เอามาให้อ่านครับ
เสียบหูฟังตลอด เปิดเสียงดังเกิน อายุ 5ขวบระวัง อาจกระทบสมอง
สาธารณ สุขเตือนภัยวัยรุ่นที่ฮิตใช้หูฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ไอพอด เร่งเสียงดัง หนัก สะใจ ได้อารมณ์ เสี่ยงอันตรายหูตึง-หูหนวกถาวร ชี้รักษาไม่หาย อาจทำให้การพูดคุยสื่อสารเพี้ยนไป แนะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเลี่ยงใช้ อาจส่งผล พัฒนาการสมองช้าลง ผงะน.ร. ม.ต้น-ม.ปลาย ร้อยละ 70 มีอาการหูตึงเพราะฟังเพลงดัง เสนอหน่วยงานเกี่ยวข้องออกกฎหมายควบ คุมระดับเสียงมาตรฐานของหูฟังที่ปลอดภัย
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. น.พ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เครื่องเล่นเพลงดิจิตอลพกพา อาทิ เครื่องเอ็มพี 3 ไอพอด กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นทั่วโลก เพราะมีความเป็นโลกส่วนตัว พกพาสะดวกเพราะใช้หูฟังขนาดเล็ก ขณะนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาต่อสุขภาพของผู้ฟังเครื่องดังกล่าว เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภคสหภาพยุโรปได้ประกาศเตือนภัย โดยผลการสำรวจพบว่าระบบการได้ยินของวัยรุ่นยุโรปมากกว่า 10 ล้านคนกำลังอยู่ในอันตรายจากการใช้หูฟัง เพราะฟังเพลงจากเครื่องเล่นดิจิตอลในระดับเสียงที่ดังเกินไปติดต่อกันเป็น เวลานาน ทำให้มีอาการหูอื้อและหูตึง โดยผู้ใช้เอ็มพี 3 ร้อยละ 5-10 ทั่วโลกกำลังมีความเสี่ยง ซึ่งน่าห่วงมาก
น.พ.ไพจิตร์กล่าวว่า ในส่วนของไทยขณะนี้พบว่าวัยรุ่นจำนวนมากนิยมฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 เครื่องไอพอด รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือที่คัดลอกเพลงจากอินเตอร์เน็ตเป็นร้อยๆ จนถึงพันเพลง ซึ่งผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดในปี 2551 พบประชาชนอายุ 6 ปีขึ้นไปทั่วประเทศใช้โทรศัพท์มือถือ 32 ล้านคน หรือร้อยละ 53 เพิ่มจากปี 2547 ซึ่งมีผู้ใช้ประมาณ 17 ล้านคน การใช้หูฟังเพลงหากฟังเสียงดังปกติทั่วไปคือไม่เกิน 80 เดซิเบล จะไม่เกิดปัญหาต่อระบบประสาทในหู
"แต่หากฟังดังเกินกว่านี้จะเกิด ปัญหาหูตึง หูหนวก เพราะลำโพงเสียงจ่อติดที่รูหู ซึ่งวัยรุ่นมีความเสี่ยงเนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมฟังเพลงประเภทที่มี จังหวะเร็ว เสียงเบสดังกระแทกหนักๆ และมักฟังเสียงดัง เพื่อความสะใจ ได้อารมณ์ และเมื่อหูตึงแล้วจะเกิดปัญหาการสื่อสาร หากไม่เร่งแก้ ไขตั้งแต่ตอนนี้คาดว่าในอนาคตสมรรถนะการเรียนและการทำงานของเยาวชนอาจมี ปัญหา สื่อสารกันไม่รู้เรื่องหรือสื่อสารเพี้ยนไป ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
ส่วนน. พ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กล่าวเรื่องเดียวกันว่า โดยปกติหูมีหน้าที่ในการได้ยิน และการทรงตัวของร่างกาย หูสามารถทนรับฟังเสียงได้ไม่เกิน 90 เดซิเบลเท่านั้น โดยหูฟังเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ไอพอด โทร ศัพท์มือถือที่ใช้ในขณะนี้ ยังไม่มีการควบ คุมมาตรฐานความดังเสียงที่ปลอดภัย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรรับฟังในระดับความดังไม่เกิน 80 เดซิเบล หูฟังที่มีจำหน่าย ในท้องตลาดขณะนี้มี 3 ประเภท คือ แบบแยงเข้าไปในรูหู (In-Ear หรือ Ear-Plug) แบบแปะหรือสวมแนบพอดีหู และแบบครอบที่ใบหู
น.พ.สม เกียรติกล่าวว่า แต่ที่วัยรุ่นนิยมมากที่สุดเป็นแบบแยงเข้าไปในรูหูเพราะมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก แยกแยะเสียงดนตรีได้ชัดเจน หาซื้อง่ายตามแผงลอย ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 30 บาทขึ้นไป การฟังเพลงจากหูฟังชนิดนี้เสี่ยงอันตรายสูงกว่าหูฟังประเภทอื่น เนื่อง จากตัวลำโพงหูฟังจะอยู่ใกล้กับประสาทรับเสียงในหูมากที่สุด โดยเพลงที่วัยรุ่นนิยมฟังจะมีหลากหลายแนว เช่น ป๊อป ร็อก ฮิพ ฮอพ แร็พ พังก์ เป็นต้น เป็นเพลงประเภทที่มีจังหวะแรง เร็ว เสียงเบสกระแทกหู หากฟังเสียงดังเกินไปจะมีผลต่อระบบประสาทการได้ยิน
"การฟังเพลงที่มี ความดังเกิน 80 เดซิเบลเป็นเวลานานจะเป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทรับสัญญาณในหู ทำให้เสื่อมลงไปเรื่อยๆ จนเกิดอาการหูตึง ต้องฟังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้" น.พ.สมเกียรติกล่าวว่า ผลสำรวจวัยรุ่นไทยในระดับมัธยมตอนต้นและมัธยมตอนปลายในกทม. พบว่าหูตึงสูงถึงร้อยละ 70 การฟังเพลงจากหูฟังหากเปิดเสียงดังไม่ควรฟังนานเกินครึ่งชั่วโมง เพราะเสียงอาจดังมากเกินไป เช่น อาจดังกว่า 110 เดซิเบล จะทำให้เกิดภาวะหูตึงแบบถาวร การฟังที่เป็นอันตรายต่อหูมากที่สุดคือ การเสียบหูฟังตลอดเวลา ไม่เว้นแม้เวลาหลับ จะเป็นตัวเร่งทำให้หูตึงเร็วขึ้น เนื่องจากแก้วหูจะทำงานตลอดเวลา และจะมีผลหลังจากตื่นนอน จะทำให้อารมณ์หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ส่งผลให้เป็นคนอารมณ์ร้ายถึงก้าวร้าว เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง อาการหูตึงจะเกิดทั้งสองข้างพร้อมกัน หากขับขี่รถจะเกิดปัญหาจราจร เพราะไม่ได้ยินเสียงแตรรถ
น.พ.สมเกียรติกล่าวว่า ในส่วนของเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ หากฟังเพลงจากหูฟังและเปิดเสียงดังเกินไป นอกจากจะทำให้ประสาทหูเสื่อมจนหูหนวกแล้ว ยังทำให้พัฒนาการของสมองในด้านการเรียนรู้ของเด็กลดลงอีกด้วย เนื่องจากเซลล์ประสาทรับคลื่นเสียงของเด็กอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ มีความไวต่อการเสื่อมจากเสียงดังมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้การได้ยินต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กทั่วๆ ไปในวัยเดียวกัน และจะมีผลไปถึงการพูดของเด็กด้วย เพราะการได้ยินกับการพูดจะสัมพันธ์กัน หากการได้ยินไม่ดีการพูดก็จะไม่ดีด้วย อาจเกิดปัญหาในการเรียนต่อไป อาจเรียนไม่รู้เรื่อง เรียนตามเพื่อนไม่ทัน หรืออาจต้องพึ่งเครื่องช่วยฟังเสียงตั้งแต่วัยเด็ก ความสามารถในการทำงานลดลงเมื่อเติบโตและทำงาน การติดต่อประสานงานเพี้ยนไป
น.พ.สม เกียรติกล่าวอีกว่า ขณะนี้ต่างประเทศมีการควบคุมมาตรฐานความดังหูฟังแล้ว และใช้วิธีการแก้ไขเป็นรายๆ ไป หากมีคนที่หูตึงจากการฟังเพลงจากหูฟังก็สามารถ ฟ้องเอาผิดบริษัทที่ผลิตตามกฎหมายได้ ทั้ง นี้ อาการหูเสื่อมจะมี 2 แบบ คือแบบชั่ว คราว เป็นอาการที่ยังสามารถรักษาหายได้ โดยให้พักฟังเสียง 8-10 ชั่วโมง อาการก็จะดีขึ้น และแบบถาวรเป็นแล้วไม่มียารักษาให้หายได้ อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด แต่ไม่รับ รองว่าจะหายเป็นปกติหรือไม่ สำหรับวิธีการในการสังเกตง่ายๆ ว่าสถานที่นั้นมีเสียงดังเกิน 80 เดซิเบลหรือไม่ สังเกตได้จากเมื่อยืนห่างกันระยะหนึ่งเมตรแทนที่จะพูดกันได้ยินแต่ต้องตะโกน ใส่กันจึงจะได้ยิน