จัดไม่ได้หรอก

ไม่น่าจะง่ายนะครับ จะต้องจัดอย่างไร แบบไหน ถึงจะได้ประสิทธิภาพ

แค่ภาพสีขาวกับสีดำ วางสลับกัน จากภาพนิ่งลวงตากลายเป็นภาพเคลือนไหวซะงั้น

ตายทั้งวงการ

หุคนไม่เหมือนกัน ...เวลาลองก่อนเลือกซื้อก็คือ built test
ตอให้คนเป็น บอกวาดี....แต่เราไม่ชอบ...มันก็เท่านั้นครับ

ถูกต้องตามพี่เสือเงินเขากล่าวไว้จ้าา

ตายตัวแทน หมายถึงอะไรครับ

แล้วก็ blind test.... = =*

อ่านหนังสือเยอะๆจะได้ไม่โง่
ขนาดสะกดภาษาไทยยังมั่วเลย ภาษาอังกฤษก็ผิด
ไปเรียนให้จบนะน้องแล้วอ่านมากๆไม่ใช่อะไรก็สักแต่ทำตามใจ
อีกเรื่อง อย่าเชื่อให้มากแต่ฟังให้มาก ฟังมากกว่าพูด เป็นปราชนะน้องเอย
แต่พูดมากกว่าฟังคนจะด่าว่าพล่าม

ภาษาเหมือนใช้ "กูเกิ้นทานเสลด" เลย ^ ^

อากู๋มี เสมหะ เยอะก็เลย ทาน สเลด ขรุกขรักไปหน่อยครับ 555

หลับตาชิมนี่คืออะไรครับ
สงสัยเค้าน่าจะพูดเรื่องของกินจริงๆที่ฝรั่งเศษหรือเมืองนอกก็มีนะครับเกี่ยวกับการชิมอาหารที่ไม่รู้ฉลากเช่นไวน์เป็นต้น เกี่ยวกันเปล่าหว่า
555

สนับสนุนให้จัดครับ อาจได้เห็นอะไรดีๆ ก็ได้

ฺในต่างประเทศพวก Reviewer หรือ Editor ใหญ่ๆ หรือ นิตยสารชื่อดัง ไม่มีใครกล้ารับนิมนต์ Blind Test หรอกครับ ส่วนมากถ้ามีก็จะออกแนวรอมชอม คือผิดก็ผิด ถูกก็ถูก ไม่ว่ากัน 555

จัดเป็นแบบมิตติ้งเล็กๆ สิครับ เน้นอุปกรณ์แต่ละประเภท น่าจะพอทำได้

แต่โดยส่วนใหญ่การ blind test แบรนด์ดังๆ เค้าไม่น่าจะทำกันนะ

เพราะมันมีแต่เสียกับเสีย ได้น้อยมาก เพราะมันเป็นช่องทางของแบรนด์รองในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ

ปล. จริงๆ ที่เฮียมั่นทำอยู่มันก็กึ่งๆ Blind test นะ คือเอายี่ห้อแปลกๆ มาให้ลองฟัง ทำให้เราๆ สามารถฟังเทียบกับยี่ห้อดังได้

เพราะจริงๆ เวลาผมฟัง ผมเป็นกลาง ไม่ได้ให้เครดิตแบรนด์ดัง เพราะเราเป้นคนซื้อ ยังงัยก็เอาของดี ราคาไม่แพงอยู่แล้ว

จัดก็เจ๊งสิครัช

น่าจะมีเหตุผลที่ไม่น่าจะทำให้จัดงาน blind test จากกลุ๊ปผู้ผลิตได้ ใครจะมาอยากเป็นสปอนเซอร์ในงาน เพราะสมมุติว่่าสินค้าตัวเองดีกว่าของคู่แข่งจริง แต่ผู้บริโภคแยกแยะไม่เป็นด้วยความที่มีรสนิยมในเสียงที่ไม่เหมือนกัน อาจให้ความเห็นที่ไม่ตรงจริง บางคนชอบรายระเอียด บางคนชอบเสียงร้อง บางคนชอบเบสหนักๆไว้ก่อน แล้วหลายคนเลยรวมทั้งตัวผมด้วยก็เรียกว่าได้เคยไปนั่งฟังดนตรีสดน้อยมาก ไม่สามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าเสียงอันไหนสมจริงเสมือนเครื่องดนตรีจริงไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นยากครับสำหรับงานแบบนั้น

แต่สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการค้นหาความจริงหรือพิสูจน์ด้วยตัวเอง การทำ blind test เองก็ทำได้ แนะนำให้ไปร้านมั่นคงกับเพื่อนสองคน ตัวเองเอาผ้าผูกตาไว้แล้วให้เพื่อนสวมหูให้ฟังทีละอัน ฮ่าๆๆ แค่นี้เองครับ คุณอยากจะพิสูจน์อะไรหละจริงมั้ย

จริงๆเรื่องหูฟังแต่ละอันมันค่อนข้างจะชัดว่าให้เสียงไม่เหมือนกัน แต่พวกสายสัญญาน สายไฟ อันนี้น่าลองครับ

ผมก็ทำ blind test เองที่บ้านเพราะอยากพิสูจน์ความแตกต่างระหว่างเพลงเดียวกัน แต่อันนึงเป็น mp3, อันนึง wav แล้วอีกอันเป็น flac. โหลดทั้งสามเพลงเข้าไปใน playlist แล้วหลับตาคริกเลื่อนเพลงรัวๆๆๆ ผลคือ ฟังไม่ออกบอกไม่ได้ว่ารายระเอียดของเสียงเพลงแต่ละชนิดไฟล์มันต่างกันอย่างไร รับรู้ได้คือต่างกันที่ volume แค่นั้น (อันนี้อาจเป็นเพราะตัวเองยังหูไม่ถึง ไม่ได้จะบอกว่า flac ไม่ดีกว่า mp3 นะครับ เพราะถึงแม้จะฟังเองก็ไม่ออก แต่ตอนนี้โละ mp3 ออกหมด ใช้แต่ flac อยู่ดีเพราะะเชื่อว่ามันคงจะดีกว่า ฮ่าๆๆ)

อีกอย่างนึง ผู้บริโภคเสียงเพลง อาจไม่ได้เอาแต่ว่าเสียงต้องดีเป็นหลัก ผมว่าหน้าตาและความพอใจในดีไซน์หรือความสบายในการสวมใส่ รวมทั้งความสบายใจที่ได้เสียเงิน ความภูมิใจหรือพอใจที่ได้เป็นเจ้าของ มันเกี่ยวกันหมด ไม่งั้นคงไม่มีคนยอมควักเงินอีกหมื่นเพื่อตัว limited edition ทั้งที่ให้เสียงเหมือนกันกับตัวธรรมดาหรอกคับ

แอมราคาแพงเสียงดีสุดๆแต่วัสดุหน้าตาไม่สวยเลย มันก็ยากที่จะทำใจซื้อเมื่อเทียบกับอีกอันที่หน้าตาและยี่ห้อดูดีแต่เสียงดรอบลงมาหน่อย สำหรับผมและน่าจะมีอีกหลายคน ทุกอย่างมันคือการให้ความสุขครับ ไม่ว่าจะทางเสียงที่ได้ยิน หรือรูปร่างที่ได้เห็น และความรู้สึกที่ได้สัมพัส :)

blind test ที่ควรมีอย่างยิ่ง ผมว่าเหมาะกับพวกสายไฟและสายสัญญานครับ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะเอาชนะกันที่หน้าตาและยี่ห้อเลย

เจ้าของแบรนด์ไม่กล้าจัดหรอกครับ เหมือนทุบหม้อข้าวตัวเอง
ส่วนกูรูก็ไม้กล้าเข้าร่วมเหมือนกัน มีคนหน้าแหกแน่ๆไม่มากก็น้อย
ไม่ต้องถึง blind test อุปกรณ์ แค่ abx lossy กะ lossless ก็จอดแล้ว

สรุปมีแต่เสียกับเสีย 55555+

งั้นที่บอกว่าเปลี่ยนนี่เปลี่ยนนั่นแล้วเสียงดีอย่างนี้อย่างนั้นก็ขี้โม้สิครับ

@ถถถ

ความเห็นส่วนตัว ผมว่ามีทั้งจริงทั้งไม่จริงผสมกันไป ผมมีหูฟังอยู่ตัวนึง เค้าให้สายแถมมาในกล่องสองเส้น เส้นหนึ่งมีรีโมทและไมค์ อีกเส้นเป็นสายเฉยๆ ไอเส้นที่ไม่มีรีโมทเนี่ยผมทำเสียเพราะเอาไปเสียบกับอดับเตอร์ห่วยๆฟังบนเครื่องบินแลล้วแกะไม่ออก กว่าจะงัดออกมาได้เลยทำให้สายคงมีการขาดข้างในเสียงไม่ออก ผมจึงไปซื้อสายของfiio ราคาไม่แรงประมานพันนึงมาใช้แทน ถ้าผมสลับฟังเพื่อจับผิดระหว่าง fiio กับสายแถมที่มีรีโมท (อีกเส้นที่ยังไม่เสีย) บอกได้ครับว่า character ของเสียงเปลี่ยนไป สายของ fiio ให้เสียงที่ดังกว่าและเหมือนรายละเอียดเพลงดีจะได้ยินชัดกว่า แต่เบสหายไป ส่วนสายแถมที่มีรีโมทให้เสียงย่านต่ำ เสียงกลอง เสียงกระเดื่องได้ชัดกว่า


ถ้าถามว่าอันไหนดีกว่ากัน อันนี้หละตอบยากครับ เพราะเหมือนว่าไม่มีอะไรดีกว่าอะไรระหว่างสายสองเส้นนี้ แต่ที่แน่ๆมันเปลี่ยนบุคลิคของเสียงไปแน่นอนครับ และผมก็ใช้สาย fiio เพราะไหนๆก็เสียตังซื้อมาแล้ว แต่บอกได้เลยครับว่าฟังเพลง i'm not the only one ของ sam smith ใช้สายเดิมฟังเพราะกว่า เสียงร้องอิ่มหนากว่าครับ

คนที่กลัวที่สุด นอกจากเจ้าของแบรนด์ ก็เหล่าบรรดาเกจิหูทอง นักรีวิวแห่งวงการนี่แหละครัช

อยากให้เชิญบรรดาเทพๆแห่งวงการ ที่มีเหล่าสาวกคอยชาบูมาจริงๆ ประเภทของออกปุ๊ป แล้วจับโมปั๊ปเสียงไปได้อีกไกล พวกนี้นะ มากันเถอะ

ผมว่าเหมือนจิตรกรเอาผลงานตัวเองมาให้ลูกค้าทายอว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม อ่ะ

ไม่ได้ประโยชน์อันใดในทางธุรกิจ

และอีกอย่างผมว่าทุกวันนี้มันยังไม่มีสิ่งที่กำหนดความแตกต่างระหว่างคำว่าเสียงดี เสียงไม่ดีที่ตายตัว แน่นอน

ถ้าต้นฉบับบันทึกมาแล้วมีNoise มีเสียงรบกวนต่างๆ แต่พอแปลงเป็นLossy พวกNoise กับเสียงรบกวนมันหายไป แค่นี้มันก็ลวงหูคนฟังให้เข้าใจผิดว่าLossyเป็นLosslessได้แล้วครับ

และถ้าเกิดผู้ทดสอบทายผิด ผลประโยชน์มันก็ไม่เกิดกับผู้ใดเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมทดสอบ หรือ ผู้จัดงาน(สปอนด์เซอร์)

ผู้ร่วมทดสอบก็จะโดนดูถูกว่า ไม่โปรจริง
ผู้จัดก็โดนดูถูกว่า สินค้ากาก

จงเรียบเรียงรายการแข่งขันที่ไม่มีประโยชน์แกทั้งผู้จัดและผู้ร่วมแข่งขันมา10ชื่อ
คำตอบ. ไม่มีครับ
ขนาดรายการแฟนพันธุ์แท้ โจทย์เค้ายังไม่พาดพิงถึงสปอนด์เซอร์เลยครับ

บลายด์เทสก็เท่านั้นครับ
ตัวแปลเยอะ
หูคนฟังต้องระดับอ้างอิงจริงๆถึงจะได้ผล

ทีนี้ถ้าหูไม่อ้างอิง มันจะมีรสนิยมในการฟังเพลงมาผสมด้วย

รถกะบะหลายๆคัน ทำเครื่องเสียงรถ ก็จะชอบแนว เบสตั๊บๆๆๆๆ คนกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นนักเล่นเครื่องเสียงประเภทนึงนะ

ถ้าไปฟังลำโพง อาจบอกว่า เสียงจากลำโพงบ้านหม้อ แบบเบสตั๊บๆๆๆ เสียงดีกว่า ลำโพงproac ทั้งที่ proac ให้เสียงอ้างอิงมากกว่า ก็เป็นด้ายยย

ปล พยามยกตัวอย่างให้คอนทราสจัดๆ จะได้เห็นภาพชัดๆ

นี่เลย ไอ้ตัวแปรเยอะนี่เลย ข้ออ้างอันดับหนึ่งที่เซียนจะหนีblind test ฟังเสียงสายmini ที่กลับทิศออกได้ ตัวแปรจะเยอะอะไร มันมีแค่ไอ้สายmini นั่นแค่อันเดียว ฟังเสียงอุปกรณ์จากสวรรค์ JJ ได้ จะยากอะไรก็ในเมื่อมีอุปกรณ์แค่ตัวนั้นตัวเดียว ไอ้น้ำยามโนนั่นอีก ไอ้เบิร์นเทพเจ้านั่นอีก ตัวแปรมีแค่ตัวเดียวครับ

ต้องเข้าใจว่าผู้ผลิต ต้องอาศัยนักรีวิว พ่อค้า พวกเหนือมนุษย์ เพื่อที่จะขายของได้

คุณคิดว่าของพวกนี้ทุนจริงๆมันมาเท่าไหร่ แล้วถ้าเอากล่องหรือเคสที่อลังการณ์ออกไป เหลือแค่แผงวงจรจะเหลือเท่าไหร่ ลองไปดูตามพวกนิตยสารบ้านเรา ช่วงปลายๆปี เค้าจะลดกระหน่ำกันแหลก 50-60% จากราคาเดิม แล้วคิดว่าเค้ายังได้กำไรอยู่รึปล่าว ของอะไรที่กำไรน้อย คนซื้อน้อยไม่ค่อยจะมีคนขายหรอก

บางทีผู้ผลิต ก็ผลิตมาให้พอกับระดับตลาด แต่มันมีลูกค้าบางประเภทที่มันไม่มีความพอดี อยากได้แบบราคาแพงกระฉูดจะได้เอาไว้คุยไว้อวดได้ แต่เสียงดีขึ้นรึปล่าว หรือดีขึ้นเมื่อเทียบกับสายราคาต่ำกว่าแบบหลายๆเท่าตามราคาที่จ่ายไปรึปล่าว อันนั้นอีกเรื่อง

มีคนบ้านตามนักรีวิว หรือคนเล่นที่มีชื่อเสียงเยอะ บางคนไม่มีการหาข้อมูลเพิ่มเลย สติอะไรไม่มีเลย เตือนก็ไม่ฟัง อยากเสียเงินก็เสียไปเอาให้สะใจเลยครับ 555

ไม่มีใครกล้าหรอก พวกหูทอง หรือคนมีชื่อเสียง ทำไม่ได้ก็เสียหน้า ถ้าคนบางประเทศอาจจะหน้าหนาหน่อย ขนาดโกงแค่ไหนยังออกหน้าสื่อแบบหน้าชื่นตาบานได้สบายๆ หรือผู้ผลิตก็ไม่กล้าหรอก ถ้าทุกอย่างไม่เหมือนที่โม้ไว้ แบบประเภทหาเหตุผลชักจมูก เอ้ย ชักจูงให้คนเชื่อ เค้าก็ขายของไม่ได้มีแต่เสียกับเสีย ยิ่งรุ่นแพงๆ มาร์จิ้นเยอะ ใครจะกล้าล่ะครับ

อ้างไปเรื่อย พูดสั้นมันคือการตลาดครับ ของแพงเพราะจ้างโฆษณาแพงครับ จบนะครับ

จากประสบการณ์ Blind test ไม่ได้ใช้วัดคุณภาพเครื่องเสียงแต่วัดคุณภาพหูของผู้ร่วมงานมากกว่าครับ ในกลุ่มเครื่องเสียงบ้านก็เคยจัด blind test กันมาบ้างแล้ว คนที่รู้เรื่องจริงๆก็ฟังออกกันหมด ขนาดผมฟังจาก YouTube ที่อัดมายังทายถูกเลย แต่คนส่วนมากที่ร่วมงานเลือกของระดับกลางกันมากกว่าของแพงซะนี่

มานั่งคิดตามเหมือนกันว่าอยากให้จัด blind test ไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร ในฐานะลูกค้า ผมอยากเปรียบเทียบชิ้นไหนผมก็ไปขอลองฟัง เอาเพลงอ้างอิงของตัวเองไปลองฟังเปรียบเทียบ

blind test ของ 2 ชิ้น โอกาสที่เสียงจะต่างกันมันมากอยู่แล้ว(แต่อยู่ที่คนจัดแกล้งเลือกของให้เสียงคล้ายกันด้วยป่าว) จิ้มสลับกันแทบตาย สุดท้ายถ้าลูกค้าแบบผมฟัง ผมอาจตอบว่า "ผมชอบ" อันนึงมากกว่า ก็แค่นั้น

อ่านๆที่คอมเมนท์กันมาเหมือนจะทำให้เข้าใจว่า blind test มีไว้ทดสอบนักรีวิวกันหรือไงหว่า

ในวงการยาเขาต้องทำ double blind นะครับเพื่อให้ผลออกมาน่าเชื่อถือที่สุด แล้วคุณเชื่อไหมครับว่าเม็ดแป้งธรรมดาสามารถทำให้คนหายป่วยได้เพราะเชื่อว่ามันคือยา

แต่วงการเครื่องเสียงนี่แค่เขียนเก่งใช้คำสวยๆ ก็ขายได้ครับถามว่าฟังออกจริงอย่างที่เขียนไหม?

ก็คงมีแต่ blind test นี่แหละครับที่จะตอบคำถามได้?

ใครก็พูดได้ครับว่าเสียงต่าง คุณกล้ามา blind test ไหมละ?

ก็ blind test เพื่อฟังว่าเสียงต่างไหมไม่ใช่รึ

เย้ๆ มีคนจะจัดแล้ว คุณ Beamharit นี่เอง

เมื่อก่อนเคยมีคนนึงแกมาถกกับผมเรื่องโม AK100 พอเจอตัวจริงผมเอาเครื่อง AK100SE ที่ผมโมให้เค้าฟังรู้ไหมครับว่าผลเป็นอย่างไร แกบอกว่าฟังไม่ออกครับทั้งๆที่ผมโมเยอะหนัก เปลี่ยนค่า r, bypass บางจุด, จูน wiring เพิ่ม c coupling และก็ damp อะไรอีกเยอะแยะ

สมมติว่าเอา AK100 เดิมๆกับ AK100 ที่โมมา blind test กันแล้วมี 50 คนฟังไม่ต่าง 25 คนว่า AK100 ตัวโมฟังดีกว่า อีก 25 คนว่า AK100 ของเดิมฟังดีกว่า คุณจะสรุปว่าอย่างไรครับ

คุณจะเอาผล blind test มาวัดคุณภาพเครื่องเสียงได้อย่างไรในเมื่อยังมั่นใจกับคุณภาพของคนที่เข้ามาร่วมทดสอบไม่ได้เลย คนส่วนมากยังทดสอบ TIDAL ได้ไม่ถึง 4/5 เลย

https://youtu.be/kzo45hWXRWU

ก็สรุปว่าการโมมีคนจำนวนหนึ่งฟังออกและอีกจำนวนหนึ่งฟังไม่ออกครับ

เราสามารถชี้นำให้คนอื่นได้ยินเสียงต่างไปได้ถึงแม้เสียงนั้นจะไม่ต่างกัน ยกตัวอย่าง BAR กับ FAR ในคลิปนะครับ การ blind test ครับถึงจะกำจัดปัจจัยรบกวนออกไปได้

นอกจากจะให้ผู้ร่วมงานได้ฟังแล้วยังสามารถทดสอบคนรีวิวของช่างโมของได้ด้วยว่า ที่เขียนคำสวยๆ มาโฆษณานั้น.....................

ดัวเดิมฟังดีกว่าหรือตัวโมฟังดีกว่ามันเป็นความชอบครับ ก็ให้คนซื้อเขาตัดสินใจ

อ่านกระทู้นี้แล้ว ขออยู่ฝ่ายผู้สนับสนุนให้มี Blind Test ครับ

อยากให้มี เพราะอยากรู้ว่าจริงๆนักรีวิว ที่เขียนบทความต่างๆทุกวันนี้ หูของพวกท่านเหล่านั้น มีเกณฑ์มาตราฐานอย่างไร อ่านจากพวกบทความต่างๆ แล้วดูดีมีความน่าเชื่อถือ บางท่านก็อยู่ในวงการเป็นสิบๆปี ได้จับได้เล่นมาก็เยอะ

ไม่ได้อยากรู้ มาตราฐานของนักเล่นทั่วๆไป อย่างที่ท่านวินสิบยกตัวอย่างมา โมเยอะขนาดนั้น แต่กลับฟังไม่ออกคิดว่าน่าจะไม่ปกติ

ไม่ได้เพื่ออะไร แต่เพื่อคนเล่น คนชอบศึกษาในวงการนี่แหละ

ตลกดี ไม่รู้เรียกร้องอะไรกับใครอยู่กัน

หัวกระทู้งงๆ เหมือนคนเมายา แต่ช่างมัน ผมขอเข้ามาดมกาวด้วยคน เอ้าซูดดดด

blind สำหรับผมคือไม่ใช่ว่า ตัวไหน อะไร ยังไง ดีกว่า แต่สามารถแยกแยะได้ว่า ที่ฟังอยู่คือ A หรือ B ตอบไม่ได้ก็คือตก ตอบผิดก็ตก

เอาจริงๆ พูดเหมือนจัดง่ายนะ แต่ความเป็นจริงก็ยุ่งยากพอสมควร แค่เปลี่ยนสาย interconnect คุณต้องทำการ volume matching ก่อนจะมาจัดนะ ไม่ใช่ เปลี่ยนสาย แล้วทดสอบทันที ไม่ได้วัดระดับความดังของเสียงเลย อะไรงี้ เพราะสายแต่ละเส้นมีความต้านทานต่างกัน เสียงที่ดังก็ดังไม่เท่ากัน จึงควรต้องวัดระดับความดังของเสียงก่อนที่จะมาจัด และอะไรอีกหลายๆอย่าง

คุณ Windows X ถ้าผลของคน 50 คน ไม่สามารถบอกได้ว่า มันแตกต่าง ผลอื่นๆ ก็เชื่อถือไม่ได้ครับ... ผมสรุปแบบนี้นะ
แต่ถ้า 50 คน ฟังออกว่ามันแตกต่าง 25 คนบอกว่า no mod ดีกว่า อีก 25 บอกว่า mod ดีกว่า อันนี้ผมสรุปว่า อยู่ที่รสนิยมของบุคคลนั้นๆ ครับ

บางคนเข้าใจผิดรึเปล่าว่า blind test มีเพื่ออะไร มันไม่ใช่เอามาบอกว่า A ดีกว่า B หรือ B ดีกว่า A อะไรแบบนี้นะ เห็นบางคนเข้าใจผิด (ไม่ใช่คุณ Windows X นะ ข้างบนพูดถึงอยู่ แต่วรรคนี้ไม่ได้พูดถึงนะครับ) มันเป็นการทดสอบเพื่อบอกได้ว่า มันคือ A หรือ B เท่านั้นเอง และปกติ ผมคิดว่ามันใช้เพื่อทดสอบคนเข้าทดสอบมากกว่านะ....
ส่วนคุณภาพของ A กับ B วัดได้ไหม ... ผมชอบใช้คำว่า ชอบมากกว่า ชอบน้อยกว่า เพราะสุดท้ายก็อยู่ที่รสนิยมของตัวผมอยู่ดี

ใช่เลยครับน้า rurika เรื่อง blind test นี่จริงๆเอาไว้ทดสอบคนฟังว่าแยก A หรือ B ได้รึเปล่ามากกว่าครับ ถ้าจะทดสอบเครื่องจริงๆจะใช่หลัก benchmark มากกว่า เทียบ spec ทดสอบการใช้แบบที่วัดความแตกต่างได้ชัดเจน

อีกอย่าง เรื่องเครื่องเสียงมันเป็นเรื่องสุนทรียศาสตร์ เป็นความพอใจเชิงปัจเจก ก็โปรดเลือกเสพตามปัญญาที่ตนมีครับ ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นเค้ามากหรอก เหนื่อยเปล่าๆครับ