ดันหน่อยครับ รอคนมาตอบ

ช่วยดันอีกแรงครับ เฮียมั่นตื่นละ

เด๋วคงเข้ามาตอบ 555+

อ่าอันนี้แวะมาตอบได้ 1.คงต้องบอกว่าไฟล์ใกล้เคีัยงกันเรื่องคุณภาพ 2.เสียงที่ได้ยินต่ากันนั้นตัวการมันคือ คือ .... โปรแกรมที่ใช่ Rip ครับ มันเป็นคำตอบสุดท้ายครับ เพราะว่าแต่ละโปรแกรมที่ RIp นั้นให้ผลที่ออกมาต่างกันเหมือนเวลาฟังเพลงต่างโปรแกรมก็ต่าง
ปล.ที่บอกว่าต่างไม่ใช่แบบโอแม่เจ้ามันเปลี่ยนไปเลยนะครับ แต่ถ้าฟังแบบ ก จนติดหูแล้วเปลี่ยนไปใช้ ข หลายๆคนก็จะรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป

ขอบคุณครับ แต่ขอชัดเจนอีกนิด

ขอบคุณครับ คุณ คนผ่านมา

อืม ถ้าพูดจริงๆแล้ว Flac มัน bit rate ไม่เต็มนะครับ bit rate มันจะแกว่งไปมาเวลาเล่นเพลง
แต่ถ้า wave คงที่แน่ๆ ถ้า rip เต็มๆ wave ก็จะได้ 1411kbps ซึ่งเพลงที่ผมฟัง
flac มันอยู่ที่ 700-900kbps
ตั้งใจฟังดีๆ wave ชัดกว่าพอสมควรนะผมว่า

flac ก็คือ lossless ประเภทนึงไงครับ lossless คือไฟล์เพลงที่ไม่มีการตัดความถี่บางส่วนออก(mp3 จะตัดแล้วแต่ว่ากี่ kbps ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งตัดมาก) lossless มีหลายฟอร์แมทครับ แล้วแต่ค่ายไหนจะคิดค้นมา อาทิ flac(free lossless audio codec) apple lossless (m4a,aiff) ape (mongky audio) ที่คุณว่าโหลดมาทำไมเสียงไม่ดี อันนี้บางทีโดนต้มครับ พวกฝรั่งเอาไฟล์mp3 ธรรมดา มาแปลงเป็น flac ปล่อยเอาเรโชก็มี

ขออนุญาติ จขกท. นะครับ

ขอถามแทรกในกระทู้ครับ ว่า

โปรแกรมที่ใช้ rip นั้น โปรแกรมไหนให้เสียงที่ตรงตามต้นฉบับ(ในที่นี้หมายถึง CD)มากที่สุดครับ

ขอบคุณมากครับ

ผมก็ว่าน่าจะโดนต้ม เพราะเท่าที่อ่านมามีคนใช้วิธีแบบที่คุณ echo

ว่ามาครับ เพราะฟังแล้วมันไม่ได้ใกล้เคียงกับไฟล์ flac เร้ย อิอิอิ

ทีผมใช้มี2ตัวคือ dbpoweramp อันนี้ใช้ง่ายครับมีการปรับค่าหัวอ่านซีดีให้อัตโนมัติ
อีกอันคือ EAC(exactaudiocopy) อันนี้ใช้ยากกว่าต้องทำเองหมด แต่ฟังก์ชั่นเยอะละเอียดดีครับ ลองศึกษาที่นี่ดูครับ http://www.taf.in.th/forum/index.php?topic=3548.0

ผมเองดันรู้ไม่จริงซะอีก 555

ผมรู้มั่วๆๆ ว่าถ้า เป็น lossless เล่นกับ ipod และถ้า Flac เล่นกับเครื่องเล่นสากลอื่นๆๆ ได้ล่ะครับ 555


มั่วๆๆๆๆๆๆ 555

เข้ามาช่วยตอบครับผม ผมก็รู้แบบไม่รู้ถูกป่าว ก็คือว่า file FLAC เป็นไฟล์ที่เป็น lossless เหมือนกันหรือกล่าวอีกอย่างคือเป็นไฟล์บีบอัดที่มีเสียงเหมือนกันต้นฉบับที่อัดมาเลยครับ

แต่ว่าไฟล์ WAV ไม่ถือว่าเป็นไฟล์ที่ผ่านการบีบอัดแต่ว่าเสียงที่ได้นั้นก็จะเหมือนต้นฉบับเช่นกันครับ กล่าวโดยสรุปคำถามของ จขกท.คือ ไฟล์ FLAC ละ WAV ต่างกันตรงที่ WAV ไม่ได้เป็น lossless ในขณะที่ FLAC เป็น และเหมือนกันตรงที่เสียงของมันจะเหมือนกัน อันนี้ผมก็ไม่มั่นใจนะครับ เคยอ่านนานมาแล้วครับ รอท่านต่อไปครับผม

ขอนอกเรื่อง ผมว่าflacกับwavต่างกันไม่น่ามากมายครับ อย่างมากก็นิดเดียวจริงๆครับ
แต่ถ้าเทียบกับmp3-320kนี่ถึงจะต่างกันแบบแยกออกเลยล่ะครับ

ขอเสนอความเห็นสักนิดนะครับ flac และ wav จัดเป็น lossless ทั้งคู่ครับ คือไม่มีการสูญเสีย แต่ flac มีการบีบอัดโดยการจำค่าบางช่วงในเพลงที่ซ้ำ (รหัส 0-1) และช่วงเสียงเงียบ ฉะนั้นเวลามาฟังจึงต้องมีการแตกไฟล์ทำให้เกิดการหน่วงนิดๆก่อนเล่นเป็นบางเครื่อง ส่วน wav นั้น
ก็อปจากซีดีโดยตรง ทุกอย่างมาหมด เลยมีขนาดใหญ่กว่า และไม่ต้องแตกไฟล์ก่อนเล่น ซึ่งน่าจะเป็นผลทำให้เสียงที่ดีกว่า ในบางเครื่องบางรุ่น โดยเฉพาะเครื่องแบบฮาร์ดดิสน่าจะมีเอฟเฟกมากที่สุด ในการอ่านไฟล์

ขอนอกประเด็นนิดนึงครับ
\"ของคุณ Ota_Hay ที่ผมโหลดได้มาสองแทรกนั้น\"
\"อยากได้อีก 8 แทร็กเลย \"

หมายความว่า โหลดมาได้สองแทรค แล้วอีกแปดแทรคโหลดไม่ได้เพราะติดขัดปัญหา
หรือว่ายังไม่ได้โหลดครับ
ถ้าติดปัญหา แล้วอยากได้จริง ๆ รบกวนขอรายละเอียดหน่อยครับ
ว่าโหลดจาก skydrive หรือ totoro มาจะได้ช่วยดูให้
เพราะไฟลล์ดี ๆ ริปเองกะมือ ก็อยากแบ่ง ๆ กันไป
แค่นี้หล่ะครับ

เอ.....เคยมีใครเล่าถึงเรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่าหว่า ใครจำได้มั่งไม๊ 555

เหอะๆ เรื่องนี้เหมือนเห็นกระทู้ทุกเดือน แต่ก็ลืมมันทุกเดือน รายละเอียดมันยิบย่อยจริงๆ หุหุ
แต่ผมฟัง 320k กับ lossless นี่แทบไม่แตกต่างเลย เหอะๆ
หรือฟังแต่เพลงธรรมดาๆ รายละเอียดไม่ลึกเนี่ยเรา 555

เอ้า ท่าน จขกท.เงียบไปเลย แล้วผมจะช่วยได้ไหมเนี่ย

อ่ะ ยอมเสล่อ อีกสักทีล่ะกัน
http://cid-6d847b06d6f51f0c.skydrive.live.com/browse.aspx/.Public/Clair%20Marlo%20-%20Let%20it%20go

ขอโทษทีครับ คุณโอ๊ต ผมเห็นไม่ค่อยมีใครตอบเลย

หายไปไม่ค่อยได้สังเกตอ่ะครับ เพิ่งแว่บกลับมาอ่าน

ถ้าผมพูดไรไม่ชัดเจน ขอโทษด้วยครับ ผมไปโหลดจากข้างนอกครับผม

ไม่ได้เกี่ยวกับของคุณโอ๊ตนะครับ ไฟล์ของคุณโอ๊ตเสียงชัดเจนดีครับ

ผมชอบมาก แต่แค่แอบเสียดายที่ไม่ได้อีก 8 แทร็กแค่นั้นเองครับ

แต่คุณโอ๊ต เอามาโพสให้ ไม่มีไรตอบแทน นอกจากคำว่าขอบคุณครับ

แผ่นเพลงที่บันทึกดีๆ ที่นี่ก็หายากเหลือเกินครับ ผมอยู่ตรังครับ

ถ้าอยู่ กทม คงดีกว่านี้หน่อย ขอบคุณอีกทีครับ

กำลังโหลดนะครับคุณ โอ๊ต ขอบคุณมากครับ

อยากได้มากเลยครับ เพราะมากๆ

ไม่เป็นไรครับ แบ่ง ๆ กัน

ตอนนี้ได้ครบแล้วครับ กำลังเอาไปเบิร์นหูฟังด้วยครับ

ของผม Sr80i ครับ ถ้าเบิร์นครบแล้วจะมารายงานนะครับ

ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่า lossless ใดๆ เมื่อคลี่ไฟล์ออกมาแล้วก็จะได้ .wav เหมือนกันทุก bit ส่วนเรื่องที่เหลือ เป็นเรื่องผีสางล้วนๆ แล้วแต่ความเชื่อและความพอใจแต่ละบุคคลครับ

FLAC = Free Lossless Audio Codec

คือการบีบอัดข้อมูลแบบไม่มีการสูญเสีย คือแปลงกลับก็ได้ WAV เหมือนเดิม

หลักการก็คล้ายกับพวก Winzip หรือ Winrar ที่เราใช้บีบอัดไฟล์ข้อมูล เวลา Upzip ออกมาก็เป็น ไฟล์ข้อมูลเราเหมือนเดิม ไม่มีพิดเพี้ยน

ฉนั้นเวลาเก็บก็จะประหยัดพื้นที่ HDD กว่าเราเก็บเป็น WAV คือลดขนาดข้อมูลลงมาได้ประมาณครึ่งนึง 50%

ไฟล์ที่คล้ายกับ Flac อีกอันที่นิยมก็คือ APE เป็น การบีบอัดข้อมูลแบบไม่มีการสูญเสียเหมือนกัน

MP3 จะเป็นการลดรูปแบบ Lossy หรือแบบมีการสูญเสีย ขึ้นอยู่กับบีบอัดลงไปมากเท่าใดเช่น 128, 256, 320Kbps โดยที่ไฟล์ 320K จะให้คุณภาพเรียกว่าเทียบเ่่ท่ากับ CD คือลดเฉพาะส่วนที่คนเราแทบสังเกตไม่ได้ เช่น 0000000100000 เป็น 0000000000000 แล้วบีบอัดลงไป

ถ้าเป็นเพลงที่มีความละเอียดสูงฟัง Flac กับ MP3 อย่าง 128 จะเห็นความแตกต่างเยอะมาก เพราะ MP3 จะไปลดขนาดไฟล์ในสิ่งที่ไม่ควรลด.

กรณีคุณ Bank ต้องดูว่า file flac ที่ได้มาถูกบีบอัดมาจาก file ต้้นฉบับที่ดีหรือไม่

ลองเอาไฟล์ WAV ที่ได้มา มาลองบีบอัด เป็น Flac เองก็ได้ ใช้ พวก foobar2000

จากที่ผมเคยนั่งฟังเทียบกับก็ไม่ต่างจาก WAV เลยแต่ประหยัดพื้นที่ HDD กว่า


what is FLAC?

FLAC stands for Free Lossless Audio Codec, an audio format similar to MP3, but lossless, meaning that audio is compressed in FLAC without any loss in quality. This is similar to how Zip works, except with FLAC you will get much better compression because it is designed specifically for audio, and you can play back compressed FLAC files in your favorite player (or your car or home stereo, see supported devices) just like you would an MP3 file.

^
^
^
ขอบคุณมากเลยครับ แต่ผมว่าต้นฉบับของเค้าน่าจะไม่ดีนะครับ พอฟังแล้ว

จะรู้สึกมีหมอกมาบังอ่ะครับ จะไม่ใสครับ ออก จะ ขุ่นๆ นิดหน่อยครับ

ถ้าฟังอันนี้มาก่อนไม่เป็นไรครับ แต่ผมดันได้ฟังอันที่ใส มาก่อน ผมเลยทำใจไม่ได้ครับ

อิอิอิ

แอบมาแจม
อีกรูปแบบนึงของความแตกต่างเรื่องการเข้ารหัส ระหว่าง wav cd quality กับ wav ที่เหนือกว่า cd quality ครับ
http://forum.munkonggadget.com/detail.php?id=18949

^
^
^
เจ๋งครับ พี่นพพงษ์ น่าสนใจมากครับ

คุณ Ota_Hay ทำไมผมโหลดไม่ได้อะ

มันโหลดไงหรอครับ

กดที่ดาวโหลดแล้วมันขึ้นแค่รุป quicktime อะครับ

น่าจะเป็นที่ server มีปัญหานะครับ ผมลองกดโหลดไฟลล์แรก โหลดไม่ได้
แต่ไฟลล์ที่สองโหลดได้ง่ะ ลองโหลดเท่าที่โหลดได้ดูก่อนนะครับ
ไฟลล์ไหนยังโหลดไม่ได้ ค่อยลองต่อพรุ่งนี้

ขอเสริมนะครับค่า bitrate ของเสียงมีหน่วยเป็นkbps(กิโลบิตต่อวินาที) ยิ่ง bitrate ของไฟล์มีค่ามาก ก็คืออัตราการส่งข้อมูลต่อ 1 วิ มีมาก และทำให้เสียงมีคุณภาพตามด้วย
128 kbps หมายความว่า ใน 1 วิที่เราได้ยินเสียงเพลงมีการส่งผ่านข้อมูลดิจิตอลจากส่วนเก็บมายังส่วนแสดงผมมากถึง 128,000 bit ต่อวินาทีเลยทีเดียว - คลื่นเสียงตามธรรมชาติจะเป็นคลื่นเสียงต่อเนื่อง (Continuous Wave) ทีนี้เวลาเราต้องการจัดเก็บคลื่นเสียงให้อยุ่ในรูปดิจิตอล วิธีหลักก็คือ เราต้องสุ่มตัวอย่าง (Sampling) คลื่นเสียง ณ จุดต่างๆมาเก็บไว้ แล้วก็แปลงลักษณะเสียงที่เก็บได้ให้อยู่ในรูปดิจิตอล (แทนค่าด้วยเลข 0 และ 1 ในระบบเลขฐานสอง)
ค่า Sample Rate หรือ Sampling Rate คือการสุ่มจับหน้าคลื่นเสียงดิจิตอล (waveform) ตามแนวขวางของคลื่น หน่วยคือ
hz หรือ khz(กิโลเฮิรตซ์) สมมุติไฟล์เสียงหนึ่งมีค่า sample rate เท่ากับ 8kHZ ก็หมายถึง
ใน 1 วินาที จะมีการสุ่มจับคลื่นเสียงในคลื่น จำนวน 8,000 ครั้ง
ยิ่งกำหนดให้ค่า Sample Rate สูงขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ไฟล์เสียงดิจิตอลที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับต้นฉบับมากขึ้นเท่านั้น ยิ่ง Sample Rate มากเท่าไหร่ ก็จะใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากตามไปด้วย ค่า Simple Rate มาตรฐาน เช่น
audio cd หรือ แผ่นซีดีเพลง มี Simple Rate = 44.1kHZ
เสียงคลื่นวิทยุ FM มี Simple Rate = 32 kHZ
AM มี Simple Rate = 22 kHZ
เสียงจากอินเทอร์เน็ต มี Simple Rate = 8 kHZ
Bit Depth คือ การสุ่มเก็บข้อมูลคลื่นเสียงในแนวตั้ง หรือระดับการเก็บข้อมูลความกว้างของหน้าคลื่น(Amplitude)ครับ
สัญญาณเสียงธรรมชาติหรือแบบอนาล็อกนั้น รูปแบบของคลื่นเสียงจะแกว่งตัวขึ้นลงตลอดเวลา คลื่นเสียงห่างแกนกลางมากก็ยิ่งดังมาก และใกล้แกนก็จะดังน้อย ซึ่งระดับความดังที่ว่านี้มีค่าแตกต่างกันมากมายมหาศาล เพียงแต่หูเราอาจจับได้ไม่ละเอียดพอ
ค่า Bit Depth นี้มีหน่วยเป็น Bit (บิต) 1 bit = 2ยกกำลัง1 2bit= 2ยกกำลัง2 3bit= 2ยกกำลัง3 แบบนี้ไปเรื่อยๆครับ แต่ที่เราใช้งานจริงๆจะมีเพียง 8,16,32 bit ครับ
เวลาเจอไฟล์ที่ระบุคุณสมบัติว่า 44 kHZ, 16 bit เข้า ก็คือ ไฟล์นี้เกิดจากการสุ่มจับคลื่นเสียง 44,000 ครั้งต่อวินาที และในการสุ่มจับทุกๆ 1 ครั้ง จะเก็บระดับเสียงที่แตกต่างกันไว้ 65,536 (2ยกกำลัง16) ระดับนั่นเองครับ ขอบคุณหนังสือ Adobe Audition
ครับที่ให้ข้อมูล

ไฟล์ FLAC (.flac) เป็นไฟล์อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเริ่มได้รับความนิม ไฟล์ประเภทนี้ จะเป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล(Lossless Compression) ปกติแล้วจะบีบอัดไฟล์ให้เล็กลงกว่าไฟล์ WAVE ได้เกือบครึ่งนึง และเมื่อแปลงกลับไปเป็น WAVE คุณภาพจะยังเท่าเดิมครับ

ถ้าแยกระหว่าง FLAC กับ WAVE จากแผ่นเดียวกันออก เทพครับ

ลองหาโปรแกรมแตกไฟล์ FLAC มาเป็น WAVE
แล้วเทียบแบบ SHA1, MD5, CRC-32 กับไฟล์ WAVE ที่ RIP มาจากแผ่นเดียวกัน อีกไฟล์ดู

จะรู้ว่ามันตรงกันทุก Bit ครับ

แล้วที่ฟังออกว่ามันต่างกันนี่หมายความว่า ?
(กลับไปดูอุปกรณ์เครื่องเสียง ที่ซื้อมาในห้องด่วนครับ จะรู้ว่าหลอกตัวเองไปเท่าไรแล้ว)

WAV ไม่ไช่ Lossless นะครับ เพราะเป็นไฟล์เสียงที่ไม่ได้มีการบีบอัดข้อมูลอะไรเลย ส่วน FLAC เป็น Lossless File คือเป็นไฟล์ที่มีการบีบอัดแบบไม่สูญเสีย (บิทเรทจะขึ้นอยู่กับอัตราการบีบอัด ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 700-900 kbps ในขณะที่ WAV อยู่ที่ 1411 KBPS) ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงนี่ ถ้าเป็นเครื่องเล่นทั่วไปคงฟังออกลำบากน่ะครับ ยกเว้นจะไปฟังจาก Music Server กับเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ แล้วฟังเทียบกันทั้งสองฟอร์แมทน่ะครับ (คือเอา WAV ไปแปลงเป็น FLAC แล้วฟังเทียบกันเลย)

^
^
^
ถูกต้องครับ ถ้า mp3 กับ wave ยังฟังออกตรงที่รายละเอียดเล็กๆ ที่ mp3 ไม่มี
แต่ถ้าเป็น Flac กับ Wave นี่ถ้าเป็นเครื่องเสียง hi end ก็น่าจะฟังออก
แต่ถ้าเป็น เครื่องเล่นธรรมดา คงหมดสิทธิ์ล่ะครับ หุหุหุ

ไหน ๆ ก็ขุดขึ้นมาแล้ว
ขออนุญาติคุณแบงค์นะครับ


รบกวนเฮียมั่น หรือทีมงานเวปมั่นคง ช่วยกรุณาลบ เฉพาะ โพสที่ 17 ให้ด้วยครับ(แจกลิงค์)

สงสัยผมหูแหนมอยู่คนเดียว
192kbps กะ apple lossless ยังแยกไม่ออก

ผมก็ฟังไม่ออกครับระหว่าง 320 kbps กะ apple lossless แต่ที่มันเหลืออันไหนชอบฟังก็จัด apple lossless ไปเพื่อความสบายใจครับ ส่วน lossless ของแต่ละเจ้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยฟังแล้วเหมือนกันหมดครับ

หูเทพๆ นี่เปลืองตังจังเลย ผมหูนรกฟังอะไรก็เพราะ สบายกะเป๋า ^^

ถ้าเสียงออกมาไม่เหมือนกันแสดงว่า มีจุดบงพร่องในส่วนของการ encoding/decoding หรือ/และ playback ครับ เพราะ FLAC เป็นการบีบอัดที่จะเก็บรายละเอียดทั้งหมดของเสียงเพื่อที่จะสามารถ duplicate สัญญาณ wav ออกมาได้ใหม่โดยสมบูรณ์ (บีบอัด เพื่อให้สามารถ decompress ออกมาเป็นต้นฉบับเหมือนเดิม) ดังนั้น หากในขั้นตอนของการ compress, decompress และ playback เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ไฟล์ FLAC จะสามารถถูกคลี่ออกมากลายเป็นไฟล์ wav ที่เหมือนต้นฉบับทุกประการ และหากถ้าไม่มีความผิดพลาดในขั้นตอนต่างๆในการเล่น เพลง FLAC และ WAV ก็จะต้องเสียงเหมือนกันทุกประการ (หรือต่างในระดับที่ผู้ฟังต้องมี superpower)

ปัญหาที่เกิดบ่อยๆ คือเวลาที่เรา compress ไฟล์ wav นั้น หลายคนใช้โปรแกรมและ codec ตัวนึง แต่เวลาเปิดอ่าน (คลี่ compression ออกมา) ตัวโปรแกรมของเราไปใช้ codec ที่มี algorithm ที่ต่างกัน หรืออาจจะใช้ player ต่างกันในการเล่นและบีบอัด เสียงมันก็ออกมาต่างกัน หลายคนโหลด FLAC มาจาก internet อาจจะไม่ได้สนใจว่าใครบีบมาอย่างไร โปรแกรมอะไร setup แบบใหน file log ก็ไม่เคยดูอาจเพราะรู้เท่าไม่ถึงการ สิ่งเหล่านี้มันกระทบต่อคุณภาพของเสียงทั้งสิ้น

ผมไม่เชื่อนะ ว่าจะมีมนุษย์สามารถแยกFLACกับWAVที่มาจากแหล่งเดียวกันได้
มันเว่อเกินไปครับ

มันเป็นอุปมาอุปไม ไง ครับ

ผมเห็นด้วยกับคุณ cannibal นะ เพราะว่าตระกูล m4a flac aiff wav สุดท้ายก่อนจะฟังมันต้องมีค่าเท่ากันทุกประการกับ wav (เป็นไฟล์เดียวกัน)เสียงมันควรจะเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันแค่ process ก่อนเข้าหูฟังเท่านั้น

ยกตัวอย่างเหมือนเครื่อง PC
เรามี mp3 เยอะแยะมาก เราจัดการบีบอัดเป็น .zip ทั้งหมด จะประหยัดเนื้อที่เก็บมาก
และเมื่อเราจะฟัง mp3 ไฟล์นั้นเราจะต้อง unzip ออกมาเพื่อฟังทุกครั้ง
จะได้ไฟล์ mp3 เหมือนเดิมก่อน zip ทุกประการ แต่ใช้เวลาและเสียพลังงานส่วนนึงในการ unzip กลับออกมา

มีการพิสูจน์แล้วว่าแปลง wav ไปเป็น lossless(ทุก format) และแปลงกลับเป็น wav จะได้ไฟล์เหมือนเดิมทุกประการ (ทุก bit)

ดังนั้นหากฟังเพลงพวก lossless (flac, m4a) มากๆ แบตก็จะหมดไวกว่าฟังพวก wav แต่เสียงควรจะต้องเหมือนกัน
ปล. อันนี้เป็นความเชื่อทางทฤษฎีของผมนะ แต่ใช้งานจริงเป็นไงไม่ทราบได้

ผมเคยดูสารคดีนึง (UBC:Discovery) เขาใช้คน (คนเท่านั้น) ในการตัดสินว่า ไวน์ ที่ผลิตขึ้นมาเป็นไวน์คุณภาพเยี่ยมหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีเครื่องมือเพื่อทดแทนมนุษย์ในการทำงานดังกล่าวได้ เช่นเีดียวกัน ผมว่าต้องมีคนที่สามารถแยกแยะความสุดยอด หรือ ความแตกต่างของเสียง (ดนตรี) ในระดับที่เราคาดไมุ่ถึงได้เช่นกัน

หูมนุษย์ไม่สามารถฟังส่วนที่ซับซ้อนขนาดนั้นได้หรอก 128kb กับ320kb หูมนุษย์ได้ยินไม่ต่างกันเลยนะ

เอ้าไหน ๆ ก็ขุดกระทู้กันแล้ว ขอคุยมั่ง

พูดถึงไวน์แล้วอิจฉาอาชีพคนชิมไวน์ กับคนชิมเบียร์จริง ๆ เลย