Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

เรื่องนี้อ่านแล้วให้ข้อคิดที่ดี ๆ

ชิม เองครับ

13/08/2009 15:13:40
0
เรื่องนี้อ่านแล้วให้ข้อคิดที่ดี ๆ อีกเรื่องนะจ๊ะ ชอบและเห็นด้วยกับบทสรุปสุดท้ายที่ว่า…


….คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา

แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา

โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ

ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ

แล้วดอกผลจะตามมาเอง….





ลองพยายามมองหาคุณค่า และสิ่งดี ๆ ในตัวคุณให้เจอนะคะ…



หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง

เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ

ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย



เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า

มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ

กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา



จึงจับรถมากรุงเทพ

และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)

สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น

ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ



เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ

จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง< /SPAN>

และยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ

นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ

ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า



“...ขอโทษครับพี่

ผม...คือว่า...

ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...”



เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้น

ชักสีหน้าทันที



“...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน

ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง

ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา

แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ”



หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด

ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ



“...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ

แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่

ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ”



“งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..”

เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย



“...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ

อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ

ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ

กลับไปเถอะ”



หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน

ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย



และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ

ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย

จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก



แต่เมื่อกลับถึงบ้าน

จึงนึกขึ้นได้ว่า

ตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก

เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแ มวดิ้นตาย

มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว



ด้วยความเจ็บใจ

จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม

หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น

และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย

อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .



อาจเป็นบุญในปางบรรพ์

ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้

ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา

สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น

ออกผลอย่างงดงาม

และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี

กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง

ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .



หลายสิบปีต่อมา

จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน

และประสบการณ์ที่เพิ่มพูน



บัดนี้

หนุ่มบ้านนอกคนนั้น

ก็กลายเป็นชายชรา

ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ

พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด

และภูมิภาคนั้น



อยู่มาปีหนึ่ง

เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล

และชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย

โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา

และแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว



พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน

นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ

เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก



เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว

พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่

ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว



เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว

ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก

ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง

ให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา



“ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง

ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้

รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ”



พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ

ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ

พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ



“พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด

ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...”



ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด

พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ



“... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...

...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ

คือ...พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่

ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง

ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้

แต่...” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ



และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา

ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง



“...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก

และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...”



“...พ่อหนุ่ม” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี



“...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...”

แกถอนหายใจยาว

ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า

“...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...”

========================================

คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา

แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา

โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ

ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ

แล้วดอกผลจะตามมาเอง

========================================
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

Bank

13/08/2009 15:23:02
0
เยี่ยมจริงๆ คุณชิม ขอบคุณครับ

\"รู้อะไร รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว ขอให้เชี่ยวชาญเถิด จะเกิดผล\"

ยังไงคำนี้ก็ยังใช้ได้อยู่นะครับ อิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

ชิม เองครับ

13/08/2009 15:27:11
0
ยังมีอีกเรื่องที่ดีๆ ครับ

*** บทกลอนของเด็กอัฟริกัน ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากUN ***
Nominated by UN as the best Poem of 2006 - Written by an
African Kid
When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ
And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี??
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

pkboyd

13/08/2009 15:58:03
0
อ่านจบแล้วมีพลังสู้ชีวิตขึ้นมาเลย เยี่ยมเลยครับ ^^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

m_samui

13/08/2009 15:59:08
0
ได้อะไรดีๆมาเติมในหัวอีก
ขอบคุณเน้อพี่ชิม

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

iton

13/08/2009 16:57:27
0
อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมาทันที
ขอบคุณ คุณชิม ที่หาบทความดีๆอย่างนี้มาให้อ่านครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

pun

13/08/2009 17:51:42
0
โอ้ ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

piggy

13/08/2009 18:13:55
0
ไปครับ เราไปทำสวนผลไม้กัน .... เอ .... ผมเข้าใจถูกป่ะ ...
โอ๊ยๆๆๆ พี่ชิมอย่าเตะผมดิค๊าบบบ..
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

Collagen

13/08/2009 18:38:39
4
ขอบคุณครับ พี่ชิมสำหรับบทความดีๆ ให้มีแรงใจสู้ต่อไปครับ....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

popja

13/08/2009 19:15:58
0
ยอดมาก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

หนุ่ม

13/08/2009 19:34:13
0
ผมกำลังออกจากงาน และไปเป็นทหารเกนท์รู้สึกมีกำลังใจขึ่นมาเลยครับขอบคุณท่านชิบครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

13/08/2009 20:13:21
0
คุณหนุ่มครับ ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าเป็น ท่าน\"ชิม\" มากกว่า ท่าน\"ชิบ\" นะครับ อันหลังมันฟังแปร่ง ๆ หูชอบกล(คล้ีายมันฝรั่งอบกรอบง่ะครับ....)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

13/08/2009 20:23:41
0
ถึงแม้วันแม่จะได้ผ่านไปแล้วแต่ผมก็ยังอยากให้ทุกคนที่เป็นลูกและลูกของลูกอ่านอยู่ครับใครอ่านแล้วกลั้นน้ำตาได้เอาไปเลย.......(คิดเอาเองดิ)


ได้รับเรื่องนี้ทาง E-mail ของกลุ่มก้ามปู
ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียน อัสสัมชัญ บางรัก

อ่านแล้ว จึงอยากแบ่งปันให้ผู้อื่นครับ





เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ...มิสอุไรพร

ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก



รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!



ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539

\'มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ\'

โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร



ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้

เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ



เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์

ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน

หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัด
โดยเก็บงำความแปลกใจไว้


หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ มิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่าน
เข้ามาคุยในห้องรับรอง ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย

แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก

เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา



\'ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม

กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว

แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา\'



น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม

เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ

เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว



หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า

ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย


ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก

มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน

เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้



วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...

ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล

ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคน
พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน



ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ

โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน

ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก

ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ

ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม



คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า

ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาด
ล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่

และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก



\'ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร\'

มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียนทั้งห้อง
ที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น



\'ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย

แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร\'



คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้
แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...



ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์

จึงรีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...

แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!



คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
สติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องทั่วบริเวณ
แดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่... ใบพัดเหล็กยังหมุน
ต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก

จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด



ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...
ไม่ขาด.....เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ

มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย....



คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมา มองตามเสียงตะโกน

เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่

ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียว
ถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!



สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที

ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป

ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือน
จึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ



มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า

\'นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ\'


\'กล้าหาญมาก\' เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า

หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า

มิสมองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า



\'นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง

ไหนใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ\'

เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง



\'วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม

และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา\'



\'จริงครับๆ ใช่ครับๆ\' เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน



\'มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะ

ที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ\'



มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด

มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า



\'ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ\'

เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ

ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า

หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?



เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง

ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง

ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด



หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ

ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัวลูกชายเข้าไปคุยอีกครั้ง



\'วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ\'

เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า



\'ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ\'



รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่

บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย

กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย


ก่อนไม่มีแม่ให้กอด..

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

SquidMan.ExE

13/08/2009 20:28:16
0



อ่านของคุณหมอแล้วผมน้ำตาไหลเลยล่ะ... ตอนที่บอกว่าใครเป็นลูกแม่คนนี้น่ะ...

ไหลจริงๆนะ... ไม่ได้ไหลแบบเจ้าปลาหมึกข้างบน...
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

ย่องมาฟัง...

13/08/2009 20:54:42
0
When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิวดำ
When I grow up, I black : เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผมก็ผิวดำ
When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ยังผิวดำ
And when I die, I still black : และเมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ
And you white fellow : และคุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
When you grow up, you white : เมื่อคุณโตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
When you go in sun, you red : เมื่อคุณอยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
When you cold, you blue : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี??


ชอบมากเลยครับบทกลอนนี้

..

คุณหมอครับ ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเช่นนี้
อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

13/08/2009 21:18:23
0
อ้าว...ท่านย่อง ไม่ได้น้ำตาไหลกับเขาหรอกเหรอครับ.......
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

m_samui

13/08/2009 21:32:46
0
ของคุณอาหมอซึ้งขึ้นไปอีกอะ
ขอบคุณนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

13/08/2009 23:02:23
0
up ดันหน่อยครับ อยากให้ลูก ๆ ที่มีแม่ทุกคนอ่านครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

podchong

13/08/2009 23:22:57
0
.....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

Jack

13/08/2009 23:25:13
ถ้าอ่านออก ลุงคงเป็นภารโรง
คุณครูเก่งมากเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

Vichien

14/08/2009 01:51:14
0
ต่อมน้ำตาแตกท่วมจอไปเลยครับท่าน....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

14/08/2009 08:47:31
0
ขอดันอีกที่ สองบทความดีดีที่น่าอ่านครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

jo..1234

14/08/2009 09:32:36
0
คุณหมอทำให้ผมน้ำตาไหลเฉยเลย......ซึ้งครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

jo..1234

14/08/2009 09:57:28
0
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

\\\"ใครขโมยเงินไป\\\" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

\\\"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ\\\"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
\\\"ผมขโมยเองครับ\\\"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน

\\\" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย\\\"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

\\\" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว\\\"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

\\\" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ\\\"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

\\\"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน\\\"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

\\\" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว\\\"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

\\\"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้\\\"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

\\\" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้\\\"

แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ

\\\" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่\\\"

ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

\\\"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ\\\"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

\\\"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ\\\"
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
\\\"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก็ได้หัวเร าะเยาะพี่กันพอดี\\\"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

\\\" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม\\\"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า

\\\"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง\\\"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

\\\"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ\\\"
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

\\\" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ\\\"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด \\\"เจ็บมากไหม\\\"

ฉันถาม

\\\"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...\\\"

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

\\\"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ\\\"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน....แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

\\\"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง\\\"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

\\\" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง\\\"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

\\\"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด\\\"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

\\\"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...\\\"

\\\"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ\\\"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...


เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

\\\" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้\\\"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล \\\"พี่สาวของผมครับ\\\" .....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

\\\"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ\\\"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

\\\"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ\\\"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

\\\"ซัมซุง\\\"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง

เล่าเรื่อง

ผมชอบเรื่องนี้อีกเรื่องผมว่ามันดีมากๆเลยก็อปมาให้อ่านกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

นายมั่นคง

14/08/2009 12:17:14
0
ผมตกสำรวจกระทู้อีกแล้ว เมือครุ่คุณหมอโทรมาแล้วบอกว่าให้เข้ามาอ่านให้ได้

เดี๋ยวผมจะทะยอยอ่านเลยล่ะครับ ขอบคุณคุณชิมเด้อ....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

14/08/2009 22:45:48
0
up จ้า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

14/08/2009 23:11:15
0
up again
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

15/08/2009 21:51:34
0
ดัน จ้าาาาาาาา........
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

ชิม..จ้า

18/08/2009 16:40:00
กรุณาอ่านตรงนี้ก่อนดูคลิป

True Story ...
เรื่องจริง ...

A son says to his father: \'Dad, would you be willingly to run a marathon with me?\'
วันนึงลูกชายได้พูดกับพ่อของเขาว่า \'พ่อครับ พ่อจะไปวิ่งมาราธอนกับผมได้ไหม\'

The father, despite his age and a heart disease, says \'YES\'.
ถึงแม้ว่าตัวคุณพ่อเองจะอายุมากแล้ว แถมยังเป็นโรคหัวใจ เขาเลือกที่จะตอบลูกของเขากลับไปว่า \'ได้ซิลูก\'

And they run that marathon, together.
หลังจากนั้นทั้งสองก็วิ่งมาราธอนด้วยกัน

The son asks: \'Dad, can you run another marathon with me?\' Again father says \'YES\'.
อีกวันนึง ลูกชายได้ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า \'พ่อครับ พ่อจะวิ่งมาราธอนกับผมอีกครั้งได้ไหม\' แน่นอนว่า พ่อตอบกลับไปว่า \'ได้ซิลูก\'

They run another marathon, together.
เขาทั้งสองก็ได้วิ่งมาราธอนรายการอื่นอีกครั้งด้วยกัน

One day the son asks his father: \'Dad, would please do the Iron Man with me?\'
และอีกวันนึง ลูกชายก็ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า \'พ่อครับพ่อจะลงแข่ง Iron Man กับผมได้ไหม\'

Now just in case you wouldn\'t know, \'The Iron Man\' is the toughest triatlon in existance; 4km swimming, then 180 km by bike, and finaly another 42 km running, in one stroke.
(สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า Iron Man คืออะไร มันก็คือไตรกีฬานั่นเองในภาษาไทย รายการนี้จะรวมมนุษย์เหล็กจากทั่วโลกมาแข่งขันกันโดยแบ่งออกเป็น ว่ายน้ำ 4 กิโล ปั่นจักรยาน 180 กิโล และ วิ่ง 42 กิโล โดยไม่มีการหยุดพัก ใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ)

Again father says \'YES\'
และก็อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ตอบปฏิเสธ \'ได้ซิลูก\'

Maybe this doesn\'t \'touch\' you yet by heart ... until you see this movie (put on sound!):
บางทีบทสนทนานี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ และยังไม่เกิดความประทับใจกับมัน...จนกระทั่งคุณได้ดูคลิปต่อไปนี้

http://www.youtube.com/watch?v=VJMbk9dtpdY
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"เรื่องนี้อ่านแล้วให้ข้อคิดที่ดี ๆ"