Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

อนาคตที่ไม่แน่นอน กับอาชีพในปัจจุบัน มีความเห็นยังไงกันบ้างครับ

nopphong

05/07/2009 19:18:49
5
พอดีวันนี้มองๆไปเห็นพนักงานขายหน้าร้าน มองเห็นแล้วก็คิดว่าเขาจะคิดกับอนาคตของเขายังไง เพราะสมมุติว่าอีกสิบปี เขาอายุมากขึ้น แน่นอนมันคงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพนักงานขายแน่นอน เงินเดือนรึก็คงไม่ได้ขึ้นอีกเพราะมันก็จะสูงเกินกว่าที่ทางร้านจะให้กับตำแหน่งพนักงานขายของเขา ความรู้รึก็ไม่ได้มีติดตัวอะไรไป จะบอกว่าสะสมเงินไว้ทำอาชีพอื่นรึก็ไม่น่าจะได้เพราะด้วยค่าใช้จ่ายในปัจจุบันแค่เอาตัวรอดไปเดือนๆนึงเท่านั้น

คิดแล้วหลายๆอาชีพก็คงไม่ต่างกัน เช่นจบมาด้านปิโตรเคมี เชื่อได้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าน้ำมันจะหมดโลกหรือไม่ก็น้อยลงจนต้องปลดคนงานออก หรือจบด้านช่างยนต์ ที่อีกหน่อยรถคงจะเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้าหรือระบบอื่นๆกันหมดจนความรู้ช่างยนต์ในปัจจุบันก็เอาไปใช้ไม่ได้

หรืออย่างอาชีพรับซ่อมอย่างผมถ้าอีกหน่อยของมันถูกจนซ่อมไม่คุ้ม หรือตาไม่ดีพอจะทำงานละเอียดๆ

และอีกหลายๆอาชีพ คิดแล้วกลุ้มครับ เพราะทุกวันนี้เชื่อว่าหลายคนที่มีรายรับพอเอาตัวรอดเท่านั้นไม่ได้มีรายรับเหลือเผื่ออนาคตเลย
เพื่อนๆคิดกันกับสถานะการณ์แบบนี้ครับ เราจะเอาตัวรอดกันในอนาคตอย่างไร มาลองคิดกันให้ปวดหัวเล่นๆกันดีกว่า อิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

Pak12

05/07/2009 19:30:05
0
มันก็อย่างงี้ละนะครับไม่มีไรแน่นอน คนที่คิดว่าจะได้แสดงคอนเสริตเร็วๆนี้ยังหัวใจวายซะก่อนเลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

club595

05/07/2009 19:38:16
0
ความแน่นอน..คือ..ความไม่แน่นอน ^^\"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

iMPulS3

05/07/2009 19:44:18
0
ถ้าเราไม่มีการพัฒนาหรืออัพเกรดตนเองก็จะจบอยู่ตรงนี้แหละครับ

เรียนซ่อมเครื่องยนต์มาต่อไปเป็นระบบไฟฟ้า ก็ต้องหันไปซ่อมไฟฟ้าให้เป็นซ่อมให้ได้

ปัจจุบันก็เห็นกันอยู่แล้วครับ เครื่องดีเซลอยากแรงเปลี่ยนเป็นเบนซิน อ้าว น้ำมันแพง ติดก๊าซ

อาชีพเขาก็พัฒนาขึ้นไปอีกทั้งๆที่เขาอาจไม่ได้จบช่างยนต์มาด้วยซ้ำครับ แต่ได้ประสบการณ์ครับ

บางวันผมทำงานอยู่ก็มีเซลแบกเตียงมาขาย เตียงนะครับ เตียงไซต์เล็กแต่ขนาดมาตรฐาน

แบกเดินขายกัน ? ผมยังคิดเลย เหนื่อยก็เหนื่อย หนักก็หนัก ปวดหลังก็ปวดหลัง แล้วใครจะซื้อ ?

ทุกบ้านเขามีกันอยู่ละ ถ้าคิดจะซื้อก็เข้าร้านใหญ่กัน แต่ด้วยความไม่มีงานทำและไม่เลือกงาน

ก็ต้องทำเพื่อหาเงิน สู้ชีวิตกันไป ...

เกิดมามีหูฟังดีดีใช้นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ 555+
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

pun

05/07/2009 19:45:00



ผมเป็นชาวสวนครับ ไม่ร่ำรวยแต่ก้อมั่นคงดีครับ พอ อยู่ พอกิน เศรษฐกิจพอเพียงครับ
แต่ก้อบ้าพวกหูฟัง เครื่องเสียงบ้านครับ ทำไงได้ก้อมันชอบนี่ครับ อิอิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

ota_hay

05/07/2009 20:09:04
3
ดิ้นรนครับ

ผมเคยทำงานร้านคอมพิวเตอร์ เริ่มจากตำแหน่งพนักงานขับรถ ส่งคอมพิวเตอร์
และติดตั้งคอมพิวเตอร์ให้ที่บ้านลูกค้า จากคนซ่อมคอมไม่เป็นเลย เขียนแผ่นด้วย nero ก็ไม่เป็น
ต้องให้แฟนทำให้ แต่ที่เขาจ้างเพราะผมขับรถเป็น มีใบขับขี่ครบถ้วน
แล้วผมก็ค่อย ๆ ศึกษา ทั้งจากเจ้านาย จากรุ่นพี่ จากเพื่อนร่วมงาน และจากอินเตอร์เน็ต
ผมก็ก้าวหน้าจนแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ ก็ไม่ต้องออกไปขับรถ ยกคอมข้างนอกแล้ว
อยู่ช่วยที่ร้านซ่อม และแน่นอน เงินเดือนเยอะขึ้น.....+กับว่าผมคุยกับลูกค้าค่อนข้างดีมาก
ดูแลลูกค้าเก่ง ตอบคำถามทางเทคนิคได้ จนได้เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายการตลาด
ก็ได้เงินเยอะขึ้นจากคอมมิชชั่น ทีนี้เลยควบสองตำแหน่งเลย ทั้งขายทั้งซ่อม แถมมี job ส่วนตัวอีก
.....แต่แล้วทุกอย่างก็จบลง เพราะผู้บริหารปลด ผู้จัดการ กับรองผู้จัดการออก
แล้วก็ทยอยปลด คนอื่นๆ รวมทั้งผมออก ตั้งแต่เมษาปีที่แล้วด้วยเหตุผลว่า จะโละระบบเก่าทิ้ง
ฟังแล้วก็สงสัยว่า ระบบเก่าไม่ดียังไง? แต่ก็ช่างเหอะ ดีของเราอาจจะไม่ดีพอสำหรับเขา
โดนไล่ออกแล้วนี่ คิดไปก็เท่านั้น ผมก็เลยเป็น ช่างคอมพเนจร ตั้งแต่เมษา 51เป็นต้นมานั้นมา
....ก็รับงานซ่อมตามบ้าน มีกินบ้าง อดบ้าง พอรอดไปวัน ๆ
จนเมื่อ พฤษภาคม 52 ที่ผ่านมาก็ได้รับเป็นลูกจ้างชั่วคราว ทำงานดูแลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของ รร.รัฐแห่งนึง
ค่าแรงก็ไม่มากไม่มายเท่าไหร่ แต่ดีกว่าปีนึงที่ผ่านมาแน่ ๆ พอเข้ามาอยู่ตรงนี้ ก็มองเห็นลู่ทางต่อไปแล้วว่า
ผมจะดิ้นรนไปยังไงต่อ ให้ได้ติดปีกกับเขาบ้าง

กับชีวิตที่ไม่แน่นอน ผมไม่เคยคิดเผื่อไปไกลมากนัก เพราะตัวเองก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว
ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน แต่ตราบที่ผมยังมีแรง มีสติปัญญา ผมจะเอาเวลาที่ยังมีเหลือ
พยายามดิ้นรนทำเงินให้ได้มากที่สุด ไว้ให้แม่ยามแก่เฒ่า ส่งแฟนให้ได้เรียนต่อสูงกว่านี้
หากมีโอกาสตรงไหนใช้ความรู้ความสามารถ ทำเงินได้ ผมจะใช้ไม่ให้เสียเปล่าครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

Estheria Von Aesir

05/07/2009 20:33:48
0
การยึดสิ่งเก่าๆก็จัดว่าเป็นเรื่องที่ดี

แต่การรับสิ่งใหม่เพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่ออยู่รอดก็สำคัญ

ไม่ว่าปัญหาจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างมีทางออกเสมอ

ขอเพียงแค่เปิดใจยอมรับความจริงของปัจจุบัน

แล้วปรับตัวกับทุกสิ่งที่เปลี่ยนไป

คงจะมีทางออกสำหรับทุกคนอย่างแน่นอน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

ซิลเวอร์

05/07/2009 21:04:50
0
ผมยังเรียนไม่จบเลย

T^T

เข้ามาอ่านแล้วก็กลัวกับความไม่แน่นอนในอนาคต
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

TOON

05/07/2009 21:06:34
0
\\\"เช่นจบมาด้านปิโตรเคมี เชื่อได้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าน้ำมันจะหมดโลกหรือไม่ก็น้อยลงจนต้องปลดคนงานออก\\\"

อ่านแล้วไม่เห็นด้วยครับ

น้ำมันไม่หมดโลกง่ายๆครับแค่จะเอาขึ้นมายากขึ้น ทุกวันนี้น้ำมันในแต่ล่ะแหล่งเอาสามารถขุดเอาขึ้นมาได้สูงสุดแค่ 60% เท่านั้นเอง ถามว่าทำไมถึงไม่ Recover ให้ได้มากกว่านั้น ก็เพราะไอ้ 40% ที่เหลือต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยซับซ้อนและราคาแพงมากขึ้น (Tertiary recovery) ในการเอามันขึ้นมา ทำให้ต้นทุนสูง ราคาจะแพงขึ้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อีกหลายส่วนที่ยังสำรวจไม่ทั่วถึง หรือว่าบางพื้ที่เคยสำรวจโดยใช้เทคโนโลยีเก่าเกินไปทำให้อาจไม่เจอ ตัวอย่างเช่นประเทศไทยที่นักวิชาการด้านปิโตรเลียมหลายคนเชื่อ่ามีน้ำมันแต่ยังหาไม่เจอเนื่องจากโครงสร้างทางชั้นหินและดินที่เอื้ออำนวยในทางทฤษฏี ฉะนั้นยังไม่หมดโลกง่ายๆหรอกครับ ไม่มีวันหมดโลกแน่ 100% แต่เอาขึ้นมาไม่ได้ต่างหาก

แม้ว่าน้ำมันจะหมดโลกจริง น้ำมันก็ไม่ได้เป็น carbon source แหล่งเดียวในโลกนี้ซักหน่อย ยังมีแก็สธรรมชาติ ถ่านหิน ซึ่งมีเหลือเยอะกว่าน้ำมัน เอามันมาผลิต Synthesis gas (CO+H2) ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นทางสำคัญในการผลิตน้ำมันสังเคราะห์และ petrochemical feedstock (GTL Gas to liquid process)โดยผลิตผ่านอินเทอร์มีเดียตอย่างเมทานอล เช่น MTO (metal to olefin) MTG (Methanol to gasoline) หรือผลิตดีเซลโดยใช้ fisher tropsch process แต่ในขณะนี้ต้นทุนยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับน้ำมันปิโตรเลียม ถ้าเอามาใช้จริงก็ทำให้น้มันมีราคาแพงกว่าปัจจุบัน

นอกจากแก็สธรรมชาติ ถ่านหิน ยังมี ซากพืชที่สามารถเอามาทำเป็น Synthesis gas (CO+H2) ได้อีก เรียกว่า Biomass gasification process ซึ่งไม่มีวันหมดโลกแน่นอน 555 แต่ต้นทุนสูง และคุรภาพต่ำกว่า สิ่งเจือปนเยอะกว่า หรือผลิตน้ำมันจากขยะที่เป็นพลาสติกพวก polyolefin ที่มีโครงสร้างคล้ายน้ำมันแต่ยาวกว่า นอกจากนี้ยังมี Bio-refinery คือการผลิต petrochemical จากกระบวนการทางชีวภาพ ง่ายๆ เช่น ผลิตเอทานอลจากการหมักโดยกระบวนการทางชีวภาพ ผลิตH2จากการหมักขยะ ผลิต สารเคมีอืนๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่ในขณะนี้ต้นทุนบางอย่างยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังมี oleochemical industry หน้าที่เหมือนPetrochemical industry คือผลิตสารเคมี แต่มันผลิตจาก น้ำมันไขมัน แทนซึ่งเป็นวัตถุกิบที่ดีในการผลิตสารเคมีในกลุ่มที่มีจำนวนคาร์บอนเยอะๆ C14-C16 เช่น surfactant

กระบวนการต่างๆที่ใช้ในการผลิตสารเคมีนั้น มีค่ามากกว่าที่จะผลิตมาเพื่อ\\\"เอามันมาเผาไหม้ให้โลกร้อน\\\" เพราะSynthesis gas (CO+H2 มันเอาไปทำเป็น petrochemical product ได้มากกมายและมีมูลค่าสูงกว่า แนวโน้มก็เลยจะใช้สิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว มีเหลือเฝือ มาเผาไหม้แทนน้ำมันในรถยนต์ ซึ่งหลายคนพยายามยัดเยียดให้เป็นเอทานอล กับ ไบโอดีเซล ซึ่งจริงๆแล้วมันเอามาทำอะไรได้อีกเยอะมากกมายกว่า จะเอามันมาเผา นอกจากจะเหลือมากมายเกินความต้องการ 555 และสิ่งที่เราจะเอามาเผานั้นจะต้องเข้า concept closed carbon cycle คือ ไม่มีการผลิต CO2 ใหม่ แค่หมุนเวียน CO2 เก่าที่เราปล่อยมาใช้ใหม่ โดยเอามันไปเติมพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยใช้ photosynthesis นั่นเอง หรือที่เรียกว่าพลังงานสะอาด ไม่สร้าง CO2ใหม่ให้โลกร้อน

จะเห็นว่ามีทางเลือกมากมายตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ดับ ปัญหาโลกร้อนดูจะร้ายแรงและเร่งด่วนกว่าน้ำมันหมดโลกนัก ถ้าโลกและระบบนิเวศถูกทำลายทุกอย่างที่กล่าวมาก็จบ คุณรู้หรือไม่ว่าสถานะการปัจจุบันร้ายแรงถึงขั้นวิกฤตจากน้ำมือของปะเทสที่เห็นแก่ตัวไม่มีกี่ปรเทศในโลก ยุโรปยังดีเพราะมันรู้ว่ามันใกล้จมทะเลแล้ว แต่ไอ้อเมกันนี่แหละผู้ร้ายตัวจริง ตัวปล่อย CO2 มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และมันเห็นแกตัวเอาแต่ความสบายของแม่ง ใครจะอยู่อเมริกาแล้วจะรู้ว่าแม่งใช้พลังงานฟุ่มเฟือยมากๆ สังคมมันก็บริโภคนิยมไม่รู้จักพอ เกลียดแม่งจริงๆ ผมล่ะดีใจจริงๆที่เศรษฐกิจมันล่มจม และขอให้มันล่มจมต่อไป เห็นชัดๆพอมันล่มราคามันน้ำมันตกเพราะดีมานของประเทสแม่งหด ตัวแดกน้ำมัน

ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีพร้อมในขั้นหนึ่ง เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมในการนำมันออกมาใช้ เมื่อต้นทุนคุ้มในเชิงเศรษฐกิจ และคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลาการด้านปิโตรเคมีนั้นจะเป็นที่ต้องการหรือไม่ในเวลานั้น

\\\"Go Green with Bioresources\\\"
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

TOON

05/07/2009 21:17:04
0
\"อนาคตที่ไม่แน่นอน กับอาชีพในปัจจุบัน\" แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการมีรัฐบาลที่ดีที่เน้น การกระจายรายได้ ความเสอภาคเท่าเทียมกัน ตราบใดที่เรามีผู้นำที่ไว้ใจได้และทำเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง อย่างอเมริกัน ซึ่งมันยากยิ่งนักและอาจเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันและคนส่วนหนึ่งในประเทศยังมีการศึกษาไม่เพียงพอที่ไม่ฉลาดพอที่จะเลือกผู้นำที่ดีได้ การเลือกตั้งเลยไร้ประสิทธิภาพไม่เหมือนอเมริกัน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

TOON

05/07/2009 21:28:16
0
ตัวอย่างง่ายๆ บางผู้นำเอาทรัพยากรธรรมชาติของส่วนรวมเช่นก๊าซไปขายเพื่อเอาประโยชน์เข้ากลุ่มคนบางกลุ่มแทนที่เอามาแบ่งให่คนทั้งชาติ บางผู้นำก็ใช้อำนาจเก่าในการเอาเปรียบคนอีกกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งเป็นคนล่ะกลุ่มกัน 555 เลย....) เราต้องการผู้นำที่เป็นกลางผู้นำ ที่ไว้ใจได้และทำเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นเอง เมื่อระบบดี สร้างงาน สร้างการศึกษา สัวสดิการสังคม ประเทศที่มีทรัพยาการสมบูรณ์อย่างไทยก็คงไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

ANUBIS

05/07/2009 21:49:41
0
ผมทำงานสายการบินครับ
ตกงานมาได้หลายเดือนเนื่องจากการปิดสนามบิน สายการผมขาดทุนยับปลดพนักงานแทบจะหมด

ตอนนี้พึ่งสอบเข้านกแอร์ได้ ค่อยโล่งใจหน่อย

สายการบินเมื่อก่อนนั้นรุ่งเรืองครับ แถมงานสายนี้ยิ่งอายุมากยิ่งมีค่า เพราะกว่ามันจะเก่งกินเวลา 10 ปีขึ้น
ฉะนั้นหากินได้นานครับตอนที่ทำงานเก่า ป๋าในแผนกอายุเกิน 60 ทุกคนเค้าก็ยังจ้างมาคุมช่างหนุ่มที่ยังไร้ประสบการณ์และเป็นคนจัดการเอกสารต่าง เป็นหัวหน้าแผนกบ้าง ซุปเปอร์ไวเซอร์บ้าง และจ้างไปอีกนานทั้งๆที่อายุอย่างพวกป๋าน่าจะหยุดได้แล้ว

แต่สมัยนี้ทุกสายงานแย่หมดครับแม้กระทั่งสายการบินที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ช่วงนี้ซบเซามาก
ไหนจะพิษเศรษฐกิจเล่นงานไหนจะไข้หวัดสายพันธ์ใหม่อีก สารพัด

เวลากำไรน่ะมหาศาลแต่เวลาขาดทุนนี่หนาวๆร้อนๆกันเป็นแถว

จนผมคิดว่าทำงานเก็บเงินแล้วยังอยากมีกิจการส่วนตัวเลยครับ เหนื่อยกับความไม่แน่นอนในสายงานนี้ในมัยนี้จริงๆ


แต่ยังไงก็ขอให้ทุกท่านต่อสู้อย่างเต็มความสามารถครับ มีขึ้นย่อมมีลง และมีลงมันย่อมมีขึ้นเป็นธรรมดา
ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ แต่ตอนนี้ หลบฝนอยู่ในที่ตั้งกันให้ดีแล้วกันน่ะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

ANUBIS

05/07/2009 22:02:54
0
\"อนาคตที่ไม่แน่นอน กับอาชีพในปัจจุบัน\" แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการมีรัฐบาลที่ดีที่เน้น การกระจายรายได้ ความเสอภาคเท่าเทียมกัน ตราบใดที่เรามีผู้นำที่ไว้ใจได้และทำเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง อย่างอเมริกัน ซึ่งมันยากยิ่งนักและอาจเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับประเทศนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันและคนส่วนหนึ่งในประเทศยังมีการศึกษาไม่เพียงพอที่ไม่ฉลาดพอที่จะเลือกผู้นำที่ดีได้ การเลือกตั้งเลยไร้ประสิทธิภาพไม่เหมือนอเมริกัน
----------------------------------------------------------------------
เห็นด้วยแต่ขอแย้งนิดๆน่ะครับ
เรื่องของอเมริกานั้น

ในยุคของ บุช รู้ไหมครับว่ามีการเดินขบวนไล่บุชนั้นก็หลายครั้งอยู่ มีประชาชนบางส่วนประท้วงการทำงานของบุชก็ออกจะบ่อย

และประชาชนส่วนใหญ่เบื่อบุชเต็มทน ที่ต้องเอาลูกหลานเค้าไปตายในสงครามปลดปล่อยอีรัก

พ่อแม่นับหมื่นนับพัน ต้องขาดลูกไปในพริบตาจากความ อยากได้ผลประโยชน์ในตะวันออกกลางของบุช

รู้ไหมครับ เคยมีคนถามคนอเมริกันคนนึงว่า ทำไมไม่รวมหัวกันทั้งประเทศแล้วไล่ บุชออกไปซะ ?

เค้าตอบว่า \'\' บุชเลือกตั้งเข้ามาได้คะแนนเสียงเข้ามาเป็นผู้นำ แต่ถ้าเลือกมาแล้วเค้าทำงานได้ไม่ดี คนอเมริกันพร้อมจะรับผิดชอบความผิดพลาดนี้เป็นบทเรียน เค้าเคารพความเท่าเทียมกัน พร้อมกันหมดเพราะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงซะการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็มีขึ้นอีก \'\'
เค้าพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งที่เค้าเลือกมา แม้ว่าจะไม่ชอบและรู้ตัวว่าเลือกพลาดก็ตาม

\'\'การศึกษาไม่ได้ตัดสินหรอกครับว่าคนที่เราเลือกมาจะดีหรือไม่ดี นี่ขนาดคนอเมริกามีการศึกษาแทบหมดน่ะ\'\'

สุดท้ายบุชก็ขายไม่ออกอีกต่อไป....ตามที่คาด พรรครีพรับบริกันไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดโมแครตได้ไปหรือโอบาม่าของเรานั่นเอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

นายมั่นคง

05/07/2009 22:34:45
0
เรื่องนี้ยิ่งคิดบางครั้งก็ยิ่งกลุ้มครับ คือคิดไปคิดมา ไม่ไปไหนซักที และก็แก้ไขอะไรไม่ได้เลยด้วย และแถมทำให้สลัดตัวเองไม่ออกจากความคิดเหล่านี้....

ทุกวันนี้ ผมมีวิธีอยุ่อย่างหนึ่ง ซึ่งผมว่ามันพอจะคลายความกลัดกลุ้มเรื่องความไม่แน่นอนได้ ก็คืออย่าปล่อยให้ตัวเองว่างครับ การปล่อยให้ตัวเองว่างมากๆๆ ความว่างมันจะกลัดกร่อนความขยันไปเรื่อยๆๆ ครับ

ต้องหาอะไรทำมันไปตลอด คือต้องไม่อยู่เฉย ท่านพุทธทาสภิกขุได้สอนไว้ว่า สุขจริงแท้มีแต่ในงาน อันนี้เป็นเรื่องจริง เราต้องหาอะไรทำให้ตัวเราไม่ว่าง และเมื่อตัวเราไม่ว่าง ก็จะมีงานที่ผลิตออกไปจากตัวได้แน่นอน ไม่ว่าเราจะหยิบจับอะไร ถ้าทำแล้ว ต้องได้งานออกมาแน่นอน....ไม่มากก็น้อยล่ะ

จะรดน้ำพรวนดิน จะอ่านหนังสือ จะเขียนหนังสือ จะทำอาหารเลี้ยงสมาชิกในบ้าน ล้วนแล้วแต่เป็นงานครับ....


ต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง...........พอเราไม่ว่าง ความคิดฟุ้งซ่านมันเกิดยากครับ ทำให้เรามีสมาธิ และมีความสุขุมในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น


555 ผมเองก็เอาตัวแทบไม่รอดเหมือนกัน นึกว่าอ่านสนุกๆๆ ล่ะเน้อ.....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

บุค

06/07/2009 00:00:35
0
กระทู้ดีมากๆเลย ครับ ปกติผมชอบอ่านอย่างเดียวอะครับ ไม่ค่อยได้พิม

ส่วนตัวผมนั้นยังเรียนอยู่ ครับ แต่ที่บ้านก็มีกิจการ ขายแบตเตอรี่รถยนต์ แถวฟอร์จูนอะครับ

เมื่อก่อน ช่างที่ร้านผมก็ มี 4คนอะครับ แต่ตอนนี้เหลือแค่คนเดียว ช่างที่ออกไปเค้าก็ต้องการความเจริญอะครับ เพราะทุกคนอยากรวย อยากให้ครอบครัวสบาย แต่ผมได้คุยกับช่างได้ช่วยงานที่ร้านตั้งแต่ผมเด็กๆอะครับ ความคิดของผมก็ไม่ได้มองจากทางเจ้าของกิจการ หรือ มองจากลูกน้องเป็นหลักอะครับ ผมเห็นใจทั้งสองฝ่าย นะครับ งานวันไหนเยอะ เค้าก็ไม่ได้เงินเพิ่มขึ้น แถมจะไม่อยากไปทำก็ไม่ได้

แต่ผมคิดว่าอนาคต ถ้า รถยนต์เปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้าหมด ทุกคนก็คงต้องไปศึกษาต่ออะครับ คนเราก็ต้องพัฒนา ไปเรื่อยอะครับ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ถ้าอยากเราจะอยู๋บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข เราจะมานั่งรอโอกาส คงไม่ได้อะครับ

อาชีพในปัจจุบันอาจจะไม่ใช้อาชีพที่เราชอบแต่มันทำให้เราอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้แต่ผมคิดว่าทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดอะครับ ไม่ไปโกง ไม่เอาเปรียบคนอื่น แล้วศึกษาความรู้ใหม่ตลอดเวลา ผมว่าอยู่กันได้แน่นอนครับ

เพราะผมคิดว่า ไม่มีใครรู้จริงได้ทุกเรื่องอะครับ ต้องมีซักเรื่องอะครับ ที่เราสามารถจับมาเป็นอาชีพ และเลี้ยงตัวเราได้

ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ 555 ทำให้ผมนั่งพิมตั้งนาน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

SquidMan.ExE

06/07/2009 00:37:30
0
ผมเองเมื่อก่อนเรียนจบสถาปัตย์ เรียนป.โท มา ตอนนี้ช่วยที่บ้านย่างหมูสะเต๊ะขาย...

ตอนเรียนจบก็อยากใช้อะไรที่มันเรียนจบมาให้คุ้มค่า... แต่ดันหาเงินได้ไม่คุ้มกับค่าเทอมที่เสียไปเลย... แต่ไอ้การทำงานประจำทำงานออฟฟิศนี่แหละ... ทำให้เรารู้จักคำว่า Gadget และเสียตังค์กับมันไปโดยที่ไม่เหลือเงินเก็บเลยล่ะ...

กิจการที่บ้านขยาย... ผมออกจากงานมาช่วยที่บ้านทันทีไม่มีลังเล... ทันทีทันไดลาออกแบบไม่มีข้อพิพาทกับใครในออฟฟิศ... ได้แต่บอกว่าต้องออกมาช่วยที่บ้านทำงาน... แต่ทุกคนก็รู้แหละว่าบ้านผมขายหมูสะเต๊ะ...

ทุกวันนี้กิจการไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน... แต่ก็ยังย่างหมูสะเต๊ะขายอยู่ครับ...
เงินพอมีพอใช้ หารายได้จากทำงานจ๊อบบ้าง...
แต่ยังเสพสุขกับเสียงเพลงไม่ขาดสายเหมือนเดิม... (อาจจะเหลือแค่ฟังก่อนนอนก็เหอะ)...

เรื่องของงานกับคนผมว่าวัดกันไม่ได้หรอกนะว่าควรทำอะไรมากกว่ากัน...
มันเป็นมุมมองส่วนบุคคล... ถ้าเป็นผม ผมก็บอกว่าทำกิจการแหละดีกว่าทำงานประจำ... ทำมากก็ได้มาก... แต่ถ้าหากทำงานใหม่ๆแล้วทุนน้อยเงินเก็บน้อยออกมาทำกิจการก็จะทำให้มีปัญหาเหมือนกันหากทุนไม่ยาวพอแลัวต้องฟกช้ำดำเขียวกับธุรกิจใหม่ซึ่งยังไม่แน่นอนกับตัวเอง...
บางครั้งกลับไปคุยกับพี่ๆที่ออฟฟิศเดิมก็ยังคิดว่าทำงานประจำดีกว่าเพราะไม่รู้จะออกไปทำธุรกิจอะไรดี... สินค้าตัวเองก็ไม่มี...
ยุคนี้ทำค้าขายก็ต้องลงทุนสูงเหมือนกันครับ...
ยังงัยคิดดีๆก่อนที่จะย้ายฝั่งเพราะว่าถ้าทำแล้วมันไม่ใช่ตัวเราก็ไม่มีความสุขนะครับ...

ผมมีเพื่อนที่ทำงานออฟฟิศแล้วอยากออกมาค้าขาย พอออกมาสนุกอยู่ไม่นานก็รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองก็มี

ผมว่าทำอะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์กับชีวิตตัวเองดีกว่าครับ

ถ้ายังไม่มีภาระที่ต้องดูแลนะครับ หากต้องมีภาระดูแลนอกจากตัวเองแล้ว ถ้าทำงานประจำอาจจะต้องมีร้อนๆหนาวๆก็ตอนที่เค้าเชิญคนออกนี่แหละ...

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามขอให้มีความสุขและมีขอให้มีหัวพัฒนาเกี่ยวกับอาชีพนั้นๆนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

ota_hay

06/07/2009 01:01:49
3
^
^
อ่านแล้วหิว ดึก ๆ แบบนี้ไม่มีขายด้วย ง่า นึกภาพแล้วได้กลิ่นหมูสเต๊ะย่าง หอม ๆ เสียงน้ำมันจากหมูหยดโดนถ่านร้อน ๆ โอ๊วอยากกิน ๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

กุ๊ดจี่

06/07/2009 05:40:45
อืม ขอตอบแบบที่มาอาศัยอยู่ที่อเมริกามา 4 ปีได้ซักหน่อยนะครับ

ดด้วยความที่ว่าประเทศนี้นั้นมีลักษณะภูมิประเทศที่มันใหญ่เกินไป การใช้พลังงานนั้นมันก็เลยเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมไม่ได้หมายถึงทั้งภูมิประเทศทั้งประเทศนะครับ เอาแค่เมืองต่อเมืองก็พอ

ขออธิบายลึกลงไปอีกนิดนึงแล้วกันนะ เช่นเมืองที่ผมอยู่ชื่อ Bellevue เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ติดกับ Seattle เมืองที่ใหญ่ที่สุดของบริเวณนี้

ซึ่งละแวกนี้นั้นเค้าจะเรียกว่าเป็น county ที่เรียกว่า King county (ไม่ใช่ country นะ) ซึ่งก็อยู่ในรัฐ Washington

ลำพังเองตัวเมือง Bellevue เองก็กว้างขวางพอควร แล้วคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำงานเมืองนี้ทั้งหมด ต้องข้ามฝั่งไปทำงานที่ Seattle หรือเมืองใกล้เคียง ๆ อีกเช่น Redmond (Microsoft ตั้งอยู่ที่นี่) หรือ Renton (Boeing) ซึ่งถ้า Redmond ก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ไป Seattle นั้นกินเวลาราว ๆ 30 นาที และ Renton ก็ราว ๆ ชั่วโมงนึง

ยังไม่นับถึงว่าต้องออกไปไกลกว่านี้ซึ่งก็กินเวลามากกว่าเดิม แล้วรถที่วิ่งบน free wayนั้นก็ติดสุด ๆ เหมือนกัน

ดังนั้นการใช้พลังงานน้ำมันนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจจะบอกได้ว่าทำไมไม่สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัยเหมือนในญี่ปุ่นล่ะ

มันยากครับ เพราะขนาดประเทศต่างกันเยอะ

ว่ากันถึงเรื่องยุค Recession หรือเศรษฐกิจล่มในอเมริกานั้น มันเกิดมาจากปัจจัยใหญ่ ๆ 2-3 ปัจจัยแหละครับ

ที่รู้ ๆ กันก็คือ สงครามนั่นเอง สหรัฐอัดเงินลงไปกับสงครามเยอะมาก ทั้งเงินเบี้ยเลี้ยง ด้านอาวุธต่าง ๆ และด้านการซ่อมบำรุง

ประเด็นอีกประเด็นก็คือการล่มสลายของบริษัทใหญ่ ๆ อันเนื่องมาจากการโดนฟ้องล้มละลาย เช่น Enron ในปี 2001 และ Lehmann Brother เมื่อปีที่แล้ว รวมไปถึงบริษัทที่จ่อจะโดนฟ้องล้มละลายอย่าง General Motors ที่ถูกผลพวงของราคาน้ำมันแพง อันเนื่องมาจากผลพวงจากสงครามนั่นเอง

อีกประเด็นที่สำคัญก็คือ การเฟ้อของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดบ้านในอเมริกาโตมากเกินความพอดี อันเนื่องจากการปั่นราคาของ real estate agent

เมื่อผนวกกับพิษเศรษฐกิจจากสภาวะสงครามและการถูกฟ้องล้มละลายข้างต้นนั้น ที่ทำให้คนตกงานเป็นจำนวนมากนั้น บริษัทที่ปล่อยกู้เพื่อบ้าน เช่น Country wide และ แบงค์บางที่ (WaMu)ก็ล้มละลายตาม เนื่องมาจากปล่อยเงินกู้แล้วคนไม่สามารถจ่ายคืนได้เพราะตกงาน บ้านที่ผ่อนไว้ก็ถูกยึด แต่ก็ขายไม่ออก ก็เป็นหนี้เน่ากันไปทอด ๆ

เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้นั้นบริษัทอื่น ๆ ก็ทรุดตามกันเรื่อย ๆ คนก็ตกงานกันมากขึ้น ๆ แม้กระทั่งบริษัทดัง ๆ อย่าง Microsoft เองก็ปลดกันเกินหมื่นแล้ว

นั่นแหละครับ เป็นที่มาของภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาโดยรวม


จริง ๆ ก็ไม่ได้เชียร์อะไรพวกอเมริกันหรอกนะ แต่เมื่อพี่ใหญ่มันล้ม ทั้งโลกก็แย่ไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะคนไทยเองเนี่ยแหละ ที่ดู ๆ ไปแล้วก็พยายามจะเดินตายรอยพี่ใหญ่ไปทีละนิด ๆ

เศรษฐกิจเงินผ่อน บัตรเครดิตและต่าง ๆ นานา ที่ออกมาให้ใช้กันทุกวันนี้นั้น มันค่อย ๆ ทำลายระบบเศรษฐกิจของเราไปเรื่อย ๆ ทีละนิด ๆ

และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งเราก็จะเป็นดั่งอเมริกา แต่จะเป็นยิ่งกว่ามาก ๆ เพราะว่า ประเทศนั้นมีขนาดที่ต่างกัน รายได้ประชากรที่ต่างกัน เม็ดเงินรัฐบาลที่มีที่ต่างกัน และ ความรับผิดชอบของประชาชนที่ต่างกัน

หลาย ๆ ครั้ง ที่รัฐบาลพยายามอัดเม็ดเงินเข้าระบบ โดยเฉพาะประชาชนเพื่อให้มีสภาพคล่องและการจับจ่ายใช้สอย ของประชาชนมากขึ้น แต่กลายเป็นว่าประชาชนนั้นกลับใช้จ่ายเกินตัวอีกเช่นเคย มี 100 ใช้ 200 อะไรทำนองนั้น สุดท้ายก็เป็นหนี้กันไป และก็ไม่ได้ทำอะไรอะไรดีขึ้นมา

สุดท้ายแล้วเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันแบบนี้เข้า ก็เกิดการให้ออก และการว่างงานขึ้น


ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เรามีแนวคิดที่ดีมาก ๆ อยู่ใกล้ ๆ ตัวแต่ว่าไม่มีใครนำไปใช้ หรือน้อยคนนักที่พยายามจะใช้

นั่นก็คือ

แนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั่นเอง..

ไม่ได้ต้องพอเพียงแบบอดมื้อกินมื้อ กินแต่ของถูก ๆ หรือว่าต้องมานั่งปลูกผักสวนครัวกินอะไรทำนองนั้น

แค่ใช้เท่าที่มี ไม่เป็นหนี้ และ พอมีเงินเก็บเป็นทุนสำรองบ้างก็พอ


ก็นะ.. ยากเสียหน่อย เพราะในเมื่อไม่มีคนเข้าใจ และ ต่างคิดว่ามันขัดกับระบอบทุนิยมที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า ก็เลยถูกต่อต้านไปกลาย ๆ ซะงั้น

ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วหามีใครเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หรือสามารถไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้


ถ้าว่ากันถึงเรื่องอนาคตของพวกเรา รวมไปถึงทั้งการงานของเรานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเรา ๆ นั่นเอง

ไม่ใช่แค่พวกเรา แต่ก็หมายถึงคนไทยทั้งประเทศที่จะมีความรับผิดชอบ แล้วก็รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องของประเทศบ้าง








เอ่อ.. ออกทะเลไปไกลเลยตรู -_-\\\"


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

SummerSun

06/07/2009 06:42:12
0
ผมเองก็เคยมอง Outsource Staff ในบริษัทแบบคุณ Nopphong ครับ
พวกเขาเองก็มีความหวังว่าสักวันคนจะได้เป็น Staff
แต่น่าเห็นใจครับ เพราะสถานการณ์มันแย่จริงๆ ผมเองก็เงินเดือนไม่ขึ้น รายได้ดิ่งแบบรถไฟเหาะขาลงเลยครับ

ในมุมมองของผม เศรษฐกิจโลกตอนนี้ มันขึ้นและลงด้วยมือกลุ่มคนไม่กี่คนเองครับ
กลุ่มคนที่มีเงินมากจนสามารถปั่นเงินและหุ้นให้ขึ้นหรือลงก็ได้

ตอนนี้เอาแค่ตัวรอดไปวันๆ และอย่าเซ็งให้มาก
ไม่งั้นเครียดบริโภคแน่นอนครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

เหมียวคุง

06/07/2009 08:36:19
0
- - ผมเรียนสายอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ อสม. จบป.ตรีแล้วครับ สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า วิทยาเขตพระนครเหนือครับ

ระหว่างที่เรียนเอาใช้ทำอะไรได้นผมก็พยายามตอบคำถามตัวเองตลอดเลยครับ ว่าวิชาที่เราเรียนนี้บ้าง ผมเลยนั่งคุยเล่นๆกับเพื่อนสนิทรุ่นเดียวกัน ว่าถ้าจบมันจะไปทำอะไร เนื่องจากเพื่อนผมเองก็ชอบคอมพิวเตอร์และศึกษาด้านนี้มาพอๆกัน เพื่อนผมก็ตอบว่าไปเป็นคนคุมเซิฟเวอร์ ไม่ก็อยู่แผนกซ่อมบำรุง ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย

จนวันที่จบหลักสูตรผมก็รีบไปขอใบรับรองเกรดเพื่อไปลองสมัครงานดู แต่เนื่องด้วยผมเรียนเกรดก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร อยู่กลางๆ เกือบตกคือ 2.50 อย่าว่าผมโง่เลยนะครับ สมองผมมาได้แค่นี้จริงๆ ผมเองก็มาคิดสองจิตสองใจว่าจะส่งใบสมัครงานดีรึปล่าว เกรดก็ต่ำ ความรู้ก็พอถูไถ เพื่อนสนิทผมยังเรียนเก่งกว่าผมอีก ผมพับใบสมัครเก็บเพราะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าคงไม่มีใครรับเข้าทำงานอยู่แล้ว เกรดแค่2.5มันจะไปสู้ 3.0 หรือ 3.5 ได้ยังไง

ผมเลยกลับบ้านมาทำงานที่บ้านกินเงินกงสีครับ งานเหนื่อยเงินน้อยแต่ก็กินอิ่มนอนสบาย ไปเที่ยวก็ฟรีกินฟรีนอนฟรี ก็โอเคครับ...

ถ้าคิดว่าทำงานเมืองกรุงไม่ไหว ลองกลับบ้านดูนะครับ งานที่บ้านที่เลี้ยงจนเราเรียนจบได้ งานนั้นแลประเสริฐนักหนาครับ...
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

เหมียวคุง

06/07/2009 08:43:21
0
แต่อีก 10 ปีข้างหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไงต่อไป เป็นลูกจ้างก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำงานที่บ้านก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน

10ปีต่อไปคงตอบอะไรไม่ได้ เพราะจะเลือกทางไหนก็น่าหวั่นวิตกทั้งนั้น เอาเป็นว่าสู้ชิวิตไปเรื่อยๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

บุค

06/07/2009 09:00:06
0
สวัสดีครับ พี่เหมียวคุง

ผมก็กำลังเรียนสถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า พระนครเหนืออยู่ครับ
แต่ผมเรียน วทอ.amt อะครับ

เข้าเรื่องดีกว่า ตอนนี้ผม ตั้งเป้าว่า อยากจะเข้าเกี่ยวกะสายการบินเหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเค้าจะเปิดรับเท่าไหร่ เศรษฐกิจอย่างนี้ ผมคิดว่าถ้ามีกิจการของตัวเอง ผมว่า สบายใจที่สุดอะครับ ถึงแม้เหนื่อย แต่ก็ภูมิใจครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

ผีฟรีคิก

06/07/2009 09:02:38
0
มันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิต ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก
แต่อย่างน้อยผมว่าทุกอย่างต้องเกิดจากความตั้งใจจริงแล้วจะสำเร็จ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

Acrophobia

06/07/2009 10:06:11
อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ครับ ผมทำงานเป็นQCอยู่โรงงานยาเงินเดือนไม่ได้มากมายอะไร จึงเริ่มน้อยใจคิดจะลาออกบ้าง แต่คิดได้ว่าที่นี่เขาก็มีสวัสดิการดี ไม่มีนโยบายลดพนักงาน(มีแต่รับ้เพิ่มเรื่อยๆ) แบบนี้ก็ดีหนักหนาแล้ว

ปล.ชอบและเห็นด้วยกับข้อความของเฮียมั่นครับ เพราะผมก็เคยอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำเหมือนกัน คิดว่าการอยู่ว่างๆนี่มันเป็นความทุกข์อย่างหกนึ่งเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

jo..1234

06/07/2009 10:14:02
0
นี่คือเหยื่อของระบบทุนนิยม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

พวกเราๆท่านๆคือเหยื่อการเปลี่ยนแปลง ผมเคยกลุ้มเครียดด้วยว่าอนาคตเราจะส่งลูกเรียนอย่างไรถึงจะไปรอด

รอดมาทำอย่างไรจะได้มีงานดีๆทำ....งานที่ทำเคยมีความมั่นคง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เสียแล้ว...

ทั้งนักการเมือง...ทั้งผู้บริหาร...โกงกินกันเป็นทอดๆ พนักงานทำหน้าที่ดีที่สุดอย่างไร แต่ระบบงานห่วยอุปกรณ์ที่ใช้มันห่วย...มันก็สู้ใครเขาไม่ได้...มีระเบียบห้ามให้ข่าวกับสื่อ(เพราะว่าพวกกูจะโกงใครไม่ฟังมีความผิด)

มันก็ยากที่จะต่อสู้กับบริษัทเอกชน(ซึ่งเป็นของนักการเมืองทั้งนั้น)

แม่ผมเตือนสติว่า....ช่างหัวมันในเมื่ออะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด....เราไม่ได้โกงและเป็นคนทำให้มันพัง

เมืองไทยทุกวันนี้ หันหน้าไปทางไหนจะพบแต่เรื่องโกงกินสารพัด...แม้แต่วงการพระ(สงฆ์+เครื่อง)ยังต้องมีเส้นสายกลายเป็นว่าใครไม่โกงอยู่ยาก....ลูกน้องเห็นหัวหน้าโกงมันก็เอาด้วย


ข้าราชการในส่วนบริหาร....ให้เอาเงินเดือน เดือนแรกรวมกันจนถึงเดือนสุดท้ายรวมกัน โดยไม่หักเลย ทรัพย์สินที่มียังมากกว่าเงินเดือนที่ได้มาทั้งหมดไม่รู้กี่เท่า......(ไม่ต้องอ้างว่ามีธุรกิจอย่างอื่นนะครับ เพราะถ้าหากผู้บริหารทำธุรกิจอื่นควบไปด้วยแสดงว่าคุณทำงานได้ไม่เต็มที่แน่นอน....แต่ยังได้เป็นผู้บริหารใหญ่โต)


อย่างตำรวจตั้งด่านปรับรถมอเตอร์ไซค์นี่....ผมว่าหากินง่ายไปหน่อย...บางคนบอกก็มันไม่ทำตามกฏต้องโดนปรับมันถูกแล้ว....ถ้ากฏระเบียบมันเข้มแข็งกว่านี้....ครั้งแรกปรับ ครั้งต่อไปจำ ใครมันจะแหกกฏลองดูโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา)

วงการศึกษา ผอ.ก็ซื้อตำแหน่งมา อาจารย์ก็ซื้อขายแลกเปลี่ยนตัวกัน กวดวิชารวยเอาๆ ใครจนจะได้เรียนไหมครับ ในห้องก็สอนแบบขอไปที เรียนพิเศษมีติวข้อสอบ


ในหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่ตอนนี้ ผู้บริหารมาใหม่ ร่วมกับพนักงานขี้ฉ้อ (งานไม่ทำ ดูแต่งบก้อนเงินจัดซื้อของ)
ทำหน่วยงานพังไปหลายที่ ผู้บริหารดีๆมาเคยดองไว้หลายปี ตอนกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก พนักงานเซ็งกันถ้วนหน้า


จำนำข้าว ชาวนาจำนำเสร็จ นายทุนเอาข้าวเวียนเทียนจำนำกับรัฐต่ออีกหลายรอบ พอมีการตรวจสอบ ไฟก็ไหม้โรงเก็บข้าว บ้านเมืองเราก็เป็นกันแบบนี้.....

แต่บาปกรรมมันมีจริงครับ....หลายคนร่ำรวย แต่หาความสุขไม่ได้ หลายคนป่วยหนัก บางคนกรรมก็ตกไปอยู่กับลูกกับหลาน.....


ถ้ามีทุนก็ทำกิจการของตัวเองดีกว่าครับ.....

อ่านแล้วเห็นด้วยกับคุณ กุ๊ดจี่ อย่างมาก
เงินพลาสติกนี่แหละตัวการทำลายเศรษกิจโลก...รูดปรื๊ดๆ















ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

ย่องมาฟัง...

06/07/2009 10:45:34
0
อ่านจบแล้ว...\"อยากบวช\"...สาธุ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

นายมั่นคง

06/07/2009 11:06:25
0
กระทู้นี้ดีนะครับ อย่างน้อยมีมุมมองแปลกๆ ให้ศึกษากันอีกล่ะ.....

ว่าแต่ผมชักอยากทราบว่า หมูสะเต๊ะขายที่ไหนล่ะเนี่ย ถ้าอยุ่กรุงเทพวานบอกด้วยเด้อ เพราะผมก็แฟนหมูสะเต๊ะตัวจริงล่ะครับ 555




ผมว่าอะไรไม่สำคัญเท่ากับอย่าหยุดนิ่งครับ การไม่ยอมอยุ่นิ่งเฉย มักจะทำให้มีอะไรแปลกใหม่เข้ามาหาเราอยุ่เรื่อยๆๆ ตลอดเวลา....ทำให้สามารถเห็นอะไรใหม่ๆๆ และนำมาปรับปรุงดัดแปลงทำเป็นอาชีพได้อีกต่อไป....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

nopphong

06/07/2009 12:22:22
5
ผมว่าต้นเหตุมันมาจากสารพัดแบบที่ทุกท่านว่ามา แบบผสมกันไปแหละครับ แต่ที่คิดคือ ดูไปแล้วอาชีพหาความแน่นอนไม่ได้ ในขณะที่การเงินก็ไม่มีจะเผื่ออนาคต

เท่ากับว่าทุกวันนี้ทำไปเรื่อยๆ รออนาคตที่จะพังทลายลงมาทับเราโดยเราไม่มีหนทางป้องกันตัวเองเลย ได้แต่หวังว่าวันที่มันถล่มลงมาตัวเองจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะตะกายออกมาจากใต้กองอิธได้เท่านั้นเอง เรียกว่าทุกวันนี้ไม่มีทรัพยากรพอที่จะซ่อมอนาคตผุๆพังๆให้มันอยู่กับตัวเองไปจนเราตายได้เลยครับ

ที่ผมมองเห็นคือ แรงงานไร้ฝีมือ(ขอใช้คำนี้นะครับ คือเป็นคำที่ราชการใช้เรียกพนักงานที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษ สามารถเอาคนที่ไม่เป็นมาฝึกทำได้ในเวลาไม่นาน)
ในอนาคตอีกสิบปีพวกนี้จะอายุมากขึ้นจนไม่เหมาะกับงาน ในขณะที่เงินสะสมเขาก็จะไม่มีหรือมีไม่มาก จะทำไร่ทำนาก็ไม่มีที่ดิน จะทำอย่างอื่นก็ไม่ได้มีความรู้แบบที่จะใช้ทำได้ด้วยตนเอง(เช่นเคยเป็นเซลขายคอมมาชั่วชีวิต แต่พอแก่แล้ว หน้าตาไม่ชวนให้คุยด้วย จะขายก็ยาก แถมตัวเองก็ทำอะไรกับคอมไม่เป็น แค่เปิดใช้เครื่องเป็นแบบพื้นๆ) คิดแล้วกลุ้มแทน กับคนเป็นล้านๆคนที่อีกสิบปีจะไม่มีงานทำ และไม่มีทางออกให้กับชีวิตตนเองครับ

ผมว่าปัญหามันอยู่ที่เงินเดือนของพนักงานพวกนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะมองอนาคตได้เลย มองได้แค่ว่าเดือนนี้จะรอดหรือเปล่าเท่านั้นเอง ในขณะที่ใช้เวลาชีวิตหมดไปวันๆกับงาน วันละสิบสามชั่วโมง(รวมเวลาเดินทาง) สัปดาห์ละ 6 วัน จนไม่มีเวลาทำอะไรเพื่อตนเองได้เลย น่าเศร้าจริงๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

มิ้ม

06/07/2009 15:21:37
1



อนาคตเป็นสิ่งที่ไร้ตัวตน ไม่เคยมีใครเห็น \"สิ่งที่เรียกว่า อนาคต\" เป็นดั่งใจเรา

แม้อนาคตจะย้ำแย่เพียงใด มนุษย์เราทุกคนก็ สามารถปรับตัวได้เสมอ

จะมีกำแพงขวางกัน เราก็สามารถ ทำลายมันทิ้งไปได้ จะมีไฟล้อมรอบกาย

เราก็ยังช่วยกัน ดับไปได้


หากนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงสมัยช่วง สงครามโลก หลายต่อหลายชีวิต

อยู่ด้วยความหวาดกลัว หลายต่อหลายชีวิต อยู่ด้วยความหิว

แต่เขาก็สามารถ อยู่ได้ ด้วยอะไรหรือ....?


ก็อยู่ด้วย \"ความฝันและความหวัง\" เพราะ

\"ความฝัน คือ ลมหายใจ และ ความหวังคืออาหาร ที่ล่อเลี้เยง มนุษย์\"

หากมนุษย์ ไม่มีความฝัน ก็เหมือนกับสิ้นไร้ ลมหายใจ

หรือไม่มีความหวังก็เหมือนขาดอาหารเยียวยาใจ


หากคุณท้อแท้ หรือหมดหวัง อยากให้เรา มองดู ผู้คนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้

โลกเรายังมีผู้คนอีกมากมาย ที่ลำบากกว่าเรา และเหนื่อยยากกว่าเรา

บางคนก็ร่างกายพิการ แต่กำเนิดแขน ขา ไม่มี หรือ ตามองเห็น

พวกเขายังสู้กับความโหด ของโลกใบนี้ได้เลย


เพราะเราทุกคนๆ บนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่งด้วยกันทั้งสิ้น

และเก่งตั้งแต่เกิดอีกด้วย ลองคิดดู

\"กว่าแต่ละคนจะเกิดมา เราต้องเอาชนะ อีกหลายพันล้านชีวิต ในท้องแม่เรา\"

เราเป็นคนปกติ เราไม่ควรทำ \"ใจตัวเองให้พิการ\" เมื่อร่ายกายเราครบ สามสิบสอง

เราก็ต้องสู้ สู้ด้วยความฝัน และทำความฝันของให้เป็นจริง


แม้ทั้งชีวิต จะไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ทำมัน ก็เพียงพอแล้ว

ไม่ว่าจะทำไป 10 20 30 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ เราก็ยังได้ทำมัน เพราะมันคือ \"ฝัน\" ของเรา

สู้ๆ ต่อไป.....ไอ้มดแดง เหอๆ

เห็นเขียนกันเครียดเหลือเกิน ขอแจมบ้าง


ป.ล ชีวิตไม่สามารถออกแบบได้ แต่เราสามารถมีความฝันของเราได้ (และเปลี่ยนมันได้เรื่อยๆ)


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 29

อนิจัง

06/07/2009 16:19:22
เป็นกระทู้ที่เข้ากับวันเข้าพรรษาจริงๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

nopphong

06/07/2009 17:30:52
5
มาสะท้อนมุมมองด้านหม่นหมองกันต่อไป อิอิ

เคยมีคนวิเคราะห์ออกมาว่าทุกวันนี้มนุษย์อยู่ได้แบบทุกวันนี้เพราะน้ำมัน เนื่องจากทุกอย่างทั้งการขนส่ง รถไถ และการผลิตต่างๆล้วนพึงพาน้ำมัน หากน้ำมันมีไม่พอที่จะมาใช้ทำพลังงานเหล่านั้น ความสามารถในการผลิดก็จะลดลงทันที ประมาณว่าทรัพยากร(ที่ไม่พึ่งพาน้ำมัน)จะมีพอเลี้ยงคนเพียง 1000 ล้านคนเท่านั้น แต่ประชากรโลกน่ะมีหลายพันล้านคน
แล้วคนที่เหลือล่ะ? ที่ทรัพยากรไม่พอเลี้ยงน่ะเขาจะอยู่ยังไง คำตอบคือเขาไม่ได้อยู่ต่อครับ ประชากรโลกหลายพันล้านคนจะต้องตายไปจากโลกนี้ ทั้งการอดอยากและจากสงคราม(ลองคิดดูว่าถ้ามันไม่มีจะกินแล้วจะเก๊กท่าสุภาพบุรุษอยู่ได้ยังไง คงหาข้ออ้างทำสงคราม เพื่อแย่งชิงทรัพยากรกันแน่นอน) อนาคตนี้คาดว่าไม่ห่างไกลมากนัก ถ้าเรายังหาแหล่งพลังงานที่จะเลี้ยงประชากรแหล่งใหม่ไม่ได้ ก็คงต้องเตรียมใจกันไว้ครับ
เช่นสงครามโลกครั้งที่สอง ผมว่าโดยพื้นฐาณที่รบกันนั้นมาจากการแย่งชิงทรัพยากรณ์แท้ๆครับ ทางเยอรมันอาจจะไม่ชัดเจนนัก แต่ทางญี่ปุ่นนั้นชัดเจนว่าเข้าไปในจีนเพื่อต้องการแหล่งน้ำมันและทรัพยากรณ์ต่างๆจากจีนเพราะโดยตัวเกาะญี่ปุ่นเองไม่ได้มีทรัพยากรณ์พอจะเลี้ยงประชากรขนาดนั้น เช่นเดียวกันถ้าน้ำมันมีน้อยจนใช้ในการขนส่งไม่ได้ เชื่อว่าทั้งอาหารต่างๆที่ญี่ปุ่นนำเข้าอยู่คงจะไปไม่ถึง และการเกษตรก็ไม่พอเลี้ยงประชากรณ์แน่นอน พอถึงวันนั้นเพื่อนๆคิดว่าเขาจะยอมอดตายไปเงียบๆหรือจะปล้นชิงจากคนอื่น อันนี้ลองคิดกันดูเล่นๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

SquidMan.ExE

06/07/2009 19:43:29
0
ถึงเฮียและเพื่อนๆครับ...

ร้านของผมอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 7 ครับ ตรงศูนย์อาหารครับผม...
(ที่อยู่ใน Supermarket ของ TOPS นะครับ)
ไว้ว่างๆเพือนๆแวะมามี๊ตติ้งที่ FoodHall นี่ก็ได้นะครับ...
เพราะพื้นที่เหลือเฟือเลยล่ะ... (จริงๆแล้วทุกวันอาทิตย์บ่ายๆก็จะมีพวกชมรม Blyth มาขลุกกันแถวหน้าร้านผมนี่แหละ)...

ส่วนที่อื่นผมขายเป็นตลาดนัดครับ...
มีที่มศว ประสานมิตรวันพฤหัส ที่ 1 และ 3 ของเดือน
โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์วันเสาร์ ที่ 1 และ 3 ของเดือน
มหาลัยจุฬาหน้าโรงอาหารที่มีศูนย์หนังสือน่ะครับวันศุกร์ที่ 2 และ 4 ของเดือน
ที่ทิ้งตลาดนัดไม่ได้เพราะว่าลูกค้าทุกคนน่ารักมากครับผมมากันแทบจะตรงเวลาเลยล่ะ... ขายกันเที่ยงกว่าๆก็หมดแล้วครับทุกที่...
อีกอย่างต้องกราบขอบคุณบิดามารดาที่ผมเรียนจบโทได้ก็เพราะหมูสะเต๊ะนี่แหละครับ...

วันไหนเฮียแวะไปที่ประตูน้ำผมหิ้วไปฝากได้ครับ ^_^ อุ่นไมโครเวฟก็อร่อยเหมือนออกจากเตาเลยล่ะ...
เรื่องเครื่องหมักผมการันตีได้เพราะตื่นมาหมักเองทุกวันตอนหกโมงครึ่งครับ...
สะเต๊ะร้านผมอาจจะไม่ถูกใจคนชอบมันเพราะของผมไม่มีเอ็นไม่มีมันเลย...
เป็นหมูสันนอก(ส่วนที่ทำสเต็กน่ะแหละครับ)ไก่สันในล้วน...
แต่ชดเชยความนุ่มด้วยความหนาและแน่นของเนื้อทำให้ได้อารมณ์อีกอารมณ์นึงเลยล่ะ...(ถึงแม้จะไม่มีเบสเป็นลูกๆ Soundstage จะไม่กว้าง แต่ทำ Blind Test ได้เหมือนกันเน้อออ...)

ยินดีต้อนรับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะไปครับ และขอบพระคุณหากเพื่อนๆท่านใดเคยแวะไปทาน ร้านสะเต๊ะที่ใครๆก็บ่นตอนแรกกันเกือบทั้งนั้นว่าทำไมมันราคาเท่่านี้วะ
ที่ร้านมีอาหารอีกหลายรายการนะครับ

เด่นๆก็จะเป็นเปาะเปี๊ยะสดที่เครื่องผมปรุงเต้าหู้พระโล้เอง โดยน้ำราดจะเป็นน้ำราดสามรสที่ไม่เหมือนที่อื่นแน่นอนครับ...

แล้วอีกอย่างก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่ผมผัดไก่ทรงเครื่องเองรับประกันความ
เที่ยงของรสชาติครับ(ส่วนจะถูกปากไม่ถูกปากอยู่ที่ความชอบของแต่ละท่านครับ)

อีกอันที่ผมปรุงก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่องอันนี้สงสัยเหมือนกันว่าปรุงน้ำแต่ละครั้งรสชาติใกล้เคียงกันแต่ปรุงกี่ครั้งรสก็ยังไม่นิ่ง 100% แปลกมากๆไม่เหมือนเต้าหูพะโล้ที่ใส่เปาะเปี๊ยะสดเลย(ทั้งที่ปรุงคล้ายๆกันมาเป็นปีๆแล้ว)...
แต่สามารถปรับ EQ ถูกใจแต่ละท่านด้วยเครื่องปรุงหน้าร้านครับ...

กลับเข้าเรื่องเศรษฐกิจปัจจุบัน...
วันนี้ผมไปช่วยพี่ที่รู้จักกันขายยำในตึกเอ็มไพร์...
(แิิอบไปห่อเปาะเปี๊ยะโปรโมทร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์เองด้วย ^_^\\\")
สังเกตได้เลยว่ากำลังซื้อมันมีทั้งเปลี่ยนและไม่เปลี่ยนไปเลยจริง...
ที่เปลี่ยนคือกำลังซื้อลดลง...
หมายถึงว่าการคุมงบในการทานต่อมื้อนั้นจำกัดงบลดลงกว่าตอนที่ผมทำงานออฟฟิศประมาณ 10-30% กันเลยทีเดียว...
ที่ไม่เปลี่ยนคือพฤติกรรมการกินในตอนกลางวันที่เน้นการแดกด่วนและประหยัดเป็นหลักเหมือนเดิม...
(ซึ่งผมไม่แนะนำนะครับ อาหารแต่ละมื้อก็สำัคัญเท่ากัน... ควรเลือกอาหารที่ทานได้เร็วในขณะที่ควรเปลี่ยนแปลงเมนูแต่ละวันๆด้วยนะครับ กินเหมือนเดิมทุกวันๆจะทำให้ร่างกายเบื่ออาหารในระยะยาวได้)...

ผมเชื่อว่าเราจะทำอะไรก็ตาม...
ขอให้มีแรงบันดาลใจทุกขณะที่ทำครับ...
อย่างน้อยๆเวลาเหนื่อยล้าแล้วหันไปมองคนรอบข้างที่เป็นกำลังใจให้เรา...
มองคนรอบข้างที่ลำบากกว่าเรา...
มองคนรอบข้างที่สบายกว่าเรา...
มองอะไรหลายๆด้านแล้วมองที่ตัวเราอีกที...
ผมว่าถึงตอนนั้นจะท้อก็ท้อบ่ถอยล่ะครับ...
อาจจะรู้สึกล้ากับสิ่งที่ทำ... แต่อยากให้มีเวลาพักสักนิด...
คิดถึงตัวเองให้รางวัลกับตัวเองทุกครั้งที่ทำสำเร็จมากน้อยตามโอกาส...
ก็จะช่วยให้เรามีกำลังขึ้นมาใหม่เพื่อสู้ต่อไปครับ...

ขอแรงบันดาลใจในการสู้ชีิวิตจงอยู่กับท่าน...

ปล... กด Scroll Bar... ไปดู... ว่าตัวเองพิมพ์เยอะเหมือนคนเก็บกดเลยแฮะ...
ยังงัยก็เป็นความในใจที่อยากแชร์ให้กับเพื่อนๆนะครับ...

ปล.2... ร้านเฮียสีเหลือง หมูผมก็สีเหลืองนะ... ไม่มี\\\"หมูสะเต๊ะไม้นี้สีแดง\\\" 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

บุค

06/07/2009 19:49:20
0
อ่านแล้วหิว เลยครับ เมื่อวานผมพึ่งไปเซ็นทรัลเวิลด์ มาเอง

ว่างๆ ผมจะไป อุดหนุนนะครับ

อ่านแล้วได้ความคิดดีดี เยอะเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

Tanan

06/07/2009 19:55:04
0
อย่าไปคิดมาก เรื่องมันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดแก้
ใช่วันนี้ให้ปกติ happy ตามแบบของแล้วมันก็สบายเอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

Collagen

06/07/2009 20:59:06
4
ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามพลวัติ (Dynamic) ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งนั้นๆ จากอดีตไปสู่อนาคต โดยมีปัจจุบัน เป็นตัวกำหนด เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งอนาคต....
สิ่งที่คิด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่จริง....
สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตเพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ย่อมมีความเสี่ยง และเมื่อมีความเสี่ยง ก็ต้องหาวิธีรับมือ จัดการ และลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด หรือปรับตัวเข้าหาความเสี่ยงนั้นๆ ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง ถึงแม้ว่าจะอันตราย แต่การเปลี่ยนแปลงก็ย่อมเกิดขึ้น.... หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความสุขก็ไม่เกิด....
ผลของการเปลี่ยนแปลงย่อมมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี....
การพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นตามเหตุและผล....

ยอมรับ และปรับตัว เปิดใจยอมรับ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ตามอัตภาพ ความสุขก็เป้นของเราครับ..
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

sickchild

06/07/2009 21:11:34
0
ต้องปรับตัวครับ

ผมเป็นคนนึงที่ต้องปรับตัวตลอดเวลา

จากที่เคยทำงานเป็น art studio ใน agency ใหญ่แห่งหนึ่ง เงินเดือนไม่กี่พัน

คอยทำงานให้กับ art director ใครอยากให้ทำอะไรก็บอกมา ทำได้ทุกอย่าง

อยู่ 4 ปี เงินเดือนก็ขยับทีละนิด เพราะเพดานเงินเดือนในตำแหน่งนี้มันก็ไม่มาก

จนวันนึง รู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ความรู้ก็มี เรียนมาก็เยอะ

ก็เลยลาออก มาสมัครเป็น art director ซะเอง จากที่เคยทำงานแค่อาทิตย์ละ 5 วัน

เฉพาะในเวลางาน ตอนนี้ผมทำงานอาทิตย์ละ 7 วันๆ ละไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ทำมา 6 ปี

ส่วนใหญ่ได้นอนประมาณตี 2 นอนคืนละ 5-6 ชั่วโมง บางคืนก็ไม่ได้นอนเลย เป็นอย่างนี้ประจำ

แฟนก็บ่นว่าไม่มีเวลาให้ แต่มันเป็นงานที่ผมเลือกเอง มันมีความสุขเวลาที่อยู่กับมัน

ได้ทำมันถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็ยอม เงินเดือนก็เยอะขึ้นตามงานที่ทำ เหนื่อยมาก แต่ก็ได้เงินมาก

.........

ที่เล่ามาทั้งหมดเพราะอยากให้ทุกคนอย่าท้อแท้ บางคนโทษโชคชะตา

ว่าทำไมเกิดมาไม่มีอย่างคนอื่น ไม่รวยอย่างคนอื่น

บางคนก็ดูถูกงานตัวเอง เงินเดือนน้อย รายได้น้อย

แต่ผมอยากจะให้มองตัวเองว่าได้ทำอะไรเต็มที่แล้วรึยัง เช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ๆ มี

เราอาจจะคิดว่าเราทำงานเยอะ แต่จริงๆ แล้วมันดีพอแล้วรึยัง

ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ก็ต้องหารายได้อย่างอื่นมาช่วย

คนเราต้องวางแผนอนาคต อีก 5 ปี 10 ปี คุณจะอยู่ตรงไหน



กลับมาที่เรื่อง อนาคตที่ไม่แน่นอน กับอาชีพในปัจจุบัน

ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี สิ่งแรกที่ลูกค้าจะตัดอันดับแรกคืองบโฆษณา

นั่นคืองานที่ผมทำอยู่ ถ้าเพื่อนๆ อ่านหนังสือพิมพ์จะรู้สึกได้เลยว่า ช่วงนี้หน้าโฆษณาหายไปเยอะ

ดูง่ายๆ หนังสือพิมพ์อันดับ 1 ไทยรัฐ ถ้าสังเกตุดีๆ ช่วงที่ผ่านมา จะมีโฆษณาของมูลนิธิไทยรัฐลงบ่อยมาก

บางวันลงกันที 2-3 หน้าก็มี เพราะอะไร..?

เพราะไม่มีคนลงโฆษณา ไทยรัฐปล่อยหน้าว่างไม่ได้ ก็เลยต้องเอาโฆษณาของมูลนิธิไทยรัฐมาลงแทน

บริษัทโฆษณาทุกที่ต้องปรับตัว ทั้ง layoff ปลดพนักงาน ลดวันทำงาน ลดเงินเดือน ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

office เก่าผมก็ปิดตัวลงไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

ตอนนี้ผมย้ายมาทำ agency เล็กๆ แห่งหนึ่ง

มีคนทำงานยังไม่ถึง 5 คนเลย นอกนั้นเป็น freelance ทั้งหมด

ข้อดีคือเป็นองค์กรเล็กถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถปรับตัวได้ ไม่เหมือนองค์กรใหญ่

ลูกค้าใช้เงินลดลง เราก็ต้องปรับตัวให้ทันกับสภาพเศรษฐกิจ

จากที่เคยใช้ studio ถ่ายรูปราคาแพง retouching มือ 1 เราก็ต้องลดคอร์สให้ถูกลง

เพื่อให้พอดีกับเงินที่ลูกค้าสามารถจ่ายได้ หรืออย่างการถ่ายหนังโฆษณาก็ใช้กล้อง DV ถ่ายแทนฟิลม์ เพื่อลดคอร์ส



ผมว่าถึงอนาคตมันจะไม่แน่นอน แต่ถ้าเรารู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานะการณ์ เราก็จะอยู่รอดได้ครับ !!!



คนที่จะอยู่รอดได้ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด หรือรวยที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด.....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

นายมั่นคง

06/07/2009 22:26:25
0
โอว ผมอ่านแทบไม่หมดเลยสำหรับวันนี้ครับ....มีแนวคิดและมุมมองดีๆๆ แยะเลยล่ะ


สำหรับหมูสะเต๊ะก่อน ผมต้องหาโอกาสไปชิมแน่ๆๆ ครับ ส่วนเรื่องหิ้วมาฝากนั้นอย่าเลยครับ เพราะผีเปรตที่ร้านผมกินจุมากๆๆๆ แล้วเรื่องการทำอาหารแล้วกลัวกว่าจะไม่สง่างามหรือผ่าเผย อันนี้ไม่จริงล่ะ ผมเองนับถือคนที่ลงมือทำทุกอย่างที่ขวางหน้ามากกว่า....ใครที่บ่นว่านู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี ผมไม่ค่อยสนใจนัก เพราะใครที่เลือกนั่น เลือกนี่ สุดท้ายมักจะเอาตัวรอดสู้คนที่จับงานอะไรก็ได้....



ส่วนท่านอื่นๆๆ ผมอ่านทุกอันล่ะครับ ผมเองก็คิดว่าตัวเองลำบากอยู่ แต่พอมองเพื่อนๆๆ แล้ว หลายท่านยังดิ้นรนและสุ้ชีวิตมากกว่าผมอีกเยอะเลยล่ะ นับถือในความเป็นนักสู้ของทุกท่านจริงๆๆ ล่ะ

เดี๋ยวผมตามมาอ่านอีกทีครับ ไปตอบกระทู้อื่นก่อนล่ะ 555

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

ก๊วกกี้

07/07/2009 02:21:19
มาอ่านตอนตีสองครึ่ง เล่นเอาหิวเลย





avatar ของคุณปลาหมึกกะคุณนพพงษ์ พอมาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วดูสนุกดีนะครับ :D
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

chai

07/07/2009 08:31:07
0
ทุกคนต่างตั้งความหวังไว้ที่อนาคตข้างหน้ว่าต้องการอะไรในชีวิต ผมทายได้เลยว่าอย่างแรกก็คือเงิน ที่มาของการมีเงิน คือการเรียนสูงๆเพื่อทำงานดีๆเงินเดือนสูงๆ แล้วเรียนถึงไหนจึงจะสูงพอ ทุกวันนี้เรียนสุงๆจบมายังหางานทำไม่ได้ก็หลายคน ถึงได้งานก็เงินเดือนต่ำ แถมยังต้องใช้วุฒิ ม.3 หรือไม่ก็ ปวช ปวส สมัครอีก แต่ผมยังโชคดีอยู่ที่จบมามีงานทำเลยครับ แต่ก็เห็นใจคนที่ยังไม่ได้งานทำนะครับ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจริงๆ ผมอาจเป็นเหมือนกับหลายคนที่ไม่มีงานทำก็ได้ใครจะไปรู้ได้........ แต่ขอทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็เป็นพอ .......
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 39

เหมียวคุง

07/07/2009 08:36:14
0
โอ้ คุณบุค เรียน วทอ. เหมือนกันหรอ...ผม ect06 แผนกสายการบินผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเปิดรับเมื่อไหร่ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 40

บุค

07/07/2009 09:45:50
0
ครับ ผม สวัสดีครับรุ่นพี่เหมียวคุง ผม amt10ครับ งั้นผมขอแอ็ดเมลล์ไว้ เพื่อ คุยเรื่องเสียงเพลง นะครับ ขอบคุณครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 41

te

07/07/2009 10:27:35
8
ผมเองก็ทำงานด้านโฆษณาเหมือนคุณ sickchild ครับ แต่เป็น Creative ด้านสิ่งพิมพ์ ครับ
ทุกวันนี้ผมเองก็ต้องปรับตัวไปตามเทคโนโลยีครับ ต้องเร็ว ต้องด่วน และต้องดีครับ กดดันสุดๆ
จากวันนึงคิดงานวันละ 1 job หรือขอใช้เวลาหาไอเดีย 2-3 วัน แต่เดี๋ยวนี้พี่แกเล่นสั่งเช้าเอาบ่าย
ยังมีถึงขนาดสั่งปุ๊บเอาปั๊บ ไม่ต้องมาครีเอทอะไรกันแล้วครับ พอทำไม่ดีไปก็บอกว่าทำมาอย่างนี้เค้าทำเองก็ได้
เฮ้อ..เหนื่อย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมากครับ เมื่อก่อนเริ่มจากตำแหน่งหน้าที่เล็กๆงานก็สบาย
แต่พอขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดยิ่งหนาวครับ รายได้มากพอๆกับความรับผิดชอบ แต่เหนี่อยครับ
พอมองไปรอบๆ ก็เห็นอย่างคุณ nopphong ครับ นึกแล้วเขาจะอยู่กันอย่างไรเกิดต้องสะดุดอะไรสักอย่าง
พอมองตัวเราแล้วก็ยังดีใจครับ คงต้องรีบสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ก็ต้องแลกกับสุขภาพที่แย่ลงด้วยครับ
ผมอยากทำให้มันบาลานส์กันระหว่างงานกับสุขภาพครับ แต่ยากครับเพราะความรับผิดชอบเป็นอุปสรรคตัวสำคัญ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 42

สุดๆ

07/07/2009 10:52:14
เเฟนผมทํากิจการดอกไม้ประดิษที่บางที่หลายครั้งต้องหาอุปกรณ์ต่างๆมาประกอบเพื่อทําเเจกัน หรือส่วนประกอบในการจัดดอกไม้ ตัวอย่างเเรกคือ ทุกครั้งที่ไปสั่งทําเเจกันเเก้วหรืออะไรก็ตามบางครั้งเราต้องการเเค่ 40-50 อัน เค้าจะบ่่นๆๆๆ อย่างงู้นอย่างงี้ เราไม่ได้สั่งเเค่ครั้งเดียวเเต่สั่งเรื่อยๆ ทําไมไม่อยากทํา? ผมทําเสื้อขายก็อยากทําหลายเเบบสั่ง60-70ตัวก็ไม่อยากทํา ทําไมไม่อยากทํา? Texi เดี่ยวนี้ต้องไปที่ๆเค้าอยากไปนะครับ... ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวคุณ รัฐบาลหรืออะไรทั้งสิ้น มันเกี่ยวกับตัวคุณเองมากกว่าว่ามีความขยันกระตือรือล้มมากเเค่ไหน ผมอายุเยอะเเล้วเคยทํางานโฆษณาตอนนี้ทําไม่ไหวก็มาทําหนังสือเเทน คุณต้องหาสิ่งที่คุณมีเเล้วเอามาใช้ประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งที่คุณไม่มี มีเเต่คนขี้เกียจที่โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ไม่ได้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 43

นายมั่นคง

07/07/2009 11:04:05
0
ทุกคนต่างตั้งความหวังไว้ที่อนาคตข้างหน้ว่าต้องการอะไรในชีวิต ผมทายได้เลยว่าอย่างแรกก็คือเงิน ที่มาของการมีเงิน คือการเรียนสูงๆเพื่อทำงานดีๆเงินเดือนสูงๆ
----------------------------------------------------------

คงต้องรีบสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ก็ต้องแลกกับสุขภาพที่แย่ลงด้วยครับ
----------------------------------------------------------

ไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งที่คุณไม่มี มีเเต่คนขี้เกียจที่โทษทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ไม่ได้ครับ
----------------------------------------------------------


เป็นวลีที่อ่านแล้วโดนจริงๆๆ ครับ คนเรานั้นล้วนแล้วแต่ต้องเดินไปตามกติกาและค่านิยมที่สังคมกำหนดไว้ ผมเองยอมรับว่าเบื่อมากๆๆ กับค่านิยมเหล่านี้ แต่เบื่ออย่างไร ก็ต้องอดทนขยันสู้ต่อไปล่ะครับ เพราะยิ่งใช้เวลานั่งนึกนานเท่าไหร่ เวลายิ่งหมดไปเท่านั้น...สุ้หลับหูหลับตาทำนู่นทำนี่ เหวี่ยงซ้ายป่ายขวาไปเรื่อยๆๆ ยังดีกว่า......

เอ้า ขอให้ทุกคนเป็นนักสู้ชูสองนิ้ว เดินออกไปปากซอยซื้อลิโพมากินคนละขวดก่อนก็แล้วกัน 555




ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 44

chai

07/07/2009 15:07:08
0
และแล้วอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่ตรง .......55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 45

เต้_พ่อน้องแพง

01/09/2009 07:53:03
0
ขุดมาซะหน่อยครับ อนาคตมันต้องมีสิ่งที่เราไม่คาดคิดอยู่บ้างล่ะครับ ทุกวันนี้เรายังเชื่อข้อมูลทางธรณีวิทยาเชิงปิโตเลียม แล้วก็ลงทุนลงแรง ไปเจาะสำรวจ ล้วงชอนไช เจอบ้าง แห้วบ้าง

บางทีเจอแล้วก็เอาขึ้นมาใช้ไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีของเราวันนี้ยังดีไม่พออาจจะรอถึงรุ่น ลูกล่ะครับเขาอาจจะคิดวิธีการได้ อิอิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 46

ซิลเวอร์

01/09/2009 08:08:23
0
ผมยังเรียนอยุ่

ก็ยังคิดว่าจบไปจะทำอะไร
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 47

ปุ๊ทะลิ

01/09/2009 11:35:28
ผมคิดอยู่เสมอว่า \"การเปลี่ยนแปลง เป็น นิรันดร์\" ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 48

Tanan

01/09/2009 11:51:28
0
คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง
หวังว่าจะรวย หวังอยากได้โน้นนี่
ซึ่งสิ่งเหล่านั้นย่อมนำพาไปในเส้นทางที่ลำบาก เส้นทางที่วางเปล่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ
และเมื่อคุณได้มันมาคุณก็จะรู้ซึ้งถึงความว่างเปล่านั้นและต้องหาอะไรมาเติม
ซึ่งก็จะวนเวียนไปเรื่อย

\"แต่ถ้าคุณตั่งมั่นที่จะได้มาซึ่งความสงบ คุณจะพบว่ามันได้มาง่ายๆจากคนที่อยู่รอบข้าง
ได้คุยกับคนที่ชอบดนตรีเหมือนกัน ได้คุยกับคนที่ชอบหูฟังเหมือนกัน
ได้ซื้อหูฟังในงบประมาณที่เรามี มีแฟนดีๆสักคน มีเงินเดือนพอใช้
ได้งานที่ชอบ จะมีอะไรสุขกว่านี้ \"
ถ้าคุณคิดได้จะสบายมากๆแต่จะคิดให้ได้มันก็ยากอยู่
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 49

ชัย ตาเข (nano3)

02/09/2009 18:26:24
กระทู้โดนใจครับ ผมเองจบแค่ปวส มาจาก สจพ.(เรียนรอบค้ำ อีก1ปีต่อมาเขาก็ปิด)จบปุ๊ปผมก็เอาวุฒิไปปรับที่ทำจากจากปวชเป็นปวส ได้เงินแค่5700บาทต่อเดือนเมื่อ8ปีก่อน... หลายคนบอกว่าผมไม่เรียนต่อป.ตรีละไม่ไปทำงานโรงงานละเป็นวิศวะเงินเดือนดีกว่านะ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเป็นวิศวะการเเข่งขันคงสูงผมคงสู้เขาไม่ได้และถ้าเศษฐ กิจดันไม่ดีอีกละโดนปลดแน่ๆ ทุกวันนี้ก็คงทำงานอยู่ที่ศิริราชเพราะการเเข่งขันไม่สูง เงินเดือนตอนนี้ก็แค่หมื่นกว่าๆตามความรู้ แต่ผมได้ทำในสิ่งที่รักอย่างหนึ่งครับเพราะวันส-อ.และตอนเย็นเวลาว่างได้ทำในสิ่งที่อยากทำคือรับจอบเกี่ยวกับซ่อมจอคอมพิวเตอร์และสอนซ่อมทีวี-ดีวีดีในวันเสาร์อาทิตย์ซึ่งก็ไม่หนักมากสบายๆสำหรับผมทำให้ผมมีรายได้เพิ่มและได้ทำในสิ่งที่ชอบ(เพราะการสอนซ่อมเราต้องอัพความรู้ตลอดเวลา) ผมเคยบ้าเห่อไปเรียนเพื่อเอาใบปริญญาเหมือนกับหลายๆคนแต่ผมกลับพบมันว่า เรียนแล้วไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ใบปริญญาผมคงได้แค่เอามาแปะข้างฝา ผมเลยเลิกเรียนไป ผมเห็นหลายๆคนที่ทำงานผมเอาเวลาไปเรียนป.โทรบ้างบางคนเรียนได้มา2-3ใบ บางคนเรียนแล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ซึ่งผมก็เห็นดีด้วย แต่บางคนเรียนแล้วชีวิตก็ยังเหมือนเดิม บางคนจบโทมาแล้วมีแต่หลักการพูดไม่รู้เรื่องดีแต่วาดฝันไปวันๆ บางคนจบมาแล้วเป็นทุกข์ใจมานั่งบ่นให้ผมฟังว่าเรียนมาแล้วที่ทำงานไม่รับปรับ(ไม่ถามเขาก่อนเรียนฟะ)บางคนเรียนเพราะเมียตัวเองจบโท(ถ้าไม่จบโทเขาไม่ให้เอารึฟะ) ข้างอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนเราต้องเตรียมพร้อมไว้ ผมมีเงินเก็บก้อนนึงมากพอควรเพราะผมต้องเพื่อเก็บไว้ยามตัวเองป่วยหรือคนในบ้านเดือดร้อน แต่ผมก็มีเงินไว้ซื้อgadgetหรือสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผมมองว่าความสุขคือการที่เราทำอะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตัวเราทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนรอบข้าง นั้นแหละสิ่งที่ดีที่สุดครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 50

loliconman

02/09/2009 20:05:12
1
เมื่อก่อนขายหูฟัง.....ตอนนี้เป็นทหารม้า (T-T)

สบายๆไม่ชอบ...ชอบมาลำบากเพื่อบ้านเมือง หุหุหุหุ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 51

LuisFigo

02/09/2009 20:44:12
0
\"อาชีพในปัจจุบันอาจจะไม่ใช้อาชีพที่เราชอบแต่มันทำให้เราอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้แต่ผมคิดว่าทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด\"

\"ถ้าทำแล้วมันไม่ใช่ตัวเราก็ไม่มีความสุข\"

บอกตรงๆเลยครับ ตอนนี้ความคิดผม วน loop อยู่แบบนี้ตลอดเลย ผมควรทำไงดีครับ

ตอนนี้คิดได้ทางออกเดียวที่จะทำให้หลุดจาก loop นี้ได้คือ \"หาเมียรวยๆ\"

55555 หัวเราะทั้งน้ำตา ^_T
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 52

นายมั่นคง

02/09/2009 22:24:54
0
เอ้าท่องไว้ ท่องไว้ มืออาชีพทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ

แต่ถ้าไม่ใช่มืออาชีพ ทำอะไรก็ไม่ชอบ และถึงชอบก็ไม่อยากทำซะอีก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 53

wtbmunkong

02/09/2009 22:35:26
0
ตอนนี้ผมก็ออกจากบริษัทที่มั่นคง ที่คนเกลียดกันส่วนใหญ่ในประเทศ ออกมาทำงานที่คนทั่วไปร้องยี้ แต่ก็ตัดสินใจเดินกันต่อไปครับ สู้โว้ยยยยยยยย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 54

นายมั่นคง

03/09/2009 00:07:06
0
ดีๆๆๆ สู้ๆๆๆ ไม่ต้องกลัว เฮียเอาใจช่วยจ้า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 55

iAsa

03/09/2009 10:53:12
0
ชอบหลายๆความคิดเห็นเลยค่ะ
เราเห็นด้วยกับบางความคิดว่าคนเราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาถึงจะอยู่รอดไม่ว่าสาขาไหน

กะชีวิตมันไม่แน่นอน

เราเคยทำงานตั้งกะเด็กในกองถ่าย, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, พนักงานราชการ
ซึ่งมันคนละสายกับที่เราตั้งต้นมาหมดเลย

เราเริ่มด้วยจากการจบภาพยนตร์ ความฝันอยากเป็นคนเขียนบท กับผู้กำกับหนังสั้น เคยมีงานหนักสั้นที่ได้ฉายที่ House RCA ด้วยนะ แต่แล้ววันนึงก็อยากทำงานเพื่อสังคม เลยไม่ทำกองถ่ายต่อ ไปอยู่หอภาพยนตร์ กะช่วยมูลนิธิหนังไทย ไปๆมาๆเจ้านายหวังดี แนะนำให้ไปสอบเป็นพนักงานราชการ ก็ไปเล่นๆปรากฎว่าติด ไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรม = = อยู่ได้เดือนเดียวลาออกเลย (ไม่ชอบนโยบายค่ะ เพราะประชุมทีไรต้องเข้าไปฟังด้วย) แล้วก็ไปสอบพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ติดอีก ทำอยู่สาขาใหญ่สามเดือน ปรากฎว่าได้ทุนไปเรียนโท ก็ไปเรียนโท เรียนการตลาด เพราะดูน่าจะจบสุด

กลับมาก็ทำงานที่ละเดือนสองเดือนอยู่สามที่ แล้วก็เป็น Free lance ค่ะ ชีวิตสุขสันต์ ทำตั้งแต่ Creative AE Copywrite สอนทำขนม ทำขนมขาย Food stylist คิดสูตรอาหารให้ร้าน เป็นนายหน้าด้วย แต่แล้วพระบิดาก็ทรงกริ้ว สั่งให้ไปทำงานประจำ

ตอนนี้ชีวิตมาจบลงที่บริษัทใหญ่อันดับต้นๆของไทย ที่ใครๆก็ไม่ชอบ คล้ายๆที่ทำงานเก่าคุณ wtbmunkong 8jt ทำมาได้ 1 ปีแล้วค่ะ ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆตลอดเวลาถึงแม้ว่าตำแหน่งมันจะการตลาดเหมือนที่เรียนมาก็ตามที รู้สึกว่าโลกกว้างมากๆ แต่อย่างไรก็ตาม Plan ไว้ว่าเก็บตังอีกสามปี จะออกไปอยู่ชนบท ขายขนมขายข้าวดีกั่ว 555

จะให้พูดไป ก็เหมือนเรื่อง ฟอเรส กัมพ์นะ ทำตัวให้เหมือนขนนกที่ลอยไปเรื่อยๆ แค่ทำ ณ ตอนนั้นให้ดีที่สุดก็พอ

\"Life is a chocolate box\" เนอะ ว่ามะ


ชีวิตเรามันขึ้นๆลงๆ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 56

YETI

03/09/2009 11:19:29
จงมีศรัทธา ในชีวิตของเจ้า ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้คัดเลือกเจ้ามาเกิดบนโลกแล้ว
และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่แท้
นกกา ธรรมชาติยังเลี้ยงดูได้โดยเมล็ดพืช ที่ไม่ได้หว่านเอง
นับประสาอะไรกับมนุาย์ซึ่งยิ่งใหญ่และ ซับซ้อนกว่า
ธรรมชาติจะทอดทิ้งได้อย่างไร....สุ้ต่อไปน่ะ ทาเคชิ.
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 57

ชิน

28/01/2011 19:17:50
เจ้าของบริษัท เอาเปรียบลูกจ้างตลอดละครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 58

M

28/01/2011 19:23:23
ทำงาน = เก็บเงิน (นิยามเดียวของผม)...เห็นมาหลายคนแล้วกับประสพการ์ณตรง เชื่อผมทำงานอย่าคิดมากเลือกนั้นนี้ อะไรทนได้ทนไปมันไม่ตายหรอก ไม่ว่าจะงานอะไรถ้าคุณทำงานเก็บออมชีวิตที่เหลือจะมีทางเลือกมากกว่าคนอื่น
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"อนาคตที่ไม่แน่นอน กับอาชีพในปัจจุบัน มีความเห็นยังไงกันบ้างครับ"