สั่งหน้าอะไรไปครับ555  สำหรับผมนอกจาก SR80 ก็ตัวนี้แหละ ที่ถือเป็น grado ที่เสียงโครตคุ้ม

ผมก็มีกล่องพิซซ่าจากบรู๊คลินครับ แต่เป็นแบบเก่าเขียนว่า Truly the world's finest
แต่แม่บ้านแม่งเอาไปทิ้ง พูดละขึ้นเลย (พร้อมกล่องรองเท้าวินเทจผม ที่ค่าตัวแพงมากเพราะซื้อแบบ NIB with box)
555555555555555

น่าจะหน้าผักเสี้ยนครับ เสี้ยนเยอะจริงๆ

เจอพวกเสียง ซ.โซ่ นี่แทบอยากปาทิ้งครับ 555

ปามาทางนี้เลยครับเดี๋ยวเอาไปกินต่อเองครับ555

ระวังนะครับ ก้านหูฟังใหม่มาก

เมื่อกี้ เอามานั่งฟังครึ่งชั่วโมง มันเล่นเคี้ยวใบหูผมซะแดงแจ๋เลยครับ

เดี๋ยวต้องหาหมอนไปยัดปากมันซะหน่อย 555

ยินดีต้อนรับสู่อารยะธรรมกราโด้ 555

Grado ตัวแรกของผมคือ Grado SR80 (ตอนนั้นผมยังไม่ได้ขายหูฟังเลย) สมัยก่อนกล่องจะไม่เป็นแบบนี้ครับ จะเป็นพิซซ่าถาดใหญ่หน้าฮาวายเอี้ยน 555 และผมจำได้ว่าคืนแรกใส่หูฟัง Grado มันกัดใบหูจนแสบไปหมด เพราะเนื้อฟองน้ำ Grado มันคมมากครับ แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกผมว่าต้องทน ต้องอดทนเพื่อให้ผ่านคืนอันโหดร้ายให้ได้

ปรากฏว่าพอฟองน้ำโดนเหงื่อ โดนคราบมันบนใบหน้า มันจะค่อยๆลดอาการคมของฟองน้ำลงจนเริ่มพอใส่ได้ ส่วนเสียงนั้น Grado ทุกตัวตอนแกะกล่องใหม่ๆ เสียงแหลมจะมีเสี้ยนเสียงมาก อันนี้ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะมันเป็นศาสตร์ของการพันลวดวอยซ์คอยส์ของ Grado นั่นเอง เสี้ยนเสียงแหลมจะเป็นธรรมชาติของ Grado แทบทุกรุ่น

แต่หลังจากผ่านช่วงเบิร์นอินอย่างน้อย 2-300 ชั่วโมง เสี้ยนเสียงจะลดลง มันไม่ได้ลดลงเพราะเราฟังจนชิน แต่มันกลมกล่อมขึ้นจริงๆอย่างเหลือเชื่อครับ และสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือ Grado ให้เสียงแหลมที่มีรายละเอียดสูงมาก และให้เสียงแหลมที่ถูกใจผมมาก คนฟังร็อคเก่าๆจะทราบดีว่ามันดีจริงๆครับ

และอีกพักผมก็ขยับเป็น Grado HF-1 ซึ่งมีพื้นฐานมาจากรุ่น SR225 และแน่นอนว่ามันให้โทนัลบาลานส์ที่ดีขึ้นไปอีก และ Grado SR225 คือหูฟังระดับมิดไลน์ หรือตัวที่วางอยู่ตรงกลางจริงๆของ Grado ทุกๆๆตัว หมายความว่าซื้อตัวนี้ไปก็ได้อะไรที่ครบถ้วนอย่างที่ต้องการแล้วครับ

ใช้ได้ยาวๆๆเลยว่างั้น 555

ผมมีเฮียเป็นไอดอลครับเลยยอมให้มันกัดซะ แต่ตอนนี้มันเชื่องมากครับ555 ลูบไล้ได้ทั้งตัวแล้วครับ

ไอดอลเลยเรอะ งั้นเอารูปนี้ไปดูละกัน 555

ตอนนี้เบิร์นไปได้ร่วม10ชั่วโมงแล้วครับ

เสี้ยนหายไปในระดับที่พอฟังได้แล้วครับ แต่พวกมิติ การช่องไฟระหว่างเครื่องดนตรียังไม่มา กับเสียงยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าตัวที่ลองฟังที่ร้านครับ

ตอนตัดสินใจเลือกตัวนี้ก็เพราะมันให้รายละเอียดต่างๆ ได้เป็นธรรมชาติ และรักษาบาลานซ์ปริมาณเสียงได้ค่อนข้างดีนี่แหละครับ

ตอนลอง ผมลองเปิดหนังเทสดู นี่ บอกเลยว่าสะใจกว่าเครื่องเสียงโรงหนังอีกครับ หูฟัง2.0 แต่สามารถให้เสียงบินไปบินมาตามวัตถุในหนังได้ แถมจับโฟกัสได้แม่นเอามากๆด้วย ประมาณว่า คนยืนคุยห่างกัน1เมตร มันก็แยกตำแหน่งคนคุยออกจากกันประมาณ1เมตรเลยครับ ไม่แยกห่างกัน4-5เมตรจนหลอกหูแบบพวกหูฟังเน้นมิติที่เคยฟังมา(หูฟังRazerของเพื่อน รุ่นไหนนี่แหละจำไม่ได้แล้ว)

ผมลองตัว325e ก็ยังไม่ชอบเท่าตัวนี้เลยครับ แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะผมชอบวัสดุตัว325e กว่า 225eมันดูก๊องแก๊งๆไปหน่อย

ถ้าครอบจักรวาลเลย 225 คุ้มค่าแล้วครับ สำหรับ 325 เสียงแหลมนั้นจะละเอียด ปลายเสียงไปไกลกว่า เป็นฝอยๆเลยล่ะ 555 แต่หลายคนก็รำคาญว่ามันออกแนวแหลมฟุ่มเฟือย แต่โฟกัสต่างๆของ 325 ก็ถือว่าดีกว่าในระดับนึง

แต่ 225 ตัวนี้ล่ะทีเด็ด เพราะแค่เรื่องเบา และคุณภาพเสียงที่ได้ เมื่อเทียบกับราคา ผมว่าเผลอๆๆมันชนะ 325 ด้วยนะครับ 55

เอาจริงๆผมชอบแหลมของ325นะครับ 

แต่ไม่ชอบคือเบสของมัน เยอะจนเสียงนักร้อง เสียงคนพากย์หนัง เสียงดารา หนาเกินมนุษย์มนาไปหน่อย
ถ้าคนชอบฟังเสียงกลองน่าจะสะใจดี

225 เบสมันกำลังดี ผสมกันกับย่านอื่นแล้วเหมือนเสียงคนจริงๆดีครับ

แต่เอาจริงๆผมชอบตัวRS1e นะแต่เมื่อเทียบเสียงกับราคาแล้วมันไม่เย้ายวนพอที่จะขึ้นไปเอาครับ อีกอย่าง ผมไม่มีSystemด้วยแหละครับ เห็นว่าพวกรุ่นสูงๆต้องอาศัยSystemช่วยขุดศักยภาพด้วย

ส่วนผมต่อตรงแหลก เน้นง่ายๆไว้ก่อนครับ 555