ตอนนี้ full size ตัวอื่นๆผมเก็บไว้ในตู้หมดยกเว้นเจ้า Amiron Home ที่ผมแขวนไว้ข้างโต๊ะพร้อมที่จะคว้าเอามาฟังได้ตลอดครับ 555

โอ้ ดีจังเลยครับมีผู้ร่วมอุดมการณ์เป็นรุ่นใหญ่
ว่าแต่ amiron นี่หาลองได้ที่ไหนบ้างครับ

ใช้แอมป์อะไรขับครับน้าชา ขอชมรูปชุดนี้หน่อยครับ เผื่อจะลอกการบ้านด้วย

ภาพจากเดือนที่แล้วนะครับ ^^

Music Server - Cocktail Audio X50 มี HDD สองลูก ริปซีดีได้ และฟังชั่นอื่นๆอีกเยอะเลย

DAC - OPPO Sonica DAC (วางหลบมุมอยู่ขวามือ) เสียงดีคุ้มราคามากๆ ซึ่งใช้เป็นตัวสำรองแทนเจ้า Mytek Manhattan ที่ตอนนี้ส่งไป(หลายเดือนแล้ว) trade-in เปลี่ยนเป็น Manhattan II ยังมาไม่ถึงซะที

Amp - SPL Phonitor และ Audio-gd C2 (11th Anniversary Edition) สองตัวฟังสลับไปมา ถ้าต้องการมอนิเตอร์เสียงชัดๆก็ phonitor ส่วนฟังสนุกคึกคักก็ Audio-gd C2 ครับ 555

กรรมมมม...ภาพมิโดโผล่มาได้อย่างงัยเนี๊ย 555

ตัวแทนไม่ค่อยโปรโหมดเลยไม่ดัง แต่เสียงดีงานประกอบดีกว่า senn อีก ดีแล้วล่ะที่ไม่ค่อยดังราคาจะได้ไม่ปั่นจนเวอร์เหมือน senn

เดี๋ยวถ้ามีโอกาสไปฮ่องกงจะไปหิ้วกลับมาสักตัวนึงครับ 

ผมชอบแบรนด์นี้นะ  เป็นหูฟังที่ดีเลย  แต่พอคนจะเลือกซื้อ  อย่างรุ่นกลางๆมักจะข้ามไปพวก sen,akg  รุ่นใหญ่ก็ไป lcd เลย   

เห็นด้วยว่าถ้าตัวแทน ทำการตลาดดีๆ น่าจะไปได้อยู่ครับ

การตลาด 4P  =  1)Product  2)Price 3)Place  4)Promotion

Product  ดีอยู่แล้ว สู้คนอื่นเขาได้ 

Price = ถ้าคนยังไม่ค่อยรู้จักหรือเล่นกัน การตั้งราคาสำคัญมากครับ อันนี้ผู้บริโภคจะตัดสินเอง

Place =  ถ้าหมายถึงร้านเฮียก็คงไม่มีปัญหาอะไร

Promotion =  ทำคู่กับ Price ครับ ถ้า Brand ยังไม่ดังก็ควรจะมีการทำ Promotion เพื่อแนะนำ Brand ให้เป็นที่รู้จัก

 

Amiron Home แนวเสียงออกยังไงครับบ้าชา  แนวๆ HD650 รึเปล่าครับ 

เคยติดต่อพูดคุยกัน แต่ผมรู้ตัวว่าศักยภาพไม่ถึงเลยขอเป็นแค่ดีเลอร์ดีกว่า 555 บางแบรนด์มันพูดยางจริงๆ มันขึ้นกับคนซื้อด้วยครับ บางทีเค้าอยากได้อะไรก็ไม่มีอะไรไปเปลี่ยนได้ และอะไรที่รู้สึกไม่คุ้น ผมว่าคนไทยจะเลี่ยงก่อนเพื่อนเลยล่ะ อันนี้เป็นโจทย์ที่ทาง Beyer ต้องวางแผนในไทยกันใหม่ครับ 555

ศักยภาพ beyer ไม่ถึงสินะครับ 555555
เพราะร้านเฮียเนี่ยผมว่าปั้นแบรนด์เก่งจะตายครับ อย่าง grado, hifiman

ผมชอบนะครับ beyer เคยมีตัว dt1350 เอาไว้ใส่ตอนนั่งเครื่อง ใส่จนสายขาด แพดพัง แต่เสียงมันพอดีสุดๆจริงๆ 

ผมว่าปัญหาคือ beyer ทำ marketing ไม่ค่อยดีเท่าไหร่คนเลยไม่ค่อยรู้จัก แล้วสมัยนี้หูรุ่น flagship มันต้องแพงไว้ก่อนเสียงจะดีหรือไม่ก็ช่างสุดท้ายมันจะมีคนที่ชอบและยอมซื้ออยู่ดี แต่พอ beyer ทำ flagship ที่ราคาเท่า entry level ของเจ้าอื่น คนที่อยากได้หูระดับนี้เค้าก็ไม่อยากจะลองแล้วล่ะครับแม้ว่ามันอาจจะดีกว่า flagship ตัวอื่นๆก็ตามเถอะ 

ผมใช้​ 880 600ohm อยู่กับ​ woo 2 ผมว่าดีมากเลยนะครับ​ฟังได้หลากหลายแนว​ เนื้อ​เสียงก็ดี​

ได้ชื่อว่าผู้ผลิตหูฟังไดนามิครายแรกของโลกนี่ครับ

พึ่งรีวิว dt990pro ไปรู้สึกเสียงดีคุ้มราคามมครับ
แต่ผิดกับ ak t1p ที่ beyer ทำผมกลับไม่โดน
ตอนนี้อยากลอง t1 600ohm ของ beyer มาก

T1 v1 ผมจัดมือ 2 มาในราคาไม่แพง ผมยอมรับว่ามันเล่นยาก แต่เล่นสนุกมากๆ ใช้อยุ่จนทุกวันนี้ ทำให้เรามีทักษะในการแมชชิ่ง อุปกรณ์ เพิ่ม ขึ้น เรื่อย ๆ และขี้ฟ้องมาก แม้แต่ไฟที่บ้านกลับเฟสอยู่อีกห้องมันยัง ฟ้องให้เราต้องไปเช็ค ที่สำคัญราคามือ1 ก็เป็นมิตรมาก กำลัง ลุ้น ว่า ถ้า เค้า ออก ตัว flag ship ตัวใหม่ออกมามันจะขนาดไหนน้า

อยากลองรุ่นที่น้าชาใช้ครับ ไม่ทราบร้านเฮียจะมีขายไหมครับ

ผมว่าอีกตัวที่น่าสนของรุ่นนี้ คือ DT880 ครับ เคยเป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิแห่งวงการหูฟัง นั่นคือ AP VC PP เย้ยไม่ใช่ครับ นั่นมันจักรพรรดินาฬิกาสวิส DT880 K701 และ HD650 ต่างหากครับ

ผมขอเล่าที่มาและสาเหตุที่ทำให้ทั้ง 3 ตัว ทั้งที่เป็น reference class เหมือนกัน ควรจะเสียงใกล้เคียงกัน แต่ทำไม้ทำไมมันต่างกันแบบนี้ คำตอบมันอยู่ที่ approach หรือวิธีการ(และวิธีการคิด) ของแต่ละแบรนด์ครับ

โดย HD650 จะมีเสียงแหลมน้อยสุด โดยรวมแล้วอุ่น เนื้อหนา เพราะยุคนั้น Senn ต้องการทำหูฟังมอนิเตอร์ ที่ให้เสียงคล้ายลำโพงมอนิเตอร์ที่สุดครับ โดยปกติลำโพงจะอยู่ไกลกว่าหูฟัง ทำให้เสียงแหลมถูก attenuate ออกไปได้ง่าย หูฟัง Senn ยุคนั้นเลยเสียงเป็น 'ธรรมชาติ' หรือ natural (คล้ายลำโพง) แต่รายละเอียดเสียงแหลมจะหายไปครับเมื่อเทียบกับมอนิเตอร์อื่นๆ แต่จะได้ความเป็นดนตรีที่เพิ่มเข้ามา สูงกว่าตัวอื่นพอสมควรครับ แต่ซาวด์เอนจ์บางคนก็เลือกจะใช้หูฟังแนวนี้นะครับ เช่น Steve Hoffman ใช้ HD600 ที่เสียงกลางจะเด่นกว่า และโทนโดยรวมเที่ยงตรงกว่า HD650 แต่ที่น่าสนใจคือพระกาฬมือมิกซ์/มาสเตอร์คนนี้ ใช้Woo WA6 ด้วย!!

แต่ช่วงหลังๆ Senn เริ่มเปลี่ยนปรัชญา ตั้งแต่ HD800 หูฟังในตำนานที่ทำลายกำแพงราคา $1000 ออกมา หูฟังมอนิเตอร์ Senn รุ่นใหม่ๆเช่น HD700 HD800s จะเริ่มไม่ดาร์ค แต่จะแหลมแทนครับ ทำให้แฟนบอยสายดาร์คออกมาบ่นกันตอน HD800 ออกใหม่ๆ ว่าเสียงแหลม เหมือนเอาตะหลิวไปตีกับหม้อ! 55555555

ส่วน Beyer คิดว่า คนที่จะใช้หูฟังมอนิเตอร์ ต้องมีเหตุผลจริงๆที่ทำให้ไม่สามารถใช้ลำโพงได้ เช่น หาข้อผิดพลาดใน recording, mixing, mastering จึงได้ไม่ตัดทอนความถี่สูงออก หรือพูดง่ายๆว่าทำให้มันเที่ยงตรงมาก (accurate) และเป็นกลางมาก (neutral) นั่นเองครับ ทำให้ DT880 ซึ่งเป็น reference/mixing/mastering headphones เสียงออกไบรท์หน่อย แต่ไม่สว่างเท่า และเบสไม่บวมเท่า DT990 ครับ อันนั้นมันเป็น critical listening headphones ซึ่งเอาไว้ให้ฟังเพื่อวิเคราะห์ หาข้อด้อย จึงควรจะทำให้เสียงย่าน 8-10KHz ดังขึ้นมาหน่อย จะได้ detect สิ่งไม่พึงประสงค์ได้ง่ายขึ้นครับ อ้อละเพราะทั้ง 880/990 มันค่อนข้าง uncolored/ very balanced เพราะฉะนั้นจึงเหมาะกับเพลงหลายแนว มากกว่า HD650 ที่มีปัญหาปลายกุดบ้าง เบสเบลอไปช้าไปบ้าง หรือ k701 ที่กว้างขวาง และเบสกระติ๊ดนึง ครับ

ส่วน AKG นี่ผมไม่ทราบเลยครับเรื่องราวของเขา รุ่น flagship เค้าส่วนใหญ่จะเด่งเรื่องสเตจและการแยกมิติ รายละเอียด ซึ่งผมเดามั่วๆเองว่า วิญญาณโมซาร์ทมาเข้าสิงทีมงาน AKG ให้ออกแบบหูฟังไว้ฟังเพลงคลาสสิค ผมเดาเองล้วนๆนะครับ คนดังที่ชอบใช้ซีรีส์นี้ก็คงหนีไม่พ้น Quincy Jones, Steve Hoffman (อีกนั่นแหละ)

เดี๋ยวผมจะแนะนำซีรีส์ DT770/880/990  ละกันนะครับ ทั้ง 3 ตัวเสียงใกล้เคียงกัน (identical) มาก และเป็น 3 ทหารเสือของค่าย beyer มานาน 880 ออกมาตัวแรกเป็น semi-open ในปี 1980 ตามด้วย 990 (open), 770 (closed) ในปี 1985 เป็นอีกหูฟังระดับโปรที่อยู่มากว่า 30 กว่าปี รุ่นเดียวกับ Sony MDR V6 หรือ 7506 ครับ

ทั้ง 3 ตัวแบ่งไลน์ผลิตเป็น 2 ไลน์คือ premium สำหรับ home use และ pro สำหรับ studio ครับ และมีค่าความต้านทานให้เลือกตั้งแต่ 32, 80, 250, 600 ในราคาที่เท่ากันครับ รุ่นความต้านทานสูง จะได้เปรียบเรื่อง damping factor หรือความสามารถในการควบคุมลำโพงของแอมป์ โดยเฉพาะเมื่อต่อกับอุปกรณ์ที่มี output impedance สูง แต่ก็แลกมาด้วยการกิน voltage ที่สูงกว่า ทำให้ใช้ solid stage ที่ให้ voltage ต่ำแต่ current สูง เหนื่อยในการขับ พวกเพลเยอร์และมือถือรวมถึงแอมป์พกพาปกติ จะขับได้ไม่ดังเท่าแอมป์หลอดแบบ Output Transformer Less หรือ OTL ที่จะให่ voltage สูงแต่ current (กระแส) ต่ำ และการที่โอห์มมันเยอะ ทำให้หูฟังความต้านสูงกินกระแสน้อย ลดความเครียดที่แอมป์ ทำให้พวกอุปกรณ์ของสตูดิโอเสี่ยงจะช็อตน้อยลงครับ

ทั้งสามตัวมีความคล้ายคือไม่มีการปรุงแต่ง(มีน้อยมากกก) เสียงกลางสะอาด รายละเอียดยิบๆ และผลิตในเยอรมันนี

770 (closed) เป็นหูฟังแบบปิด (ร้านเฮียมีขายรุ่น 32Ohm มั้งครับเห็นอยู่คร่าวๆ) เป็นหูฟังที่ให้เสียง v-shaped กว่า 880 หรือเบสเยอะกว่า และแหลมเยอะกว่า ทำให้เสียงกลางหลบเล็กน้อย นักดนตรีชอบใช้เป็น tracking headphones หรือนักร้องเวลาร้อง เพราะเสียงจะได้ไม่ลอดเข้าไมค์ ราคาประมาณ THB7900-8000 (MSRP) ครับ

880 (semi-open) แก่ที่สุด เที่ยงตรงที่สุด และแพงที่สุด บ้านเรา MSRP ประมาณหมื่นต้นๆ เป็นหูฟังที่ beyer ให้ใช้คำว่า reference รุ่นเดียวในไลน์นี้ (ไม่นับพวก 1770, 1880, 1990 ที่ใหม่กว่า และแพงกว่า) เป็นหูฟังที่มักจะติดอันดับเวลาจัดอันดับเสมอ Ken Rockwell บอกว่านี่คือหูฟังที่ทำได้ 95% ของ stax ที่ราคา 1/10 !!! นอกจากนี้รุ่น 600Ohm ของ 880 จะแพงกว่า 250Ohm ครับ

990 (open) คือ 880 ที่เปิดช่องอากาศให้มากขึ้น จัดไดรเวอร์ให้ทำมุมตรงกับหูเราเลย (880 จะวางเอียงๆเพื่อ bass reflection) ทำให้เบสบวมขึ้น และแหลมชัดขึ้น เสียงกลาง ถึงจะหลบแต่ให้ดีเทลและความสะอาดดีเยี่ยมครับ ด้วยเสียงแหลมที่เพิ่มเข้ามาในช่วง 8-10KHz ทำให้หลายคนรู้สึกว่ารายละเอียดเยอะขึ้น แต่จริงๆเท่ากับ 880 ครับ เบสก็ลงได้ลึกเท่ากัน แต่ 990 มี bass bump ช่วง 60-100Hz ขึ้นมา ทำให้กลบ sub bass ที่ช่วงต่ำมากๆอยู่ ในขณะที่ 880 เบสจะควบคุมได้ดีมาก โปร่งกว่า (transparent)

การเลือกความต้านทาน มีสองปัจจัยครับคือ 1 damping factor และ 2 power output ของแอมป์ โดยตัวอย่างที่แย่(แย่จริงๆ) ที่ผมอยากยกมาคือ iPod ครับโดยเฉพาะตัวเก่า ที่มี output impedance สูงมาก ส่งผลให้ไฟฟ้าไม่สามารถไหลไปที่หูฟังได้พอจะควบคุมมันให้หยุดหรือขยับแบบทันท่วงที ทำให้เกิดการกระพรือของไดอะแฟรม หรือหลุดโฟกัสนั่นเอง ปกติวิธีจัดการคือหาหูฟังที่มีค่าความต้านทานที่สูงกว่าทางต้นทาง 8 เท่าขึ้นไป เช่น iPod ที่มี output impedance 10 โอห์ม ควรใช้หูฟัง 80 โอห์มขึ้นไป แต่นั่นนำเรามาสู่อีกปัญหาครับ คือพลังและ voltage output (1V, 20-30mW @ 32Ohm) ของไอพอด มันดันไม่พอจะขับหูฟังที่ความต้านทานสูงครับ เพราะฉะนั้น beyer ไม่ว่ารุ่นไหน ไม่ควรใช้กับโทรศัพท์หรือไอพอด ที่อ่อนแรงและ output z สูง

แต่หากจะจับคู่กับแอมป์หลอดหรือแอมป์ตั้งโต๊ะ ที่ต่อให้ output z สูงแต่ voltage output สูงมากนั้น ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ

แอมป์ SS ส่วนใหญ่ เช่นแอมป์พกพา Fiio A5 ของผมที่ออกแบบมาให้ใช้ได้กับทั้ง IEM และ FZ นั้นนอกจากจะมี output z ที่โคตรจะต่ำแล้ว (0.3Ohm) ยังมีพละกำลังเหลือเฟืออีก (800mW @ 32Ohm) ทำให้สามารถจับคู่ได้เป็นอย่างดีครับ

เพราะฉะนั้นเวลาเลือก ถ้าอุปกรณ์แรงพออยู่แล้ว ควรเลือกตัวโอห์มสูงๆ ที่เพิ่ม damping factor ขึ้นมา ลดความเพี้ยนที่เป็นสาเหตุของเสียงเสียดหูและเบสเบลอ โดยยิ่ง headphone impedance ต่างกับ output impedance เท่าไหร่ยิ่งดีครับ

สำหรับคนที่เลือกรุ่น 32Ohm มีอีกปัญหาครับคือท่านจะใช้งานกับแอมป์หลอดแบบ OTL ได้ไม่ดี เพราะแอมป์แบบนี้จ่ายกระแสน้อย แต่จ่ายแรงดันสูง ซึ่งหูฟังโอห์มต่ำๆจะกินกระแส แต่ไม่ค่อยกินแรงดันครับ

สรุปคือหากต้องการ แบบ. Open. แล้วใช้กับแอมป์ตั้งโตะ๊น่าจะไปตัว 880. ใช่ไหมครับ

อ่านคอมเม้นของคุณ Artnoi แล้วเหมือนดูรายการแฟนพันธุ์แท้ beyerdynamic เลยครับ เกิดอาการอยากได้ขึ้นมาทันทีครับ

ในซีรีส์นี้ ผมว่า 880 น่าเล่นกว่าครับ คนชมเยอะมากด้วยครับ ในเห็ดไฟ กระทู้ 880 มีเจ็ดร้อยกว่าหน้าได้

ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้หรอกครับบ ผมแค่อยากให้คนไทยได้ลอง หูฟังดีๆ ราคาเหมาะสม made in germany  ละผมก็เคยลองฟังแค่ 3 ตัวเองครับ

ผมกำลังสนใจตัว 1990 pro กับ Amiron Home อยู่เหมือนกันครับ
ฝรั่งเค้าเชิดชูอย่างกับพบรักแท้ บางคนรักพี่เสียดายน้องเก็บไว้ทั้งสองตัวก็มี
ส่วนเรื่องความดังบางคนกัดแบบเจ็บๆ ว่าเพราะราคามันไม่แพงจนเตะตาคนมั้งครับ (การตลาด)

เพิ่มเติมนิดนึงจากคุณ Artnoi จริงแล้วซีรี่นี้มันมี 2 เวอร์ชั่นนะครับ คือ Pro กับ Edition ซึ่งถ้าเทียบกันที่เสียงตัว Pro จะให้เสียงแหลมที่จัดจ้านกว่า Edition ซึ่งมันจะเหมาะกับการใช้ในสตูติโอ ส่วนรุ่น Edition จะลดความคมของเสียงลงเพื่อให้ฟังง่ายขึ้นเสียงกลางจะเด่นขึ้น แต่ตอนนี้ DT770 ED ยกเลิกการผลิตไปแล้ว(เสียดายเหมือนกันผมอยากเก็บมันไว้) เหลือแค่ DT880 ED กับ DT990 ED เท่านั้นครับ

ผมแนะนำให้เล่นรุ่น Edition จะฟังง่ายกว่าเว้นแต่ชอบเสียงคมๆก็ต้องรุ่น Pro ส่วนค่า Ohm ที่ต่างกันนั้นเสียงที่ต่างกันสรุปง่ายๆคือตัวที่ Ohm สูงกว่าจะให้เสียงที่จริงจังสมจริงกว่าอย่างรู้สึกได้ แต่แอมป์ก็ต้องถึงด้วยนะครับ

ส่วนตัวผมก็ใช้ DT880 Edition 250 Ohm อยู่ครับ ก่อนซื้อผมลองเทียบทุกรุ่นดูแล้วก็คล้ายที่คุณ Artnoi ว่าของตัวนี้เสียงจะอยู่ตรงกลางระหว่าง 770 กับ 990 สำหรับผมนิยามตัว DT880 Edition ว่า Natural sound คือปรุงแต่งน้อยมาก ฟังได้นานและได้เรื่อยๆ

เมื่อเทียบกับ 2 ตัวในซีรี่นี้ DT990 ED เบสจะมากสุดฟังแล้วออกแนว V ยกเบสและแหลมนิดหน่อย ส่วน DT770 Pro จะสดและพุ่งกว่าเบสต้นจะแน่นกระชับแต่ฟังนานๆผมล้าหูครับไม่ไหว

DT880 Edition 250 Ohm ของผมใช้กับแอมป์ Elemental Watson เป็น Hybrid ภาคปรีเป็นหอด Output เป็น Mosfet ผมเปลี่ยนอแดปเตอร์เป็น Supply Cleaf แล้ว Modifly อุปกรณ์และสายไฟอีกชุดใหญ่ขับออกสบายแบบเหลือๆเลยครับ

โอ้ววว สุดยอดเลยฮะ ไม่ทราบว่าคุณ Artnoi เคยลองตัว DT 1770 pro ไหมครับ ผมเคยฟังแปปๆ แล้วประทับใจมากๆ จนคิดว่าเค้าน่าจะตัด line At Home ทิ้งไปเลยแล้วทำแบบ pro studio แบบนี้มาให้หมดเลย ถ้าเคยฟังแล้วอยากทราบความเห็นแฟนพันธุ์แท้บ้างครับว่าคิดเห็นอย่างไร 

ขอบคุณครับผม ผมชอบเรียก edition กับ premium สลับกันไปมาครับ ละขอเพิ่มอีกนิดว่าตัว Pro จะบีบหัวกว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้แหลมชัดกว่าและเบสเยอะกว่าครับ สำหรับผมใช้ DT990 Pro 250Ohm และพึ่งสั่ง DT880 Limited Edition All Black 250Ohm ไปครับ

ส่วนไดรเวอร์รุ่นใหม่ๆ tesla ที่ใช้ในโมเดล T และตัว Amiron Home และ DT1770,1880,1990 ผมไม่เคยลองเลยครับ วาสนาไม่ถึง ผมเคยแค่ซีรีส์ไดโนเสาร์ 770,880,990 ครับ

tesla ผมเคยลองแค่ T1 เองครับเสียงดีจริงๆรายละเอียดเสียงจะมากกว่า DT880 อีกฟังแล้วมีความเป็นดนตรีสูงมากชอบเลยครับแต่ 600 Ohm คงขอผ่านก่อนละครับ 555 

พวก 1770,1880,1990 ผมไม่เคยฟังเหมือนกันครับแต่ราคาขนาดนี้ตัวเลือกในตลาดค่อนข้างเยอะดูแล้วรุ่นเล็กที่ไม่ใช่ Tesla ดูจะคุ้มกว่าครับ แต่ตอนนี้อยากลอง Amiron Home มากเลยครับ 555

สั่งซื้อได้ที่ไหนครับคุณ  Artnoi

ของผมจากอีเบย์น่ะครับ เน็ตแล้ว 9600
แต่ของบาง seller ที่ไม่ส่งกับ global shipping program เราไม่ต้องเสียค่า import charges ก็ประมาณ 7600 ครับ ยกเว้นจะโดนภาษีอีกทีครับ

ลืมบอกครับ ของผมรุ่น 880 limited edition all black นะครับ พิมพ์ไปว่า dt 880 ในอีเบย์แล้วก็เจอเลย แต่เห็นมีคนบอกว่า แพดสีดำแบบของผม มันใส่ไม่สบายเท่าสีเทาในตำนานครับ แต่ไม่เป็นไรครับผมชอบสีดำ ส่วนตัวแล้วไม่ชอบดีไซน์ 880 edition เลยครับ ชอบ 990 มากกว่า แต่ตัวนี้สีดำมันดูดีมากเลย ไม่มีแผ่นเหล็ก มาแปะตรงตะแกรงด้วย 555555

เอาจริงๆ ผมว่า DT1770 นี่เป็นหูปิดที่กินหูปิดทุกตัวในตลาดไม่ว่าระดับราคาอยู่ที่เท่าไหร่นะครับ (โม้ไหมครับ 555+) แต่ข้อเสียคือเป็นหู pro สายเปลี่ยนไม่ได้แถมเป็นขดๆ ดูโลวคลาสสุดๆ ครับ ฮาๆๆ 

ผมคุ้นๆว่าซีรีส์ 1770,1880,1990 เปลี่ยนสายได้นะครับ มัน differentiate จากตัว 770,880,990 ให้ดูจริงจังกว่าอย่างชัดเจนเลยครับ แต่ราคาก็สูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ผมขออยู่กับ 880,990 ก่อน แล้วค่อยจัดตัวรุ่นใหญ่หากรู้สึกว่ามันไม่พอ หรือได้ลองฟังครับ 55555

ส่วนเรื่องสาย รุ่นสายขดมันดูง่อยมาก แต่ผมชอบนะครับไม่พันกันดี แต่คิดว่าจะเอาไปติดขั้ว xlr แล้วหาสาย van damme ใส่เอาครับ ผมเลือก van damme ตามสตูดิโอ abbey road ครับ มาสายสตูดิโอแล้ว

อีกสาเหตุที่ทำให้ beyer ฮิตในสตูดิโอนอกจากเสียงเที่ยงตรงแล้ว คือความทนไม้ทนมือ และถึงท่านจะข่มขืนมันจนพัง parts ต่างๆของ beyer รุ่น pro (ไม่แน่ใจว่า edition ด้วยรึป่าวนะครับ) สามารถเปลี่ยนได้หมด ทั้งแพด ก้าน สายภายใน ที่หุ้มก้าน ไดรเวอร์ เรียกได้ว่าออกแบบมาให้ใช้งานจริงๆครับ เพราะฉะนั้นหากแพดสีดำของผมมันไม่สบายเท่าแพดเทาจริงๆ ผมสามารถสั่งแพดเทาได้เลยครับ

ผมอ่านไปมา เริ่ม ๆ เคลิ้ม 880 แล้วครับ

ลองอ่านของคนนี้ครับ เค้าไม่ค่อย bias เท่าไหร่ และมีทั้ง 770 880 990 ให้อ่านครับ http://www.kenrockwell.com/audio/beyer/dt-880.htm ไม่ก็ใน head-fi ก็ได้ครับ

ความเห็น 4 ผมถอดแว่นเพ่งยังไงก็มองไม่เห็นที่น้าชาบรรยายครับ แหะ แหะ...
แต่อ่านที่น้าชาพูดถึงแค่ประโยคเดียว ว่า เป็นตัวที่ไว้ข้างโต๊ะฟังบ่อยๆนี่ เล่นเอาหาข้อมูลเลยครับ..โชคดีที่ตอนนี้กระเป๋าแห้ง
เลยไม่เกิดอะไรขึ้น T^T

ผมลองผ่านๆ มาทั้ง3 ตัว คือ 1770 1990 และ amiron เท่าที่จำได้
Amiron ฟังง่ายติดหูสุด musical กว่าเพื่อน เสียง เปิด stage กว้างเลยครับ ผมว่าฟังได้ทุกแนวนะ รายละเอียดดีทีเดียว
ส่วน 1770 กับ 1990 นั้นให้รายละเอียดดีครับ แต่ 1770 เสียงออกแนวอุ่น เบสเยอะกว่า ส่่่วน 1990 เบสน้อยกว่าแต่โปร่่งกว่า เสียงพุุ่งเปิดกว่าครับ ขับไม่ยากนะครับ (ใช้ 901) ผม ว่า
เสียงร้องไม่หลบไม่พุ่งมากกำลังดีเลยครับ แต่ฟังแล้วเสียงมันปรุงแต่งน้อยนะครับ ตามธรรมชาติของสาย pro บางเพลงอาจฟังไม่เพราะ

beyerdynamic DT880 32 โอมห์
ก่อนซื้อผมหาข้อมูลจากทุกที่โดยเฉพาะเมืองนอก พอดีมีคนอยากเล่นแบบเราพอดี ไม่ได้เถียงว่าตัว 250 หรือ 600 โอมห์เหมือนเสียงน่าจะดีกว่านิดๆ แต่ฝรั่งคนนั้นเขาเอากราฟแสดงผลให้เราดูว่า ทั้ง 3 รุ่นมีความแตกต่างกันน้อยมาก ที่สำคัญเอาไปใช้กับแอมป์ชั้นดีเสียงย่อมดีขึ้น แต่เชื่อไหมว่า zx100ขับหลุดกระจาย มีความเป็นดนตรีสูง
เบเยอร์สำหรับผมถ้าเปรียบมวยก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับ akg k701 k550 แต่ละหูมีข้อเด่นที่แตกต่างกัน และน่าเป็นเจ้าของทุกตัว
ปล.ใครที่ชอบเสียงร้องอวบ หวาน เนียน เบสลงลึก ฟังเพลงได้ดีเกือบทุกประเภท แนะนำเลยครับ

เอ ทำไมเมืองไทยมันมีขายไม่กี่รุ่นเองหว่า ตัวแทนในไทยนี่ไม่นำเข้ามาขายหรือสินค้าหมดครับ  งงมาก

Amiron ผมลองเสิร์ชดู มีที่จาเบน สองหมื่นต้นๆ ที่จริงก็พอไหว
แต่ผมจำได้ว่าร้านเฮียเคยมี Beyer Dynamicขายนี่ครับ ยังเคยลองอยู่สองสามตัวเลย แต่นานเป็นปีมาแล้ว

เห็นทาง Gen S เคยจะทำตลาดเหมือนกันนะครับ  แต่กระแสไม่ค่อยดีหรืออย่างไรไม่รู้   ส่วนร้านเฮียก็เคยมีขาย แต่ไม่กี่รุ่นผมเคยลอง 770 (880 ลองจาเบน) แต่ได้ custom one proกลับซะงั้น555

แต่อนาคตก็ไม่แน่นะครับ  ผมว่าใครอ่านกระทู้นี้ก็คันอยากลอง beyer กันทั้งนั้น

ดีไม่ดี ดูพี่รูปหล่อซ้ายมือ ขนาดถอดหูยังโยกหัวไม่หยุดเลย555

https://youtu.be/wQzwEMpdmDY

ใครที่ชอบแนวกราโด้ แต่อยากได้เสียงที่ครบครันกว่า ลอง beyer ได้นะครับอิอิ
สว่างเหมือนกัน แต่ไม่คัลเลอร์ มีดีพเบสและสเตจที่กว้างกว่า และที่สำคัญ เป็นบริษัทที่ family-run เหมือนกันครับ!! ทุกวันนี้ตระกูล Beyer ยังเป็นเจ้าของ และยังดูแล Beyerdynamic อยู่เลยครับ นั่นคือเหตุผลที่หูฟังส่วนใหญ่ของยี่ห้อนี้ ยังคง made in germany ที่โรงงานเดิมๆอยู่ครับ

ขออนุญาตน้าชา คัดลอกความเห็นน้าชามาลงซ้ำไว้ที่นี่นะครับ

HD650 เป็นหูฟัง FullSize ที่ใครๆก็รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า HD650 เป็นยอดหูฟังโทนดาร์ก และเกือบจะทุกคนก็คงจะได้เคยลองฟังกันมาแล้ว 
ดังนั้นผมก็จะขอเอาโทนเสียงของ HD650 เป็นหลัก และจะขอกล่าวเป็นประเด็นๆในข้อแตกต่างของ Amiron Home กับ HD650 นะครับ


สิ่งแรกเลยเมื่อเปลี่ยนหูฟังจาก HD650 มาฟัง Amiron Home ก็คือเสียงหลุดหัวทันทีแบบว่ามิติเวทีเสียงที่เปิดกว้างออกไปมากจนเหมือนหลอนเลยจนสามารถเปรียบเทียบได้เสมือนการฟัง Live Band ในผับในบาร์ (HD650) กับฟังวงดนตรีแสดงสดในสนามกีฬากองทัพบก (Amiron Home)

ต่อมาก็เป็น ช่องไฟ ที่ Amiron Home ทำได้เด่นชัดมากแบบไม่ต้องเพ่งกันเลย ซึ่งพอย้อนกลับไปฟัง HD650 ก็มัวเหมือนหมอกคลุมทุ่งหญ้าในตอนเช้าตรู่เลย

อีกจุดเด่นที่ต่างไปมากจาก HD650 ก็คือย่านเสียงกลางและสูงของ Amiron Home ที่ออกสว่างไสวโปร่งโล่งทำให้ได้ยินรายละเอียดระยิบระยับอย่างที่ไม่เคยได้ยินใน HD650 เลย

ถัดไปก็เป็นความอิ่มความฉ่ำของน้ำเสียงที่เป็นจุดขายของ HD650 ซึ่ง Amiron Home ทำออกมาเป็นรองก็เนื่องจากเสียงที่เปิดกว้างขยายช่องไฟระหว่างเสียงออกไปทำให้ความก้องกังวาลของเสียงร้องลดลง แต่ Amiron Home ก็ได้เติมแต่งรายละเอียดของเส้นเสียงยุบยิบออกมาอย่างชัดเจน

ในย่านเสียงต่ำของ Amiron Home จะไม่นุ่มหนาเท่า HD650 แต่ Amiron Home สามารถลงได้ลึกกว่า

สำหรับอิมแพคของหัวโน๊ต ทั้งคู่ทำได้ดีไม่แพ้กัน

สรุปคือ 2 หูฟัง 2 สไตล์เสียง 2 อารมณ์ แต่ทั้ง 2 ก็สามารถให้เสียงกระชับว่องไวตราบใดที่แอมป์มีพลังถึงครับ 555


จริงๆแล้วแอมป์หลอดก็มักจะไปได้กับหูฟังขับยากเกือบจะทุกตัวอยู่แล้วครับ
ผมหมายถึงแอมป์หลอดเพียวๆไม่ใช่พวกไฮบริดที่ใช้หลอดแค่ภาค driving stage แล้วใช้ Solid stage เป็นภาคขยายเอ้าพุทนะ
เพราะใน pure tube amplifier เวลาที่แอมป์ถูกโหลดหนักๆนั้น เสียง distrotion มันจะไม่ใช่เสียงแตกพร่าอย่างพวกแอมป์ solid stage ทั้งหลาย
ดังนั้นเสียงของแอมป์หลอดจึงสมู๊ทตลอดแม้เอ้าพุทของแอมป์จะถูกโอเวอร์โหลดไปแล้วก็ตาม
อีกอย่างนึงคือแอมป์หลอดมักจะมี voltage swing ที่สูงกว่าและเสถียรกว่าแอมป์ solid stage ทั่วไปอีกด้วย
และเจ้า HD650 ก็เป็นหูฟัง power hungry ที่คอยสูบพลังของแอมป์แม้จะเร่งเสียงเบาๆก็ตาม
สรุปคือแอมป์หลอดแท้มันจะสามารถส่งพลังออกไปเขย่าไดรเวอร์ของ HD650 แบบไม่ยั้งจึงเป็นที่กล่าวขานกันว่า HD650 ไปได้ดีกับแอมป์หลอดครับ


ปล. อิมพีแดนซ์ที่แม๊ชกันก็สำคัญด้วยนะ 555

เคยได้บังเอิญลองฟัง DT770 32 Ohms limit ที่ร้านเฮีย แต่พอดีวันนั้นที่ร้านคนเยอะมาก จนต้องยืนลอง เลยฟังไปแค่แป๊บเดียว (เพลงสองเพลง)
แต่เสียงใสๆ ของนักร้อง กับรายละเอียดของดนตรีที่ได้ฟัง ยังหลอนผมอยู่เลยครับ

ได้ไปลองตัว Custom one pro ดูอีกรอบ แต่เสียงคนละเรื่องกับ 770 เลย

มาอ่านกระทู้นี้ เห็นทีคงต้องหาโอกาสไปร้านที่มี 770 880 990 ให้ลองแบบครบๆ ละครับ :P

กระทู้นี้อ่านเพลินเลย
เดี๋ยวว่างๆ ต้องหามาฟังบ้างละครับ น่าสนใจมาก

เคยฟังBD ผ่านๆตอนไปเลือกหูฟัง ตอนนั้นรู้สึกจะเป็น Custom One Pro เทียบกับ Shure 840 ครับ 
ช่่วงจังหวะนั้นผมกำลังหาfull size แบบ close สักตัวไว้ประจำการ และกำลังคลั่งใคล้แนวเสียงแบบ Grado
เลยสรุปได้ 840 มาไว้ใช้่ เพราะเสียงถูกจริตมากกว่า แต่ที่จำได้แม่นสำหรับ One Proที่ติดใจมากคือ mid bass กับ deep bass ครับ ให้น้ำหนักและความเป็นตัวตนดีมาก

ส่วน 770 (จำไม่ได้ว่ากี่โอห์ม)ตอนฟังยังไม่โดนครับ  เนื่องจากผมมาสาย Grado ชอบแบบปรุงแต่งนิดๆ และค่อนข้างสว่าง แต่อ่านข้อมูลจากน้าชาเล่นเอาเคลิ้มเลยสำหรับ Amiron Home  ^ ^

ผมโดน custom one pro เพราะอิมแพ็คนี่แหละ555 มันเข้ากับเพลงที่ไปลองวันนั้นมาก  ส่วน 880 ถ้าจำไม่ผิดไปลองที่เจท ลองตัว600 ohm น่าจะกับแอมป์ burson  แทบจะยกทั้งแอมป์กับหูกลับบ้านเลย แต่เงินหมด555 พอดีวันนั้นเขาเหลือแต่ตัวเดโม่  ก็เลยอดคิดในใจเดี๋ยว ไปดูร้านเฮียก็ได้  เฉียดไปเฉียดมาจนเฮียเลิกขายก็ไม่ได้ซื้อซักที555

มันต้องมีทั้งสองแนวครับ grado กับ beyer 555555555
หูฟังจากบริษัท family-run เหมือนกัน ผลิตในโรงงานดั้งเดิมเหมือนกัน เสียงสว่างๆเหมือนกัน แต่ผมเล่นกราโด้ไม่ไหว ผมหูไวกับเสียงแหลมนิดนึง ขอเป็น alessandro แทนละกัน
และเพราะไวกับเสียงแหลมเนี่ยแหละครับ เลยสั่ง 880 มา เพราะ 990 มันก็แอบมีช่วงที่พุ่งปรี๊ดมาเหมือนกัน

dt880 (all black) มาแล้วครับ เอามายั่วให้อยากได้ beyer ครับ

อีกมุม

สวยจัง

ได้มาเท่าไหร่ครับ จะขอลอกการบ้านบ้าง

9600 ครับ ส่งเร็วมาก 10 วันจาก US
ถ้าลงลิงค์อีเบย์จะผิดกฎไหมครับ 555555

9600 รวม import charges นะครับ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

@คุณ somkiatr
ถ้าจะซื้อ 880 ลองไปฟังให้ดีก่อนนะครับ
Flat มาก ครับ 

ขอบคุณครับ  ถ้างั้นผมคงจะไปซื้อ Amiron Home แทนครับ

ตอนนี้รุ่นไหนคือรุ่นเรือธงครับ 

T1 ครับ https://www.headphone.com/blogs/news/13776753-worlds-best-headphone-review-beyerdynamic-tesla-t1

ราคาบ้านเรา 32,900 ครับ

ก็เพราะเปิดใจไปลองฟัง มันก็เลยไม่ชอบไงครับ บางคนเขาไม่ชอบแนว Flat จริงๆ ให้เปิดใจทะลวงไปยัน DNA มันก็ไม่ชอบครับ

แต่ Flat นี่มันมีหลายแบบเปล่าน่ะ เพราะบางรุ่นที่เขาว่ากันว่า Flat ฟังแล้วชอบก็มี แต่แบบ Beyer ... ฟังยังไงก็ไม่ชอบ

ลองแล้วไม่ชอบไม่เป็นไรครับ ดีกว่าไม่ลองแล้วไม่ชอบ ว่าแต่ตอนนี้บอร์ดเฮียโพสต์รูปแบบ html ไม่ได้หรอครับ โดนหาว่าเป็นสแปมตลอดเลย ผมเขียนรีวิว 880 ไว้แล้วแต่เอาลงไม่ได้

ถ้าเป็นโค้ดรูป/ลิงก์ เหมือนจะมีกำหนดต่อหนึ่งความเห็นอยู่นะครับ ถ้าหลายรูปหรือหลายลิงก์ ก็จะโดนหาว่าเป็นสแปมแหละครับ >_< เท่าที่ผมเคยลองๆ เหมือนรูปจะได้แค่ 3-4 รูปนี่แหละครับ

https://www.head-fi.org/threads/beyerdynamic-impacto.859081/

Beyer ออก DAC ด้วยแต่ราคาเอาเรื่องเลย