ผมรู้ว่ายังมีคนอีกมากที่รักในเสียงของ Fullsize แต่อายที่จะพกออกไปนอกบ้าน
ยิ่งใส่ไปเดินห้างนี่ ฆ่ากันให้ตายดีกว่า ใช่ไหมครับ
ทำไมจึงเป็นแบบนั้นครับ การประกาศตัวตนให้โลกรู้ว่า กูชอบFullsize มันไม่ได้ทำให้โลกร้อนขึ้นสักหน่อยครับ
วันนี้ผมได้ประจักษ์ถึงข้อเท็จจริง จากบุรุษนิรนามคนหนึ่ง ซึ่งผมยกให้เขาเป็นปรมารจารย์ในด้านความเป็นตัวของตัวเองเลยครับ บุรุษนิรนามคนนี่ได้ทำลายกำแพงแห่งความอับอาย ทำลายกฏเกณฑ์งี่เง่าของสังคมที่ว่าการใส่ Fullsizeนอกบ้านคือความแปลก การใส่Fullsizeออกนอกบ้าน มันธรรมดาเกินไปสำหรับmusicloverman คนนี้ครับ
พี่แกเล่นแบก วิทยุเทป เครื่องใหญ่ๆ เดินแบกไป เปิดเพลงฟังไป ตรงหน้าห้างสรรพสินค้าแถวบ้านผม ที่สุดๆไปกว่านั้น คือพี่แกร้องเพลงคลอตามไปด้วย กำแพงแห่งความอับอายมันถูกบดขยี้เป็นผุยผงจริงๆครับ
ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่า บุรุษนิรนามปรมาจารย์แห่งการเป็นตัวของตัวเองคนนี้ คือ คนบ้า!! แสดงว่าท่านยึดติดกับกรอบอันคร่ำครึของสังคม ถูกค่านิยมของสังคมผูกมัดความคิดสร้างสรรค์เอาไว้
ตอนที่ผมเดินผ่านบุรุษคนนี้ เพลงที่ผมได้ยินคือ imagine ของ จอน เลนน่อน
ผมคิดว่าปรมาจารย์นิรนามคนนี้ คงคลั่งไคล้เดอะบิทเทิ่ลมาก คลั่งจนขึ้นสมอง ไม่สามารถหยุดฟังเพลงของเดอะบิทเทิ่ลได้แม้เพียงสักวินาที และต้องฟังจากลำโพงด้วย พี่แกคงคิดว่ามันได้อรรถรสมากกว่าหูฟัง (ถึงได้ลงทุนแบกเครื่องเล่นเทปมา) และได้ใกล้ชิดศิลปินที่ตนคลั่งไคล้
ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำแล้วมีความสุข แบบนี้แหละคือคนปกติ
ส่วนคนที่อยากจะทำนู่น อยากทำนี่(เช่นใส่ fullsize ออกนอกบ้าน)แต่ไม่กล้าทำ เพราะหวั่นเกรงสายตาคนนอก ซึ่งแม่งเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักแท้ๆ แต่ต้องไปกลัวว่าเขาจะหาว่าเราแปลก ไปกลัวทำไม อยากมีความสุข อยากทำสิ่งที่ใจรัก ก็ไม่ได้ทำ สรุปว่า ให้คนที่เป็นใครก็ไม่รู้มาเป็นตัวกำหนดชีวิตเราว่าควรจะทำอะไร ไม่ควรจะทำอะไร มากำหนดความสุขของเรา แบบนี้แหละผมว่าบ้ากว่าอีก