สองตัวนี้มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันนะ

Tissot แล้วไม่ชอบ PRC 200 หรอครับ ดูสวยกว่า PRS มันมีขอบหมุน เลยทำให้หน้าปัดดูเล็กไปหน่อยนึง







วันนี้ก็ใส่ PRC200 เหมือนกันครับ


ส่วนเรือน Kinetic หน้าตาจะดูล้ำมากกว่าทิสโซ ถ้าเป็นรุ่นที่เคลือบ PVD ดำๆ ใช้ไปนานๆสีจะจางลงได้หน่อย

นาฬิการะบบ Kinetic ถ้าเป็นนาฬิกาที่ใส่ประจำทุกๆวันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรือนที่ใส่สลับกัน นอนกล่องมากกว่าใส่ ไม่ได้มีการชาร์ประจุบ่อยๆ คาปาซิเตอร์จะเสื่อมได้ เปลี่ยนทีนึงก็หลายตังอยู่นะครับ 7L22 คาปาจะราคาแพงกว่ารุ่นอื่นๆด้วย


หรือไม่ก็ลองมองหา Sportura มันมีรุ่นที่เป็นเครื่อง Quartz ธรรมดาก็ดีนะครับ ถ้าเลือกรุ่น Quartz นั้น ค่าดูและจะต่ำมากๆ เสียก็ซ่อมไม่แพง ถ่านก็ไม่แพง น่าใช้กว่า Kinetic มากมาย



สองเรือนนี้ในระยะยาว ถ้าคิดจะใส่ไปนานๆ แล้วไม่ปล่อยขายเมื่อตอนเบื่อ

ค่าดูแลอาจจะสูสีกัน คือแพงพอๆกัน

Tissot นั้นใช้เครื่องจับเวลาของ ETA G10.221 ที่หยิบยืมจาก Swatch มาใช้ คือสามารถเปลี่ยนถ่านได้อย่างเดียว หากเครื่องเสียก็ต้องซื้อเครื่องใหม่มาเปลี่ยนเลย ไม่สามารถแกะชิ้นส่วนออกมาซ่อมได้ แต่เครื่องตัวนี้ทนมาก หมั่นดูแลเรื่องถ่าน เปลี่ยนถ่านตามระยะเวลาอันควร คือประมาณ 1.5 ปี ก่อนที่ถ่านจะเสื่อมน้ำกรดไหลไปในเครื่อง เครื่องพังก็จ่ายตังค่าเครื่องหลายพันนะครับ

Seiko หากใช้ไปนานๆ คาปาเสื่อม เปลี่ยนก้อนนึงประมาณพันนึง แต่เครื่อง 7L22 นี่สามารถถอดชิ้นส่วนมาล้างเครื่อง มาซ่อมได้หากเกิดเสียหายขึ้นมา แต่ว่าค่าดูแล ค่าอะไหล่ก็ไม่ได้ถูกๆอย่างที่คิดนะครับ ถ้าของหมดประกันแล้วไปเข้าซ่อมศูนย์Seikoซ่อมทีนึง 2-3 พันนี่เรื่องเบๆเลย ถ้าซ่อมร้านทั่วไปก็ต้องเลือกร้านที่ซ่อม ไม่ใช่ช่างทุกคนที่จะสามารถซ่อมนาฬิการะบบไฮเทคพวกนี้ได้ ถ้าไม่ได้ศึกษามาทางนี้ ก็อาจซ่อมไม่ได้

ไปลองทาบๆของจริงดูเลยครับ ถ้าทาบเเล้วนาฬิกายิ้มให้ก็เเสดงว่านาฬิกาเค้าเลือกคุณเเล้วครับ


สองเรือนนี้ก็สวยทั้งคู่เลยครับ
tissot prs 200 ดูภูมิฐานหน่อย ออกแนวเรียบ เข้ากับชุดทำงานได้ง่าย
Sportura ดูเท่ห์กว่า สปอร์ตกว่า หน้าปัดแอบดูรกๆนิดนึง

555 กะแล้วว่าเซียนหลุยส์ต้องมาแน่ๆๆๆ