พวกเราคงสงสัยในส่วนที่ Top One โม้เอาไว้ว่า "หลักสูตรเฉพาะบุคคล" เป็นยังไง น้อออออ 555+
Top One บอกว่า หลักสูตรนี้ส่วนสำคัญที่สุดคือ Work Sheet (W/S) หรือกระดาษแบบฝึกหัดที่จะทำหน้าที่แทนครูหน้าห้อง การออกแบบตัวอย่างใน W/S สำคัญมาก เพราะหลักการคือ นักเรียนจะดูตัวอย่างในแบบฝึกหัด แล้วทำตามตัวอย่าง จากนั้น W/S จะพัฒนาความยากง่ายไปตามความสามารถของนักเรียนละครับ
ถ้าอ่านแล้วยัง งงๆ ละก็ขออธิบายให้เห็นภาพง่ายๆแบบนี้ครับ
เริ่มต้นนักเรียนจะต้องมาสอบวัดระดับกับคุณครูก่อน เพื่อให้รู้ว่านักเรียนมีพื้นฐานระดับไหน แล้วคุณครูก็จะจัด W/S ให้เหมาะสมกับความสามารถนักเรียน
นักเรียนจะเริ่มทำ W/S ที่ Top One The Mall งามวงศ์วาน อาทิตย์ละ 2 วัน ตกเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมง ส่วนวันที่เหลือก็เอา W/S ไปทำเป็นการบ้านแต่ไม่ต้องกังวลนะครับการบ้านที่ให้ทำวันนึงไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จแล้วรับรองน้องๆไม่เหนื่อยเกินไปแน่นอน แล้วต้องเอาการบ้านมาส่งที่ Top One The Mall งามวงศ์วาน เพื่อดูว่านักเรียนมีพัฒนาการที่จะขึ้นไปทำ W/S ระดับต่อไปหรือยัง
การเรียนแบบนี้แบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะมีการฝึกฝนที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ขึ้นกับครูหรือนักเรียนคนอื่น Top One เลยเรียกการเรียนแบบนี้ว่า "การเรียนเฉพาะบุคคล" ไงละครับ และเนื่องจากนักเรียนจะเห็นตัวอย่างใน W/S แล้วต้องวิเคราะห์ให้ได้เพื่อที่จะทำตามตัวอย่างให้ได้ นักเรียน Top One จึงถูกฝึกฝนให้ วิเคราะห์เป็นตั้งแต่ก่อนเริ่มจรดดินสอนแล้วละครับ อิๆ
คืนนี้ขอเอาลูกสาวเข้านอนก่อนนะครับ แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังถึงหลักสูตรของแต่ละวิชาว่าถูกออกแบบมาด้วยหลักการอะไรบ้าง ทำไมผมถึงยอมลาออกจากงานเพื่อมาเปิดโรงเรียน Top One The Mall งามวงศ์วาน แต่บอกคร่าวๆไว้ก่อนว่างานผมทุ่มสุดตัวเพื่ออนาคตของชาติเลยละครับ 555+
ภาพนี้ผมพาลูกสาวไปเยี่ยมชมกิจการครับ 555+
ส่วนภาพนี้แค่อยากจะบอกว่าน้องไอย์เคยเจอเฮียมั่นตัวเป็นๆมาแล้วครับ ฮี่ๆ
ตอนนี้ผมขน Grace m9XX มาต่อกับ Note Book โดยใช้สาย Purple Flare มาใช้ที่ Top One The Mall งามวงศ์วานละครับ ส่วนหูฟังตอนแรกใช้ Ms1i แต่มองๆดูแล้วกลัวผู้ปกครองจะไม่กล้าเดินเข้ามาคุย 555+ เลยใช้หูฟัง ear bud shozy cygnus แทน ชุดนี้ให้รายละเอียดดีมาก แต่เสียงออกคมๆไปหน่อย อยากให้อุ่นกว่านี้ งานนี้สงสัยต้องลองเปลี่ยนเป็น shozy stardust น่าจะได้เสียงอุ่นๆ หวานๆ มากกว่า
ใครผ่านมาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน วันธรรมดา แวะขึ้นมาที่ชั้น7 มาคุยกันเล่นๆได้นะครับ หรืออยากลอง m9xx ก็ยังได้ครับ 555+
ฝากแชร์และ Like เฟสบุ๊ค ด้วยนะครับ
ไหนๆก็มีผู้ปกครองค้นจนเจอกระทู้นี้แล้ว ผมขอเล่าต่ออีกหน่อยแล้วกันครับ พี่ๆน้องๆ ที่เล่นหูฟังก็คิดว่าหาอะไรอ่านเล่นๆ คั่นเวลาแล้วกันครับ 555+
การเรียนแบบที่เราชินกันคือมีครูสอนอยู่หน้าห้อง และ มีนักเรียนนั่งอยู่หลังห้องนั่นเค้าเรียกว่าการเรียนแบบ lecture ครับ ครูก็ว่าของครูไป นักเรียนที่นั่งฟังตาแป๋วก็ตามทันบ้างไม่ทันบ้าง พอไม่ทันมากๆเข้าก็ควักมือถือมาแอบเปิดเวปมั่นคงเช็คว่ามีของมือสองอะไรขายในเวปบ้าง หรือ เฮียลดราคาอะไรแรงๆบ้าง จะได้ไม่พลาด อิๆ
มีการวิจัยเรื่องวิธีเรียนแบบต่างๆ ผลงานการวิจัยนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก โดยผู้วิจัยนำเสนอผลงานวิจัยเป็นรูปปิรามิด เรียกว่า "ปิรามิดแห่งการเรียนรู้ (The Learning Pyramid)" ผลงานวิจัยบอกว่าอย่างนี้ครับ (ยาวนิดนึงลองอ่านเล่นๆดูครับ สนุกดี)
จากผลงานวิจัยของ NTL Institute แสดงให้เห็นถึงการเรียนแบบต่างๆ และประสิทธิภาพที่ได้รับ จากรูปเริ่มจากบนสุดสีม่วง
การนั่งเรียน (Lecture) <10% การเรียนแบบนั่งฟังบรรยายนั้นพบว่าผลที่ได้รับนั้นน้อยกว่า 10% มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและก็ได้ผลที่น้อยที่สุดเช่นกัน การเรียนแบบนี้คนเรามักจะลืมไปมันไปในไม่ช้า
เรียนโดยการอ่าน(Reading 10% )การเรียนโดยการอ่านนั้นจะได้ผลอยู่ประมาณ 10% มันช่วยให้คุณรู้และเข้าใจในตอนที่อ่านเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทบทวน มันก็สามารถถูกลืมไปได้ในที่สุด และคุณไม่สามารถจำได้ทั้งหมด
เรียนโดยโดยการฟังและการดู(Audio and Visual) 20% การเรียนที่ได้ผลเพิ่มมากขึ้นมาคือการเรียนแบบการฟังและดูวิดีทัศน์ การฟังเสียง ดูรูปภาพ หรือวิดีโอ มันทำให้สมองเราได้เห็นและคิดตาม และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น
เรียนโดยเห็นตัวอย่างจริง(Demonstration 30%) การเรียนแบบเห็นตัวอย่างจริงนั้นเป็นการเรียนที่มีประสิธิภาพเพิ่มขึ้นมาถึง 30% เช่น การสาธิตให้ดูของอาจารย์ผู้สอน หรือการที่คุณไปยืนดูแม่ค้ากำลังทำอาหารอยู่
เรียนโดยการอภิปาย(Discussion 50%) การเรียนที่ได้ผลเพิ่มขึ้นมาคือการเรียนแบบพูดคุยและแบ่งปันความคิดเห็น มันได้ผลมากถึง 50% เลยทีเดียว เช่น การเรียนเป็นกลุ่ม
Top One -----เรียนโดยการลงมือทำ(Practice doing 75%) ถ้าจะให้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการปฏิบัติลงมือทำจริง การเรียนเช่นนี้ทำให้ผู้เรียนได้ลองทำจริง มันได้ผลมากถึง 75% มันทำให้คุณได้เจอปัญหา และเข้าใจในสิ่งที่ทำมากขึ้น และมันก็ทำให้เรียนรู้ได้มากที่สุดแล้ว
การสอนผู้อื่น(Teach other 90%) สุดท้ายคือการสอนคนอื่น หลังจากที่คุณได้เรียนมาจากวิธีต่างๆ ทั้งหมดแล้ว คุณสามารถใช้ความรู้ที่มีไปสอนคนอื่นๆ ได้ นั่นหมายถึงคุณได้เรียนรู้สิ่งนั้นกับคุณมากถึง 90% และมันยากที่คุณจะลืมมัน
วิธีการเรียนแบบ Top One เป็นวิธีการเรียนแบบ เรียนโดยการลงมือทำ(Practice doing) ซึ่งได้ผลถึง 75% เป็นรองแค่การค้นคว้าแล้วนำมาสอนเองครับ
กระทู้นี้ยาวไปละ เดี๋ยวมาคุยกันต่อว่า ไอ้การเรียนแบบ Practice doing นี่เรียนกันยังไงครับ