มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญ สัญญาณถูกส่งมาว่าจะเป็นการซ้อมร้องครั้งแรก และจะร้องจริงอีกครั้งหลังจากนี้อีกราวไม่เกิน 5 นาที
ทุกคนหุบร่ม ถอดแว่นดำ ถือภาพในหลวงไว้แนบอก เสียงที่จอแจหยุดลง ทุกคนยืนตรงส่งสายตาไปทางเวทีที่ท้องสนามหลวง
เสียงเพลงสรรเสริญฯ แว่วมาแต่ไกล แล้วร่นระยะใกล้ตัวเข้ามาทุกที เสียงกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันลอยอยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไปบนฟ้า แผ่ขยายวงอาณาเขตของเสียงครอบคลุมไปทุกพื้นที่ในบริเวณนั้น ใจตอบไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
พระสยามินทร์ พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล...พอร้องถึงท่อนดังกล่าว น้ำตาเอ่อออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ถึงกับร่ำไห้ ไม่สะอื้น แต่น้ำตามันไหล เสียงมันสั่น
ผมเป็นคนไม่ร้องไห้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เป็นเหมือนคนแข็งกระด้าง และหากร้องไห้คนก็คงนึกว่าแสร้งทำ หรืออาจจะกลายเป็นน้ำตาจระเข้เลยเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้หากใครได้มายืนตรงนี้ จะรับรู้และซึมซับได้ดีว่าเพราะอะไร มันเป็นบรรยากาศที่ต้องจดจำ จำว่าเราโชคดีที่เกิดในแผ่นดินไทยในรัชสมัยของพระองค์ท่าน
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า นายมั่นคง