หัวข้อนี้มีสามกระทู้ครับ
เป็นเรื่องของเซียนจริง..คนที่ได้รับการขนานนามคำนำหน้าว่าเซียน
ถ้าพูดถึงคำว่าเซียน อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ขอตัดแปะข้อมูลจากวิกิพีเดียเป็นข้อมูลอ้างอิงก่อน
ซึ่ง"เซียน"(แน่นอนว่ามาจากภาษาจีน) เป็นคำที่เน้นเฉพาะเจาะจงจากความเชื่อในลัทธิเต๋า(ไม่ใช่พุทธ)ดังนี้
ในลัทธิเต๋า เซียน (จีน: 仙) หมายถึงนักสิทธิ์ บรรลุถึงอมตภาพทางร่างกายและวิญญาณ
ลำดับชั้น
คัมภีร์จงลฺหวี่ฉวนเต้าจี๋ (鐘呂傳道集) ซึ่งจงหลี ฉวน และลฺหวี่ ต้งปิน เซียนในกลุ่มแปดเซียนเป็นผู้ประพันธ์ขึ้น ได้จำแนกเซียนออกเป็น 5 ชั้น[1] ได้แก่
กุ่ยเซียน (鬼仙) คือคนที่มีพลังยินมากเกินไป และหมดพลังชีวิต มีลักษณะคล้ายแวมไพร์หรือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง อาศัยอยู่ในภูมิของผี
เหรินเซียน (人仙) คือมนุษย์ที่มีพลังยินหยางอย่างสมดุล จนมีชีวิตเป็นอมตะได้ ไม่แก่หรือเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ยังมีความหิวกระหายและต้องการเครื่องนุ่งห่มอย่างมนุษย์ทั่วไป อาศัยอยู่ในมนุษยภูมิ
ตี้เซียน (地仙) เมื่อพลังยินเปลี่ยนไปเป็นพลังหยางอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร น้ำดื่ม หรือเสื้อผ้า ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาศัยอยู่ในโลก
เสินเซียน (神仙) ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไอ และสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ ยังอาศัยอยู่ในโลกเพื่อสอนเต๋าแก่มนุษย์ อาศัยในโลกวิญญาณ เมื่อสั่งสมบุญจนเพียงพอก็จะได้รับอาณัติสวรรค์ให้เลื่อนขั้นไปอยู่บนสวรรค์
เทียนเซียน (天仙) คือวิญญาณอมตะที่ถูกรับขึ้นสวรรค์ ในระยะแรกจะได้ปกครองน้ำ ต่อมาจะได้รับมอบหมายให้ปกครองโลกและสวรรค์ตามลำดับ สามารถท่องเที่ยวไปมาระหว่างโลกกับสวรรค์ได้
ถ้าในเมืองไทย ความหมายของคำว่าเซียน อาจไม่เน้นเฉพาะผู้ปฏิบัติบรรลุทางลัทธิเต๋าอย่างเดียว สรุปใจความง่ายๆ ผู้ที่เป็นเซียน จะหมายความรวมถึง ผู้ที่ข้ามขอบเขตของมนุษย์ ไปสู่ระดับเดียวกับเทพเจ้าทั้งที่ยังมีชีวิตนั่นเอง
ไม่ใช่ว่าตายแล้วไปเป็นเทพเจ้า ยกตัวอย่างเช่น เทพเจ้ากวนอู ซึ่งประกอบคุณงามความดีและผลแห่งกรรมดีอำนวยให้ได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น
หากแต่ เซียน จะเป็นมนุษย์ที่เป็นเหนือกว่ามนุษย์โดยที่ยังไม่ตาย
>
>
>
เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นบุคคลสามท่านที่คนทั่วไปเรียกกันว่า เซียน ซึ่งพวกท่าน อยู่ในประเทศไทย ส่วนหนึ่งคือมีความเกี่ยวพันกับชาวจีนและมีเงื่อนไขวัตรปฏิบัติที่เหนือคนธรรมดา ที่ผมทราบมา มีสามท่าน โดยจะเล่าเรียงลำดับกระทู้ตามเวลา ท่านแรกมีชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ห้า อีกสองท่าน เกิดก่อนปีพ.ศ.๒๕๐๐ และละสังขารไปในปี ๒๕๑๖ และ ๒๕๒๒
เรื่องแปลกก็คือ พวกท่าน ละสังขารไปในท่านั่งสมาธิทั้งสิ้น