มือกีตาร์ที่ในตอนต้นอาชีพต้องกระเสือกกะสนดิ้นรนให้สามารถที่จะเลี้ยงชีพตนเองได้เท่านั้นแต่ในท้ายที่สุดกับความสำเร็จและการเปลี่ยนแปลงโลกดนตรีด้วยความมุ่งมั่นและรูปแบบการเล่นดนตรีที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือ John McLaughlin (เข้าใจว่าอ่านออกเสียงว่า แม็คคล๊อคลิน ไม่ใช่ แม็คลาฟลินจากการที่ได้ยินการสัมภาษณ์ในหลายครั้ง) มือกีตาร์ชาวอังกฤษที่สร้างอิทธิพลทางดนตรีให้กับมือกีตาร์ชั้นนำทั่วโลกในสายแจ๊สและร๊อคในช่วงศตวรรษที่ 70-80s ไม่ว่าจะเป็น Shawn Lane, Eric Johnson, Jeff Beck, Scott Henderson, Al Di Miola, ไปจนถึง Pat Metheny
ผมได้มีโอกาสสัมผัสตัวเป็นๆของ John และวง Remember Shakti เมื่อราวปี 2004 กับมือ Tabla ตำนานอย่าง Zakir Hussain ทำให้รู้สึกว่า John เป็นผู้ที่น่าจะได้รับการยกย่องมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ควรอยู๋ในวงเฉพาะคนที่ชื่นชอบ Jazz Rock Fusion เท่านั้นเพราะการที่เขาสามารถนำเสนองานดนตรีส่วนผสมทางดนตรีได้อย่างลงตัวจาก Classical music, Rock, Blues, Flamenco, Gypsy ไปจนถึง Eastern and Indian Classical Music ได้นั้นคงจะมีคนเดียวในโลกเป็นแน่แท้ เรียกได้ว่าเกือบมีความช่ำชองแทบทุกศาสตร์ที่เค้าจับต้องทั้งๆที่เขาเริ่มการเล่นดนตรีจากเปียโนคลาสสิคที่มีคุณแม่นักไวโอลินเป็นผู้พร่ำสอนจนเมื่ออายุ 7 ขวบกับแรงบันดาลใจแรกๆจากแผ่นเสียงของพี่ชายที่มีผลงานของ Muddy Waters และงาน Flamenco จนถึง Django Reinhardt ทำให้เขาหยุดเล่นเปียโนและหันมาจับกีตาร์ที่พี่ชายเบื่อแล้วที่จะเล่นและขายต่อให้กับเขา
จากนั้นโลกก็ได้ให้กำเนิดศิลปินคนใหม่ในอีกไม่นานหลังจากนี้ที่มีเทคนิคการเล่น Speed ที่เร็วและซับซ้อนทั้งในแง่ Harmonic และ Rhythmic มากที่สุดคนหนึ่งของโลก จากการเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีรับจ้างจนได้พบร่วมงานกับศิลปินดาวรุ่งในขณะนั้นเช่น Dave Holland, Jack DeJohnette ณ Ronnie Scott’s Jazz Club คลับตำนานของอังกฤษและยุโรปในอดีตจนถึงปัจจุบันที่นำ John เข้าสู่โลกดนตรีอาชีพจนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวง Tony William’s Lifetime, Miles Davis ในยุค Electric Fusion กับอัลบั้ม Bitches Brew และอีกหลายอัลบั้มถัดมาสร้างชื่อเสียงให้กับ Miles และ Sidemen ทุกคนในกาลต่อมา ไปจนถึงการก่อตั้งวง Indian Jazz Rock Fusion ที่ถูกขนานนามว่าเป็นวง Fusion ที่มีอิทธิพลทางดนตรีกับวง Fusion ในรุ่นหลังๆแทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะวงที่เขาก่อตั้งขึ้นในภายหลังคือ The Mahavishnu Orchestra
The Mahavishnu Orchestra เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นจากอิทธิพลของ Sri Chinmoy ผู้นำจิตวิญญาณเชื้อสายอินเดียที่ John และ ศิลปินชั้นนำเคารพนับถืออาทิเช่น Carlos Santana, Roberta Flack ที่มีสถานปฏิบัติธรรมในกรุง NY ช่วงทศวรรษ 70s ส่งผลให้ความแนบแน่นระหว่างแนวทางดนตรีและด้านความคิด ปรัชญชาการดำเนินชีวิตมีผลต่อผลงานเพลงของ John และ The Mahavishnu Orchestra ที่นำกลิ่นอาย Indian Classical music มาเป็นแนวทางผสานร่วมกับดนตรีในแบบ Jazz Rock Fusion ในช่วงนั้น และ Trademark ของยุคนี้สำหรับ John คือการใช้กีตาร์ Gibson Double-Necked Guitar เพื่อใช้เล่นใน Scale ที่ John ต้องการ
ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันในกลางทศวรรษที่ 70s John ก็ยังได้ก่อตั้งวงในแบบ World-Jazz Music และเริ่มใช้ Acoustic Guitar แทน Electric ร่วมกับศิลปินชาวอินเดียอย่าง L.Shankar, Zakir Hussain ในนาม Shakti (ที่แปลว่าพลังงาน) และได้ออกผลงานที่โลกต้องจารึกอีกครั้งการการนำงาน Jazz ผสมผสานกับงานดนตรีอินเดียขนานแท้และโดยศิลปินชาวอินเดียเองไปสู่สายตาชาวโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จะว่าไปแล้วที่ระยะหลังๆแนวทางดนตรีของ John ที่ดูเหมือนผนวกเอาหลักคิดในแบบแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยดนตรีอินเดียอย่างลุ่มลึก
จากบทสัมภาษณ์เค้าให้ความเห็นว่าส่วนหนึ่งมาจากผลงาน A Love Supreme (Impulse 1965) ของ John Coltrane ที่เป็นงาน Masterpiece ที่ไม่อาจมีใครเข้าใจในตอนที่ออกมานั้นได้เลยว่า Coltrane พูดถึงอะไรอยู่ในเรื่องของจิตวิญญาณ ซึ่งผลงานดังกล่าวได้มีอิทธิพลให้ John McLaughlin ที่เริ่มแสวงหาแนวทางดนตรีของตนเองและถามถึงความหมายของการมีชีวิตเหมือนกัน บทเพลงที่มีโซโล่ที่ยาวและต่อเนื่องกว่า 10-20 นาทีขึ้นไปจึงเป็นเรื่องที่ธรรมดาในผลงานของ John เปรียบเสมือนการนั่งสมาธิ (Meditation) ในระหว่างเล่นและปลดปล่อยพลังงาน จิตวิญญาณผ่านอุปกรณ์ดนตรีที่เขารัก และยิ่งเมื่อได้เป็นสาวกของผู้นำจิตวิญญาณอย่าง Sri Chinmoy แล้วทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความหมายของชีวิตมากยิ่งขึ้น
แต่ผลงานที่ผมประทับใจและพบว่ามีความงดงามอัลบั้มหนึ่งคือ After The Rain (Verve 1994) ที่ John หลังจากที่หันหลังให้กับ Electric Guitar มาอย่างยาวนานและแทบไม่เคยกลับมาเล่นในแบบ Classic Jazz เลยได้กลับหยิบยกงานของ John Coltrane มาบรรเลงในแบบ Straight-Ahead Jazz จนแฟนๆงุนงง ว่าแล้วพลัง Indian-influenced Jazz Rock Fusion ได้หดหายไปไหนกัน แต่แน่นอนการที่ John Coltrane ที่เป็นส่วนหนึ่งของวง Miles Davis Quintet ในช่วงกลางยุค 50s ที่เรียกว่าเป็น The First Great Quintet ได้เตะหูเตะตาเด็กหนุ่มจากอังกฤษที่ชื่อว่า John McLaughlin
ไม่นับรวมความสัมพันธ์ที่ได้เริ่มก่อกำเนิดกับ Miles ทำให้สุดท้ายเขาได้กลายเป้นส่วนหนึ่งของตำนาน Miles Davis’s Electric Fusion ในต้นยุค 70s คงเป็นคำตอบให้กับเราว่าเหตุใดถึงเลือกการทริบิวท์ให้กับ John Coltrane ในรูปแบบ Classic jazz ในชุดนี้ โดยรูปแบบวงที่เป็น Guitar-Hammond B3-Drums ที่ John เลือกใช้ในครั้งนี้ได้มีความคล้ายคลึงกันกับ Power Trio อย่าง Tony William’s Lifetime ที่ครั้งหนึ่ง John ได้มีส่วนร่วมกับ Tony และ Larry Young ในปลายยุค 60s โดยใน After The Rain เขาได้เลือกอดีตมือกลองแห่ง Classic John Coltrane Quartet คือ Elvin Jones น้องชายคนเล็กแห่งตระกูลนักดนตรีแจ๊สตำนานของโลก Hank Jones, Thad Jones (ซึ่งน่าเสียดายที่ทั้งสามได้ลาจากโลกไปหมดแล้ว)และพ่อมด Hammond B3 อย่าง Joey DeFrancesco ซึ่งผมเคยมีโอกาสชมการแสดงสดของนักออร์แกนที่ขณะนั้นน้ำหนักตัวน่าจะหนักถึง 125 Kg ขึ้นไปแต่ไม่ได้ทำให้ความมันส์ระดับ5 ดาวจากเขาลดน้อยลงอย่างไร
อัลบั้ม After The Rain ประกอบไปด้วย Cover จาก Coltrane อย่าง After The Rain, Crescent, Naima และแน่นอนกับSignature tune ของ Coltrane อย่าง My Favorite Things ตลอดจนบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับ Coltrane อย่าง Take The Coltrane ที่ Duke Ellington แต่งให้ในชุด Duke Ellington & John Coltrane (Impulse 1963) และอีกสองสามเพลงโดย John McLaughlin เอง อัลบั้มดังกล่าวได้ Executive Producer คนสำคัญอย่าง Jean-Philippe Allard แห่ง Polydor France ที่มีส่วนรังสรรค์ผลงานในสังกัดอย่างยาวนานให้กับฟากฝั่งศิลปินอเมริกัน ยุโรปที่ปักหลักออกผลงานสำคัญให้เราได้ฟังมากว่า 30 ปีทั้ง Charlie Haden, Randy Weston, Abbey Lincoln จนถึง John McLaughlin เป็นต้น
เป็นที่น่าเสียดายคือการบันทึกเสียงชุดนี้จัดทำขึ้นที่ Clinton Recording Studio ใน NY ที่มีเจ้าของและ Sound Engineer Ed Rak ที่บันทึกเสียงให้กับศิลปินตำนานทั้ง Frank Sinatra, Beyonce, Sting, Bruce Sprinเteen, Boy Dylan ได้ปิดตัวลงเมื่อปี 2010 โดยเจ้าของได้ขายตึกไปแล้ว อัลบั้ม After The Rain ที่ให้ Sound ที่ไพเราะและน่าฟังเป็นอย่างมากชุดหนึ่งจึงคู่ควรกับการเก็บรักษาไว้ครับ