Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

สอบถามเกี่ยวไฟล์เสียงที่เอาไว้ burn หูฟังครัง

scania

02/02/2015 23:06:36
0
ไฟล์เสียงที่เอาไว้ burn หูฟัง ต้องเป็นไฟล์ที่เอาไว้ burn โดยเฉพาะเลยหรือป่าวครับ ไฟล์เพลงทั่วๆ ไปได้มั้ยครับ ผมมีไฟล์เพลงการ์ตูน conan ost อยู่ 4 ชุด เป็นไฟล์ lessloss ใช้ burn ได้มั้ยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

scania

02/02/2015 23:07:43
0
พิมพ์ผิด ไฟล์ lossless ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

Tew-HiFi

02/02/2015 23:12:37
0
ได้ครับ เพลงที่เราฟังกันประจำได้เลยครับ ไม่ต้องซีเรียสมากครับผม
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

หูดับ

02/02/2015 23:31:04
ว่าไปการใช้คำว่า burn ก็ไม่ค่อยจะถูกนะ ใช้ breaking in จะตรงกว่า เคยคุยกับโรงงานผลิตในจีน มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย วัสดุที่นำมาผลิตมีส่วนสำคัญ บางอย่างแกะกล่องออกมา หรือฟังไปนานๆก็ได้ผลเหมือนเดิม แต่ที่แน่ๆสมองที่คุ้นกับเสียงเดิมที่เคยฟังมานาน ทำให้สับสนกับเสียงจากหูฟังตัวใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่เลย นอกเสียจากว่า จะตั้งหน้าตั้งตาเล่น หูฟังเป็นร้อยๆเส้น เจอมาสารพัด พวกนั้นถึงจะปรับโสตประสาทได้ไว
อย่างไรก็ตาม หลายที่แนะนำ เพลง classic แบบ lossless เปิดความดังแบบปกติ วันละ 8-10 ชม. แล้วต้องพักบ้าง แต่ก็มีบางคนไม่เชื่อในเรื่อง breaking in โดยอธิบายว่า เมื่อใช้ไปนานๆสมองได้ปรับการรับรู้ให้คุ้นชินกับหูฟังตัวใหม่เรียบร้อย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

yamano

02/02/2015 23:42:18
271



มีหลายคนยังคงสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของการเบิร์นหูฟังกันเข้ามา การเบิร์นไม่ใช่การเผาหูฟังแบบในรูปนะครับ เป็นแค่ภาพประกอบเฉยๆ มีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า ทำไมเราต้องเบิร์นหูฟัง, เบิร์นแล้วจะได้อะไร และมันจะทำให้หูฟังของเรามีเสียงดีขึ้นหรือแตกต่างจากเดิมมากน้อยขนาดไหน ลองหาคำตอบจากบทความนี้กันดูครับ





Q : การ Burn คืออะไรครับ

Sumat_kee : แปลตามตัวแปลว่าการเผาครับ สำหรับเครื่องเสียงคือการเปิดเพลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ (เปิดไปเรื่อยๆ มันคงร้อนขึ้นเขาเลยเรียก Burn 555 เหมือนกับการเขียนแผ่น CD แต่ก่อนเรียก Write แผ่นเฉยๆ แต่พอ Write เสร็จแล้วมันร้อน เขาก็เลยเรียก Burn แผ่น 555) อุปกรณ์ต่างๆ ที่ว่านี่ตั้งแต่เครื่องเล่น CD แอมป์ สาย ลำโพง ทั้งหมดเลย แต่สำหรับ Gadget ก็คือเครื่องกับหูฟังครับ



Q : ทำไมต้อง Burn ครับ

Sumat_kee : ผมขอเปรียบเทียบกับรถยนต์แล้วกัน เมื่อคุณซื้อรถมาใหม่ลูกสูบ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องยังไม่เข้าที่ ขับครั้งแรกมันจะรู้สึกแปลกๆ แต่พอผ่าน 1,000 กม. แรกแล้วก็เริ่มขี่ได้อย่างราบรื่นขึ้น และก็ดีขึ้นตามลำดับ Gadget ก็เหมือนกัน ทั้งหูฟังและเครื่อง เมื่อซื้อมาครั้งแรกเสียงจะยังไม่เข้าที่ ต้องฟังไปสักพักก็จะเริ่มดีขึ้น



Q : อ้าวเครื่องก็ต้อง Burn ด้วยหรือครับพึ่งจะเคยได้ยิน

Sumat_kee : ครับ อย่างที่บอกไปแล้ว ในวงการเครื่องเสียง อย่าว่าแต่เครื่องเลยครับ แม้แต่สายสัญญาณเมื่อซื้อมาใหม่ก็ต้อง Burn ครับ แต่การ Burn เครื่องนั้นเสียงไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอะไร แต่สำหรับหูฟังแล้วจะเปลี่ยนไปพอสมควร ขึ้นอยู่กับหูฟังนั้นๆ และอีกอย่างคนส่วนใหญ่เปลี่ยนหูฟังบ่อยกว่าเปลี่ยนเครื่องครับ



Q : แล้วการ Burn ทำให้เสียงดีขึ้นได้อย่างไรครับ

Sumat_kee : ขอพูดถึงในส่วนของหูฟังนะครับ หูฟังไม่ว่าจะเป็นแบบใดจะมี Driver ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นเสียง ซึ่งส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ขดลวดพันแม่เหล็ก (คอยส์) กับกรวยรอบแม่เหล็ก (ไดอะแฟรม) โดยกรวยนี้ส่วนใหญ่จะทำมาจากกระดาษ มีบางส่วนทำมาจากอลูมิเนียมถักหรือวัสดุอื่น (นึกถึงดอกลำโพงเอาไว้) เมื่อสัญญาณไฟฟ้ามาถึงขดลวดแม่เหล็กและส่งต่อไปยังกรวย กรวยก็จะเกิดการสั่นขึ้นเกิดเป็นความถี่และเสียงต่างๆ

เมื่อเราซื้อมาครั้งแรกกรวยกระดาษนี้จะยังไม่เคยใช้งาน มันจึงมีการขยับที่ค่อนข้างช้า และแข็ง ทำให้เสียงที่ได้จากหูฟังที่ซื้อใหม่โดยส่วนใหญ่จะเสียงแข็ง และไม่สะอาด ดูทึบๆ แต่พอใช้ไปนานๆ กรวยกระดาษเริ่มเข้าที่และอ่อนนุ่มลง เสียงที่ได้จะนุ่มละมุนลง สะอาดขึ้น และกว้างขึ้นครับ



Q : Burn หูฟังยังไงครับถึงจะได้เสียงดี ต้องใช้แผ่น Burn เฉพาะหรือเปล่า ต้องเปิดดังเท่าไร ต้องใช้เวลานานเท่าใดครับ

Sumat_kee : ถามเยอะครับตอบไม่ทัน ขอตอบเป็นข้อๆ นะครับ

1. สำหรับแผ่นถ้าเป็นแผ่นใช้ Burn เฉพาะ จะสามารถ Burn ได้ทุกย่านความถี่ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร (ผมก็ไม่มี 555) ก็ใช้เพลงที่เราฟังนี่แหละครับ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนฟังเพลงหลายแนวยิ่งดี เพราะมันก็มีเกือบจะทุกความถี่อยู่ในนั้น และอีกอย่างจากประสบการณ์ของผม การที่คุณ Burn ด้วยเพลงสไตล์ไหน กรวยลำโพง (ไดอะแฟรม) จะเคยชินกับเสียงเพลงแบบนั้น

อย่างเช่น ผมกับเพื่อนซื้อหูฟังรุ่นเดียวกันมาใช้ ผมชอบฟัง Jazz ผมก็ฟังไปเรื่อยๆ เออเสียงก็ดีนะ เพื่อนผมชอบ Heavy Metal เขาก็ว่าเสียงดี อยู่มาวันหนึ่งผมไปเล่นบ้านเพื่อน แล้วดันสลับหูฟังกับเพื่อน (เพราะมันเหมือนกัน) พอกลับมาบ้านลองฟังดู แม้เสียงจะคล้ายกันแต่ทำไมมันทึบๆ เบสใหญ่ กว่าของตัวของผม เพื่อนโทรมาบอกว่า เราสลับหูฟังกันแล้ว หูของแกเสียงใสๆ บางๆ เบสน้อยกว่าของฉันฟังร็อคไม่มันเลย กลับมาเปลี่ยนโดยด่วน 555

2. ระดับเสียงในการ Burn นั้น ถ้าในเครื่องเสียงเขาจะเปิดให้ดังกว่าฟังปกตินิดหน่อย (เปิดดังมากไม่ได้ เดี๋ยวข้างบ้านจะด่าเอา 555) หรือจะเปิดดังตามปกติก็ได้ ไม่ควรเปิดดังมาก เพราะแทนที่จะทำให้ กรวยลำโพง (ไดอะแฟรม) เข้าที่เข้าทาง มันจะทำให้ขาดเสียก่อน ซึ่งสิ่งนี้มีคนเข้าใจผิดกันมาก คิดว่าจะต้องเปิดดังๆ เท่านั้นถึงจะ Burn ได้ดีและเร็ว ผมขอเปรียบเทียบกับรถยนต์อีกแล้วกัน ถ้าคุณซื้อมาครั้งแรกแล้วคุณตะบี้ตะบันเหยียบไม่สนใจอะไร ถ้าเครื่องไม่หลวมก็พังก่อนเวลาอันควรแหละครับ

3. ระยะเวลาในการ Burn อันนี้บอกยากขึ้นอยู่กับแต่ละหูฟัง โดยส่วนใหญ่เมื่อซื้อมาครั้งแรก ใช้ไปสัก 2 – 3 วัน (30 – 50 ชม.) จะรู้สึกดีขึ้น และเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ เสียงจะดีขึ้นแต่จะไม่มากนัก และจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดอิ่มตัวไม่ดีขึ้นกว่านั้นอีกแล้ว โดยส่วนใหญ่จุดอิ่มตัวจะอยู่ประมาณ 100 – 200 ชม. บางหูอาจถึง 500 ชม. หรือ 1,000 ชม. ก็มี แต่ช่วงท้ายๆ เสียงที่ได้จะไม่ได้ต่างมาก ช่วงแรกๆ เท่านั้นที่จะรู้สึกว่ามันต่างจริงๆ



Q : เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Burn เสร็จแล้ว ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

sumat_kee : การฟังเท่านั้นครับ การ Burn ของผมนั้นคือการฟังเพลงไปเรื่อยๆ ครับ ฟังทุกวันมันก็เออรู้สึกว่าดีขึ้น สะอาดขึ้นแฮะ กว้างขึ้นแฮะ เบสดีขึ้นแฮะ ก็ฟังไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองสามเดือนเพิ่งจะมารู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแล้ว โอเคน่าจะพ้น Burn แล้ว ^_^



Q : แล้วเสียงที่ได้นี่ดีขึ้นมากไหมครับจากตอนที่ยังไม่ Burn

sumat_kee : มีคนเข้าใจประเด็นนี้ผิดอยู่เยอะ คิดว่าการ Burn จะช่วยให้หูฟังเสียงดีขึ้นแบบหน้ามือหลังมือไปเลย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด มันดีขึ้นครับ แต่ไม่ใช่ดีแบบเปลี่ยนจากห่าน กลายเป็นหงส์ หรือหนูไปเป็นราชสีห์ เข้าใจใช่ไหมครับ และก็ขึ้นอยู่กับระดับ (Class) ของหูฟังด้วย โดยส่วนใหญ่ของที่ไม่แพงมากจะเปลี่ยนได้น้อย ส่วนของที่แพงจะเปลี่ยนได้มากกว่า เพราะว่ากรวยลำโพง (ไดอะแฟรม) ดีกว่าเกรดสูงกว่า มีคุณลักษณะที่ดีกว่า



Q : ทำไมโรงงานไม่ Burn หูฟังมาให้เลยหละครับ

sumat_kee : น่าจะเสียเวลาและเสียค่าไฟเขานะครับ 555 เป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมไม่ Burn รถมาให้เรียบร้อย พอมาถึงเราเราสามารถเหยียบได้เลย ^_^ และสองถ้า Burn แล้วก็ไม่เรียกว่าของใหม่สิครับ (เพราะถูกใช้มาแล้ว) 555



Q : ถ้าผมได้หูฟังมือสองมานี่ผมจะต้อง Burn ยังไงครับ

sumat_kee : เออ ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการ Burn ใช้กับอุปกรณ์ที่ซื้อมาใหม่เท่านั้นยังไม่เคยถูกใช้ ถ้าใช้แล้วแต่ทิ้งไว้นานจะนำมาใช้เราจะเรียก Warming ครับ ขอเปรียบเทียบกับรถยนต์แล้วกันครับ ถ้าซื้อมือหนึ่งก็ต้องทำการ Burn ในช่วง 1,000 กม.แรกหรือกว่านั้นก็ว่ากันไป แต่ถ้าซื้อรถมือสองมา วิ่งได้ 50,000 กม. แล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไป Burn เป็น 1,000 กม. อีก เราแค่ขี่ Warm ซัก 40 – 50 กม. มันเริ่มเข้าที่ เราก็เหยียบได้แล้วครับ หูฟังก็เหมือนกันเมื่อซื้อมือสองมือสามมาแล้ว น่าจะผ่านการใช้งานมานานพอสมควรก็ไม่ต้อง Burn แล้วครับ แค่ Warm สักพักเดี๋ยวก็เข้าที่แล้ว



จบแล้วครับ สวัสดีครับ

________________________________

ขอบคุณผู้เขียน : sumat_kee
เว็บไซต์ : http://www.bloggang.com/
ลิ้งค์ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sumat&month=10-2009&date=14&group=2&gblog=10

ภาพประกอบจาก : Google
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

หมูหวาน

02/02/2015 23:52:40
573
การเบิร์นหูฟัง หรือลำโพง ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟล์เบิร์นหรอกจ้าา ผมแนะนำให้ใช้เพลงธรรมดาๆที่เราฟังนี่แหละ
แต่แนะนำว่าช่วงๆแรกๆให้พยายามเปิดไฟล์เพลงที่หลากหลายแนวหน่อยครับ
เพื่อที่หูฟังจะได้โดนความถี่ทุกๆย่านเฉลี่ยใกล้เคียงกัน
ไม่ใช่เปิดเพลง Dance ก็ Dance อย่างเดียวตลอด เปลี่ยนเป็น Jazz Rock Classic บ้าง ให้มันครบๆทุกแนวครับ
เพราะเพลงแต่ละแนวมันจะมี Range ความถี่เสียงที่แตกต่างกันจ้าาา ^^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

Estzo

03/02/2015 15:43:19
ผมว่า จขกท เครียดไปแล้วครับ ฟังไปเรื่อยๆกับไฟล์เพลงที่ใช้ฟังปกติน่ะแหละครับเป็นการเบรินแล้ว ผมนี่ตอนเบรินใช้แค่ไฟล์ m4a ที่ซื้อจาก itune มาเบรินเปิดฟังเท่านั้นเองครับ เปิดทิ้งไว้บ้างก็มี ไม่จำเป็นต้องหาไฟล์อะไรพิเศษเลยนะครับ (แนะนำว่าให้เป็นไฟล์เพลงดีๆหน่อยละกันครับ ไม่ใช่เอาไปเปิดเบรินกับยูทูปนะครับ) ^^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

paopy2iiam

03/02/2015 17:03:54
2
^
^
^
^
ผมก็ใช้ไฟล์จาก iTune Apple m4a. เบิร์นครับ
แต่จะดูศิลปิน แนวเพลงต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้องครับ
ส่วนมากผมใช้ Master iTune เบิร์น อาทิ Utada Hikaru / Maroon 5 / taylor swift / Michael Jackson หรืออะไรๆที่เป็น Master iTune
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

champ2526

03/02/2015 20:15:19
0
ผมใช้ไฟล์ที่บันทึกมาดีๆหน่อยครับ แรกๆจะเน้นกลางแหลมก่อน แล้วค่อยไล่ลงมาที่เบสครับ
ผมว่าหาไฟล์ที่ดีๆหน่อย ก็โฮเคแล้วครับ อย่าซีเรียสมาก ฟังเพื่อความสุขล้วนๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

scania

06/02/2015 22:10:08
0
อ่อครับ ขอบคุณทุกความเห็นครับ ถามอีกเรื่องครับ ถ้าเปิดอัลบั้ม TAN DUN - Bitter Love (1998) burn จะทำให้เบสบวมจริงมั้ยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

LottO

06/02/2015 23:24:45
555 จนมาถึง คห นี้ พี่ จขกท ก็ยังคงซีเรียสเหมือนเดิม
เอาเป็นว่าเปิดโดยใช้ไฟล์ดีๆหน่อย(ไม่ใช่ mp3) กับเพลงที่หลากหลายหน่อยตามที่พี่ๆแนะนำข้างบนแหละครับ
อีแค่อัลบัมเดียวเนี่ยมันจะทำให้เบสบวมก็ให้มันรู้ไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

scania

06/02/2015 23:32:22
0
ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอกครับ คือผมก็ไม่ใช่นักเล่นหูฟังครับ จะซื้อหูฟังก็เลยหาข้อมูลไปเรื่อย ลองไล่อ่านกระทู้ในบอร์ดเค้าคุยไรกันผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ 555 ถามเอาไว้เป็นความรู้ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

Funell

07/02/2015 00:16:29
0
เปิดไปเรื่อยๆก็คือการ burn in เหมือนกันครับ ทำเพื่อให้ driver มันเข้าที่เข้าทาง มันไม่ได้ไปทำให้ย่านใดมันเหลื่อมล้ำหรอกครับ รุ่นเดียวกันแนวเสียงโดยรวมก็เหมือนกันหมด ไม่ต้องซีเรียสครับ^^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

bffmssss

04/08/2016 17:56:03
0
ข้อความดีๆที่เข้ามาอ่านเจอ ขอบคุณครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"สอบถามเกี่ยวไฟล์เสียงที่เอาไว้ burn หูฟังครัง"