“Better Sound Through Research” นั้นเป็นสโลแกนเก๋ๆ ที่ Bose ใช้มาตลอดเวลานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา โดยการนำทัพของ Dr. Amar G. Bose ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ก่อตั้งแต่แบรนด์นี้หลังจากเรียนจบวิศวะไฟฟ้าล่ะครับ

สำหรับลำโพงของ Bose นั้น แม้ว่าสินค้าบางรุ่นจะจัดอยู่ในระดับ Flag Ship แต่ก็ยังถือว่าเป็นแบรนด์ ที่คนธรรมดาสามารถจับต้องได้อยู่ดีครับ และในปัจจุบันจะเป็นว่า Bose นั้นได้ออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาตอบสนอง Life Style ทุกประเภท ซึ่ง Soundlink Color เช่นเดียวกัน

จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ของ Bose แต่อย่างใดครับ ด้วยความเก๋าของ Bose นี่เอง จึงสามารถออกแบบเสียงของที่ออกมาจากลำโพงได้ใหญ่โตเกินตัวมากครับ แม้ว่าตัวลำโพงจะมีขนาดเล็กก็ตาม

และในปี 2014 นี้เอง Bose ก็ได้พัฒนาลำโพงแบบไร้สายที่เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ด้วยรูปร่างที่กระทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาง่าย และยังคงคุณภาพเสียงที่ใหญ่เกินตัวไว้เช่นเดิม ในระดับราคาไม่ถึงหมื่นครับ ดังที่จะกล่าวถึงต่อไปในคอมเม้นด้านล่างนี้ครับ ^ ^

Bose Soundlink Color เป็นลำโพงน้องเล็กสุดในตระกูล Soundlink ครับ

ตัวลำโพงนั้น มีขนาดทรวดทรง ตาม Spec ด้านล่างนี้เลยจ้า

Height: 5.3 in (13.4 cm)
Width: 5.0 in (12.8 cm)
Depth: 2.1 in (5.3 cm)
Weight: 1.25 lbs (0.57 kg)


Additional details

Wireless range up to 30 ft
Battery life up to 8 hrs


จะเห็นได้ว่า ระยะการเชื่อมต่อนั้นทำได้ตามมาตรฐานของ Bluetooth ในปัจจุบัน ซึ่งสามารถฟังได้นานต่อเนื่องราวๆ 8 ชม. ต่อการชาร์จไฟเต็มๆ 1 รอบครับ ถือว่าฟังได้นานพอสมควร และ ระยะห่างระหว่าง Player ที่ใช้เชื่อมต่อนั้นได้ระยะไกลราวๆ 10 เมตร ได้ครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ Source ที่มีภาคส่งสัญญาณที่มาตรฐานด้วยนะครับ ถึงจะไม่มีปัญหาในการเชื่อมต่อ

ในส่วนของการชาร์จไฟนั้น ในชุดจะให้สาย พร้อม adaptor มาให้แล้วครับ โดยให้ดูสถานะที่ปุ่มเปิด-ปิด ของตัวลำโพง ซึ่งหากชาร์จเต็มแล้วสถานะจะขึ้นเป็นไฟเขียวนะครับ

วัสดุโดยรวมของรุ่นนี้จะแตกต่างจาก Bluetooth Speaker ของ Bose อยู่บ้าง คือจากปกติที่ Bose นั้นจะออกแบบให้ออกมาดูเรียบหรู แต่กับรุ่น Soundlink Color นั้นออกแบบให้เน้นไปทาง Sport นิดๆ

ดังนั้นตัว Body ของ Soundlink Color นั้นส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติก และ เสริมขอบยางรอบด้าน เพื่อให้สามารถหยิบจับได้กระชับมือ ไม่หลุดมือง่ายครับ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ Bose เค้าไม่มองข้ามเรื่องนี้ครับ

บริเวณใต้ลำโพงนั้นจะติดกันลื่นมาให้ด้วยนะครับ ดังนั้นหมดปัญหาไปได้กับเรื่องการวางครับ และต่อให้เปิดดังก็ไม่สะเทือนจนเหมือนว่าลำโพงวิ่งได้ 555

ปุ่มต่างๆที่ใช้คอนโทรล Bose Soundlink Color จะอยู่บริเวณด้านบนของตัวเครื่องครับ โดยมีทั้งหมด 6 ปุ่มด้วยกัน ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆ รุ่นนี้ออกแบบเหมือนกับ Bluetooth Speaker รุ่นอื่นๆ ของ Bose นั่นล่ะครับ ซึ่งจุดนี้ต้องบอกว่าสะดวกสบายมากๆครับ

ซึ่งในส่วนของการเชื่อมต่อ Bluetooth นั้นก็ไม่ยุ่งยากครับ เพราะมีปุ่มเชื่อมต่อมาให้เฉพาะ หรือถ้าต้องการฟังเพลงผ่าน Port aux ก็สามารถทำได้โดยกดปุ่ม aux ได้เช่นกันครับ สะดวกจริงๆนะเออ

นอกจากการเชื่อมแต่แบบ Bluetooth แล้ว Bose Soundlink Color นั้นยังสามารถเชื่อมต่อผ่าน Port aux ได้เช่นกันนะครับ โดย Port นี้จะอยู่บริเวณด้านหลังเครื่องครับ ถัดมาจะเป็น Port แบบ Micro USB ใช้สำหรับชาร์จไฟครับ

ทีเด็ดของรุ่นนี้อีกอย่างคือระบบ Voice Promt นั่นล่ะครับ คือระบบแจ้งเตือน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่ม Set up ก่อนเริ่มเล่น หรือบอกระยะเวลาของแบตเตอรี่ครับ ซึ่งเรียนจบมาหลายภาษาด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ภาษาไทยดันเรียนไม่จบครับ ทำให้ระบบไม่รองรับภาษาไทย แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาครับ เพราะภาษาประกิตสำเนียงของรุ่นนี้ถือว่าฟังได้ง่ายซะกว่า ฟังอาบังว่าวภาษาอังกฤษซะอีก 555

อีก 1 ฟังชั่นของ Bose Soundlink Color ที่น่าสนใจคือ ตัวเครื่องนั้นสามารถจดจำ Source ที่เรา Pair ไว้แล้วได้สูงสุดถึง 8 เครื่อง แล้วถ้าเราเชื่อมต่อเครื่องที่ 9 ล่ะ มันจะระเบิดหรือเปล่า??? คำตอบคือ เครื่องจะจดจำเครื่องที่ 9 ครับ แต่จะลบลำดับก่อนๆครับ

เรียกว่าต่อให้ทำการ Pair ถึง 20 เครื่อง ลำโพงก็จะจดจำ 8 เครื่องเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าเราต้องการเคลียร์ความจำของ ลำโพงก็ง่ายๆครับ ให้กดปุ่ม Bluetooth ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ตัวลำโพงจะทำการลบความจำทั้งหมดทันที

หลายๆคนสงสัยเจ้าระบบนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่ คือ ผมอธิบายแบบนี้ครับ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมทำงานอยู่ ผมอาจจะเชื่อมต่อผ่าน Smartphone ไว้ ทีนี้อยู่ๆเกิดผมอยากไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น แต่ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มา ผมก็สามารถฟังผ่าน ipad ที่ห้องนั่งเล่น หรือตอนนอน ผมปิดโทรศัพท์ไว้ แต่มีอุปกรณ์อื่นที่เรา pair ไว้ล่วงหน้าก็สามารถใช้งานได้ทันทีนั่นเองครับ เรื่องแบบนี้ใครว่าไม่สำคัญล่ะ ใช่หรือเปล่า

ฟังชั่นอีกอย่างที่ Bose จัดมาให้นั่นคือฟังชั่น Battery Protection Mode หรือ ฟังชั่นป้องกันแบตเสื่อมนั่นเองครับ เนื่องจากว่า Bose Soundlink Color นันใช้ขุมพลังงานแบตเตอรี่แบบลิเธี่ยม ซึ่งแบตเตอรี่ประเภทนี้จะต่างจากแบตเตอรี่สมัยก่อนคือ ยิ่งชาร์จยิ่งอึดครับ แต่ถ้ายิ่งปล่อยให้แบตหมดมากเท่าไร อายุของแบตเตอรี่จะเสื่อมได้ง่ายกว่าปกติครับ

ซึ่งฟังชั่นนี้ทำการเพื่อเรื่องนี้เลยครับ นั่นคือกรณีที่เราไม่ได้เสียบชาร์จไฟค้างไว้ ภายใน 24 วัน ถ้าไม่มีการเปิดใช้งาน ตัวลำโพงนั้นจะเข้าสู่ Protection Mode ทันทีครับ โดยลำโพงจะไม่สามาถเปิดได้ต้องเสียบลำโพงเข้ากับ adaptor ชาร์จก่อนค่อยเปิดครับ ตัวลำโพงถึงจะกลับมาทำงานอีกครั้งล่ะจ้า

สำหรับใครที่ซื้อไปเล่น แล้วไม่ได้เปิดใช้งานนานๆอันนี้ไม่ต้องตกใจล่ะครับ 555

ทีนี้มาลองดูเรื่องเสียงของเจ้าตัวเล็ก Bose Soundlink Color กันบ้างครับ ว่ามีทีเด็ดอะไรบ้าง??

แน่นอนว่าตัวเครื่องนั้นออกแบบให้ใช้ Bluetooth เป็นหลัก ดังนั้นตัวเครื่องต้อง Support พวก ipad , iphone หรือพวก smartphone ทุกระบบได้อย่างไม่มีปัญหาครับ

เสียงกลางของรุ่นนี้ แม้จะถูกวางไว้เป็นน้องเล็กสุดของ Series แต่แน่นอนครับ Bose เค้ามีทีเด็ดพอที่ถือว่าเป็นจุดแข็งมากๆๆ นั่นคือเสียงกลางของรุ่นนี้จะมีมวลเสียงที่อิ่มหนา เสียงร้องของนักร้องนั้นจะเด่นกว่าย่านอื่นอย่างเห็นได้ชัด แถมเป็นเสียงกลางที่ฟังสนุกด้วยครับ คือเสียงร้องไม่ห้วน จืดชืด หรือเสียงร้องบาง ราวกับนักร้องนั้นอดข้าว 3 วันเพื่อทำน้ำหนักมาร้องเพลงให้ฟัง 555

ย่านเบสนั้น ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน ของ Bose ครับ คือเนื้อเบสมีขนาดใหญ่ และยังคงความนุ่มหูไว้อยู่ครับ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ถ้าเทียบกับรุ่นอื่นใน Series ของ Soundlink ล่ะก็ ผมว่ารุ่นนี้เนื้อเบสหนาที่สุดแล้วครับ และเป็นเบสที่เก็บได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นอื่นพอควรครับ คือ ธรรมชาติเนื้อเบสของ Bose Sondlink รุ่นอื่นนั้น เมื่อเบสลงไปลึกสุดๆแล้ว เบสจะทิ้งช่วงอยู่นิดหน่อยครับ เพื่อให้ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

แต่สำหรับ Bose Soundlink Color นั้นเบสจะเก็บตัวได้เร็วกว่าเดิมอีกนิดหน่อยครับ ทำให้ฟังได้สนุกขึ้นนั่นเองครับ ถือว่าสอบผ่านในแง่ของลำโพงที่เน้นฟังแบบ Life Style ได้สบายๆครับ

ย่านแหลมนั้น แม้จะไม่ได้เป็นจุดเด่นนัก แต่ถือว่าทำได้ดีเช่นกันครับ คือมีความต่อเนื่องและรื่นไหลอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ คือไม่มีอาการสะดุดให้เห็น เพียงแต่ถ้าเป็นเพลงที่เน้นรายละเอียดมากๆเข้ารุ่นนี้ยังเป็นรองรุ่นพี่อย่าง Soundlink mini อยู่ครับ ซึ่งขานั้นผมยกให้เป็นเต็งจ๋าไปแล้ว 555 แต่เมื่อเทียบราคาแล้วถือว่า Soundlink Color สอบผ่านข้อนี้ได้ดีอีกเช่นกัน

สิ่งนึงที่ Bose Soundlink Color นั้นทำได้ดีอีกเรื่องคือ การคอนโทรลแต่ละย่านความถี่นั่นเองครับ นั่นคือ สังเกตุว่าตัวลำโพงนั้นแม้จะมีการเปิดเสียงเบาๆ ก็ยังสามารถได้ยินเสียงเบส เสียงกลาง และเสียงแหลมได้อย่างครบถ้วนครับ

มีทริคเล็กๆน้อยของรุ่นนี้มาฝากนิดหน่อยก่อนจะจบรีวิวนะครับ นั่นคือการวางนั่นเองครับ ควรจะวางลำโพงบนโต๊ะ และ วางไม่ให้ชิดผนังมากไปครับ เพราะจะทำให้เนื้อเบสนั้นขาดความเป็นธรรมชาติไปบ้าง และไม่ควรไปวางตามชั้นที่เล็กๆมากๆครับ (แว่บแรกผมไปวางบนชั้นหนังสือ เสียงที่ได้นั้นแทบฟังไม่ได้เลยล่ะครับ 5555)

ส่วนกรณี out door นั้นพยายามวางบนพื้นที่แข็งๆหน่อย จะได้คุณภาพเสียงที่ดีครับ
สำหรับ Bose Soundlink Color นั้นมีวางจำหน่ายที่ร้าน Munkonggadget ทุกสาขา นะคร้าบบบบบบบบบบ

แล้วพบกันใหม่กับริวิวหน้านะจ๊ะ ชะเอิง เอย.....

ผมนี่อยากรู้ราคาเลยครัช

รุ่นนี้ราคา 5,600 บาทคร้าบบบบ

แจ้งข่าวนิดนึงจ้า ตอนนี้สินค้าเข้า Stock เรียบร้อยอีกครั้งแล้วนะครับ ^ ^

ท่านใดเล็งไว้ แวะมาสอยได้ทันทีแล้วนะคร้าบบ 555

ขอบคุณ สำหรับ รีวิว แบบนี้ ครับ

ชอบๆ ไม่เข้าใจตรงไหนอ่าน ซ้ำได้ อีกรอบ

ตัวนี้ เสียงดีจิงๆ ฮัฟ มีสี ขาว แล้นนน

เทียบกับsony srs x5 เสียงและเบสตัวไหนนุ่มชัดเจนกว่ากันครับ

สนใจอยากอัพเกรด แต่จะไปตัวMini ก็ไม่ไหว

รบกวนถามอีกนิดนึงครับ...ไม่ทราบว่าตัวbose soundlink colorนี้สามารถใช้ในการคุยโทรศัพท์แทนหูฟังบูลธูทหรือลำโพงที่ใช้สาย3.5mm เสียบได้ไหมครับ พอดีผมได้ซื้อมาใช้แล้วแต่ไม่สามารถคุยโทรศัพท์ผ่านลำโพงได้...แต่สามารถใช้พูดออกเสียงกับgoogleได้ เลยมีคำถามว่าจริงๆแล้วลำโพงตัวนี้มีความสามารถที่ใช้พูดคุยโทรศัพท์ได้รึเปล่าครับ

ลำโพง bose ยังใช้ไม่ได้กับการพูดโทรศัพท์ครับ