จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก ?
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยคิดถึงคำถามนี้กัน และก็เป็นอีกโจทย์ยอดฮิตที่วงการฮอลลีวูดขยันทำหนังออกมาเพื่อตอบโจทย์คนดู
ไม่ว่าจะ
มาติดต่อกับมนุษย์เฉยๆ แบบใน Close Encounter of the Third Kind
มาช่วยโลกจากน้ำมือของมนุษย์ แบบใน The Day the Earth Stood Still
มาเพื่อยึดครองทรัพยากรของโลก แบบใน ID4 และอีกสารพัดสารเพ
มาทดลองพันธุกรรม แบบใน Prometheus
มาตามหาขุมพลัง แบบใน Transformer
หนีมาโลกเพราะดาวแตก แบบใน Superman
มาประมือกับเหล่านักสู้ แบบใน Predator
จอดยานแล้วลูกหาย แบบใน ET
และอื่นๆอีกมากมาย
ซึ่งหนังต่างๆมักจะกล่าวข้ามเรื่องอุปสรรค์ด้านภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวไป และโดยมากมนุษย์ต่างดาวมักจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่นาที ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตามที่สารพัดผู้สร้างหนังจะจินตนาการได้
ซึ่งสำหรับเรื่อง Arrival หนังเรื่องนี้ได้ชูประเด็นเรื่องภาษามาเป็นประเด็นหลักในการขับเคลื่อนหนัง โดยหนังเรื่องนี้เป็น เรื่องราวการสืบสวนสอบสวนของกองทัพ ร่วมกับทีมนักภาษาศาสตร์ นำโดย ดร. หลุยส์ แบงค์ส (รับบทโดย เอมี่ อดัมส์) และ เอียน ดอนเนลลี่ (รับบทโดย เจเรมี เรนเนอร์) ในการตีความการมาเยือนของยานลึกลับจากอวกาศที่ปรากฏอยู่เหนือน่านฟ้า 12 เมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งพวกเขามั่นใจว่าเป็นการแฝงด้วยนัยะบางอย่างที่สำคัญ และอาจส่งถึงความเป็นไปของมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้ยิ่งการค้นหาคำตอบใช้เวลานานเพียงไร ความหวาดระแวงของรัฐบาล รวมถึงภาคประชาชนก็ค่อยๆ ปะทุเป็นความรุนแรง จนเกิดเป็นสถานการณ์ความวุ่นวายยิ่งขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องพิชิตให้ได้ จึงไม่ใช่แค่เพียงเหล่าผู้เยือน แต่ยังต้องทำงานแข่งกับเวลาด้วย
ซึ่งอย่างที่บอกไปในหัวกระทู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้น่ารักกับผู้ชมทุกคน เพราะคนส่วนมากเวลาพูดถึงหนังมนุษย์ต่างดาวมักจะนึกถึงฉากแอ๊คชั่นตระการตา มีฝูงยานอวกาศบินต่อสู้กัน หรือไม่ก็มีมนุษย์ต่างดาวมาทำอะไรที่ไม่ล้ำๆก็สยองๆให้ดู
แต่หนังเรื่องนี้กลับแตกต่างออกไป หนังเรื่องนี้จะเน้นความสมจริงของบรรยากาศโดยรวม ว่า ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก จริงๆแล้ว ควรจะเป็นอย่างไร การมาเยือนครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อมนุษย์บ้าง ซึ่งถือว่าหนังเก็บรายละเอียดได้ดีมากเลยทีเดียว
และจากการที่ตัวนางเอกเป็นนักภาษาศาสตร์ ทุกคนก็คงจะเดาได้ไม่ยาก ว่า ต้องถูกส่งมาสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแน่นอน และนี่ก็คือโครงเรื่องหลักของหนัง ตัวหนังจะพาคนดูร่วมสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวผ่านตัวนางเอกของเรื่องครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชอบชั้นเรียนภาษา ยิ่งถ้าเรียนกับครูต่างชาติโดยไม่มีพื้นฐานการเรียนภาษาจากครูคนไทยมาก่อนเลย ยิ่งไปกันใหญ่แน่ๆ และลองจินตนาการดูว่าหนังเรื่องนี้กำลังจะพาเราไปเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ต่างดาว ! ! !
“เมื่อเราเรียนรู้ภาษาใดๆ กระบวนการทางความคิดเราก็จะถูกปรับเปลี่ยนจัดระเบียบใหม่ไปตามภาษานั้นๆ”
ผมก็จำบทพูดนี้เป๊ะๆไม่ได้หรอกครับ แต่ผมอยากให้ใครที่สนใจจะไปดู ให้ท่องประโยคนี้ก่อนเข้าไปดูจะมีประโยชน์มากครับ
จุดสังเกตสาระของประโยคนี้ ผมว่าหลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะน่าจะเคยเรียนภาษามามากกว่าคนละ 1 ภาษาแน่ๆ ยกตัวอย่างง่ายๆก็ภาษาอังกฤษนี่แหละครับ ซึ่งเราๆคงจะสังเกตได้อย่างนึงว่า ภาษาอังกฤษมันไม่ได้เอาคำมาเรียงต่อๆกันเป็นประโยคเหมือนภาษาไทย มีไวยากรณ์ต่างๆที่ต่างกับภาษาไทยค่อนข้างมากเลยทีเดียว บางครั้งคำเดียวกันก็ใช้กันหลายความหมายตามแต่บริบทของการสื่อสารนั้นๆ บางประโยคเราเข้าใจแต่เราแปลเป็นไทยไม่ได้
ซึ่งเอาตรงๆ ผมว่า หนังเรื่องนี้มันคือหนังภาษาศาสตร์ครับ เพราะหนังอธิบายเรื่องราวต่างๆภายในเรื่องผ่านกระบวนการเรียนรู้ทางภาษาครับ ซึ่งจุดนี้นี่แหละครับจุดพิฆาตของหนังเลย เพราะหนังมันสื่อจุดประสงค์ของที่มนุษย์ต่างดาวมายังโลก ผ่านการเรียนรู้ภาษามนุษย์ต่างดาวของนางเอกนั่นเอง ซึ่งมันคงจะเหมาะกับทุกคนที่ดูทุกคนอยู่หรอก ถ้าผู้กำกับเลือกที่จะเล่าเรื่องแบบหนังทั่วๆไป แต่เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาขนาดนั้นครับ อีกสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้รับชมทุกท่านก็ตรงการกำกับเล่าเรื่องนี่แหละ เพราะเรื่องนี้เล่าผ่านกระบวนการทางความคิดแบบเดียวกับกระบวนการทางความคิดที่ใช้ในการเข้าใจภาษาของมนุษย์ต่างดาวในเรื่องครับ
ซึ่งถ้าคนชื่นชอบหนังแนวปรัชญา แนวHard Sci-Fi ทั้งหลาย น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยครับ เพราะมันฉีกแนวทางการเล่าเรื่อง แนวทางการคิดตามหนังในแบบเดิมๆพอสมควรเลยทีเดียว
ส่วนใครที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับหนังแนวนี้ ก็จะเป็นเหมือนวัยรุ่นสี่คนที่นั่งหน้าผมที่ลุกออกจากโรงตั้งแต่ครึ่งเรื่อง คู่รักที่นั่งเก้าอี้เกือบริมที่ยกมือถือมาเล่น หรือจะเป็นพี่สาวผมที่เปลี่ยนชื่อเรื่องหนังให้จากเรื่อง Arival เป็น หนัง อะไรวะ 55555
แต่หนังเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน แต่จะว่าจุดอ่อนก็ไม่เชิง เนื่องจากด้วยความเป็นหนังโรง จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้นช่วงที่นางเอกเรียนรู้ภาษามนุษย์ต่างดาว จะดูเหมือนเป็นการตัดข้ามช๊อตไป และตอนที่อธิบายถึงกระบวนการคิดของมนุษย์ต่างดาว ก็บอกซะดื้อๆเลย และตอนสรุปที่ดูรวบรัดเร่งรีบไปหน่อย แต่โดยรวมมันก็ไม่ได้ทำลายหนังแต่อย่างใดครับ
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่อยากจะไปชม ก็ขอให้นอนให้เต็มอิ่ม และตั้งสมาธิก่อนดูให้ดีๆครับ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ยากเกินเข้าใจแน่นอนครับ