Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ว่าด้วยเรื่องการ burn-in หูฟัง

Jamegodfun

30/01/2017 23:21:27
2

ขอความเห็นกูรูทั้งหลายหน่อยครับ

คือการเบิร์นเท่าที่เห็นมามี 2 แบบ

1. ต้องเปิดเพลงตามลำดับ เช่นเปิดเพลง พวกกีตาร์ก่อน ตามด้วยกลอง อะไรแบบนั้นเพื่อจะให้หูฟังได้เสียงที่ดีที่สุด

2.เบิร์นด้วยไอพวก แผ่น burnmaster หรือ ที่เอามาขายแล้วบอกต่อๆกันว่าเบิร์นจบในแผ่นเดียว

จากข้อ 1 กับ 2 และเมื่อเทียบกับ แบบไม่เบิร์นคือเปิดเพลงฟัง ธรรมดาปกติแนว pop jazz อะไรของผมไปเรื่อยๆเนี่ย หูฟังที่ได้จะมีเสียงแตกต่างกันมากไหม วิธีแบบไหนให้เสียงดีที่สุด 


ขอบคุณครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 2
ความคิดเห็นที่ : 1

ron

31/01/2017 00:45:57
1
ของผมเวลาเบิร์น จะเลือกไฟล์เพลงที่ดีมาเบิร์น ครับพวก flac 16กับ24 bit อะครับประมาณนี้ ส่วนชนิดเพลงก็อาจจะเป็นชนิดเพลงที่เราชอบครับ หรือบางคนอาจจะใช้พวกเพลงคลาสสิคมาเบิร์นครับผม//
รอท่านอื่นๆมาตอบต่อนะครับ = w =
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 2

นายมั่นคง

31/01/2017 01:03:00
4,282
อ้างอิง : ว่าด้วยเรื่องการ burn-in หูฟัง - Jamegodfun

ขอความเห็นกูรูทั้งหลายหน่อยครับ

คือการเบิร์นเท่าที่เห็นมามี 2 แบบ

1. ต้องเปิดเพลงตามลำดับ เช่นเปิดเพลง พวกกีตาร์ก่อน ตามด้วยกลอง อะไรแบบนั้นเพื่อจะให้หูฟังได้เสียงที่ดีที่สุด

2.เบิร์นด้วยไอพวก แผ่น burnmaster หรือ ที่เอามาขายแล้วบอกต่อๆกันว่าเบิร์นจบในแผ่นเดียว

จากข้อ 1 กับ 2 และเมื่อเทียบกับ แบบไม่เบิร์นคือเปิดเพลงฟัง ธรรมดาปกติแนว pop jazz อะไรของผมไปเรื่อยๆเนี่ย หูฟังที่ได้จะมีเสียงแตกต่างกันมากไหม วิธีแบบไหนให้เสียงดีที่สุด 


ขอบคุณครับ

จริงๆแล้วเลือกข้อ 3 (ไม่เห็นมีนะ 555)

คือผมอยากให้เน้นแบบเปิดไปฟังไปแล้วก็เบิร์นไปเรื่อยๆ อย่าไปกังวลจนเกินไป เพลงปกติที่เราฟังนี่แหละใช้ได้แล้วครับ ส่วนนักฟังที่อยุ่ในข่าย audiophile อันนั้นก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึงเค้าอาจจะพิถิพิถันตั้งแต่การเลือกเพลงที่เปิดเบิร์น ระยะการเบิร์น อาจจะถึงขั้นเรียงตั้งแต่ตั้งนะโม 3 จบเลยซึ่งก็ไม่ว่ากัน

เพราะผมเองก็เป็นพวกสายย่อเอ๊ย สายออดิโอไฟล์เหมือนกัน แต่หลังจากเล่นไปนานๆก็จะพบว่า อะไรที่สะดวกสุดนั่นคือดีที่สุด เพราะขืนเคร่งครัดต่อขนบประเพณีจนเกินไป มันจะพาลฟังเพลงไม่ไพเราะเอาครับ 555

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 3
ความคิดเห็นที่ : 3

1975

31/01/2017 01:09:06
8
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 2 - นายมั่นคง
อ้างอิง : ว่าด้วยเรื่องการ burn-in หูฟัง - Jamegodfun

ขอความเห็นกูรูทั้งหลายหน่อยครับ

คือการเบิร์นเท่าที่เห็นมามี 2 แบบ

1. ต้องเปิดเพลงตามลำดับ เช่นเปิดเพลง พวกกีตาร์ก่อน ตามด้วยกลอง อะไรแบบนั้นเพื่อจะให้หูฟังได้เสียงที่ดีที่สุด

2.เบิร์นด้วยไอพวก แผ่น burnmaster หรือ ที่เอามาขายแล้วบอกต่อๆกันว่าเบิร์นจบในแผ่นเดียว
เห็นด้วยกับเฮียบางคนไปสนใจการ burn in จนขาดความสุขในการฟังเพลงไปเลย 

จากข้อ 1 กับ 2 และเมื่อเทียบกับ แบบไม่เบิร์นคือเปิดเพลงฟัง ธรรมดาปกติแนว pop jazz อะไรของผมไปเรื่อยๆเนี่ย หูฟังที่ได้จะมีเสียงแตกต่างกันมากไหม วิธีแบบไหนให้เสียงดีที่สุด 


ขอบคุณครับ

จริงๆแล้วเลือกข้อ 3 (ไม่เห็นมีนะ 555)

คือผมอยากให้เน้นแบบเปิดไปฟังไปแล้วก็เบิร์นไปเรื่อยๆ อย่าไปกังวลจนเกินไป เพลงปกติที่เราฟังนี่แหละใช้ได้แล้วครับ ส่วนนักฟังที่อยุ่ในข่าย audiophile อันนั้นก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึงเค้าอาจจะพิถิพิถันตั้งแต่การเลือกเพลงที่เปิดเบิร์น ระยะการเบิร์น อาจจะถึงขั้นเรียงตั้งแต่ตั้งนะโม 3 จบเลยซึ่งก็ไม่ว่ากัน

เพราะผมเองก็เป็นพวกสายย่อเอ๊ย สายออดิโอไฟล์เหมือนกัน แต่หลังจากเล่นไปนานๆก็จะพบว่า อะไรที่สะดวกสุดนั่นคือดีที่สุด เพราะขืนเคร่งครัดต่อขนบประเพณีจนเกินไป มันจะพาลฟังเพลงไม่ไพเราะเอาครับ 555

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

1975

31/01/2017 01:10:44
8
เห้นด้วยกับเฮีย บางคนไปหมกหมุ่นกับเรื่อง burn in จนลืมทุกอย่างจนขาดความสุขในการฟังเพลงครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 5

champ_korn

31/01/2017 09:13:41
2,143

เห็นด้วยกับเฮียครับ

ผมว่าลำดับเพลง ประเภทเพลง มีความสำคัญน้อยกว่าคุณภาพของเพลง และคุณภาพของ DAC/AMP ที่ใช้เบิร์นครับ

DAC/AMP คุณภาพดีน่าจะ บริหาร Driver ได้ดีกว่า DAC/AMP ที่คุณภาพต่ำกว่า และมีผลมากกว่า การเรียงลำดับเพลงครับ แค่หลีกเลี่ยงเพลงที่มีย่านเสียงไม่ค่อยครบ เช่นเพลงที่มีแต่เบสเยอะๆล้นๆ และเพลงที่เสียงกีตาร์แตกๆ แผดๆ ในช่วงแรกของการเบิร์นน่าจะโอเคแล้ว

อัลบั้ม Audiophile ที่มีเพลงหลากหลายทั้ง Vocal, Jazz, Classic, Percussion (แนวเพลงหลากหลาย) รวมๆกัน ผมว่าใช้เบิร์นได้ดีครับ (เช่นเปิดทิ้งไว้ตอนนอน ส่วนตอนเปิดฟัง อยากฟังอะไรก็ฟัง 555)

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 6

Jamegodfun

31/01/2017 09:32:08
2
ขอบคุณทุกท่านมากครับ ไม่งั้นผมคงต้องไปเสียเวลานั่งเบิร์นเป็นชั่วโมงๆเพื่อทดสอบ แทนที่จะเอาเวลาไปฟังเพลงแบบที่ฟังปกติ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

Ramp

31/01/2017 09:38:43
9
Burn หูฟังหรือลำโพง สำคัญครับ
ลองดู Response Graph หลังการ Burn ในบทความนี้นะครับ

http://www.innerfidelity.com/content/evidence-headphone-break#WIKRjb6smSCJLPHH.97

 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 8

Ramp

31/01/2017 09:49:24
9
เขาวัดค่าความแตกต่างของ Amplitude ของ Response ที่ ความถี่ต่างๆ
โดยเทียบค่าของหูฟังที่ Burn ด้วย White Noise (สัญญาณที่มีทุกย่ายความถี่ปนกัน) นาน 90 ชม เป็น Reference

ถ้าดู graph หูฟัง Burn เวลาน้อยๆ เช่น 5 นาที ก็จะมีความแตกต่างกับ หูฟังที่ Burn นาน 90 ชม ตามเส้นสีแดง 

รายละเอียดลองอ่านดูครับ 

Quote จากเวปครับ
"The Experiment

I took a brand spanking new pair of AKG Quincy Jones Q701 headphones; put them on the dummy head; and measured the frequency response over time, playing pink noise in between measurements. I measured the cans fresh out of the box; immediately after the first test (so it had about 5 minutes on them); then after 25; then 1 hour; 2 hours; 5 hours; 10 hours; 20 hours; 40 hours; 65 hours; and finally after 90 hours of break-in.

Once all the data was gathered, I really couldn't tell what the differences where by eye, so I plotted the data as differences. I used the 90 hour data as the reference, and plotted how the data in each set was different than the 90 hour data. My assumption was that the first measurement out of the box would be most problematic, and that the data should settle in the direction of the longest burn-in time.

Any good mathematician will tell you that this method is a recipe for making the data look like it's settling toward the reference set. Just because the line in these graphs is getting less wiggly over time, doesn't mean that the frequency response is getting smoother. It just means that the frequency response is changing over time and moving in the direction of the 90 hour data. That's fine, because all I'm looking for here is a clear trend where the data changes smoothly from the start to the end reference, which might indicate a change in the sound over time possibly due to break-in. Whether it is break-in or not is another story. I just want to see if I could see trend in the data.

Read more at http://www.innerfidelity.com/content/evidence-headphone-break#sHduoIb5x6kB16Vg.99"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 9

สมัครเล่น

31/01/2017 19:20:57
412
ชอบเพลงสไตล์ไหน ใช้เพลงที่ชอบ burn ครับ
ได้ฟังไปด้วย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

pussy

31/01/2017 21:25:29
ผมใช้แผ่น burn เครื่องเสียงตั้งแต่เล่นเครื่องเสียงบ้านจนมาเล่นหูฟังก็ยังใช้วิธีเดิมเพราะในแผ่นมันไล่ความถี่จนครบทุกย่านอยู่แล้ว ที่สำคัญอย่าเปิดดังเกินให้เปิดอย่างมากท่าที่ฟังปกติหรือเบากว่า แค่เปิด burn รอบเดียวประมาณ 1 ชม. มาฟังอีกทีเสียงก็ต่างแล้วครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 11

champ_korn

31/01/2017 22:20:57
2,143
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 7 - Ramp
Burn หูฟังหรือลำโพง สำคัญครับ
ลองดู Response Graph หลังการ Burn ในบทความนี้นะครับ

http://www.innerfidelity.com/content/evidence-headphone-break#WIKRjb6smSCJLPHH.97

 

ดูจากกราฟ เหมือนหลังเบิร์นเสียงย่านสูงไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เสียงที่มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจนเหมือนจะเป็นย่านต่ำ เป็นไปได้ว่าใช้ Q701 มาทดสอบ ซึ่งเบสค่อนข้างบาง พอไดรเวอร์ได้ขยับจากการเบิร์น ก็ทำงานได้ดีมากขึ้น เสียงย่านต่ำ (เบส) จึงค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ (เพราะตอนใช้ K701 ผมจำได้ว่ายิ่งเบิร์นเบสยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆที่บางมาก)

ไม่ทราบว่ามีการทดลองแบบนี้ในหูฟังรุ่นอื่นๆไหมครับ ดูน่าสนใจมาก สงสัยว่าหูฟังที่โทนเสียงออก Neutral และขับไม่ยาก การเบิร์นจะเห็นผลน้อยกว่านี้หรือไม่

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 1
ความคิดเห็นที่ : 12

champ_korn

31/01/2017 22:29:10
2,143
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 8 - Ramp
เขาวัดค่าความแตกต่างของ Amplitude ของ Response ที่ ความถี่ต่างๆ
โดยเทียบค่าของหูฟังที่ Burn ด้วย White Noise (สัญญาณที่มีทุกย่ายความถี่ปนกัน) นาน 90 ชม เป็น Reference

ถ้าดู graph หูฟัง Burn เวลาน้อยๆ เช่น 5 นาที ก็จะมีความแตกต่างกับ หูฟังที่ Burn นาน 90 ชม ตามเส้นสีแดง 

รายละเอียดลองอ่านดูครับ 

Quote จากเวปครับ
"The Experiment

I took a brand spanking new pair of AKG Quincy Jones Q701 headphones; put them on the dummy head; and measured the frequency response over time, playing pink noise in between measurements. I measured the cans fresh out of the box; immediately after the first test (so it had about 5 minutes on them); then after 25; then 1 hour; 2 hours; 5 hours; 10 hours; 20 hours; 40 hours; 65 hours; and finally after 90 hours of break-in.

Once all the data was gathered, I really couldn't tell what the differences where by eye, so I plotted the data as differences. I used the 90 hour data as the reference, and plotted how the data in each set was different than the 90 hour data. My assumption was that the first measurement out of the box would be most problematic, and that the data should settle in the direction of the longest burn-in time.

Any good mathematician will tell you that this method is a recipe for making the data look like it's settling toward the reference set. Just because the line in these graphs is getting less wiggly over time, doesn't mean that the frequency response is getting smoother. It just means that the frequency response is changing over time and moving in the direction of the 90 hour data. That's fine, because all I'm looking for here is a clear trend where the data changes smoothly from the start to the end reference, which might indicate a change in the sound over time possibly due to break-in. Whether it is break-in or not is another story. I just want to see if I could see trend in the data.

Read more at http://www.innerfidelity.com/content/evidence-headphone-break#sHduoIb5x6kB16Vg.99"

ทั้งนี้จากข้อความตรงนี้

Once all the data was gathered, I really couldn't tell what the differences where by eye, so I plotted the data as differences. I used the 90 hour data as the reference, and plotted how the data in each set was different than the 90 hour data. My assumption was that the first measurement out of the box would be most problematic, and that the data should settle in the direction of the longest burn-in time.

แปลว่าความต่างคงน้อยมากๆ เพราะตอนแรกผู้ทดสอบไม่เห็นความต่างใดๆในกราฟเลย จึงต้อง Plot ใหม่อีกครั้ง โดยใช้ 90 hour เป็นค่า Reference แล้วดึงกราฟที่เบี่ยงเบนออกจาก 90 Hour ให้ชัดเจนขึ้นจงมองเห็นแนวโน้มได้ครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

นายมั่นคง

31/01/2017 23:00:57
4,282
จริงๆผมต้องบอกเพิ่มเติมว่า ถ้ารู้สึกว่าเวลาพิถีพิถันซีเรียสกับการเบิร์นแล้วมีความสุข ก็ขอให้ทำไปตามที่ตัวเองชอบนะครับ ของเหล่านี้เอาเข้าจริงๆมันไม่มีกฏตายตัวครับ แต่สำหรับผม ผมเน้นว่าทำแล้วสบายใจ ชอบ มีความสุข ก็ทำไปตามนั้นเลยครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 2
ความคิดเห็นที่ : 14

Ramp

31/01/2017 23:02:15
9
ใช่ครับมองด้วยตาไม่เห็นความแตกต่างในกราฟเพราะว่าเวลามอง freq response ของทุกอันเทียบกับคงแยกออกยากเพราะ Scale ของกราฟมันไม่แสดงส่วนต่างออกมาชัดครับ
การพล็อตแบบส่วนต่างจึงเห็นได้มากกว่า ซึ่งผลการวัดก็ต่างไม่น้อยนะครับ
ในรูปข้างบนแสดงถึงแค่ 300 HZ แต่ในบทความมีแสดงความถี่ถึง 20K Hz ด้วยลองดูในหน้า สอง และ หน้า สาม ในบทความดูครับ
ก็ต่างกันหลาย dB ทีเดียว (3 dB ก็ต่างกันหนึ่งเท่าตัวนะครับ) อย่าลืมนะครับ ความแตกต่างเพียงไม่มาก หูดีๆฟังออกครับ 




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 2
ความคิดเห็นที่ : 15

champ_korn

31/01/2017 23:09:52
2,143
อ้างอิง : ความคิดเห็นที่ 14 - Ramp
ใช่ครับมองด้วยตาไม่เห็นความแตกต่างในกราฟเพราะว่าเวลามอง freq response ของทุกอันเทียบกับคงแยกออกยากเพราะ Scale ของกราฟมันไม่แสดงส่วนต่างออกมาชัดครับ
การพล็อตแบบส่วนต่างจึงเห็นได้มากกว่า ซึ่งผลการวัดก็ต่างไม่น้อยนะครับ
ในรูปข้างบนแสดงถึงแค่ 300 HZ แต่ในบทความมีแสดงความถี่ถึง 20K Hz ด้วยลองดูในหน้า สอง และ หน้า สาม ในบทความดูครับ
ก็ต่างกันหลาย dB ทีเดียว (3 dB ก็ต่างกันหนึ่งเท่าตัวนะครับ) อย่าลืมนะครับ ความแตกต่างเพียงไม่มาก หูดีๆฟังออกครับ 




ขอบคุณมากครับ ไม่ทันดูว่ามี 3 หน้าครับ 5555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

Ramp

31/01/2017 23:28:13
9
เห็นด้วยกับเฮียครับ เวลาธรรมดาผมก็มีความสุขฟังเป็นปกติ และ เบริน์ต่อตอนนอนครับ 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

จั่นเจา

01/02/2017 00:14:55
0
ผมว่าเลือกฟังเพลงตามที่เราฟังปกตินั่นแหละครับ ดีที่สุดแล้ว 
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

hvk

04/02/2017 01:04:01
11
จากที่ผมลองและเจอมานะครับ เบิร์นด้วยไฟล์เฉพาะ แบบข้อ 1 และข้อ 2 ทำให้เสียงเข้าที่ นิ่ง ได้ไวกว่าเยอะครับ แต่ต้องรู้ว่าตอนไหนควรใช้ ตอนไหนควรหยุด เพลงส่วนใหญ่ พวก pop rock ส่วนใหญ๋อัดมาได้ไม่ค่อยดีนัก หรือถ้าอัดดี มันก็มีคลื่นความถี่จำกัดครับ เช่น เสียงต่ำ 30 hz - 50 hz มีรวมๆแค่ 20-30 วิ จากทั้งหมด 5-6 นาทีของเพลง ซึ่งมันจะทำให้หูฟังเข้าที่ช้ากว่าใช้ไฟล์เบิร์นครับ เพราะไฟล์เบินร์พวก isotek, xlo พวกนี้มีคลื่่นความถี่ครบๆตลอดช่วงเวลาที่เปิดครับ

จริงๆอยากให้มองเรื่องการเบิร์นอินเหมือนการเล่นเวต เทรนนิ่ง ครับ คือหูฟังรุ่นๆนึ่ง ก็เหมือนร่างกายคนๆนึง เบิร์นคือเหมือนให้คนยกเวตให้มันใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ครับ แต่คงไม่สามารถทำให้มันเกินกว่าโครงสร้างธรรมชาติของๆคนๆนั้นได้ ซึ่งหูฟังนี่เบิร์นเพื่อให้เสียงมันเข้าที่ที่สุดตามที่ผู้ผลิตได้ออกแบบมาครับ ไฟล์เพลงให้มองเหมือนท่าการออกกำลังอะครับ คนที่ออกท่าเยอะๆยากๆ บ่อยๆ ก็มีร่างกายฟิต เข้าจุด optimal มีกล้ามสวยทุกเส้น ได้ไวกว่าคนที่ออกเน้นย้ำแต่ส่วนๆเดียว ท่าเดิมๆซ้ำๆครับ ตรงนี้หูฟังก็เหมือนกันครับ ฟังเพลงที่มีคลื่นความถี่หลากหลายแนว มันก็ช่วยให้หูฟังเข้าจุดที่มันให้เสียงได้ดีที่สุดได้ไวกว่าการฟังเพลงธรรมดาๆเรื่อยเปื่อยครับ

พวกไฟล์เบินร์อิน มันเหมือนเวลาเราวิ่ง สปริ้นท์ ใส่เต็มแรง หรือยกเวตหนักๆเซ็ตเดียวจบหละครับ ซึ่งแต่ละครั้งที่ทำจบ จะเร่งกาารเติบโตของร่างกายส่วนที่ถูกใช้ครับ ทำให้ร่างกายแข็งแรงเข้าจุดพีคความฟิตของร่างกายได้ไวกว่าวิ่งจ๊อกกิ้งทั้งวัน แต่ออกแบบนี้ผลีผลามตลอดเวลาโดยไม่พัก ไม่รู้จังหวะ ก็จะเกิดอาการบาดเจ็บครับ เครื่องเสียงก็เช่นกันครับ ใช้ไฟล์พวกนี้จะไปเร่งให้มันทำงานหนัก อย่างแผ่น isotek พวกนี้เปิดความถี่ 20-20.000 hz เน้นๆย้ำๆดังๆเท่าๆกัน ไดรเวอร์จะโดนดึงขึงอย่างรุ่นแรงครับ ซึ่งทำให้มันขยับเข้าที่ได้ไวขึ้น แต่ถ้าเปิดตลอด หรือเปิดดังเกินไป ไดร์เวอร์มันก็ร้อนจนเสื่อมครับ 

โดยส่วนตัวผมถ้าซื้อหูฟังหรือลำโพงมาจะเปิดเพลงระดับความดังที่เราฟังปรกติทิ้งไวซัก 10 - 20 ชม ครับ เพราะบางตัว ของใหม่เปิดมาฟังแทบไม่ได้ กลางแห้งห้วน ไม่มีเบส แหลมสกปรก จากนั้นผมจะใช้แผ่นพวก marantz system demonstration ที่จะเป็นเพลงหลากหลายแนว ที่อัดดีๆมารวมไว้ในแผ่นเดียว เปิดนวดไปเรื่อยๆอีกราวๆ 20 - 30 ชม ครับ จากนั้นผมก็จะเอามาใช้ฟังปรกติ ผสมกับเริ่มใช้แผ่นคลื่นความถี่เบิรน์อิน ผมชอบ ของๆ isotek นะครับ มี track ยาว 30 นาทีสำหรับเครื่องเสียงชุดเล็กๆ(ไม่มี subwoofer) ซึ่งใช้เบิร์นหูฟังได้ดี เพราะไม่เค้นย่านต่ำให้ไดรเวอร์ร้อนมากเกินไป ผมจะเปิดพวกนี้วันละรอบ ด้วยวอลลุ่มที่เบากว่าฟังปรกติราวๆ 20-30% ครับ ไฟล์พวกนี้มันจะมีความถี่บางย่านที่เพลงปรกติไม่ค่อยจะมีครับ เช่นเบสลึกๆ หรือปลายแหลมสุด ซึ่งจริงๆย่านความถี่สองย่านที่ จะทำให้หูฟังสั่นหนักที่สุดด้วยครับ ทำให้ไดอะเฟรมไดรเวอร์เข้าที่ได้ไวกว่าใช้เพลงครับ ผมจะเปิดไฟล์พวกนี้วันเว้นวัน นอกเหนือจากการใช้งานปรกติครับ ภายใน 2 อาทิตย์ก็นิ่งแล้วครับ ซึ่งจริงๆไฟล์เบิร์นนี่ ใช้สัก 4 รอบ (รวม 8 วัน ) เสียงก็นิ่งมากๆแล้วครับ หรือบางทีสองรอบก็เพียงพอครับ

สุดท้ายเรื่องเบิร์นแล้วเสียงต่าง ต้องยอมรับก่อนว่า สิ่งของ แมคคานิค พวกลำโพง หูฟัง รถยนต์ มันมีค่าความคลาดเคลื่อนจากสเป๊คนิดหน่อยครับ เยอะหรือไม่เยอะแล้วแต่การควบคุมคุณภาพของๆผู้ผลิต จุดสำคัญคือ ชุดที่ใช้เบิร์น หรือคุณภาพไฟล์เพลงที่ใช้เบิร์น รวมถึงความหลายหลายของจังหวะเพลง ก็เป็นจุดที่ชี้ชัดว่าทำไมหูฟังสองตัว เบิร์นด้วยจำนวนชั่วโมงที่เท่าๆกันเสียงมันไม่เหมือนกันครับ เช่น สมมุติเอาเป็น Grado sr60 สองตัว ตัวนึงเบิร์นแบบที่ผมว่าด้านบน ใช้ไฟล์เบิร์นอย่างดี ผสมกับเพลงอย่างดี เล่นผ่านชุดตั้งโต๊ะดีๆ เสียงมันก็คงจะไม่เหมือนชุดที่จิ้มตรงต่อพวกชุดพกพาทั่วๆไป เปิดแต่เพลงป็อปไปเรื่อยๆ หรอกครับ เพราะว่าชุดตั้งโต๊ะดีๆเล่นไฟล์ดีๆ มันให้เสียงที่มีความกระจ่าง ใส เนียน สะอาด รวมถึงให้เสียงสูงกลางต่ำแบบครบๆทำให้หูฟังทำงานหนักครบเครื่อง ให้ขณะที่อีกตัวที่จิ้มชุดพกพา เล่นเพลงธรรมดาๆ ก็จะเจอแต่เบสตื้นๆ แหลมอั้นๆกุดๆ กลางอับๆ หูฟังก็จะได้แต่ถ่ายทอดเสียงอั้นๆเหล่านั้นครับ เคสนี้เหมือนเรื่องออกกกำลังกายที่ผมเทียบไว้ข้างบน คนนึงเหยาะแหยะกับอีกคนจริงจัง ที่ ชม เท่าๆกัน มันก็อาจจะไม่เหมือนกันครับ ถ้าเอาแย่สุดๆ คือตัวที่เล่นไฟล์ธรรมดาๆ อย่าง mp3 128kbps, 320 kbps มันก้ไม่ได้เคยออกแรงในส่วนของคลื่นความถี่ ไดนามิกเฮดรูม อื่นๆที่ไฟล์ hi-res/lossless มี ซึ่งทำให้บางทีหูฟังเสียงใช้เป็นปีแต่ไม่เคยเข้้าใกล้จุดที่มันควรจะเป็นเลย ตรงนี้เน้นว่า หูทุกตัวมันต้องมีเสียงเข้าใกล้ที่ผู้ผลิตกำหนด +-5% แหละครับ แต่ตัวที่เล่นไฟล์ดีๆต่อกับชุดดีๆ จะเข้าจุดนั้นได้ใกล้เคียงและไวกว่าชุดที่เล่นแบบจิปาถะเรื่อยๆทั่วๆไปครับ นี่เป็นที่มาว่าทำไมบางทีมีของเหมือนเพื่อน แต่ทำไมของเพื่อนเสียงดูดีกว่า 

อาจจะยาวหน่อยแต่ผมอยากตอบให้เคลียร์ครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบการ burn in เอามากๆเพราะซื้อของมาก็อยากให้อยากมีความสุข ผ่อนคลายกับมันครับ แต่บางที เปิดซิ่งแกะกล่องมามันทนฟังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เลยต้องใช้เคล็ดลับบางอย่างช่วย เพื่อที่หูฟังมันจะได้ให้เสียงที่ควรจะเป็นได้ไวที่สุดครับ ผมไม่อยากให้คุณซีเรียสเรื่องการเบิร์นมากเกินไปนะครับ ถ้ามันฟังไม่ได้เลยตอนแกะกล่อง ก็ให้เปิดเพลงที่อัดดีๆแบบที่ผมบอกครับ หลากหลายแนวหน่อย ซัก 20-30 ชม ละก็ใช้ไปยาวๆเดี๋ยวก็เข้าที่เองครับ หรือถ้าซีเรียส ก็ทำตามวิธีผมที่เขียนไวด้านบนก็ได้ครับ 

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 4
"ว่าด้วยเรื่องการ burn-in หูฟัง"