั้นก็จะนั่งตะบี้ตะบันอ่านแล้วใช้จินตนาการเอาเอง ใครจิตนาการได้กว้างไกลก็ได้กำไรไป

พอยุคถัดมา หนังสือพวกนี้จะมีแทรกภาพขาวดำอยู่ในหนังสือประมาณ 3-4 รูป ยังเป็นการพิมพ์ระบบตีธง ซึ่งไม่ใช่ระบบออฟเซ็ท หลังจากยุคขาวดำ ก็จะกลายเป็นภาพสี แต่สาระหรือแก่นของมันยังเหมือนเดิมมาตลอด

แล้วก็พัฒนาไปเป็นวีดีโอ แผ่นวีซีดี ดีวีดี และในที่สุดเราก็มาถึงยุคที่ดูหนังโป๊แบบสตรีมมิ่งกันแล้ว คนยุคก่อนกว่าจะหาสื่อลามกได้ซักอันนี่หลบกันแทบตาย และกว่าจะได้มาไม่ใช่ของง่ายๆ ต่างจากยุคนี้ ที่การเข้าถึงสื่อเหล่านี้มันง่ายและแค่ลัดนิ้ว บางทีไม่อยากเข้ามันก็วิ่งเข้าไปเองได้..........

เอ ทำไมผมถึงรู้เยอะขนาดนี้นี่ สงสัยจะรู้เพราะอยู่นานนี่เอง 555

ร้านตัดผมชายสมัยก่อนชอบมีหนังสือแนวนี้ให้ลูกค้าอ่านระหว่างรอคิวครับ ผมจำได้ดีและฝาผนังร้านก็เต็มไปด้วยภาพ”เปลือยอก”บนปฏิทินโฆษณาน้ำมันเครื่องยี่ห้อต่างๆ สมันนี้คงหาดูยากแล้วครับ จริงไหมครับเฮียมั่น!!!!

จริงครับ 555

สมัยก่อนก็จะมีความคลาสสิคในแต่ละยุคของมัน พวกปฏิทินนั้นพิมพ์มานานแล้วครับ แต่ยุคที่เฟื่องฟูเห็นจะเป็นปฏิทินโฆษณาสุรายี่ห้อหนึ่ง หลังจากนั้นจะค่อยๆลุกลามมาพวกน้ำมันเครื่อง

ยุคก่อนในชั้นหนังสือหรือกองหนังสือที่วางสุมๆให้ลูกค้าอ่านตามร้านตัดผม ส่วนมากจะเป็น rate 18+ แต่ไม่ถึงกับ rate X หนังสือพวกนี้มีจำหน่ายตามแผงหนังสือเหมือนหนังสือ Playboy ของต่างประเทศ ดาราก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนไป มีรูปสีประกอบราวๆ 4-8 หน้า

และที่สำคัญจะมีนิยายโรม๊านซ์แทรกอยู่ประมาณ 3 เรื่อง อ่านจบตอนนี้ต่อตอนหน้า คนซื้อก็ตั้งตารอว่าเมื่อไหร่หนังสือจะออกซักกะที พอหนังสือออกก็จะตั้งตาไปหาซื้อมาอ่านกัน คนยุคก่อนอ่านหนังสือกันเก่งมากครับ คนไทยยุคก่อนผมว่าอ่านหนังสือเฉลี่ยปีนึงเป็นพันๆบันทัดครับ

ผมเองก็อ่านได้เขียนได้เพราะหนังสือโป๊ เอ๊ย ไม่ใช่ๆๆๆๆ อ่านออกเขียนได้คล่องแคล่วเพราะอาศัยอ่านเอา ในยุคก่อนนั้นไม่มีอะไรให้ทำนอกจากการอ่านครับ โทรทัศน์เป็นของหรูหราสำหรับยุคนั้นอยู่เลย จะมีแต่หนังสือนี่แหละเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ 555

เดี๋ยวๆ จากเรื่องเศร้ากลายเป็นเรื่อง 18+ ได้ยังไงครับ -_-"

ถ้าผมเขียนกำกวมไปก็ต้องขออภัยเฮียมั่นฯด้วยที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดครับ _/\_

คือตอนแรกผมจะพิมพ์ว่าสมัยนั้นเฮียมั่นฯมีตบมือ ตะโกน และเต้นเรียกลูกค้าแบบร้านขาย CD ที่สยามสมัยก่อน คิดไปคิดมาความจำเรื่องเฮียมั่นฯเต้นมันเลือนลาง หรือจะเป็นพี่เบียสน้า...พอไม่แน่ใจเลยไม่พิมพ์ดีกว่า พอข้อความสั้นลงรวมกับก่อนหน้านี้ เลยกลายเป็นดูกำกวมไปครับ T T

พี่Five ไม่ได้พิมพ์กำกวมหรอกครับ ผมแค่แซวเฮียคลายเครียดครับ

555 ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเขียนถึงเรื่องราวต่างๆได้ทุกแง่มุมครับ จะให้ไหลไปทางไหนก็ได้ครับ 555

ผมก็แซวเล่นๆ555  เอาจริงๆผมว่ามันก็เป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์  ของบ้านเราว่ายุคหนึ่งช่วงหนึ่งบ้านเราเคยเป็นมายังไงนะครับ  จะมองว่าของพวกนี้เป็นสิ่งยั่วยุ มุมหนึ่งมันก็ใช่แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์

นวลนาง เพ็ญพักต์ ไทยเพลย์บอย  ผมเชื่อว่าชายไทยทั้งแท่ง  ยุคนั้นต้องเคยผ่านกันมาแทบทุกคน  แต่ก่อนนางแบบดังๆนอกจากเพ็ญพักต์ ก็มีติ๊ก คิงเท็ก ที่ครองตลาดอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างก่อนจะรู้จักเฮียมั่น  ผมก็เคยรู้จัก เฮียกังฟู มาก่อน555  ถึงอดีตผมจะเคยเสพสื่อพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยต้องโทษหรือติดคดี อนาจารใดๆทั้งสิ้นนะครับ555

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่สนามหลวง  ไปสวนจตุจักร  ยันมาพันทิพ  คลองถม  กับวลีอมตะนิรันดกาลอย่าง  โป๊มั้ยพี่  ผมว่าคงจะสูญพันธ์ุ  เพราะการมาของเน็ตความเร็วสูงนี่ละครับ555

เฮียมั่น: ขอบคุณครับเฮีย แต่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆจริงๆครับ

คุณ Kobsound: OK ครับผม

เฮียมั่น: ขอบคุณครับเฮีย แต่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆจริงๆครับ

คุณ Kobsound: OK ครับผม

เครื่องพิมพ์ตีธง  ไม่มีคนพูดคำนี้นานมากแล้วครับ คนที่พูดก็รุ่นเฮียนี่แหละครับ รุ่นผมก็เริ่มจะไม่รู้จักแล้ว