เปิดเพลงฟังธรรมดานี่แหละครับ คือการเบิร์นที่ดีและปลอดภัยที่สุด

การเบิร์นคือการเปิดให้เครื่องหรือหูฟังได้ทำการวอร์มอัพในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ง่ายๆก็มีดังนี้ครับ

- เปิดใช้งานไปตามปกติ 100-200 ชั่วโมง
- เปิดด้วยความดังปกติหรือเบากว่าการฟังจริงเล็กน้อย
- เปิดด้วยไฟล์เพลงทั่วไปหรือดีที่สุดเท่าที่หาได้

ง่ายๆแค่นี้เองครับ หลังจากผ่านช่วงเวลาหนึ่งไปแล้ว ทุกสิ่งจะเข้าที่เข้าทาง และหูฟังจะโชว์ศักยภาพสูงสุดเท่าที่ตัวมันทำได้จริงออกมาครับ 555

ผมเสริมว่าตอนซื้อมาใหม่ลองฟังคร่าวๆเพื่อให้รู้แนวเสียง หลังจากนั้นเปิดทิ้งไว้โดยไม่ต้องฟังนะครับ โน่นเลย 5-10 ชั่วโมงขึ้นไปค่อยลองฟังเช็คเสียงซักที เพื่อสังเกตความต่างแล้วก็เปิดทิ้งไว้ต่อ เป็นแบบนี้จนถึงประมาณ 50 ชั่วโมงขึ้นไปเสียงมันจะเริ่มนิ่งครับ ถึงตรงนี้เริ่มเอามาฟังจริงจังได้แล้ว ที่ให้ทำแบบนี้เพราะคุณจะสังเกตได้ถึงความแตกต่างทุกช่วงของการเบิร์น และถือเป็นการฝึกหูไปด้วย  

แต่ถ้าเปิดฟังตลอดตั้งแต่เริ่มใช้เดี๋ยวจะโดนคนบางพวกหาว่าเป็นเพราะหูชินกับเสียงอีก บ้างก็ว่ามโนไปเองบ้าง

เหมือนคนเราเจอหน้ากันทุกวันมันดูไม่ออกหรอกว่าอ้วนขึ้นรึผอมลง ลองไม่เจอหน้ากันซัก 5 ปี เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเปลียนไปตรงใหน แต่หูฟังมันไม่นานขนาดนั้นหรอกครับ ใช้เวลาแค่หลัก 10 ชั่วโมง ตั้งแต่แกะกล่องมันก็มากพอที่คุณจะสังเกตถึงความแตกต่างของเสียงได้แล้วครับ

แล้วถ้าผมใช้ไฟล์ของในยูทูปที่มันมีเสียงเด่วดังเด่วเบาเบินได้ใหมครับที่ชื่อว่า burn in headphone ครับ

เรื่อง BURN ก้ ไม่อยากให้จริงจังมาก ผมมองว่า ถ้าไม่ได้ฟังแบบจับผิดเสียง เสียงก่อน BURN หลัง BURN แทบไม่ต่างกันมากหรอกครับ เผลอต่างน้อยด้วยซ้ำ 5% ทั้ง RE400 , TENORE , DOPPIO ก้ลองซื้อ ลองฟังมาแล้ว เสียงหาความต่างจากตัว DEMO ที่ร้าน ไม่ค่อยเจอเลย ผมก้เลย ไม่ BURN แล้วครับ ฟังตามใจตัวเองเลยครับ ฟินกว่า

เพียงแต่ว่า การฟังเพลงผ่าน ไฟล์ดีๆ เครื่องเล่นดีๆ DAC-AMP ดีๆ จะทำให้การ BURN หูฟัง เข้าที่เร้วขึ้นครับ

พวกไฟล์แบบนี้ ทำพังกันมาเยอะแล้วครับ เพราะมันชอบมีช่วงความถี่ที่แช่ค้างนานๆ ทำให้Driverหูฟังทำงานหนักเกินครับ
ต่างกับพวกเพลง ที่มันมีเสียงหลายความถี่ปะปนกันไปครับ มันเลยมีช่วงหนักและช่วงผ่อน ทำให้Driverไม่ทำงานหนักจนเกินไปครับ

ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูครับ
คร่าไปหลายศพแล้วกับคำว่าไฟล์เบิร์น

พวกเสียงซ่าๆ หรือ white noise พวกนั้น แม้แต่สายสัญญานก็ยังโดนเบิร์นจนทำให้เสียงเสียไปได้เลยหากทำไม่ถูกวิธีครับ

การ BURN หูฟัง ที่ดีที่สุด คือ การ ฟังเพลง ครับ เพราะเป็นการ BURN ได้ครบทุกความถี่เสียง ทุกย่านเสียงที่สุดแล้ว และ เป้น ธรรมชาติที่สุด พวก เสียงความถี่แปลกๆ ไม่ควรเอาไป BURN ครับ เพราะ จะ ส่งผลเสียต่อหูฟังประเภท IN EAR , EARBUD ง่ายกว่า พวก FULLSIZE เพราะ ดอกลำโพงมันเล็กกว่านี้เอง

ถ้า กรณี สะดวก BURN ฟังเพลงผ่าน YOUTUBE มากกว่า หาไฟล์เพลงดีๆ มา BURN เอง ก้ หาเพลง ที่ความละเอียดคลิปสูงสุด 1080P มา BURN ก้ ได้ครับ เช่น

ก็อยู่ที่ว่าเราอยากอยู่ #ทีม ไหนอ่ะครับ 

บางทีมก็จะเสนอให้คุณเริ่มจาก Small town 50 ชั่วโมง ต่อด้วย La fogata, Give and Take แล้วตบด้วยการเบิร์นเปิดแหลมจากเพลง Close To You แต่ไม่ต้องห่วง หากท่านเบิร์นผิด เช่นเผลอไปเบิร์นด้วย เพลง metal ที่เค้าว่ากันว่าจะทำให้ไดร์เวอร์ทำงานหนักเกินไป ซึ่งก็น่าตลก ทั้งๆที่คุณอาจจะชอบฟังเพลง metal ไม่ได้ชอบฟังเพลงร้องช้าๆ แต่มันไปหนักหัวเจ้าสำนักเข้า แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป เพราะท่านสามารถส่งให้เจ้าสำนักเบิร์นแก้ได้ครับ ^ ^

ถ้าอยากเบิร์นสบายๆหน่อย ก็เชื่อตามเฮียมั่นกับสมาชิกน้ำดีในนี้ไปแหละครับ ว่าให้หาไฟล์ที่ใช้ฟังประจำเปิดวนไป เบาๆ ฟังไปพักไป เดี๋ยวก็เข้าที่เอง ไม่ต้องพึ่งบริกรรมคาถาใดๆ ไม่ต้องไปสาบานที่วัดพระแก้วด้วยว่าการเบิร์นด้วยเพลงนั้นเพลงนี้ตามลำดับมันมีผลจริง ไม่ได้ขี้จุ๊มา

ผมอยากทราบว่า ถ้าผมใช้เพลงพวก edm ในapp ของ mixclound เปิดเอาไว้เบิรนได้ใหมครับ

อยากกดแจกหูครับ แต่ไม่มีให้กด อิๆ

ฟังธรรมดาครับ ดีที่สุด เพราะการเบิร์นมันเป็นผลมาจากการปรับตัวของหูเรากับ signature ใหม่และตัวหูฟังเองด้วยครับ ยิ่งถ้่าฟังหูฟังอื่นด้วยอยู่แล้วแล้วเพิ่งเปลี่ยนใหม่นี่ยิ่งควรนั่งฟังเองให้หูมันชินกับ sound ใหม่ครับ

แต่อย่าไปคาดหวังการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือล่ะครับ อย่างพวกหูฟังแบบ HD800 จะหวังให้มี sub bass แบบ LCD2 ด้วยการเบิร์นนี่ก็เวอร์ไปหน่อยครับ

เป็นคำถามที่ ยอดฮิต

แต่คนที่มันตอบในนี้. มันก็ตอบไม่เหมือนกัน ทุกครั้ง
บ้างครั้งมันก็ตอบว่าเปิด ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องซีเรียส
บ้างครั้งก็ตอบว่าต้องเบิร์น

สรุป. บ้า... 

ถ้าไม่เชื่อลองเซิร์ฟดูเอามาเทียบได้เลย

เคยโดนมาเหมือนกันครับ จากพวกสาวกสายเบิร์นนี่แหละ โดยปกติผมไม่ค่อยชอบเบสหนักๆ เลยเลือกไปทางเบสนุ่มๆหรือเน้นเสียงใสๆแทน แต่แล้วก็มีสาวกมาขอลองหูฟังผมเสร็จก็แนะนำให้เอาไฟล์นี้ไปเบิร์นสิ เดี๋ยวมันจะบลาๆๆและก็บลาๆๆๆ... เสร็จแล้วเบสจะมาเอง

ในใจนึก "คือตูไม่ชอบเบส แล้วตูจะเบิร์นหูฟังเพื่อให้เบสมันออกมาเยอะๆทำห่านอะไรฟร่ะ" แต่ก็รับเอาไฟล์มาให้จบๆ มันจะได้ไปที่อื่นซักที

การเบิร์นไม่ใช่ปรับหูเราครับ แต่ทำให้อุปกรณ์มันอยู่ในจุดที่เข้าที่เข้าทางโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วครับ เรื่องนี้เฮียก็บอกอยู่บ่อยๆในหลายกระทู้ลองไปหาอ่านได้ครับ และไม่ใช่แค่หูฟังนะ อะไระที่สัญาณเสียงเดินผ่านตั้งแต่เครื่องเล่นยันสายสัญญานต้องเบิร์นทั้งนั้น อย่าง ibosso เขายังแถมตัวช่วยเบิร์นไว้เสียบกับช่องหูฟังมาให้เลยครับ

ที่สำคัญต้องแยกให้ออกระหว่าง

เบิร์นแบบปกติคืออย่างที่เฮียบอกเปิดทิ้งไว้ด้วยเพลงทั่วไป จะเป็นไฟล์อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะ mp3 หรือฟังจาก youtube หรือ dsd  เพราะยังไงมันก็ถูกแปลงเป็นอนาล็อกเหมือนกันหมดอยู่แล้ว เปิดด้วยความดังปกติยังไงหูมันก็ไม่พังโดยให้ครบประมาณ 50 ชม ขึ้นไป พอครบชั่วโมงแล้วค่อยฟังจริงจังอันนี้คือสิ่งต้องทำ 

กับเบิร์นแบบไสยศาสตร์ สูตรนั้นสูตรนี้ ผมว่าอันนี้แหละมันทำให้คนไขว้เขว บางคนเอาเรื่องเบิร์นมาเป็นจุดขาย เช่นเบิร์นด้วยเทปส่วนตัวผมก็ไม่เชื่อและมองว่าไร้สาระมากๆ คนพวกนี้สังเกตุดีๆมักจะมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่แล้ว เช่นพวกขายของในเฟสบุ๊คเพื่อมันจะสร้างจุดขายของมันว่าของที่มันขายเสียงดีอย่างนั้นอย่างนี้ ใครเชื่อมันก็บ้าไปแล้ว

การเบิร์นไม่ทำให้หูฟังที่เสียงห่วยๆกลายเป็นเสียงเทพขึ้นมาได้ และการเบิร์นไม่ทำให้หูฟังที่เสียงดีอยู่แล้วแย่ลงถ้าคุณเปิดฟังแบบคนปกติที่คนทั่วไปเค้าฟังกันครับ

ขอสอบถามหน่อยครับ ผมเบริน B&O h7 30ชั่วโมง รู้สึกว่าเสียงยังใช้ไม่ได้เลยครับ หรือต้องเบรินเป็น100ชั่วโมงครับ ตอนนี้เสียงร้องรู้สึกหนาจนหนวกหู ไม่ใสเคลีย แหลมเหมือนมีม่านมาบัง รวมๆแล้วฟังแล้วรู้สึกอึดอัดครับ

ผมไม่รู้แน่นะครับว่าH7 ต้องเบิร์นประมาณกี่ชั่วโมง

แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมว่าหูฟังมันจะเริ่มเข้าที่แบบเฉียด100% ที่ประมาณ200ชั่วโมงครับ
หลังจากนี้จะไม่ค่อยเปลี่ยนมากแล้วครับ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็นิ่งที่100%เอง

มีแค่Gradoตัวเดียวนี่แหละที่ผมว่า200ชั่วโมงก็ยังไม่พอ 500ยังแค่เฉียด ตัวที่ใช้อยู่กว่าจะนิ่งฟาดไปประมาณ700ชั่วโมง 555

อันนี้เข้าใจครับ ผมถึงแยกให้ไงว่า หู(การปรับ perception)+ตัวหูฟัง(ซึ่งมีส่วนเคลื่ิอนไหวที่ต้องปรับให้เข้าที่) อันที่จริงน่าจะเรียกว่า "ปรากฏการณ์" burn-in มากกว่า ถ้าแค่พูดถึง burn-in แบบความหมายตรงๆก็ตามที่คุณบอกแหละครับ หวังว่าคราวนี้คงเข้าใจตามที่ผมสื่อนะครับ

ผมเบินแล้วคับเมียผมชอบมาก

คห.19 เบิร์นเป็นนะเนี่ยนคนนี้อ่ะ รู้วิธีเบิร์นอย่างแท้จริง ใช่ธรรมดา 555

ถ้าคนที่ "เล่น" มีของพร้อมอุปกรณ์พร้อม การเบิร์น ก็เป็นอีกอย่างให้ เล่น กันครับ ถ้าคนทั่วไป ที่ไม่ได้เข้าเว็บเฮีย ก็คงซื้อมาใช้เลย เป็นการเบิร์นในตัว แต่คนที่กังวล คือคนที่อยากจะเข้ามาเริ่ม "เล่น" มีการเสิร์ช หาข้อมูล เจอเทคนิคโน่น นี่ เต็มไปหมด ทำให้สับสนไปอีก ผมมองว่า ถ้าคุณเป็นอยากจะเริ่มเล่น คุณต้องหาข้อมูลเยอะๆ เมื่อได้ข้อมูล ก็ เล่นเลยครับ ทีนี้คุณต้องสนุกกับมัน ฟังว่ามันเสียงเปลี่ยนไปยังไง และต้องภูมิใจ ว่านี่แหละเบิร์นสไตล์เรา ถ้าไม่ได้เบิร์นด้วยอะไรที่พิสดาลเกินไป ดังเกินไป ใช้พวกเสียงเบิร์น ประหลาดๆ ผมยืนยันว่า หูฟังคุณไม่ห่วยแน่นอน การเบิร์น มีแต่เท่าทุน แต่ถ้าคุณเป็น audiophile คือพิถีพิถันด้วยความรัก คัดเลือกแต่อะไรที่ดีที่สุด มันก็จะได้ผลตามสิ่งที่คุณทุ่มเทไปครับ