Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

ควรหรือเปล่าถ้าเราจะปฏิเสธ

เหน่งบา

17/03/2016 18:14:40
1,866
ผมรับหน้าที่ใส่บาตร สัปดาห์ละสองวัน(ขยายความ ไม่ได้ศรัทธาแก่กล้านัก แต่ก่อนหน้านี้แม่ผมใส่บาตรให้พ่อที่เสียไปนานแล้ว ทุกวันอังคาร ต่อมาแม่อายุมากขึ้น ผมเลยรับหน้าที่แทน ด้วยเป็นคนที่ตื่นเช้ากว่าน้องชายคนอื่นในบ้าน)

พระที่ผ่านหน้าบ้าน มีสักสี่ห้ารูป
ใกล้บ้านเป็นตลาด มีพระยืนคอยให้คนไปใส่บาตร เป็นสิบรูป ซึ่งผมไม่ศรัทธาและไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนี้ ยังไม่นับว่า ไม่รู้จะมีการฮั้วกับแม่ค้า หมุนเวียนกับข้าวมาขายคนใส่บาตรใหม่หรือไม่...ไม่เห็นชัดๆก็ไม่อยากตัดสิน

แน่นอนว่า ผมไม่เคยใส่บาตรพระกลุ่มนี้

แต่ต่อมามีอยู่รูปนึที่ปกติยืนคอยอยู่หน้าตลาด จะเดินเกร่มาดู ถ้าเห็นผมตั้งโต๊ะ รายนี้ก็จะเดินมาบิณฑบาตรหน้าบ้านผมด้วย...ซึ่งผมจำต้องใส่ด้วยความฝืนใจ

ที่ว่าฝืนใจ ไม่ใช่แค่ท่านยืนรอหน้าตลาดอย่างเดียว แต่ พฤติกรรมที่ผมเห็นก็คือ มีการเดินหลบมาพักมุมถนน ยืนสูบบุหรี่กินเครื่องดื่มชูกำลังเป็นการผ่อนคลายด้วย(พระวินัย กำหนดให้นั่งครับ เวลาจะกินจะดื่ม ให้เรียบร้อยควรแก่สมณะสารูป ไม่งั้นผิดศีล..คือศีล227 หลายข้อ เป็นการกำหนดกติกามารยาท กระทั่งระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับสุขอนามัยสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากด้วย ส่วนเรื่องสูบบุหรีนี่ ผมกลับไม่อยากใส่ใจมากครับ เพราะเป็นเรื่องของใครของมัน)

พักหลังผมรำคาญก็เลยใช้วิธีไม่ตั้งโต๊ะ แต่หลบเข้ามาอยู่รถที่จอดไว้หน้าบ้าน ถ้าพระรูปอื่นผ่านมาผมก็ค่อยออกไปใส่บาตร

ปัญหาคือพอทำแบบนี้ พระบางรูปก็จะไม่ได้มารับบาตรหน้าบ้าน เพราะไม่เห็นมีการตั้งโต๊ะ..กลายเป็นว่า ผมต้องวิ่งหรือกระทั่งขับรถไล่ตามพระที่เคยใส่บาตรปกติ

*************

คำถามคือ ถ้าเราจะปฏิเสธพระรูปดังกล่าวเวลามารับบาตร ว่าผมไม่ใส่บาตรท่าน มันจะแรงไปไหมครับ
ไม่ได้ถามว่า ผิดหรือเปล่านะครับ เพราะผมบอกได้เลยว่า "ไม่ผิด"
แต่คำถามคือ ควรหรือเปล่า เพราะถ้าทำแบบนั้น มันเท่ากับหักหน้ากันตรงๆเลย แรงเกินไปหรือเปล่า สำหรับคนที่อาจจะต้องเห็นหน้ากันในสังคมแคบๆของต่างจังหวัด
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

rookie

17/03/2016 18:24:11
ปกติการใส่บาตรเราต้องนิมนต์ก่อน พระถึงจะมารับบิณฑบาตรได้ พระที่เคร่งจะไม่เดินเข้ามาก่อน ในกรณีนี้ถ้าเป็นผมก็จะกล่าวอย่างสุภาพว่ามีพระมารับบิณฑบาตรประจำอยู่แล้วครับท่านกำลังรออยู่ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

golf8023

17/03/2016 18:31:16
39
สมัยนี้ เดินชนพระทีนี่ ยกมือไหว้ขอโทษแล้ว ท่านจะหันมาต่อยเราแทนรึเปล่าก็ไม่ทราบ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

wish

17/03/2016 18:45:19
12
เห็นด้วยกับ คห.1 ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

เหน่งบา

17/03/2016 18:47:46
1,866
คุณ rookie เดี๋ยวนี้พระที่เคร่งหาไม่ค่อยมีครับ กว่าครึ่งที่ไม่ต้องนิมนต์ แต่คำตอบที่คุณrookieแนะนำก็เป็นวิธีที่ดีครับ ถ้าจัดการได้เรียบร้อย ผมจะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆในรถคอยดักใส่บาตรอีก = =* (เหนื่อยใจ...)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

bonus79

17/03/2016 18:59:48
1,133
พี่เหน่งบาครับ ก็นึกถึงพระสูตรที่ว่า แม้เทน้ำล้างหม้อลงในดินเพื่อหวังให้สัตว์เล็กๆได้กินยังเป็นทางมาแห่งบุญซิครับ ของแบบงี้คงต้องแล้วแต่พิจารณาเลยครับ เป็นผู้ควรแห่งการขอ เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เราจะไม่ห้ามผู้อื่นให้ทานครับ :) อนุโมทนาด้วยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

bonus79

17/03/2016 19:08:04
1,133
ขดต่ออีกนิดนะครับ สำหรับเม้นข้างบนผมไม่ได้มีเจตนาสอนจระเข้ว่ายน้ำนะครับ ทราบดีว่าพี่เหน่งบาต้องรู้พระสูตรไม่น้อยกว่าผมแน่นอน สำหรับผม ผมแก้ปัญหาส่วนตัวโดยการไม่ใส่บาตรเสียเลย ถ้าจะใส่เวลากลับเมืองไทยผมขับไปคลองสิบเลยครับ :p
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

Nattapon

17/03/2016 19:25:13
บางครั้งการรู้มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่อยากใส่บาตรทำบุญกับพระกลุ่มนี้นะครับ >> ก็เลยอดได้บุญ

เทียบกับบางคนไม่รู้รัยเลย ทำบุญกับ"เปรต" แต่ทำด้วยจิตศรัทธาล้วนๆ ก็ได้บุญกุศลไป

# พระหลายๆที่ขาย"บุญ" ต้นทุนก็ต่ำ กำไรดี๊ดี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

ปรวสโก

17/03/2016 19:45:35
ถามว่าเหมาะควรหรือไม่ในทางธรรมแล้ว
ผมขอวิสัชนาคุณเหน่งบาเป็น 2 กรณี
1. ถ้าคุณเหน่งบาตั้งความปรารถนาจะให้ทานในกาลนี้เพื่อเป็นสังฆทานแล้ว ภิกษุที่มารับทานจะมีศีลก็ตาม จะทุศีลก็ตาม คุณเหน่งบาก็ไม่ควรจะไปเพ่งโทษท่าน ขอให้คุณเหน่งบามีจิตมุ่งตรงต่อสงฆ์ สัมปยุตกับความยำเกรงต่อสงฆ์ด้วย
2. ในกรณีที่คุณเหน่งบาตตั้งความปรารถนาจะให้ทานเพื่อเป็นปาติบุคลิกทาน ก้ออาจจะให้ทานภิกษุท่านนี้เพียงข้าว 1 ทัพพี หรือ น้ำ 1 ขวด และเก็บอาหารกับข้าวที่ปราณีตให้กับภิกษุรูปอื่นก็เห็นควร
แต่สุดท้ายแล้วการให้ทานทุกอย่างที่ตั้งไว้ดีแล้วย่อมมีผล ศีลที่รักษาดีแล้วย่อมมีผล แม้แต่การให้ทานแก่สัตว์เดรฉานยังให้ผล ผู้ให้อายุย่อมมีส่วนแห่งอายุ ให้วรรณะย่ิมมีส่วนแห่งวรรณะ ผู้ให้สุขย่อมมีส่วนแห่งสุข ผู้ให้พละย่อมมีส่วนแห่งพละ ผู้ให้ปฏิภาณย่อมมีส่วนแห่งปฏิภาณ
สุดท้ายนี้ขอให้คุณเหน่งบาอย่าย่อท้อต่อการทำความดี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

Ahura

17/03/2016 19:48:40
1,663
ผมบวชเณรมาหลายครั้งและบวชเป็นพระมาแล้ว 3 ครั้ง ( ครั้งละประมาณ 3 เดือน ) เรียกว่าคลุกคลีอยู่กับวงการสงฆ์และเห็นอะไรหลังการใส่บาตรมาพอสมควร

ปัจจุบันเลิกใส่บาตรมาไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้วครับ ( ไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดเหตุผล )

วิถีทางสู่บุญทานมันมีหลากหลายช่องทางครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

ัBoy Boy

17/03/2016 20:14:18
เฮียหมา
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

ัBoy Boy

17/03/2016 20:16:18
^^^กำ ผิดกระทู้ขออภัย "เฮียหมา"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

เหน่งบา

17/03/2016 22:09:33
1,866
ในการเตรียมของใส่บาตรของผม ออกมาในความคิดตรงกับความเห็น1 ของคุณrookieครับ คือเตรียมไว้สำหรับหกรูป

ไม่ถึงกับเตรียมไว้ให้รูปใดโดยจำเพาะเจาะจง บางรูปเป็นเณรด้วยซ้ำ หากหวังผลหรือ"บุญ" คงเลือกทำแต่กับพระ ผมคิดตื้นๆแค่ว่า ผมต้องการทำเหตุ คือทาน..แค่นั้นครับ ผลเป็นอย่างไรไม่ได้มุ่งหวังมาก

ความคิดในแง่ผล ทำกับบุคคลต่างกันผลคงไม่เหมือนครับ เนื้อนาบุญแต่ละผืน คงให้ผลได้ไม่เท่า แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ได้อยากจะคาดหวังเรื่องผล เพียงแต่ ...เห็นแล้วไม่อยากทำ ก็ไม่ทำ ...ค่อนข้างจะมีความเห็นเป็นมิจฉาทิษฐิกลายๆครับ คือเห็นท่านดูดบุหรียืนซดเครื่องดื่มบำรุงกำลังแล้ว ใส่บาตรไม่ลงอ่ะครับ และด้วยของที่ท่านได้ล้นเหลือจนต้องใส่ถุงนั่งซ้อนท้ายมอ'ไซค์กลับวัด..ผมว่าผมให้คนจรเก็บขยะที่เดินผ่านบ้านเป็นประจำดีกว่า...ขออภัยสำหรับความคิดแบบนี้นะครับ

แต่วิธีที่คุณปรวสโกแนะนำก็ดีกครับ อาจจะใส่อะไรนิดหน่อย แล้วเก็บของที่เตรียมไว้ให้รูปอื่น คงเหมาะกว่าที่จะบอกแบบทื่อๆตามประสาผมว่า ไม่ใส่ครับ ยังเป็นการถนอมน้ำใจกว่าที่คิดจะทำเยอะ ขอบคุณนะครับ

ไม่คิดว่าจะไม่ทำยบุญหรอกครับ แต่ยังคิดที่จะเลือกทำอยู่ดี ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

หัวเหม่ง

17/03/2016 22:20:19
พระเจริญเจ้าไม่ได้สรรเสริญ คนให้มาก ให้บ่อย ให้ถี่ แต่สรรเสริญคนใครครวญดีแล้วให้

ถ้าท่านเหน่งบ่า ใคร่ครวญดีแล้ว ก็ถือว่าผ่านครับ แต่การทำบุญไม่ควรหวังผล และการทำบุญควรทำแล้ว สบายใจ จึงถือว่าทำบุญทำทาน ถ้าทำแล้วจิตใจไม่สงบ ไม่สบาย ถือว่าเป็นกรรมไม่ดี ทำแล้วเกิดเหตุแห่งทุกข์

ง่ายๆคือ การทำบุญทำทานคือ ควรใครครวญดีจงให้ และไม่ควรเดือดร้อนตัวเอง หรือ ผู้อื่น ถือว่าไม่ผิดกติกาจ้าๆๆๆ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

หัวเหม่ง

17/03/2016 22:21:06
แก้นิส พระพุทธเจ้า มิใช่ เจริญเจ้า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

เหน่งบา

17/03/2016 22:27:20
1,866
ครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

Nuttz26

17/03/2016 22:40:11
1
ตอนผมบวชนี่ หลวงตาสอนถ้าไม่นิมนต์ก็ไม่สามารถเข้าไปรับได้ครับ บางทีเดินมาเห็นอยู่อีกฝั่งก็ไม่สามารถข้ามไปได้เช่นกันครับ แล้วก็ตามพระธรรมวินัยนี่ เค้าไม่ให้ยืนหรือนั่งอยู่กับที่น่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

yamano

18/03/2016 00:55:07
จรถ ภิกฺขเว ปิณฺฑปาตํ
เธอทั้งหลาย จงเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว
-----------------------------------------------------------------------------

ไม่ค่อยอยากเข้ามาตอบเลย กลัวจะไปขัดกับความเชื่อเก่าๆแบบผิดๆ
ที่เชื่อตามๆกันมา

แค่การคิดจะทำบุญให้ญาติผู้ล่วงลับ โดยเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนแบบนี้
ก็ผิดแล้วครับผม เพราะในความเป็นจริง เมื่อคนตายส่วนใหญ่จะมีการไปเกิด
ทันทีอีกที่หนึ่ง ตามแต่ที่ผู้นั้นกระทำไว้ เพราะฉะนั้นการที่เราอุทิศไปนั้น ก็ไม่ได้
ไปให้ใครนะครับ แต่ว่ามีประเภทหนึ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องอุทิศให้เขา

คือเขาไปเกิดเป็น "เปรต" ครับ แต่เปรตก็มีหลายประเภทครับ
หลักๆที่เราจะต้องทำบุญให้ และจำเป็นจะต้องให้พระเป็นผู้สวดอุทิศให้
ก็คือถ้าญาติเราต้องไปเกิดเป็นเปรตครับ
เพราะเปรตมีปากเท่ารู้เข็ม ไม่สามารถรับอาหารหรือบุญที่เราทำให้ไปได้
จึงจำเป็นต้องให้พระผู้มีศีลสูงกว่าเราเป็นผู้อุทิศไปให้เค้าถึงจะได้รับส่วนบุญ

ทีนี้ ทำไมเราจึงถูกสอนให้ทำบุญ เพื่อ ใคร อะไร ยังไง????
มันเป็น"กุศโลบาย"ที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เพื่อ
1. ให้ผู้ทำได้ฝึกละความโลภ ความโกรธ ความหลง รู้จักปล่อยวาง
ความยึดมั่นถือมั่นว่า "ตัวกู ของกู" รู้สละทรัพย์สิน อาหารให้แก่คน
อื่นโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังครับ คือให้รู้จักปล่อยวางสิ่งของกาย
ก่อนตายครับ ไม่ใช่ ทำบุญเพื่อให้ ได้สวรรค์ ให้ได้พร หรือให้อุทิศ
ให้ใครนะครับ กรรมของใครผู้นั้น เป็นผู้ก่อ ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้รับครับ
ไม่ผู้ใดจะมาแก้กรรมให้ใครได้ครับ

2. เพื่อให้พระรู้จักปประมาณในการกินครับ คือให้ตื่นแต่เช้าออกไป
รับอาหาร ได้เท่าไหร่ก็ฉันเท่านั้นตามมีตามเกิด อาหารที่ได้รับมา
ชาวบ้านก็ทำแต่เช้า ก็อยู่ได้แค่เที่ยงก็จะเสีย พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติ
ให้พระฉันได้ไม่เกินเที่ยงวัน เวลาที่เหลือพระจะได้มีเวลา ปฏิบัติธรรม
มากๆ อาหารทุกอย่างห้ามเก็บไว้กินข้ามวัน ยกเว้น เขยใส นมส้ม
น้ำผึ่ง น้ำอ้อย ฯลฯ

ok เมื่อเข้าใจแล้วนะว่า"การทำบุญนี้ ทำเพื่อปล่อยวาง "โดยตัวเรา
เพื่อตัวเรา แล้วย้อนกลับมาดูว่า 99.99% คนไทยทำบุญเพื่ออะไร

-- เพื่ออุทิศให้คนอื่น ...... X
-- เพื่อรับพร (ถ้าพระคนไหน ทำตามวินัยไม่ให้พร โดนด่าแน่นอน)
-- เพื่อหวังลาภ ทำบุญ20 ขอถูกหวย รางวัลที่หนึ่ง20 ล้าน วันที่ 15-16
และวันที่ 30- 1 คนใส่บาตรกันตึม
-- ทำบุญเลือกพระ เลือกพระดัง พระพวกกัน พระญาติ พระมีผลประโยชน์
ร่วมกัน เลือกว่าพระนี้ไม่ดีไม่เรียบร้อย บางคนนี่สมัยผมเป็นเณรเห็นยาย
คนหนึ่งทุกเช้าถือข้าวถุงหนึ่ง เดินทั่วตลาดท่าพระจันทร์ หาพระที่แก่คิดว่าดี
ใส่บาตรไม่ได้ 55555
-- ทำบุญเอาหน้า เยอะเลย ทำบุญต้องมีชื่อติดตรงนู้นตรงนี้ ต้องถ่ายรูปโชว์

เหล่านี้เป็นต้นเรียกว่า ไม่ได้ทำบุญเพื่อปล่อยวาง แต่เพื่อ"ทิ้งกิเลสเล็ก ไปเอากิเลส
ใหญ่ยิ่งขึ้นไป"

เอาแล้วทำไมพระส่วนใหญ่สอนให้ทำบุญ เพื่ออุทิศให้คนตาย เพื่อไปสวรรค์???
พระส่วนใหญ่ผมว่า ท่านก็ถูกสอนบ่มเพราะความเข้าใจต่อๆกันมาแบบผิดๆ
แล้วก็เลยสอนต่อๆกันไปแบบผิด มันก็เหมือนเรื่องเล่าเรื่อง "เถรส่องบาตรนั่นแหละ"
อีกข้อคือพระท่านก็คงกลัวอด กลัวว่าถ้าสอนว่าทำบุญเพื่อละตัวกูของกู แล้วจะอด
ก็เลยผีมาหลอกคน ง่ายดี เพื่อลาภสักการะ

ในกรณีเจอพระที่ไม่ได้นิมนต์ เข้ามารับอาหารจากเรา ควรทำไง
ก็ไม่เห็นยากเย็นอะไรเลยครับ
ถ้าเราคิดว่าเราจะทำบุญเพื่อ ละความยึดมั่น เพื่อมรรค ผล นิพพาน ก็ใส่ไปเถิด
กรรมใครกรรมมัน เค้าเอาของเราไปแล้วทำไม่ดี มันก็ไม่ดีกับตัวเค้าไม่เกี่ยวกับเรา
เราทำดีแล้ว จบที่เราแล้ว ส่วนเค้าก็เรื่องเค้า นี้ในกรณีที่ทำใจได้นะ ตรงนี้

ถ้าทำใจไม่ได้ ก็พูดกับท่านนั้นไปตรงๆเลย ผมไม่ได้นิมนต์ท่านนะ หรือเชิญท่าน
ไปที่อื่นก่อน ครั้งเดียวแค่นี้ ท่านก็คงไม่มาแล้ว หรือถ้ามาอีก หรือทำตัวไม่ดีจริง
แจ้งตำรวจจับเลยง่ายดี

ทำบุญใส่บาตร ทำให้เหมือนเทข้าวให้หมาจรจัดกินนะครับ ได้บุญเยอะครับ
คงไม่มีใคร ให้ข้าวหมาแล้ว อยากได้พรจากหมา นี่ละเรียกว่าปล่อยวางของจริง

แต่ถ้าทำแล้วต้องวิ่งหนี วิ่งตามนี่ เลิกเถิด ไม่ได้บุญหรอก ทำแล้วก็ไม่สบายใจด้วย
ส่วนตัวผมใส่บาตรทำบุญเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาแค่นั้น

กราบขออภัย ข้อความต่อไปนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะพลาดพิงใครนะครับ
90% ของชายไทย บวชมาแล้วเอาแต่เช้าเอนเพลนอน ไม่ได้ปฏิบัติ
หรือปฏิบัติไม่ถูก หรือไปเจอกับคนที่ไม่ดี พอสึกออกมา ก็เสื่อมศรัทธา
คิดว่าพระอื่นไม่ดีหมด เพราะตัวเรานั่นละที่ไม่ดี ก็เลยคิดว่าคนอื่นจะ
เอี้ยเหมือนเรา อันนี้ผมพูดจริงนะที่เจอมา เป็นอย่างนี้ทุกคน
ถ้าคนที่เค้าปฏิบัติจริงๆนะ เค้าก็ทำตัวธรรมดานี่ แต่ไม่คิดร้ายใคร

กราบขออภัยทุกท่านถ้าผมมีการพลาดพิงถึง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

เหน่งบา

18/03/2016 02:03:48
นิดนึงครับ ^ ^
ไม่ขนาดวิ่งหนี แค่หลบ
พอหลบแล้วพระรูปอื่นไม่เห็น ผมเลยวิ่งตาม ไม่เกิดความไม่สบายใจครับ แค่ยุ่งนิดหน่อย ถ้าไม่สบายใจ ผมก็ไม่ทำอยู่แล้วครับ 555

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่เพิ่มมาครับ คุณยามาโน่ เกือบทั้งหมดนี่ก็สอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดของผมครับ

ปล.เปรตมีหลายสิบประเภทครับ ที่รับส่วนกุศลที่เราจะอุทิศให้ได้ มีประเภทเดียว เปรตประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่คนเราอุทิศให้แต่มนุษย์โลกนี้มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต"

เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ประเภทเดียวเท่านั้น เป็นเปรตที่สามารถจักรับส่วนนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงสังเกตจดจำไว้ให้ดี การที่เขาสามารถจักรับส่วนบุญได้นั้น ก็โดยเหตุที่เขาเป็นเปรตประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะความโง่เขลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษคลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว

เพราะฉะนั้น จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนบุญกุศล
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

tram

18/03/2016 07:23:26
6
กระทู้นี้ดีจังน่ะ ส่วนใหญ่ก็พูดเรื่องที่มีสาระกันไปเยอะแล้ว
ขอพูดประเด็นอื่นสัดนิดนึงครับ

ในการทำบุญทำทานอันเป็นกุศลกรรมนั้น พระท่านสอนว่าให้ระวังรักษาจิตใจตนเองให้ดีด้วย
ก่อนทำทานใจเราเป็นกุศลไหม
ระหว่างทำทานนั้น ใจเราเป็นกุศลไหม
หลังจากทำทานเสร็จแล้วใจยังเป็นกุศลไหม
เรื่องรักษาใจตนเองนี้สำคัญที่สุด เพราะอานิสงส์แห่งบุญก็ขึ้นอยู่กับกำลงัใจของผู้ทำทานนั้นด้วย ถ้าใจเราเพ่งเล็งแต่จริยาของผู้อื่น มันก็เป้นอารมณ์ปฏิฆะ มีแต่ความเศร้าหมอง จะทำบุญทำทานก็ต้องระแวงล่ะ อารมณ์เสียล่ะ นี้ต้องระวังใจตัวเอง อย่าไประวังคนอื่นเค้าเลย

อาจจะลองเปลี่ยนไปทำบุญกุศลอย่างอื่นเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วก็ได้น่ะ มีเยอะแยะถมเถไป แต่เชื่อเถอะว่า เหตุใหม่ที่เราสร้างในปัจจุบันนี่ บางทีก็มีวิบากกรรมเก่ามันตามให้ผลมาขัดขวางอยู่เรื่อย ประเภทว่าทำบุญแล้วแมงวันบินตอมฉวัดเฉวียนไปมา ก็คิดให้ลงปลงให้ตกว่า มันก็เรื่องธรรมดาของโลก มารไม่มีบารมีไม่เกิดประมาณนั้น ถ้าภูมิธรรมเราสูงกว่าเค้า แล้วเรายังไปโกรธเค้า เท่ากับเราเอาความตำ่ของเค้ามาเป็นอารมณ์ ใจเรามันก็จะเอาเรื่องของเค้ามาเคี้ยวเอื้องอยู่ทั้งวันทั้งคืนหาประโยชน์อะไรไม่ได้

จะอย่างไรก็ตาม ก็ขออนุโมทนาทั้งในการทำบุญและการตั้งกระทู้นอกประเด็นที่เป้นประโยชน์กับสังคมครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

crabfather

18/03/2016 09:57:49
166
ผมไม่ได้ใส่บาตรนานมากแล้ว แต่ชอบบริจาคเงินให้น้องๆ นักศึกษาออกค่ายอาสาเวลาเดินผ่านมากกว่า


คงเหมือนที่บางท่านได้กล่าวไว้แล้วนะครับ ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องใส่บาตรก็ได้ครับ เน้นความสบายใจเป็นหลัก จิตจะได้เป็นกุศล
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

wuttichaid

18/03/2016 14:13:27
5
มีอีกวิธีครับ ถ้าไม่ไกล ก้อไปถวายที่วัดเลยครับ ใส่บาตรแบบหลบๆซ่อนๆมันเปนกังวลครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

สึโค่ยโดสิส

18/03/2016 20:42:28
18
ผมว่าตามพี่ rookie คคห.1 ว่ามา น่าจะสบายใจกันทุกฝ่ายครับ
ส่วนตัวก็เลิกใส่บาตรแล้ว ถึงจะไม่เคยบวชหลายครั้งแบบ อ.Ahura แต่ก็คลุกคลีกับวัดและได้เห็นอะไรมาพอสมควร เข้าใจ อ. เลยครับ 555+
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

Ahura

18/03/2016 21:40:38
1,663
ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านนอกจากมียีนส์แล้วยังมีผ้าไตร standby ไว้ตลอดครับ 555

ข้าราชการอย่างผมสามารถใช้สิทธิลาบวชได้สามเดือนต่อหนึ่งปี
และผมคิดว่าการบวชคือการพักผ่อนทางจิตวิญญาณ เป็นการ restart จิตใจที่มันเออเร่อจากสิ่งแวดล้อมสกปรกครับ

ปกติผมจะอยู่กับท่านอาจารย์จัน ( เลี้ยงเสือ ) ซึ่งเป็นสายหลวงตามหาบัว หลักๆก็อยู่ที่ถ้ำภูเตย ในป่าลึกของอำเภอสังขละ จ.กาญฯ ไม่มีไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง เนื้อที่วัดก็แค่พันไร่กับภูเขาหินปูนพรุนๆอีกหนึ่งลูก ก็กินนอนมันแต่ในถ้ำในรูครับ

ส่วนการบิณฑบาตรเราจะเดินพร้อมกันเป็นกลุ่มพระป่า อาจารย์จันเดินนำ (ให้เหยียบหนามนำเคลียร์ทางไปก่อน 555) มีจุดหมายเดียวคือหมู่บ้านชุมชนลาว ซึ่งเขาจะใส่แค่ข้าวเหนียวคนละ 1 ก้อนและน้ำพริกห่อใบตอง 1 ห่อโชคดีมีแกงบ้าง ขนมบ้างพอติดก้นบาตรกลับมาครับ

กลับมาทุกคนก็ต้องเทบาตรรวมกันในหม้อใหญ่ จะมีเชฟป่าคนนึงทำหน้าที่กวนๆๆมวลสารทุกสิ่งอันให้มันหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วตักใส่บาตรใครบาตรมันมานั่งล้อมวง ก่อนกินเราก็จะใช้มือกวนมันอีกรอบ แล้วนั่งพิจารณาว่ามันคือมูตรคูต สิ่งเน่าเสียเพื่อคลายกำหนัดแห่งกิเลส ( อันที่จริงหน้าตามันก็เกือบเป็นขี้อยู่แล้วไม่ต้องบิ้วอารมณ์ก็ได้ ยิ่งวันไหนมีน้ำแกงเยอะๆนะ 555 )

และต้องกินให้เต็มที่พอเพียงมื้อเดียวครับ เพราะหลังเที่ยงแม้แต่นมก็ไม่ได้ (นมเป็นสิ่งเร่งกำหนัดของธรรมยุติครับ )

ประสบการณ์บิณฑบาตรนี้ผมถือว่าเป็นจริยวัตรที่งดงามของนักบวชครับ คือกินเพื่อการพอต่อการยังชีพของการห่มเหลือง ที่มีงานหลักคือศึกษา และเผยแพร่พระพุทธรรม

แต่ปัญหาคือพอผมต้องลงจากเขามาอยู่วัดในเมืองนี่สิครับ..............
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

bonus79

18/03/2016 22:09:19
1,133
ขออนุโมทนากับ อ.Ahura ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์การที่ได้เคยบวชมา
ตัวผมเองเคยบวชมาเป็นระยะเวลาเดือนครึ่ง สมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ บวชเพราะมีหมอดูทักว่าไม่บวชจะตาย ก็เลยไปบวชที่วัดดังในกรุงเทพ ไม่ต้องบิณ ทุกเช้ามีโรงทานในวัด ฉันสองมื้อ ไม่ต้องศึกษาธรรม แต่ท่องมนต์เช้าเย็น สมัยนั้นก็ขยันท่องครับ ผมเป็นพระใหม่ที่อยู่ในก๊วนเคร่ง (เคร่งแบบคนไม่เคยสดับ) สมัยนั้นนั่งสมาธิวันละหลายรอบ (นั่งในแบบที่ผิด) มีสิ่งแปลกๆเกิดกับตัวเยอะครับ นึกคิดอะไรก็ได้อย่างใจ สงสัยอะไรก็จะมีคนมาตอบปัญหา

แต่ปัจจุบันนี้ให้คิดย้อนไปหลังจากได้สดับแล้ว ผมถือว่าการบวชครั้งนั้นเป็นการบวชที่เป็นโมฆะ เพราะไม่ได้เข้าใจธรรมะที่ยิ่งยวดของพระศาสดาเลย ถ้าเทียบกับสมัยนี้ ที่ไม่ต้องไปบวช แต่นั่งฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ผ่านสื่ออินเตอร์เนตต่างๆ

ผมขอโอกาศนี้ ใช้กระทู้พี่เหน่งบา แชร์ธรรมะจากพระพุทธเจ้าในเรื่องการให้ทาน เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่อาจจะยังไม่เคยได้สดับ และเป็นข้อเตือนใจให้กับผู้ที่เคยสดับมาแล้ว

ทำทานทำไม? อะไรคือเหตุ? ผลและอานิสงคืออะไร? ทำทานควรทำกับใคร? คนทำทานกับคนไม่ทำทานจะได้รับผลต่างกันมั้ย? และไม่ทำทานเลยได้มั้ย? ทำทานให้ผู้ล่วงลับเค้าจะได้รับมั้ย? ฯลฯ ทุกคำถามมีคำตอบจากคำสอนครบถ้วนแล้ว

ไม่มีใครรู้เรื่องการให้ทาน เท่ากับพระพุทธเจ้าแล้วครับ ดังนั้นผมขอวางความคิดเห็นส่วนตัวทั้งหมดและไม่สนว่าจะมีพระหรือใครสอนเราว่าอย่างไร แล้วขอเชิณชวนทุกท่านในที่นี้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าตามลิ้งนี้ครับ

http://watnapp.com/audio/view_category/46
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

Ahura

19/03/2016 09:18:26
1,663
@ bonus79 พระใหม่ไม่มีสิทธิออกบิณอยู่แล้วครับ

เส้นทางบิณมันเหมือนสัมปทานของใครของมัน และการที่พระใหม่ออกบิณมันจะเป็นการทับเส้นทางทำมาหากินซึ่งเป็นสิ่งที่พระเก่ารับไม่ได้ครับ

โดยเฉพาะเรื่องใหญ่สุดคือ " การขัดเอกลาภ " ครับ

เอกลาภ หมายถึง แบงค์ยี่สิบ แบงค์ร้อย ที่แต่ละบ้านใส่ถุงพลาสติกมาร่วมกับข้าวปลาอาหาร ซึ่งมันมีความสำคัญในการดำรงชีพมากกว่าข้าวครับเพราะมันหมายถึงค่าหวย ค่าแผ่น DVD หรืออะไรก็ตามที่ไม่มีใครเคยใส่มาในบาตรครับ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

เหน่งบา

19/03/2016 09:52:49
1,866
จากหัวข้อกระทู้นี้ ผมบอกได้ว่า ผมทราบคำตอบอาจารย์ศิระก่อนตอบกระทู้อีกครับ เพราะเคยสนทนากันหลายเรื่อง รวมถึงประเด็นนี้ ^ ^

เรื่อง ให้ (ทำเหตุ)โดยไม่คิดถึงผล ผมพยายามทำให้ได้แม้แต่กับเรื่องอื่น(เฉพาะบางเรื่อง)ในชีวิตครับ ทานหรือจาคะนี่เป็นเรื่องเบื้องต้นสุดที่จะลดความเป็นตัวตนแล้ว

แต่สำหรับบางอย่างที่เห็นจะๆก็ทำใจให้ ให้ ไม่ไหวเหมือนกันครับ = =*..ทั้งนี้ยังไม่นับเรื่องที่อาจารย์บอกในความเห็น 25นะครับ เอาแค่การปฏิบัติที่ไม่เหมาะกับสมณะสารูปนี่ก็...
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"ควรหรือเปล่าถ้าเราจะปฏิเสธ"