![](upload/2013/09/20130913204644.jpg)
ความทรงจำในวัยเยาว์ เมื่อแรกก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งผู้เสพย์ภาพและเสียง ในกลางยุค 80's
เป็นช่วงเวลาที่เริ่มเป็นวัยรุ่น ช่างจดช่างจำ ได้ติดสอยห้อยตามพวกพี่ๆไปดูหนัง, ฟังเพลง ด้วย
หัวใจที่เปิดโล่งพร้อมรับความประทับใจที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เป็นอารยธรรมแห่งการเรียนรู้
และหลงใหล
หนึ่งในนั้นคือหนังเรื่อง "Against all odds" ที่มีเพลงประกอบชื่อเดียวกับหนังคือ "Against all
odds" ซึ่งแต่งและร้องโดย Phil Collins ผมรับรู้และสัมผัสได้ถึงความไพเราะในทันทีที่หนังจบ
เมื่อเพลงนี้ขึ้นมาพร้อมกับเครดิตของหนัง
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่เคยลืมเพลงนี้อีกเลย
หนังเรื่อง "Against all odds" หรือชื่อไทยว่า "ล่ารักหักเหลี่ยม" เป็นหนังที่เกี่ยวกับการชิงรัก
หักสวาท, อาชญากรรมและกิเลสตัณหา
คำว่า "Against all odds" เป็นสำนวน ถ้าแปลตามความหมายก็น่าจะหมายถึง "การชนะเดิมพัน
ที่มีอัตราเสี่ยงที่สูงมาก" หรือ "การกระทำที่แทบจะมองไม่เห็นหนทางแห่งความสำเร็จเลย" อะไร
ประมาณนี้
หนังเรื่องนี้เข้าฉายในเมืองไทยปี 1984 (พ.ศ. 2527) นำแสดงโดย Rachel Ward, Jeff Bridges
และ James Woods กำกับการแสดงโดย Taylor Hackford ซึ่งเป็นผู้กำกับที่ใส่ใจและให้ความสำคัญ
กับเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นอย่างมาก เคยฝากฝีมือไว้ในหนังเรื่อง "An officer and a gentleman"
ที่แสดงโดย Richard Gere & Debra Winger (ฉายในเมืองไทยปี 1982) มีเพลงประกอบภาพยนตร์
คือ "Up where we belong" ที่ร้องโดย Joe Cocker & Jennifer Warns (ถ้ามีเวลาและโอกาส จะนำ
เพลงนี้มาให้ฟังกันครับ)
Taylor Hackford เลือกที่จะให้ Phil Collins ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ และ Collins ก็ไม่ทำให้
Hackford ผิดหวัง เขานำเพลงเก่าที่ได้แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1981 คือเพลง "How can you just sit there?"
มาปัดฝุ่น และปรับปรุงเสียใหม่
Phil Collins เขียนเพลงนี้ในขณะที่กำลังอยู่ในอารมณ์แห่งความโศกเศร้าและผิดหวังในความรัก เพราะ
ถูกภรรยาคนแรกคือ Andrea Bertorelli ทิ้งไปและนำลูกไปด้วย ปล่อยให้ Collins อยู่เพียงลำพัง ซึ่งหลัง
จากนั้น ทั้งคู่ก็หย่าขาดจากกัน
ความโศกเศร้าและสูญเสียของ Phil Collins ถูกถ่ายทอดลงในบทเพลงได้อย่างซาบซึ้ง กินใจ ทั้งเนื้อหา
และท่วงทำนอง แม้กระทั่งเสียงร้องก็ชวนให้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่แฝงอยู่ภายในจิตใจ
เพลงนี้ได้ Arif Mardin โปรดิวเซอร์อเมริกันเชื้อสายเตอร์กที่โปรดิวซ์เพลงให้กับนักร้องดังมากมายมาช่วย
เรียบเรียงให้ และเปลี่ยนชื่อเป็น "Take a look at me now" ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น "Against all odds" ตาม
ชื่อหนังในที่สุด
เพลง "Against all odds" ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกาอยู่ถึงสามสัปดาห์
และอันดับสองในอังกฤษ ช่วยให้หนังเรื่อง "Against all odds" พลอยได้รับความสนใจมากขึ้นตามไปด้วย
ซึ่ง Taylor Hackford ได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าเขาคิดถูกเป็นอย่างยิ่งที่ให้ Collins ทำเพลงให้
และจากเพลงเดียวกันนี้ Phil Collins ได้รับรางวัล Grammy awards ในสาขา Pop male vocalist
ในปี 1985 เพลง "Against all odds" ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Auscar ในฐานะเพลงประกอบภาพยนตร์
ยอดเยี่ยม ซึ่งในปีนั้น 5 เพลงที่ได้เข้ารอบสุดท้ายประกอบด้วย
1. Against all odds จากภาพยนตร์เรื่อง Against all odds
2. Footloose " Footloose
3. Let's here it for the boy " Footloose
4. Ghostbuster " Ghostbuster
5. I just called to say I love you " Woman in red
และแล้วก็เป็น Stevie Wonder เจ้าของเพลง "I just called to say I love you" ที่คว้ารางวัล Auscar
ในปีนั้นไปครอง