Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

Meridian Explorer DAC vs DragonFly ช่วยเปรียบมวยให้ทีครับ

artaat

03/04/2013 15:14:09
0
เข้าใจว่ามวยคนละรุ่น แต่อยากรู้ว่าได้เปรียบเสียเปรียบ ในช่วงชก พละกำลัง รูปมวยกันยังไง
อัตราต่อรองอยู่ที่เท่าไหร่ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

เอกเรื่องมาก

03/04/2013 15:51:08
23
เคยลองผ่านๆน่ะ ไม่ได้ตั้งใจฟังมาก Dragonfly ออกแข็งๆ ทื่อๆ หน่อย ค่อนข้างแฟลตกว่า Meridian ออก color มากกว่านิดหน่อย แต่ดูมีน้ำมีนวลกว่าอ่ะ อันนี้ไม่รับรองน่ะ เพราะผมฟังแค่แป๊บเดียว ผ่านๆ รอคนเคยลองทั้งสองตัวแบบจริงจังมาเล่าดีกว่า
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

InLimbo

03/04/2013 16:20:03
53
Dragonfly ออกค่อนข้างธรรมชาติแต่ก็ยังมีความฉ่ำในน้ำเสียงอยู่บ้าง แอบติดแข็งเล็กน้อย แจกแจงรายละเอียดได้ดี ไม่ชอบวัสดุมากๆ

Explorer เสียงสะอาด เนื้อเสียงหนา เบสดี การไล่เสียงจากตัวโน็ตนึงไปตัวโน็ตนึงทำได้ไหลลื่นดี ส่วนตัวคิดว่า matching ยากไปนิด สายUSBที่ลองแล้วผมชอบมากสุดคือ Supra

ถ้ารวมเรื่องราคากับแนวเสียงผมชอบ Dragonfly มากกว่าครับ เพราะ Explorerเปลี่ยนสายUSBแล้วดีขึ้นจมเลย ก็ต้องบวกราคาเข้าไปอีก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

InLimbo

03/04/2013 16:27:00
53
เพิ่มนิดนะครับ เรื่อง matching คือเรื่องเข้ากับอุปกรณ์อื่นนะครับ ไม่ใช่สายUSB
ส่วน Supra เป็นสาย diy นะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

เด็กใต้

03/04/2013 18:55:10
ขออนุญาต จขท ครับ อยากทราบรายละเอียดสาย usb Supra ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

clkb

03/04/2013 20:28:51
อยากทราบว่า matching ยาก
คือไม่ matching กับลักษณะไหนครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

kamil

03/04/2013 21:05:43
0
สาย usb Supra มีแบบหัว mini ด้วยเหรอครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

clkb

03/04/2013 21:53:45
meridian มันใช้สาย usb A-minib ครับ ไม่ใช่หัว mini3.5แบบหูฟัง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

นายมั่นคง

03/04/2013 23:40:57
4,294
มีงานแปลชิ้นนึง ที่นำเอาบทความจาก computer audiophile มาแปลครับ ผมก็อปมาให้อ่านละกันจ้าๆๆๆ


Meridian Explorer USB DAC Review
ที่งาน Consumer Electronics Show 2013 นั้น ทาง Meridian ได้เปิดตัว USB DAC ขนาดพกพา พร้อมแอมป์หูฟังในตัวที่มีชื่อว่า Meridian Explorer ไปอย่างเงียบๆ ซึ่งผมรู้สึกตื่นเต้นกับมันมากทั้งในส่วนของภายในและภายนอกของเจ้า Explorer, ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม ภายใช้ใช้แผงวงจร 6 Layer รวมไปถึง capacitor ขนาดใหญ่ของ Nichicon ภาครับ USB ใช้ตัวประมวลผลจาก XMOS L1 และอื่นๆที่ใช้วัสดุเกรด audiophile ทำให้ผมประทับใจอย่างมาก ส่วนสเปคก็จัดว่าเยี่ยมยอด ทั้งในส่วนของ asynchronous USB input, รองรับไฟล์รูปแบบ PCM ได้สูงสุดถึง 192kHz, เลือกใช้ analog output ได้ทั้งแบบ fixed และ variable, มีช่อง optical output และการควบคุมระดับเสียงแบบดิจิตอล โดยในครั้งนั้นผมได้ปฏิเสธที่จะลองฟังเจ้า Explorer ในห้องที่ทาง Meridian จัดเอาไว้ให้ด้วยเหตุผลเรื่องเสียงรบกวน, หูฟังที่ไม่คุ้นเคย, เพลงที่ไม่คุ้นเคย, และเวลาที่จำกัดจึงไม่เหมาะที่จะทำการทดลองฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นผมจึงนั่งเครื่องบินกลับมาที่ Minneapolis เพื่อรอการมาถึงของเจ้า Explorer ซึ่งความประทับใจแรกของ DAC ราคา $299 (ราคา 250 ปอนด์ที่ประเทศอังกฤษ) เมื่อมาใช้กับชุดเครื่องเสียงที่มีอยู่นั้นนับได้ว่าเยี่ยมยอด โดยในการรีวิวนี้ผมจะทำการเปรียบเทียบ Exporer กับ DAC คู่แข่งราคา $249 ผ่านการฟังโดยใช้หูฟังของ Ultimate Ears 11 Pro, Etymotic ER4-P และ Sennheiser HD600 และยิ่งผมได้ฟัง Explorer มากเท่าไร ความชอบในเสียงที่ได้จาก Explorer ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้ Meridian Explorer ได้รับตำแหน่งสูงสุดในตลาดของ portable USB DAC ได้อย่างไม่มีข้อสงสัย




Meridian Explorer
Meridian Explorer นั้นเป็น USB digital to analog converter (DAC), headphone amp, preamp และ digital to digital converter ด้วยขนาด 4.0 x 1.25 x 0.7 นิ้วและน้ำหนักเพียง 1.76 ออนซ์ ทำให้มันดูคล้ายกับรีโมทของ Apple TV เป็นอย่างมาก ด้านบนของตัวเครื่องมีหลอด LED จำนวน 3 ดวง ใช้แสดงความละเอียดของเพลงที่เล่นอยู่ ไฟติดหนึ่งดวงหมายถึงการเล่นที่ 1x sample rates ของ 44.1 หรือ 48 kHz, ไฟติดสองดวงหมายถึงการเล่นที่ 2x sample rates ของ 88.2 หรือ 96, เมื่อไฟทั้งสามดวงติดนั่นหมายความว่าตัวเครื่องกำลังเล่นที่ 4x sample rates ที่ 176.4 หรือ 192kHz ด้านใต้เครื่องมีอยู่สองสิ่งด้วยกัน อย่างแรกคือตัวหนังสือที่บอกว่าออกแบบและผลิตในประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นเรืองใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์ราคา $299 และอีกอย่างก็คือแผ่นยางที่ช่วยยึดเกาะไม่ให้เจ้า Explorer เลื่อนไปมาระหว่างใช้งาน และยังช่วยป้องกันรอยที่จะเกิดตัวตัวเครื่องที่ทำจากอลูมิเนียมด้วย


ทั้งสองฝั่งของ Explorer จะมีช่องต่ออยู่ โดยด้านหนึ่งจะเป็นช่องUSB mini type B input ทำงานโดยใช้กระแสไฟขนาด 5V 500mA ที่ป้อนออกมาจากช่อง USB ที่เป็น Class 2.0 USB audio compliant, ทาง Meridian เลือกที่จะใช้สายต่อพ่วงสำหรับการเชื่อมต่อ Explorer เข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีกว่าการใช้หัว USB ชนิด A เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์โดยตรงเพราะว่าจะช่วยลดการถ่วงน้ำหนักที่ช้อง USB, สามารถเลือกสาย USB เองได้ และไม่ขวางช่อง USB อื่นๆอีกด้วย ในการรีวิวครั้งนี้ผมเลือกใช้สาย USB ความยาว 6.5 นิ้วที่แถมมาให้ และสาย type A to mini B Wire World Silver Starlight cable ที่มีความยาว 2 เมตรด้วยกัน, ภาครับของ USB ใช้ตัวประมวลผลจาก XMOS L1 ซึ่งเป็นตัวที่ผมชื่นชอบเนื่องจากการทำงานที่เรียบง่ายของมัน, ตัวเครื่อง Explorer ทำงานในรูปแบบ asynchronous พร้อมกับ master clock ที่ได้จาก low jitter crystal oscillators ซึ่งการเชื่อมต่อแบบ asynchronous นั้นกลายเป็นมาตรฐานที่สำคัญไปแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีอีกอย่างที่ใกล้เคียงกันก็คือ Adaptive USB ที่จัดว่าแย่กว่าเนื่องจากขาดการควบคุมของ master clocking และการควบคุมการรับส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพไม่ดี ซึ่งเทคโนโลยี asynchronous สามารถจัดการกับทั้งสองสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี



อีกฝั่งของ Explorer ประกอบไปด้วย output 3 แบบที่มาในรูปแบบช่องเสียบ 2 ช่อง ช่องแรกเป็นช่อง 3.5mm สำหรับหูฟัง มีกำลังขับอยู่ที่ 130mW @16Ω โดยควบคุมเสียงผ่านระบบดิจิตอล 64 ขั้นแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน AudioQuest Dragonfly, ใช้ master volume control ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการควบคุมระดับเสียงที่ออกมาจาก Explorer ซึ่งนับว่าสะดวกมากเมื่อใช้กับเครื่อง Mac เพราะมีปุ่มควบคุมเสียงอยู่บนคีย์บอร์ดเลย ส่วนช่อง 3.5mm อีกช่องนั้นเป็นการรวม 2v RMS analog line out และช่อง optical digital S/PDIF output ที่ใช้ร่วมกับสาย mini TOSLINK to TOSLINK cable โดยทั้งการเสียบแบบ analog และ digital ในช่องนี้จะไม่มีการควบคุมเสียงแต่อย่างใด และการใช้ช่อง optical จะสามารถเล่นเพลงที่ความละเอียดสูงสุดเพียง 96kHz เท่านั้น หากเล่นเพลงที่มีความละเอียดสูงกว่าที่กำหนด สัญญาณจะถูก down sampling ลงก่อนที่จะส่งออกมาทางช่อง optical แต่หากใช้เป็น analog output จะไม่ถูก down sampling แต่อย่างใด

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ตัวเครื่อง Explorer นั้นสามารถทำการปรับแต่งค่าต่างๆได้ตามต้องการผ่านการ update firmware หลายๆคนอาจจะยอมใช้การตั้งค่าจากโรงงาน แต่สำหรับบางคนที่อยากปรับแต่งตัวเครื่องก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่าน application ของ Meridian ที่จะทำการเปลี่ยน firmware ได้ภายใน 10 วินาที ซึ่งในขณะนี้ application ที่ว่านี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่ผมได้รับการติดต่อจากทาง Meridian ในการ upgrade firmware ผ่านการใช้ Terminal app ของระบบ OS X, ความสามารถในการสลับการตั้งค่าไปมาระกว่างการใช้งานนั้นเป็นอะไรที่ดีมากๆ ระหว่างการรีวิวผมได้ตั้งค่าให้ output 4x sample rate ของ 176.4 หรือ 192kHz ผ่านทาง optical digital output ผมได้ลองทดสอบ output ในเรื่องของ bit transparency โดยเชื่อมต่อกับ Berkeley Audio Design Alpha DAC ซึ่งสามารถผ่านการทดสอบได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ โดยผมได้ลองสลับ firmware ไปมาระหว่างการทดสอบ ผลที่ได้นั้นไม่มีปัญหาอะไร โดยทาง Meridian ได้วางแผนที่จะปล่อย firmware พร้อมกับ application ที่ช่วยให้การเปลี่ยน firmware นั้นง่ายเพียงแค่การคลิกไม่กี่ครั้ง รวมไปถึงการรองรับการเล่นไฟล์แบบ 4x ผ่านทาง optical output ที่จะช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นในการใช้งาน ซึ่งการ update firmware นั้นสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เพราะเมื่อมีการ update ที่ล้มเหลว ตัวเครื่องจะกลับไปใช้ firmware ที่ตั้งค่ามาจากโรงงานที่ถูกเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำที่ป้องกันการเขียนของตัวเครื่อง ซึ่งปัญหาการ update ที่ล้มเหลวนั้นอาจเกิดจากการดึงตัวเครื่องออกหรือการสั่ง restart คอมพิวเตอร์ระหว่างการ update


ภายในของ DAC ตัวนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากๆ, ใช้แผงวงจรชนิด 6 Layer ที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์ระดับ audiophile และช่อง output ชนิดแยกออกจากกัน โดยเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราได้เจอเป็นครั้งแรกในอุปกรณ์ราคา $299 โดยภาพด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นถึง Nichicon caps, linear regulators, XMOS processor, discrete audio clocks, และ PCM5102 24/384 kHz DAC.


Using the Meridian Explorer
จุดประสงค์หลักของการใช้ Meridian Explorer ของผมนั้นมีอยู่ 2 อย่างนั่นคือการใช้เป็น headphone amplifier และการใช้เป็น DAC แต่ในส่วนของการใช้การแปลงสัญญาณจาก USB digital input ไปเป็น digital TOSLINK optical output นั้นผมแค่เพียงทดสอบว่ามันสามารถใช้ได้จริงตามที่บอกเอาไว้เท่านั้น ซึ่งก่อนการ update firmware นั้น การเล่นแบบ 4x จะถูก down sampling ลงเหลือเพียง 2x และเมื่อหลังจาก update firmware แล้ว การเล่นตั้งแต่ 1x ถึง 4x จะถูกส่งออกไปโดยไม่ผ่านการ down sampling ทางช่อง TOSLINK optical

ในส่วนของการใช้งานเป็น DAC/headphone amp นั้นเจ้า Explorer ก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี ผมใช้มันร่วมกับ 15” MacBook Pro retina, OS X 10.8.2, Ultimate Ears 11 Pro, Etymotic ER-4P, และ Sennheiser HD600 ของผม และทดสอบโดยฟังผ่านโปรแกรม iTunes, iTunes + Amarra, และ Audirvana Plus ซึ่งการฟังทั้ง 3 แบบนั้น เสียงที่ได้จากหูฟังนั้นถือว่ายอดเยี่ยม, ER-4P และ Explorer นั้นเป็นการจับคู่ที่เข้ากันได้ดีมากๆ ผมได้ลองเล่นเพลงใน playlist ที่ผมคุ้นเคย เสียงที่ได้นั้นไม่มีอาการหมดแรงให้เห็นแม้แต่น้อย, Explorer นั้นมีพลังเพียงพอที่จะทำให้เสียงที่ได้จาก Etymotic นั้นออกมาได้อย่างหมดจด เพลงต่อไปเป็นเพลงแนว acoustic guitar จากทาง Ottomar Liebert’s One guitar ที่มีความละเอียด 24 bit/ 96 kHz โดยยังใช้การจับคู่ระหว่าง Explorer และ ER-4P เหมือนเดิม เสียงที่ได้นั้นมีความละเอียดถึงแรงดีดและการสั่นของสาย ซึ่งการสั่นของสายนี้ผมเคยได้ยินที่ดีกว่านี้มาก่อน แต่ไม่ใช่จากอุปกรณ์ราคา $299, ต่อมาเป็นคิวของเพลงของ Randi Tytingvåg's Red และ Dead track เช่นเดียวกับเพลงของ Ray LaMontagne’s God Willing The Creek Don’t Rise เสียงที่ได้มีความนุ่มนวล รายละเอียดทุกอย่างถูกขับออกมาอย่างหมดจด ส่วนเพลงที่ผมชื่นชอบมากอย่างเพลงของ Nat King Cole ในอัลบั้ม The Very Thought of You เป็นอัลบั้มที่ฟังกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเบื่อ เสียงของ NAT นั้นเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทางค่าย Capitol Studios ที่ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้, ผมสามารถนั่งอยู่ที่ร้านน้ำชาได้ทั้งวันเพื่อฟังเพลงทั้งอัลบั้มที่ผ่านการ re-master จากแผ่นเสียงของ Nat King Coles ผ่านการฟังด้วย ER-4P ที่ต่อเข้ากับ Explorer, จากนั้นผมลองเปลี่ยนไปใช้ Explorer คู่กับ HD600 เสียงที่ได้กลับแตกต่างไปแต่ก็ยังน่าประทับใจเช่นเดียวกัน ความนุ่มนวลอย่างที่เคยมีใน ER-4P นั้นลดลงเล็กน้อยแต่กลับได้รายละเอียดที่มากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าเจ้า Explorer นั้นสามารถให้เสียงที่ออกมาได้อย่างเต็มที่เมื่อตั้งค่าและอุปกรณ์ต่างๆนั้นเหมาะสม และก่อนที่จะจบการฟังของ HD600 ผมได้ลองเพลงแนว RAP ที่ดีที่สุดอย่าง N.W.A. ในอัลบั้ม Straight Outta Compton ซึ่งอัลบั้มนี้ไม่ได้มาตรฐานระดับ audiophile แต่อัลบั้มนี้มีเพลงที่ผมรักที่ร้องโดยนักร้องเพลง RAP ที่ดีที่สุด ในสามเพลงแรกของอัลบั้มได้แก่ Straight Outta Compton, F**k the Police, และ Gangsta Gangsta เป็นเพลงแนว Gangsta Rap, HD600 ที่ผ่านการควบคุมอย่างเที่ยงตรงโดย Explorer ภายใต้เพลงที่มีเบสหนักสุดๆก็ยังสามารถรับมือได้อย่างสบาย สำหรับการฟังเพลงบางประเภทผมจะตั้งระดับเสียงเอาไว้ที่ 100% และนั่นคือระดับเสียงสูงสุดที่ผมสามารถฟังได้ ซึ่ง Explorer นั้นไม่สามารถให้เสียงที่ดังกว่านี้ได้และผมก็ฟังได้ที่ระดับสูงสุดเพียงเท่านี้เช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับ Dragonfly มันสามารถให้เสียงที่ดังกว่าเมื่อเสียบเข้ากับ HD600 แต่คุณภาพเสียงจะลดลงทันที่ที่เล่นในระดับเสียงนี้ ในขณะที่ Explorer ให้เสียงเบสที่กระชับและมีการควบคุมได้ดี เมื่อเทียบกับ Dragonfly ที่มีเบสมากกว่าแต่ก็ไม่กระชับและยังขุ่นกว่าอีกด้วย Dragonfly นั้นเป็นรอง Explorer ไม่เพียงแค่การฟังในระดับเสียงสูงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการฟังเกือบทุกรูปแบบด้วย




จากนั้นผมได้ลอง Meridian Explorer ในการใช้เป็น DAC เพียงอย่างเดียวโดยต่อเข้ากับชุดเครื่องเสียงหลักของผมผ่านทางช่อง analog line out ซึ่งเสียงที่ได้นั้นให้ประสบการณ์ในการฟังที่ใกล้เคียงกับการใช้งานร่วมกับหูฟัง เสียงที่ได้จากการเปลี่ยนจากหูฟังมาเป็นการใช้ลำโพงนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง แต่คุณภาพเสียงที่ได้นั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่นิดเดียว ปลายเสียงนั้นยังสามารถไปได้อีก แต่ความนุ่มนวลและลื่นไหลนั้นมีอย่างพอดี ซึ่งไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่าการได้ลองฟังกับเพลงของ Randi Tytingvåg’ ในอัลบั้ม Red or Dead เสียงของนักร้องนั้นไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้เมื่อเทียบกับการต่อกับอุปกรณ์อื่นๆที่ผมมี หรืออย่างในเพลงของ Ben Harper ในเพลงที่ชื่อ By My Side และเพลงของ Glen Hansard ในเพลง Rhythm and Repose ทั้งสองเพลงเป็นเพลงที่มีความละเอียด 24/96 ที่มีเสียงที่ดีมากๆ แต่ในครั้งนี้ผมไม่ได้ยินรายละเอียดในส่วนที่ลึกที่สุดของทั้งสองเพลง แต่เสียงดนตรีที่ได้จาก Explorer นั้นก็เพียงพอที่จะข้ามในส่วนนั้นไป ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ผมติดใจมันเป็นอย่างมาก


เมื่อเปรียบเทียบ DAC จาก AudioQuest DragonFly ที่มีราคา $250 กับเจ้า Meridian Explorer ที่มีราคา $299 เพื่อให้ทางผู้อ่านสามารถตัดสินใจในการเลือกซื้อระหว่างสองตัวนี้, ขนาดของ Explorer นั้นใหญ่กว่าเกือบหนึ่งเท่า ทั้งคู่นั้นมีขนาดที่สามารถใส่กระเป๋าเสื้อได้เหมือนกัน (แต่ขนาดก็ยังสำคัญอยู่ดี) การตัดสินใจจริงๆนั้นไม่ยากเท่าไร, Explorer นั้นมีช่อง optical digital out, สามารถปรับแต่งด้วยตัวเองได้, ที่สำคัญคือรองรับความละเอียด 176.4 และ 192kHz ซึ่ง Dragonfly นั้นไม่มีความสามารถตามที่กล่าวมาข้างต้นแม้แต่ข้อเดียว, Explorer ใช้สายพ่วงในการเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ในขณะที่ Dragonfly ใช้เป็น USB type A ติดอยู่ที่ตัว DAC เลย, Explorer ต้องติดตั้ง driver สำหรับ Windows เพราะว่าตัวเครื่องรองรับการเล่นไฟล์ที่ความละเอียด 4x แต่ Dragonfly นั้นสามารถเสียบใช้ได้เลย, เสียงของทั้งสองตัวนี้ไม่ได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับที่สเปคได้ระบุไว้ Explorer จะมี sound stage ที่กว้างกว่า มีการควบคุมเสียงโดยรวมดีกว่า, สำหรับ Dragonfly นั้นได้รับรางวัล 2012 Computer Audiophile Product of the Year แต่ถ้าหาก Explorer เปิดตัวในปี 2012 ผมคงยกรางวัลนี้ให้กับ Explorer, การเปลี่ยนแปลงในเรื่องอุปกรณ์ดิจิตอลนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆคนกลัว แต่กับผมกลับรู้สึกตื่นเต้นกับมัน, ผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่มาจากบริษัทชั้นยอดในราคาเพียง $299 นั้นเห็นได้ไม่บ่อยนักในตลาด ตอนนี้เกือบทุกคนสามารถเข้าถึงการเล่นเพลงความละเอียดสูงที่มีคุณภาพดีเยี่ยมที่ได้จาก Meridian Explorer ได้แล้ววันนี้




Conclusion
Meridian สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้จาก Explorer ที่เป็น USB DAC / headphone amplifier ที่มีราคาเพียง $299 โดยภายนอกนั้นบ่งบอกถึงคุณภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี ส่วนภายในก็อัดไปด้วยส่วนประกอบชั้นยอดอย่างแผงวงจร 6 Layer, capacitor เกรด audiophile, และ Chip XMOS USB, ในส่วนของการใช้งานนั้น Explorer นั้นครอบคลุมทุกความต้องการใช้งาน รองรับไฟล์ความละเอียดสูงสุด 24 bit/ 192 kHz, สามารถ update firmware ได้ด้วยตนเอง, คุณภาพเสียงชั้นยอด ซึ่งการรวมความยอดเยี่ยมทั้งในส่วนของอุปกรณ์ภายใน ความสวยงามภายนอก และคุณภาพเสียงเข้าด้วยกันทำให้ Explorer นั้นเหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆด้าน จึงทำให้มันติดอยู่ในอันดับ CASH List ของเรา ซึ่งเจ้า Explorer จะเป็นอุปกรณ์ระดับ audiophile ที่สามารถเจอได้ตามร้านกาแฟทั่วไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

คนที่ผ่านมา

03/04/2013 23:59:32
0
ยาวอะเฮีย ผมอ่านวันละไม่เกิน 7 บรรทัด แต่ผมจัด meridian กะ GT2 มาและ ฮุๆ เอาเป็นว่ากิน แมงปอล่อคลื่นสบายๆ แต่ก็ต้องยอมจ่ายเพิ่มสาย เพราะที่แถมมา ตัวเงินตัวทองมาก ราคาเพิ่ม สองเท่าเลย จากแมงปอ ก็ต้องฟังล่ะคร้าบ งานนี้ หูใครหูมัน
แต่ผมลองและ แมงปอ ให้ไม่ได้ในบาง แนวดนตรี ผมเลยกัดลิ้น เอา meridian ไป
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

เด็กใต้

04/04/2013 05:53:19
0
ขอบคุณเฮียมากครับ เท่าที่ลองหาข้อมูล น่าจะเอาสาย supra มา diy เปลี่ยนปลายอีกข้างเป็น mini usb ครับ .... ตอนนี้มีอยู่ในรายการ wireworld starlight . furutech มี GT2 และ formula2 ส่วนตัวตอนนี้ยังงบไม่ถึงใช้ ของพี่สมพงศ์ เสียงดีกว่าสายแถมมากมายครับ เห็นด้วยกับ คหขบ ครับ ว่าซื้อมาแล้วควรเปลี่ยนสาย usb แถมเป็นตัวอื่นที่ดีกว่า ครับ ส่วนสายอะไร คงต้องลองหาข้อมูลและลองฟังดูครับ อยู่ต่างจังหวัดเลยไม่มีโอกาสลองฟัง สายfurutech ก่อนครับ T T
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"Meridian Explorer DAC vs DragonFly ช่วยเปรียบมวยให้ทีครับ"