จริงๆ แล้วสินค้าที่ทางแบรนด์ GRADO นั้นชำนาญมากๆ มาตั้งแต่ยุคแรกนั่นคือการผลิต “หัวเข็ม” ครับ และจากนั้นมาปู่โจเซฟ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ก็ได้พัฒนามาเป็นหูฟังแบบ Full Size

ถัดมาเป็นยุคของ ลุงจอห์น กราโด ครับ ซึ่งทุกๆท่าน คงจะคุ้นเคยกันดี และ มายุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่ 3 แล้วของ GRADO ผู้ที่มาสานต่อให้กับลุงจอห์น ก็คือ โจนาธาน นั่นเองครับ สำหรับโจนาธานนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการผลิตรุ่น e Series ในปัจจุบัน

เมื่อ GRADO คิดผลิตหูฟังประเภท in-ear ขึ้นมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างหนักครับ ทว่าลุงจอห์นนั้นไม่ถนัดนักกับเสียงแนว in-ear จึงจำเป็นต้องให้ลูกชายเป็นผู้ทดสอบและร่วมผลิตในยุคแรกๆ ซึ่ง in-ear ตัวแรกของ GRADO จะมี 2 รุ่นคือรุ่น GR8 และ iGi นั่นเองครับ

และในช่วงปลายปี 2010 นั่นเอง ทาง GRADO ประกาศหูฟังรุ่น GR10 ออก ซึ่งเป็นรุ่นที่สูงกว่า GR8 และ iGi ที่เปิดตัวในปี 2009 และก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีพอสมควร ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดหูฟัง In-Ear ของ GRADO ทุกรุ่นนั้น ไม่ได้ประกอบเองจากโรงงานของ GRADO นะครับ แต่จะถูกประกอบที่ประเทศญี่ปุ่นแทนครับ

และในปีนี้เอง GRADO ก็ได้คลอดรุ่น GR10e ออกมา และเช่นเคยครับ เจ้า GR10e นั้นเป็นหูฟัง In-Ear ที่ถูกประกอบที่ญี่ปุ่นครับ ดังนั้นเรื่องงานประกอบจะเป็นมาตรฐานญี่ปุ่นแทนครับ แล้วทำไม GRADO ถึงเลือกประกอบที่ญี่ปุ่นล่ะ????

ในตอนแรกนั้นผมทะลึ่งเดาว่า ลุงจอห์นนั้นแอบซุกกิ๊กไว้ที่ญี่ปุ่นครับ 555

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมว่าทาง GRADO นั้นแม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตแบบ Hand Made ตั้งแต่หัวเข็ม ยันหูฟังแบบ Full Size แต่ใน In-Ear นั้น น่าจะยังไม่ถนัดในด้านนี้มากนักครับ

และ 1 ในเหตุผลหลักที่สำคัญก็คือ ตัว Driver ของเข้า GR10e นี่ต่างหากครับที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง นั่นเพราะ GR10e นั้นใช้ Driver แบบ Moving armatures ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ครับ ซึ่งผู้ผลิต Moving armatures เคลมไว้ว่าแม้ว่าจะใช้ Driver ตัวเดียวแต่ให้ประสิทธิภาพเหมือนใช้ Driver หลายตัวเลยทีเดียว

ในส่วนของอุปกรณ์ที่ GRADO ให้มานั้น นอกจากตัวหูฟัง ก็จะมีจุกซิลิโคนมาให้เปลี่ยน และ ตัว Filter มาให้สำรองอีก 2 ชุด

สำหรับคนที่ชอบเล่นซนจน Filter หลุดล่ะจ้า ซึ่งเจ้า Filter นั้นนอกจากจะป้องกันตัวฝุ่น และ สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในตัวหูฟังแล้ว ยังมีผลต่อเสียงด้วยเช่นกันครับ ......

ใครอย่าเผลอมือไปดึงเล่นเชียว

ส่วนสายของ GRADO GR10e นั้นมีความยาวประมาณ 130 cm. ครับ ตัวสายนั้นแม้จะเส้นขนาดเล็ก แต่มีความยืดหยุ่นดี ไม่รัดตึงจนม้วนงอไม่ได้ ตรงนี้สำคัญครับ ปกติพวกที่ฉนวนสายที่แข็งๆนั้น เวลาเราจะใช้งาน และ ม้วนเก็บบ่อยๆ ทำให้เกิดอาการสายหักในได้ง่าย

และ รุ่น GR10e นั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสายได้นะครับ ตรงจุดนี้ทาง GRADO เค้าตีโจทย์ไว้ว่า อยากให้หูฟัง In-ear นั้น มีขนาดเล็ก และ ไม่เทอะทะครับ เพราะโดยปกติแล้วหูฟังที่เปลี่ยนสายได้ ส่วนมากจะใหญ่และเทอะทะ

บางครั้งทำให้เกิดเอฟเฟคบางประการกับตัวหูฟังนั่นเองครับ ดังนั้น โจนาธาน เลยคิดว่า ทำไมไม่จูนเสียงให้ดีไปเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาสายอื่น แหม่ๆๆ เป็นความคิดที่อินดี้มากๆ 555

บริเวณหัว Adaptor 3.5 mm. นั้น made in japan ชัดเจนครับ

ไม่ได้จ้างแรงงานพม่ามาทำแต่อย่างใด หรือ เรียกใช้เจ๊อ้วนดำในโรงงาน GRADO ครับ 555

ตัว Body ของ GR10e นั้น จะเป็นพลาสติก ที่มีน้ำหนักเบาครับตัวหูฟังนั้นทำสีเป็นแบบเม็ดทรายละเอียด และเคลือบเงาอีกทีครับ ดูแปลกตามากๆ เมื่อเทียบกับ In-ear ทั่วๆไป

และการสวมใส่นั้นก็สามารถใส่ได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องคล้องหลังหูให้เสียเวลาครับ ตรงนี้น่าจะได้ใจผู้ที่ไม่ถนัดในการสวมใส่หูฟังแบบ Monitor ล่ะครับ ^ ^

มาว่ากันที่เรื่องเสียงกันบ้างดีกว่าครับ

สำหรับเจ้า GR10e ตัวที่ผมนำมารีวิวนี้ ผมได้จัดการเผาไปเรียบร้อยแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ชม.ครับ ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้วครับ ปกติแล้วตอนนี้หูฟังที่ผมใช้ประจำ ฟังทุกวัน ทุกคืน ก็คือ GRADO RS1e ครับ ดังนั้นผมจะคุ้นเคยกับแนวเสียงของ RS1e พอควรครับ เวลาเปลี่ยนหูฟังแต่ละครั้งจะต้องปรับจูนหูตัวเองสักพัก ถึงจะตัดอคติออกไปได้ แต่ทว่า อาการแบบนี้ไม่เกิดกับเจ้า GR10e แม้แต่นิดครับ ......

เสียงกลางของเจ้า GR10e นั้น แทบจะถอดแบบรุ่นพี่ออกมาทั้งหมดเลยครับ เสียงร้องนั้นจะพุ่งมาด้านหน้า ฟังสนุก ออกอารมณ์เกรี้ยวกราด มากกว่าละมุนละม่อมครับ และทีเด็ดจริงๆระหว่างเสียงกลางไล่ไปย่านแหลมไม่มีรอยต่อให้รู้สึกว่าฟังแล้วสะดุดแม้แต่นิดครับ เวลาฟังเพลง Rock ที่เน้นเสียงกีร์ตาร์ดุๆ นี่ฟังสนุกมากๆครับ

พอผมเล่าแบบนี้ หลายๆท่านร้องยี้ เพราะคิดว่าย่านแหลมนั้นจะจัดจ้าน แสบหู ตามบุคลิกเสียงดั้งเดิมของ GRADO ในอดีต แต่.....เปล่าเลยครับ แม้ว่าย่านแหลมนั้นจะมาแนว Colour แต่ไม่แหลมขนาดว่าเสียดหู และ บาดหูแม้แต่น้อย ไม่พอย่านแหลมนั้นยังทอดยาวได้ไกล ไม่กุดด้วน แถมปลายแหลมนั้นยังทำได้เคลียร์ซะด้วยครับ มันทำให้รู้สึกว่าฟังแล้วเพลินหูมากๆ ณ จุดนี้ กด Like ให้ 2 ครั้งเลย

แล้วเรื่อง Sound Stage ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง!!! อันนี้ผมถือว่าเป็นจุดแข็งของ GR10e เลยทีเดียวครับ แทบจะไม่น่าเชื่อเลยครับว่า หูฟังตัวแค่นี้ จะให้ Sound Stage ที่โปร่ง และ กว้างพอควรครับ ถ้าเป็นเพลงที่บันทึกเสียงมาดีๆแล้ว ไม่มีอาการเครื่องดนตรีตีรวนให้ได้ยินครับ เสียงดนตรีถือว่าหลุดหัวออกไปไกลพอควร ไม่มีกองตรงหลังคอ หรือกลางขมับหัวล่ะ 555

แล้วเบสล่ะ???? เนื้อเบสนั้นจะออกลูกคมชัด และ จะแจ้งมากครับ ใครที่ว่าชอบฟังหัวโน้ตเบส รับรองว่าชอบแน่นอนครับ จังหวะกระแทกหน้าหน้าหนังกลองนั้นได้ยินชัดๆครับ และเบสนั้นกระชับ และเก็บตัวได้ไวมากๆ ตามมาตรฐาน GRADO เค้าเลยครับ

ถ้าจะให้เปรียบเจ้า GR10e นี้เป็นอาหาร แน่นอนว่าไม่ใช่แกงจืดเต้าหู้ ที่ปรุงรสนิดๆ แต่เหมือนกับต้มยำกุ้ง น้ำข้น ที่สีสันฉูดฉาด แต่ไม่ได้แซ่บมากขนาดฝรั่งกินไม่ได้ล่ะครับ มันเหมือนกับต้มยำที่ใส่นมคาร์เนชั่นซะมากกว่านั่นเอง

หากใครที่ชอบหูฟังที่ให้คุณสมบัติที่เที่ยงตรง ไม่ปรุงแต่ง ผมบอกได้เลยว่าให้มองข้ามหูฟังรุ่นนี้ไปได้เลย หากแต่ว่าถ้าคุณเป็น Music Lover เน้นฟังเพลงให้รู้สึกสนุก ชอบท่วงทำนองดนตรี ผมว่าเจ้า GR10e ถือว่าเป็นนวัติกรรม สำหรับท่านที่ชอบฟังแนวเสียงของ GRADO เลยทีเดียวครับ เหมือนกับที่ฝรั่งเค้าบอกว่า “Old School Meets New Style” นั่นเองจ้าๆๆๆๆ

สุดท้ายแล้ว ขอให้ทุกท่านฟังเพลงให้สนุกนะคร้าบบบบ แล้วพบกันใหม่กับรีวิวหน้าจ้า....แบ๊ะๆๆๆ

By The แพะ

รีวิวได้น่ากลัวมาก ก ก ก ครับ คุณแพะ อ่านแล้วสยองจริงๆ = ="

15000 ก็ยอมวะครับ ถ้าเสียงมันเหมือนรุ่ยพี่ขนาดนี้

ปล. ทำไมเค้าไม่ทำให้สายมันใหญ่ๆแบบรุ่น rs1e อ่ะครับ จะได้แข็งแรงหน่อย555

เท่าไหร่ครับนี่

ถ้าเอามันไปเทียบกับ C6iem หละครับ

แหม่ๆๆ พี่เหน่งบา ผมว่าพี่จิตแข็งพอควรครับ สบายใจได้ 555+

@capocino ตอนจับแรกๆผมก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะทนเหมือนๆกันครับ เลยไปลองค้นๆใน head-fi มาก็ไม่เห็นมีใครมีปัญหาเรื่องสายเลยครับ ฉะนั้นน่าจะทนทานใช้ได้เลยจ้า

@สึโค่ยโดสิส รุ่นนี้ราคา 14,000 บาทประเทศไทยจ้า

@เต้ ถ้าเป็น C6iem พวกดังๆทั้งหลายเจ้า GR10e ยังคงสู้ไม่ได้ในบางเรื่องครับ เช่นเรื่อง scale เสียงที่เล็กกว่า เป็นต้นจ้า แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบบุคลิกเสียงของ GRADO เป็นทุนเดิม ผมว่าก็ไม่มี C6iem ตัวไหนเช่นกันครับ ที่ให้เสียงใกล้เคียงเท่ารุ่นนี้แล้วครับ ^ ^

น้องแพะครับ เปรียบเทียบกับ ostry kc06a ให้หน่อยครับ

เอาไปเทียบ กับ

ZERO SINGOLO
ZERO DOPPIO
DUNU DN2000

เป็นไงบ้าง ดู ยี้ห้อรุ่นนี้ จะ เก่งแหลมไม่บาดหูเอามากๆ

@Noykrub KC06a ตัวนี้เค้าเด่นเรื่องเบสครับ มิติเสียงนั้นยังเป็นรอง GR10e อยู่พอควรเลยครับ เสียงร้องของ GR10e พุ่งกว่าเยอะจ้า

@TTPOD ZERO ทั้ง 2 ZERO ที่ว่ามา เสียงร้องจะ Colour กว่าครับ แหลมนั้นสว่างกว่า GR10e อีกเล็กน้อยครับ โทนเสียง 2 รุ่นที่ว่าจะคล้ายๆกับ UE700 ครับ ส่วน DN2000 ได้เรื่องโทนเสียงที่อุ่นกว่า นุ่มกว่าจ้า แต่ GR10e มันไปทาง Rock ซะมากกว่าครับ ^ ^

ผมจัดแน่นอนครับ ขอตัวเก็บตังก่อนนะครับ ฮิฮิ

555 งานนี้โดนแฟนพันธุ์แท้อย่างเจ้าแพะตัดหน้ารีวิวไปซะก่อน 555 ผมเองว่าจะเขียนเหมือนกัน แต่ไม่สบโอกาสซักกะที ลองอ่านที่เจ้าแพะไกด์ไว้ให้นะครับ 555

นานๆเขียนรีวิวที แต่ยังเขียนได้น่าอ่านเหมือนเดิมครับ ถ้าเสียงมันย่อขนาดลงมาจาก RS1 แล้วเรื่องการสวมใส่เป็นยังไงบ้างครับ ล้าหูมั้ย(เทียบกับ inearทั่วๆไป) เจ้า RS1 นี่เสียงมันใช่ แต่ L Clus นี่ ขนาดใช้มา 3-400 ชั่วโมงแต่ผมยังใส่ได้ไม่นานเท่าไหร่ ถึงจะดีกว่าช่วงแรกๆ กลัวจะหนีเสือปะจรเข้นะครับ555

เรื่องการสวมใส่นี่สบายๆเลยครับพี่ tangkoo ไม่ต้องใส่คล้องหลังเลยครับ แถมจุกรุ่นนี้ซีลเสียงดีซะด้วยครับ ใส่ได้นานชัวร์ครับ

ปล. RS1e ผมตอนนี้ใส่ได้สบายๆเช่นกันครับ ปราบพยศเรียบร้อย 555

ขอบคุณมากครับคุณแพะ กราโด้ตัวแรกที่ซื้อ ก็เพราะคุณแพะนี่แหละ555
จริงๆตอนนี้ RS1 ก็ใส่สบายกว่าตอนแรกเยอะครับ สงสัยต้องปราบพยศอีกซักนิด555

พี่ tangkoo นี่ก็แฟนพันธุ์แท้เจ้าแพะเหมือนกันนะครับ 555

ดันหน่อยคร้าบ

ตอนนี้หูฟัง GR10E ยังมีของนะครับ แฟน Grado ที่อยากได้ตัวพกพา ลองหาเวลามาฟังด้วยล่ะ 555

GR10E ถ้าเทียบกับ SR325E ไม่นับพกพา นับแต่คุณภาพเสียงล้วนๆ ตัวไหนดีกว่ากันหรอครับ แนะนำผมที