ไปทำที่นั่น เค้าคิดเท่าไรหว่า

ร้านตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของ Peninsula Shopping Centre เดินทางมาสะดวก หากมาโดยรถไฟฟ้าก็มาลงที่สถานี City Hall เดินมาไม่ไกลก็จะถึงห้างดังกล่าว หาไม่ยากเพราะอยู่ติดกับโรงแรม Peninsula เลยครับ ข้างๆก็จะเป็น Funan Digital IT Mall คล้ายๆกับฟอร์จูนบ้านเราครับ

มารอชมครับป๋ม!!

ร้าน Null Audio จะมีป้ายโฆษณาหูฟังยี่ห้อ Rooth Professional Audio แปะเต็มผนังด้านหน้าของร้าน ไปครั้งแรกแทบดูไม่ออกว่าเป็นร้านขายหูฟังจนเห็นป้ายด้านบนจึงมั่นใจ

รอชมครับ

wowwwww!!

เจ้าของร้านทั้งสองคนเข้ามาทักทายและให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา คนขวาคือ Steven Lee ส่วนคนซ้าย คุณ บอย ปกรณ์ (ผมจำชื่อไม่ได้หน่ะครับ)

ผมเริ่มจากการทดลองฟังสายหูฟัง Lune MkIII และ Arete MkII สำหรับหูฟัง TF10
สิ่งที่ผมรู้สึกรำคาญใจมาตลอดกับสายเดิมที่แถมมาให้พร้อมหูฟังคือ ใส่ค่อนข้างยาก ดัดให้โค้งงอตามใบหูลำบาก สำหรับสายทั้งสองรุ่นจากการทดลองสวมใส่ถือว่าใส่สบาย สายมีความอ่อนและดัดให้โค้งรับกับใบหูได้ง่าย ความสบายในการสวมใส่ของทั้งสองรุ่นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียวครับ

คุณสมบัติตัวนำของสายทั้ง2รุ่นจากที่ได้สอบถาม ทางร้านบอกว่า Lune Series ตัวนำเป็นวัสดุ Silveriod ส่วน Arete Series จะเป็น Copper 4N

จากที่ได้ทดลองฟังเสียง โดยความรู้สึกส่วนตัวพบว่า Arete Series จะให้เสียงอิ่ม หนา มีมวล เบสหนักแน่น ส่วนเสียงแหลมปลายจะไม่พริ้วไหวและไม่ทอดยาวไปจนสุดปลายเสียง จะออกโทนอบอุ่น มีน้ำมีนวล นั่นคงเป็นผลสืบเนื่องจากตัวนำที่เป็นทองแดง โดยรวมแล้วดีกว่าสายเดิม ฟังได้รายละเอียดมากขึ้น แบบสามารับรู้ได้ ช่วยให้ TF10 ฟังเพลงสนุกขึ้นครับ

ส่วน Lune Series เสียงกลาง และเบส จะบางกว่า Arete Series เล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับขาดน้ำหนัก จุดเด่นคือเสียงแหลมจะทอดยาวไปไกลกว่า เสียงจะโปร่งขึ้น ให้มิติที่ดีกว่า และแสดงรายละเอียดในเพลงรวมถึงโฟกัสที่ดีกว่า Arete Series
สำหรับสายหูฟัง Lune Series ผมได้ทดลองฟังทั้งขั้วต่อยี่ห้อ Oyaide และ Viablue สิ่งที่แตกต่างกันคือ
Oyaide จะให้เสียงแหลมที่ทอดยาว พริ้วไหว ระยิบระยับตรงปลายๆเสียง
ส่วน Viablue เสียงจะมาครบทุกย่าน จะไม่เด่นย่านใดย่านหนึ่ง
ความคิดเห็นและความชอบส่วนตัวประกอบกับแนวเพลงที่ชอบฟัง Jazz, Bossa Nova, Easy Listening จึงตัดสินใจเลือก Lune Series หัวต่อยี่ห้อ Viablue มาครับ
จุดเด่นของสาย Lune Series อีกอย่างคือ สายแม้จะพันกัน ม้วนตวัดเป็นปมอย่างไรก็ไม่มี Memory Effect เมื่อคลายสายออกมาใช้ครับ และ สายได้หุ้มผ้าไนลอนเพื่อป้องกันสายได้รับความเสียหาย แต่ไนล่อนส่วนที่เป็นสีขาวพอใช้สักระยะจะเริ่มเปลี่ยนสีจากการใช้งาน(ขี้มือ) ตอนนี้เท่าที่ทราบสามารถสั่งแบบดำล้วนทั้งเส้น หรือ แดงทั้งเส้นก็ได้นะครับ

Note: รูปที่ถ่ายมาไม่ชัดจึงขอยืมภาพจากหน้าเวปร้านค้าเพื่อความชัดเจนครับ

วันที่ผมไปที่ร้านครั้งแรกนั้นเป็นวันแรกที่หมดโปรโมชั่นเปิดตัวหูฟัง Null Audio: Elpis ที่ลดราคาเหลือ 199 SGD สำหรับลูกค้า 100 ท่านแรกเท่านั้น ซึ่งจากราคาเปิดตัวที่น่าสนใจสำหรับหูฟัง CIEM ทำให้ลูกค้าจองกันครบปิดจบโปรโมชั่นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นปรับขึ้นราคาเป็นราคาปกติที่ 299 SGD
ในมุมมองส่วนตัวด้วยสนนราคา 299 SGD หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนง่ายๆโดยคูณด้วย 25 เราสามารถเป็นเจ้าของหูฟัง CIEM ได้ในราคา 7,500 บาท ซึ่งได้รวมค่า พิมพ์หู อีกทั้งบริการ Refit ให้ภายใน 30 วัน อื้มมมม...ชักน่าสนใจแฮะ เรามาดูสเปคคร่าวๆกันครับ

Elpis Dual Driver Hybrid Custom In-Ear Monitor
Specifications:
Drivers: Low: 1 Dynamic driver, Mid/High: 1 Balanced Armature Driver
Sensitivity (at 1kHz): 104dB spl (1mW)
Frequency response: 18Hz - 18000Hz
Impedance: 24ohm
Noise isolation: -26dB

Extended Bass model (EB) available with bass port on faceplate.

Accessories included: Arete cable, Null Audio Dual IEM Pouch, cleaning tools.

One year warranty.
30 day free refit

หมายเหตุ: ในภาพเป็นตัว Demo Version ล่าสุด ครับ

Null Audio: Elpis รุ่นล่าสุดนั้น บริเวณขั้วต่อกับสายหูฟังจะมีให้เลือก 2 แบบ
1. แป้นเสียบเรียบเสมอกับตัวโมลหูฟังที่เป็นอะคลีลิค (จากภาพ คือ ตัวด้านซ้าย)
2. แป้นเสียบจะถูกเซาะร่องสี่เหลี่ยมลงไปให้หัวเสียบจมลงไป (จากภาพ คือ ตัวด้านขวา)
ทางร้านแนะนำว่าให้เลือกแบบที่แป้นเสียบเซาะร่องลงไปเพื่อความคงทนและป้องกันกรณีหัวเสียบโดนแรงกระแทกหรือกดทับแล้วเขี้ยวหักคาด้านในช่องเสียบ ซึ่งบางท่านอาจเคยพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งนอกจากจะต้องเข้าหัวสายใหม่แล้ว ปัญหาใหญ่คือ การเอาขั้วตัวผู้ที่หักคาช่องเสียบที่ตัวหูฟังออกมา ถ้าพอมีเดือยโผล่มาให้คีบออกก็พอไหว แต่ถ้าไม่เหลือตอโผล่ขึ้นมา...เหงื่อตกเลยทีนี้

ผมเองอาจจะบรรยายได้ไม่ดี ดูภาพกันชัดๆแล้วกันนะครับ สำหรับร่องเสียบสายหูฟังที่ว่า

อูวว์ อ่า... อยากลองเหลือเกิน

สวยงามครับปม

ปูเสื่อรอฟังรีวิว Elpis อิอิ

จากนั้นผมเริ่มทดลองฟัง Null Audio: Elpis
ครั้งแรกที่ไปที่ร้าน ผมได้ทดลองฟัง Elpis Versionแรก ของทางร้านที่เพิ่งเปิดตัวสดร้อนๆแต่ไปถึงกลับไม่ทันโปรโมชั่นลดราคาเปิดตัวอีก ทางร้านบอกว่าครบ 100 คนแล้ว หมดไวแท้...ไหนๆก็มาละก็เลยขอทดลองฟังสักหน่อย ประเดิมด้วย Adele - Live at Royal Albert Hall เสียงร้องเด่นจนเหมือนเอา Adele มาร้องข้างหู รายละเอียดเครื่องดนตรีทำได้ดีพอตัว แต่ยังกระจุกตัวกันเป็นก้อน ไม่กระจายแผ่ออกเต็มเวที ทั้งเปียโน และ เครื่องดนตรีอื่น ผมฟังอัลบั้มนี้แล้วมักจะนึกภาพตามเสทือนตอนนั่งดูแผ่นคอนเสิร์ทไปด้วย มีความอบอุ่นในเนื้อเสียง คือ ฟังแล้วพอรู้ว่านักร้องไม่ได้หุ่นสเลนเดอร์ น้ำเสียงจะมีมวลพอให้จับความรู้สึกได้ ผมเองก็ไม่ได้ฟังเพลงแนวเดียวเลยลองหลายๆแนวจึงตามด้วย Olivia Ong, Simone Kopmajer, Santana, Bob Marley, Jason Mraz และ เพลงป๊อปร๊อคทั่วไป ตลอดจน เพลงอคูสติก สรุป ฟังเพลงได้หลากหลายแนว ฟังได้สนุก เบสมีน้ำมีนวล จัดมาเต็ม โดยรวมทำได้น่าประทับใจสมราคาค่าตัว หากถามแบบตรงไปตรงมา โดยส่วนตัวหูฟังตัวนี้ไม่เข้ากับแนวเสียงที่ผมชื่นชอบเลยไม่ประทับใจจนจะควักกระเป๋าจ่ายเมื่อเทียบกับ หูฟัง In-Ear ตัวอื่นในระดับราคาเดียวกัน

หลังจากผ่านไปร่วม 2 เดือน วันนี้ผมได้มีโอกาสไปย่านนั้นเลยแวะไปสักหน่อย
ทางร้านบอกว่า Null Audio: Elpis New Version มาแล้วนะสนใจไหม ทางร้านบอกว่า Version นี้ได้พัฒนาจากรุ่นก่อนโดยนำคำติชมจากลูกค้าที่ได้ซื้อไปใช้นำมาปรับปรุงสินค้าให้ดีขึ้น และคาดว่าน่าจะเป็น Final Version และกำลังเร่งทำตัว Demo Version นี้ส่งมาให้ทางร้านมั่นคงในเร็วๆอีกด้วย
เอ้าไหนๆมาแล้ว เจ้าภาพก็เชื้อเชิญซะขนาดนี้ ขอลองฟังสักหน่อย
ผมได้เปลี่ยนสายจากของเดิมที่แถมมาคือ Arete Series ไปเป็น Lune Series เนื่องจากใช้สาย Lune Series กับ TF10 อยู่แล้วเพื่อจะได้ใช้สายที่แนวเสียงใกล้เคียงกับที่ฟังอยู่ จะต่างก็เพียงหูฟัง สาย และ หูฟังชุด Demo ได้ผ่านการใช้งานมาในระดับนึงแล้ว ชั่วโมงใช้งานคงไม่ต่างจากสายที่ผมใช้เท่าไหร่ ส่วนหัวต่อชุด Demo ทางร้านใช้ Oyaide ซึ่งต่างกับของผมที่เป็น Viablue รายละเอียดของเสียงอาจต่างเพียงเล็กน้อย แต่โทนเสียงและบุคคลิกของสายน่าจะไปในแนวทางเดียวกัน ผมเองไม่ได้เป็นคนพิถีพิถันมากในส่วนปลีกย่อย ลองฟังกันเลยละกัน

เริ่มจากอัลบั้มแรกที่ผมยังพอจำเค้ารางของเสียงตอนได้ฟัง Version แรก ได้
Adele - Live at the Royal Albert Hall
ประเดิมเพลงแรกด้วย Take It All พอสิ้นเสียงเปียโนเปิดตัว Adele ก็เปล่งเสียงร้อง ความรู้สึกแว้บแรกคือ เสียงโปร่งและเปิดกว้าง เวทีเสียงมันแผ่กว้างออกมากกว่า เวอร์ชั่นแรก อย่างชัดเจน ฟังแล้วรับรู้ได้ว่า Adele ยืนห่างออกไป ไม่ได้มายืนร้องจ่อที่ข้างหูดังครั้งก่อน ฟังแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น บรรยากาศเสียงรอบข้างทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องโถง เสียงร้องมีน้ำมีนวล เสียง Adele พอจับได้ว่า นักร้องรูปร่างประมาณไหน
ขาดไม่ได้กับเพลงที่หลายคนชื่นชอบ Someone Like You เสียงร้องโปร่งแบบมีน้ำมีนวล ไม่หวานเจี๊ยบ แต่จะประมาณน้ำเชื่อมข้นๆ เวทีเสียงกว้าง เสียงเปียโนที่เล่นอยู่เป็นแบ็คกราวด์พอจับรายละเอียดได้ ไม่เบลอ
ถัดมาเพลง Rolling In The Deep ฟังแล้วสนุก เสียงเบสมาเป็นลูก มาแบบมีน้ำหนัก แต่นุ่มนวล หัวเบสจะกลมมน ไม่กระแทกกระทั้น(แบบรถกระบะใส่ SubWoofer เต็มหลังกระบะเปิดแข่งกัน...ไม่รู้จะบรรยายไง)เอาเป็นว่าเบสไม่ล้นจนรู้สึกกระอักกระอ่วน ฟังเพลงนี้แล้วสนุกตามกับเพลง

ขอบคุณมากๆๆสำหรับข้อมูลของร้าน Null ครับ

รอชมด้วยคนครับ 555

อัลบั้มที่ 2 Marantz: High-End Audiophile Test Demo SACD 14th Edition
เพลงแรก The Men You Were เสียงเคาะและเสียงกลองจับได้ถึงน้ำหนักการตี ฟังแล้วพอจะแยกแยะเครื่องดนตรีออกเป็นชิ้นได้ ไม่กองรวมกันเป็นก้อน เสียงร้องออกโทนอบอุ่น ฟังแล้วรับรู้ได้ว่าคนร้องอยู่หน้า เครื่องดนตรีเขยือบออกไปด้านหลังนักร้อง
เพลงที่ 2 London Paris Carddiff จะเป็นเพลงบรรเลงมีแต่เสียงเครื่องดนตรี เสียงเกากีตาร์มีความกังวาน เสียงแหลมที่เหมือนเสียงกระดิ่ง (ไม่รู้เสียงเครื่องดนตรีอะไร) จะแหลมแบบมีน้ำหนัก มีความหวานแต่จะไม่ทอดไปไกลจนสุด เสียงแหลมไม่ทิ่มหูประเภทแหลมเฟี้ยวแบบดินสอเหลามาใหม่ๆ
เพลงที่ 3 Sinner Prayer เบสจากกระเดื่องมาแน่นๆ หัวเบสจะมนๆ เสียงแผดเครื่องเป่ามีความอบอุ่น
เพลงที่ 4 Field of Gold ฟังเสียงนักร้องหญิงแล้วมีมวล ออกโทนอบอุ่น เหมือนน้ำเชื่อมข้นๆ แต่ไม่ถึงกับอุดอู้ ฟังแล้วมีความโปร่งในบรรยากาศโดยรอบ
เพลงที่ 7 Guitar Compasion เสียงดีดกีตาร์มีความกังวาน พอจับสัมผัสเสียงของสายหลังดีดได้ว่ายังสั่นอยู่ ไม่กุดด้วนไปเสียทีเดียว แม้รายละเอียดจะไม่ระยิบระยับ แต่ก็ให้รายละเอียดได้ในระดับหนึ่ง

อีกอัลบั้มนักร้องหญิงที่หลายคนประทับใจ
Simone Kopmajer - Nothing's Gonna Change
เพลง How Deep Is Your Love สามารถรับรู้ได้ถึงความตื้นลึกของนักร้องและเครื่องดนตรี เสียงนักร้องฟังแล้วอบอุ่น มีมวล โดยยังคงความหวานของเสียงไว้ ส่วนการแสดงเสียงเครื่องดนตรีที่มีรายละเอียดระยิบระยับยังทำได้ไม่เด่นนัก (ส่วนตัวรู้สึกว่าเสียงที่ว่าคล้ายๆกับ การตีกลองโดยใช้อุปกรณ์ที่ส่วนปลายเป็นเส้นลวดฝอยๆ
เพลง Way Back To Love เวทีเสียงโปร่ง และ กว้างใช้ได้ เสียงตีเกราะเคาะไม้จับได้ถึงน้ำหนักเบาค่อย หน้ากลองจะหย่อนหน่อยๆ ไม่ตึงเปรี๊ยะ ส่วนเปียโนที่เล่นเป็นแบ็คกราวด์ยังแสดงรายละเอียดของตัวโน๊ตได้ไม่ดีนัก

นักร้องหญิงอีกสักคน Norah Jones
เพลง New York City เสียงเบสมาแบบนุ่มนวล เสียงออดอ้อนของนักร้องหญิงจะมีน้ำมีนวล ปลายเสียงที่จะแหบหน่อยๆจะแสดงรายละเอียดได้ไม่เด่นชัดนัก
เพลง Don't Know Why เสียงร้องหวาน แม้จะไม่พริ้วไหวแต่จะออกโทนอบอุ่น ปลายเสียงไหลไปได้ไม่สุดเสียง ส่วนเสียงแหลมไม่ทิ่มเสียดแทงหู เหมือนกับ เวอร์ชั่นแรก

อัลบั้มเพลงสนุกสนานบ้าง
Freedom Orchestra - Freedom Bossa II
ฟังอัลบั้มนี้แล้วรู้สึกสนุก เสียงแหลมไม่มีทิ่มหูให้รำคาญใจ ขยับขาตามเพลง ให้อารมณ์ครึกครื้นได้

ปิดท้ายกับ Bob Marley อัลบั้ม Legend (The Best Of Bob Marley & The Wailers
เพลง Is This Love ได้อารมณ์เหมือนมีวงดนตรีมาเล่นโอบล้อม เคาะตรงโน้นที ตรงนี้ที ฟังแล้วเคลิ้มตาม ได้อารมณ์สนุกของเรกเก้

โอ้ๆ ขอบพระคุณมากๆครับ ไม่น่ามาอ่านเล้ยยย อยากได้หนักเข้าไปอีก... ไม่ทราบว่าเรื่องเวทีเสียง ความโอบล้อม และมิติ เป็นอย่างไรบ้างครับพอสู้ JH5 หรือจะเทียบกับ TF10 ก็ได้นะครับ

มาถึงบทสรุปจากการทดลองฟัง Null Audio: Elpis Latest Version (Demo)
ความคิดเห็นส่วนตัว ผมมองว่าหูฟังตัวนี้ออกโทนอบอุ่น แต่ไม่ได้ออกแนวทึบ จะมีความโปร่งของเสียง
การให้มิติเสียงทำได้ในระดับหนึ่งพอจะรับรู้ระดับตื้นลึกได้ไม่ถึงขั้นหน้ากระดาน
การตีแผ่เสียงออกเป็นเวทีนับว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับหูฟัง In-Ear ระดับราคาพอๆกัน มวลเสียงโดยรวมไม่กลวงโบ๋/ไม่โหวงตรงกลาง แต่ไม่จับแน่นจนกระจุกเป็นก้อน (ผมไม่รู้อธิบายยังไงครับ
เสียงร้องมีน้ำมีนวล มีน้ำหนัก ออกแนวอบอุ่น ปลายเสียงทอดไปได้ไม่ไกลจนสุดแต่ไม่ได้ถึงขั้นห้วนกุดปลาย ยังคงความหวานออกโทนอบอุ่นไว้ในเนื้อเสียง
จากนั้นมาว่ากันถึงรายละเอียดของเสียงที่ได้ ผมฟังแล้วพอจะจับได้ว่าเสียงที่อยู่ใกล้จะให้รายละเอียดได้ชัดเจนและจะเฟดรายละเอียดลงไปสำหรับเสียงที่อยู่ด้านหลัง เวลาฟังจะรับรู้ว่ามีเครื่องดนตรีเล่นอยู่แต่จับรายละเอียดถึงระดับตัวโน๊ตสูงต่ำไม่ได้ ทั้งนี้ยังสามารถแยกแยะเครื่องดนตรีได้
เมื่อพิจารณาย้อนถึงคุณลักษณะของตัวหูฟังที่ใช้ Balanced Amature Driver เพียงตัวเดียวครอบคลุมทั้งเสียง Mid&High ดังนั้นคุณภาพเสียงที่ได้อาจจะด้อยในเรื่องของรายละเอียดบางส่วนไปบ้างคงไม่ใช่เรื่องนอกเหนือการคาดเดาในส่วนนี้
ส่วนเสียงต่ำที่ได้จาก Dynamic Driver สำหรับผมถือว่าเพียงพอ ไม่มากจนล้น เสียงเบสจะมาแบบแน่นแต่นุ่ม หัวเบสไม่คม จะออกมนๆไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน และก็ไม่ได้มากจนกลบเสียงอื่นๆ
คุณภาพของตัวหูฟัง เนื้ออะคลีลิคมีความใส ชิ้นงานขึ้นรูปได้ดี เอาเป็นว่าดูดีมีคุณภาพ ไม่ได้กระโหลกกะลา ทางร้านแจ้งว่า โรงงานที่ผลิตหูฟังให้เป็นโรงงานเดียวกับที่ผลิตหูฟังยี่ห้อ Rooth Professional Audio และ UM ด้วยครับ ส่วนเท็จจริงประการใดนั้น ผมไม่ทราบได้
ความคุ้มค่ากับราคา 299 SGD (7,500 บาท) ในความคิดเห็นของผม ผมคิดว่าเป็นหูฟังคุ้มเงินตัวนึงเลยหล่ะ ราคานี้ได้ CIEM รวมปั๊มหูเสร็จสรรพ คุณภาพเสียงที่ได้ทดลองฟังตัว Demo ไม่ได้ขี้เหร่เลย ทำได้ดีเลยทีเดียว แล้วเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ In-Ear ทั่วไปผมว่าหูฟังนี้ให้คุณลักษณะของเสียงที่ In-Ear ให้ไม่ได้ เช่น มิติเสียง ความอิ่มของเสียง เป็นต้น (ผมไม่รู้อธิบายยังไงครับ) อาจเพราะความได้เปรียบจากขนาดของ Chamber สำหรับ Driver ที่ตัวหูฟังซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของ CIEM ผมคาดว่าตัวจริงน่าจะได้เสียงที่ดีกว่าตัว Demo พอตัวเลยทีเดียว
หลายคนมักตั้งคำถามว่า "ตกลงหูฟังตัวนี้น่าซื้อมั้ย?" เอาเป็นว่า ถ้าคุณกำลังมองหาหูฟังในงบไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ชอบความเทอะทะของหูฟังครอบหัว เสียบหูฟัง In-Ear แล้วเสียงรอบข้างยังเข้ามากวนจนฟังเพลงไม่สนุก คุณไม่ได้ฟังเพลงแบบประเภทจ้องจับผิดใส่ใจในรายละเอียดหยุมหยิม คุณอยากหาหูฟังไว้ฟังเพลงที่ฟังได้หลากหลายแนว ไม่ได้ Flat จนทื่อซึมกระทือ ฟังแล้วได้อารมณ์ของเพลง หาโอกาสไปลองฟังหูฟังตัวนี้ดูครับ

สุดท้าย...บทความนี้ผมเขียนจากความคิดเห็นส่วนตัวหลังจากไปทดลองฟังด้วยตนเองดังนั้น ความรู้สึกที่ได้รับจากการรับฟังย่อมแตกต่างจากท่านอื่นๆ ทั้งเรื่องความชื่นชอบในแนวเสียงที่แตกต่างกัน นิยามของคำว่า "มาก" หรือ "น้อย" "เด่น" หรือ "ด้อย" ของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันด้วยเช่นกัน อีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ไหนจะไฟล์เพลงที่ใช้เปิด และอีกสารพัดตัวแปรครับ ดังนั้น อย่าผันแปรความชอบของคุณไปตามตัวหนังสือหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ "จงเชื่อหูของคุณครับ" ขอให้สนุกกับการฟังเพลงทุกคนครับ ขอบคุณครับ

นอกจากนี้ผมยังได้ทดลองฟังหูฟัง Rooth Professional Audio ด้วยครับ
ผมประทับใจ 2 รุ่นคือ LS6 และ LS8 (ไม่มี +) ประมาณรักพี่เสียดายน้อง
LS6 ออกแนวฟังสบาย ฟังไปได้เรื่อยๆ จะผ่อนปรน ให้ความอบอุ่น แต่ไม่ได้ทิ้งรายละเอียด ฟังเพลินจนเคลิ้ม
ส่วน LS8 เผยรายละเอียดได้แบบชัดแจ้ง ประมาณฟังแบบจริงจังขึ้นมาหน่อย เสียงร้อง รายละเอียดระยิบระยับ มิติเสียง ทำได้ดีครับ

ในภาพคือ LS8 ครับ

ในรูปคือ LS6 ครับ

ในภาพ คือ Null Audio: Elpis ตัว Demo ที่ถอดจุกยางออกครับ

ขออภัยครับ ภาพในความคิดเห็นที่ 28 เป็นภาพของ Rooth Professional Audio ครับ
ไหนๆก็ลงผิดละ แถมภาพ Rooth Professional Audio ไปอีกอันละกัน ที่แสดงให้เห็นตอนเสียบสายหูฟังลงไปใน Slot

ตัวอย่างสีของตัวหูฟังครับ มีให้เลือกหลากหลายมาก

ถ้า price performance ได้นี่ผมมองว่ามันคุ้มกว่าการส่งพวก TF10 หรือตัวอื่นไป remold มากเลยนะเนี่ย

แต่ยังสงสัยเหมือนคุณ Joker เหมือนกันสมมติว่าลองตั้งเอา TF10 หรือพวก UM3X เป็น standard ตัวนี้มันสู้ไหวมั้ยครับ

ตัวอย่าง Face Plate ครับ

ตัวอย่าง Null Audio: Elpis ของลูกค้า

ทางร้านบอกโรงงานเดียวกัน โขกบล็อคออกมาแบบนี้ก็ได้

เผื่อใครมีโอกาสได้ไปเยือนถึงร้าน เวลา ปิด-เปิด ร้านครับ

ถึงท่านที่สอบถามว่า "หากเทียบ ELPIS กับหูฟังรุ่นอื่นอย่าง TF10, UM3X, JH5 หล่ะ?"
ผมขอตอบตามความคิดเห็นและมุมมองของผมละกันนะครับ
JH5 ผมไม่เคยฟังเลยครับ ผมขอผ่านนะครับ

UM3X ผมเคยทดลองฟังครั้งนึงนานแล้ว เท่าที่จำได้โดยส่วนตัว ผมว่ามันออกโทนดาร์คไปสำหรับผม ฟังเพลงร้องได้ดี เสียงอบอุ่น มีมวล ฟังสบาย เพลงช้าได้ความละเมียดดี แต่พอฟังเพลงจังหวะสนุกสนานแล้วเนือยๆยังไงชอบกล ฟังเพลงมันส์ๆแล้วมันไม่ติ๊ดชึ่งอ่ะครับ (อธิบายไม่ถูก) สำหรับ UM3X ฟังรอบเดียวเท่านั้นครับ ส่วน ELPIS จะโปร่งกว่า ไม่ดูอึมครึมแบบ UM3X เพลงสนุกก็มันส์ได้ เบสให้อารมณ์โจ๊ะครึมๆได้ ด้วยความที่โปร่งกว่า รายละเอียดเลยจะเผยกว่า UM3X ส่วนอื่นๆด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง UM3X เลยตอบไม่ได้ขอรับ

ถ้าให้เทียบกับ TF10 ผมพอจะตอบได้หน่อย เพราะ มี TF10เดิมๆ+Lune MkIII อยู่ และตอนไปทดลองฟังผมก็ใช้อุปกรณ์เดิมๆที่ฟังประจำของผมนี่แหล่ะ
อย่างแรกอุปกรณ์ที่ผมใช้ฟังคู่กับ TF10 นั้นเสียงเบสมาแค่พอเป็นกระสัย ติดบางไปหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาย+ส่วนอื่นๆหรือเปล่า แต่พอเปลี่ยนเป็น ELPIS ในเพลงเดียวกัน เบสมาเป็นลูก แน่นๆ แต่หัวเบสไม่กระแทกกระทั้น พอเสียงมาครบทุกย่านฟังเพลงสนุกขึ้นครับ
การเผยรายละเอียด ความใสกระจ่างของเสียงร้องและเสียงสูง จุดนี้ TF10 ดูจะเด่นกว่าครับ เช่น เพลง Way Back To Love ของ Simone Kopmajer ฟังผ่าน TF10 ยังพอจับความสูงต่ำตัวโน๊ตของเปียโนที่เล่นแบ๊คกราวด์ได้ ส่วน ELPIS จะแยกความสูงต่ำตัวโน๊ตได้ยากกว่าครับ ผมคาดว่าน่าจะมาจากการที่ TF10 มี Driver แยกเสียงกลาง กับ เสียงสูง ครับ การแสดงรายละเอียดจึงทำได้ดีกว่า
เสียงสูง TF10 ทอดได้ยาวไกล และ พริ้วไหว ส่วนเสียงแหลมของ ELPIS จะมีมวลมากกว่า จึงไม่แปลกที่จะไปได้ไม่ไกลเท่า ผมมองว่าหูฟังให้เสียงสูงคนละแนวกันครับ
เสียงตีเกราะเคาะไม้ หากจะให้เปรียบเทียบ ผมว่า TF10 หนังกลองตึงกว่า ELPIS ครับ
มิติเสียง ผมฟังอัลบั้ม Adele - Live at the Royal Albert Hall มาหลายรอบถ้าเป็นเทปคงต้องเอาไปแช่ตู้เย็นแล้วหล่ะครับ ส่วนตัวผมว่า Adele ฟังผ่าน TF10 จะผอมกว่า ELPIS หน่อยครับ ELPIS จะให้เสียงที่หนา มีมวลกว่าหน่อย โดยเสียงยังคงมีความโปร่ง ไม่กระจุกเป็นก้อนครับ

มีดีด้วยกันทั้งคู่ครับ อยู่ที่รสนิยมในการฟังแล้วหล่ะครับ
จากคำบอกกล่าวของทางร้านคาดว่าอีกไม่นานตัว Demo น่าจะมีให้ทดลองฟังเร็วๆนี้ที่ ร้านมั่นคง ครับ
จากนั้น หากเป็นไปได้เมื่อได้ทดลองฟังแล้วมาช่วยกันแชร์ความคิดเห็นกันครับ
ผมเองจะได้รับฟังประสบการณ์ในการฟังเพลงในมุมมองที่ต่างออกไปครับ

แถมท้ายอีกนิดสำหรับท่านที่จะมาช็อปถึงร้านที่สิงคโปร์
ทางร้านไม่ได้เข้าร่วมโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนะครับ ดังนั้น ซื้อเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น No VAT Refound จ้า

หากวิพากษ์วิจารณ์ไม่เหมาะสม ไม่ตรงกับสิ่งที่ควรเป็น หรือผิดประการใดขออภัยนะครับ

สายต่อ Mini To Mini สีสัดสดใสดีครับ

ขอบคุณมากๆๆครับคงต้องไปลอง Demo ให้ได้ล่ะครับ

ขอบคุณมากๆคับ น่าจะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

เคยไปทีนึง คุณ lee เขาชอบกวนๆผม 5555
เสียดายมีเวลาน้อยนิดไม่งั้นจะฟังมันทุกแบบเลยครับ
(ตอนแรกผมไปหลงอยู่ Peninsula plaza เสียเวลาอยู่นานเลย)

ผมเองไปครั้งแรกก็หลงเข้าไปในห้างที่ว่านั่นเหมือนกันครับ ภายในห้างกลิ่นเครื่องหอม กำยาน โชยมาจนนึกว่าเดินอยู่แถวย่านพาหุรัด เลยคิดว่าลงรูปถ่ายหน้าอาคารไว้เผื่อท่านใดสนใจจะไปตะได้ไม่หลงครับ

ยังไงอยากรบกวนสอบถามเจ้าของกระทู้นิดนึงครับว่า
ถ้าเปรียบเทียบเสียงกับWestone 4R เสียงมีความแตกต่างกันยังไงบ้างครับ ^^

คุณ Tilox
ผมไม่เคยได้ฟัง 4R ต้องขออภัยด้วยครับ
อีกประการผมมองว่าเป็นการขึ้นชกข้ามรุ่นไปหน่อยครับ :)

ขอบคุณครับ จริงๆผมก็ว่ามันดูจะข้ามรุ่นไปหน่อย
แต่เผื่อว่าด้วยความที่มันเป็นCIEM บวกกับเป็นHybrid Driver อาจจะมีหมัดเด็ดอะไรแบบนี้น่ะครับ แหะๆ ^^"

เท่าที่ผมทราบหูฟัง IEM ในระดับราคาใกล้เคียงกันก็คงมีแต่เจ้า Elpis นี่แหล่ะครับที่เป็น CIEM ซึ่งคงได้อานิสงค์ในเรื่อง Noise Isolation ส่วนหมัดเด็ดจะโดนใจหรือเปล่า ผมว่าคงต้องรอฟังตัว Demo ครับที่คาดว่าไม่นานเกินรอคงได้ทดลองฟังกันครับ หากฟังแล้วช่วยมาแบ่งปันมุมมองความคิดเห็นกันด้วยนะครับ :D

ถามนิดนึงคับ คือร้านนี้สามารถไปพิมหูที่ร้านได้เลยปะคับ
แล้ว ขอรายระเอียดทางไปด้วยbtsหรือพวกใต้ดินหน่อยได้มะคับ

ใครเคยไปบอกทีคับT-T

ร้านมันอยู่เมืองไทยปะคับ

ร้านอยู่สิงคโปร์ครับ

กำนึกว่าอยู่ไทย 555 ขอบคุนคับ