Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

เหน่งบา

31/01/2013 12:56:26
0
เข้าใจว่าเพื่อนๆคงเคยได้ยินคำว่าพังแป้น และพอทราบความหมาย
ว่าใช้เชิงเปรียบเทียบกับอะไร แต่พังแป้นเป็นใคร อ่านเจอในหนังสือ ช้างในชีวิตของผม งานเขียนของ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปรา่โมช ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

'.....ผู้ที่ถูกกระทบกระเืทือนจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ มากที่สุด ก็เห็นจะได้แก่ช้างหลวง
ซึ่งยืนโรงอยู่ที่หลังโบสถ์วัดพระแก้ววังหน้านั่นเอง

พังแป้นเป็นช้างหลวงซึ่งขึ้นระวางมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อถึงปี ๒๔๗๔ นั้น
มีอายุร้อยปีเศษแล้ว และเป็นที่นิยมนับถือของประชาชนทั่วทั้งกรุงเทพฯ ใครมีลูกอ่อนแอไม่แข็งแรง
ก็เอาไปลอดใต้ท้องพังแป้น และให้พังแป้นเอางวงลูบไล้ตามเนื้อตัว บางทีพังแป้นก็เอางวงดูดน้ำแล้วพรมน้ำมนต์ให้
เด็กนั้นก็มักจะหายไข้เจ็บเลี้ยงง่ายและแข็งแรงดีต่อไป

พังแป้นเป็นช้างรักเด็ก เด็กเข้าไปเล่นด้วยได้อย่างใกล้ชิดเสมอ ผมเองตกบ่ายกลับจากโรงเรียน ก็มักจะไถล
แวะเข้าไปเล่นกับพังแป้นอยู่บ่อยๆ สู้อุตส่าห์เก็บค่าขนมไว้ซื้ออ้อยให้พังแป้นก็เคยทำ

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา ก็มีคำสั่งให้เอาช้างหลวงทั้งปวง
รวมทั้งพังแป้นออกไปทำงานป่าไม้ในต่างจังหวัด

เมื่อช้างซึ่งมีอายุถึงร้อยปีเศษต้องรับเคราะห์กรรมอย่างนั้น ความทารุณของระบอบประชาธิปไตย
ก็ประจักษ์แก่คนทั้งปวง

สิทธิและเสรีภาพได้เกิดขึ้นแล้ว ความเสมอภาคได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่ความเมตตากรุณานั้นหายไป

เมื่อถึงวันที่จะต้องออกจากพระนคร พังแป้นก็เดินออกจากโรงมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนนทบุรี
พังแป้นเดินไปก็ร้องไห้ไป น้ำตาไหลอาบหน้า

แต่พังแป้นก็มิได้ขัดขืน เพราะพังแป้นคงจะมีชีวิตอยู่มานานพอที่จะเข้าใจได้ว่า
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกาลตามสมัย

แต่ที่เขตจังหวัดพระนครนั้นมีประชาชนชาวกรุงเทพฯ ไปรอส่งพังแป้นอยู่เนืองแน่น
พอพังแป้นไปถึง ประชาชนก็เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังด้วยความสงสารและความอาลัย

พ้งแป้นก็ร้องไห้ร่ำลาประชาชน เอางวงจับมือจับแขนคนที่เข้าไปหา หรือมิฉะนั้น
ก็เอางวงโอบหลังกอดรัดแสดงความอาลัย

ประชาชนเห็นดังนั้นก็เกิดเข้าใจในสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยของตนขึ้นมาเฉยๆ
คือสิทธิืที่จะแสดงความเมตตากรุณาต่อสิ่งที่ตนรัก
และสิทธิที่จะแสดงประชามติกำหนดการให้เป็นไปตามใจตน โดยไม่ต้องคำนึงว่า
พระยาพหลฯ หรือรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นลูกของพระยาพหลฯ นั้น จะสั่งว่าอย่างไร

เมื่อรู้ดังนั้นแล้ว ประชาชนก็เข้ากั้นขวางพังแป้นไว้ มิให้ออกไปจากกรุงเทพฯ
พัีงแป้นก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

รัฐบาลพระยาพหลฯ ได้ทราบถึงประชามติอันรุนแรงของประชาชนนี้เข้า ก็เปลี่ยนความคิด
และถอนคำสั่ง อนุญาตให้นำตัวพังแป้นกลับเข้ามายืนโ๋รงต่อไปตามเ่คย

พังแป้นก็อยู่ในกรุงเทพฯ ต่อมาจนสิ้นอายุขัย มาล้มเอาเมื่อระหว่างสงคราม
มหาเอเชียบูรพานี้เอง

เพราะตอนนั้นดูเหมือนหญ้าที่จะเลี้ยงช้างขาดแคลน เนื่องจากการคมนาคม
ขนส่งไม่สะดวก เจ้าพนักงานต้องเอาทางมะพร้าวให้ช้างหลวงกิน

พังแป้นผู้ซึ่งสูงอายุอยู่แล้ว ต้องกินทางมะพร้าวเป็นอาหารทุกวัน ก็ท้องผูกทนไม่ได้
มาล้มเอาตอนนั้น ดูเหมือนจะอายุร้อยห้าสิบปีเศษ....'
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

jamejaa

31/01/2013 13:08:31
2
สงสารพังแป้น T-T

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับพี่เหน่ง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

yoyuk

31/01/2013 13:58:52
0
เป็นเกร็ดความรู้ ที่อ่านแล้วซาบซึ้งใจมากครับ ^^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

นายมั่นคง

31/01/2013 14:20:34
4,294
ขอบคุณมากๆๆครับ คุณเหน่งบา ผมขอเอามาเสริมเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับพังแป้น ^^



เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างกรุงเทพนั้น ยังมีศึกสงครามกับข้างพม่า ช้างนอกจากเป็นสัตว์พาหนะแล้วยังเป็นสัตว์สงครามอีกด้วย

มีการนำแบบธรรมเนียมกรมช้าง หรือกรมคชบาลในสมัยอยุธยามาปฏิบัติ รวมทั้งยังเป็นสัตว์พาหนะสำคัญ ประจำองค์พระมหากษัตริย์ในกระบวนพิธีต่าง ๆ แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น แบบการรบเปลี่ยนไป จึงไม่ได้ทำหน้าที่ช้างศึกเหมือนแต่ก่อน หากแต่ยังคงใช้ในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ เช่นการเสด็จพระราชดำเนินทางสถลมารค การเสด็จเลียบพระนคร เป็นต้น

ช้างหลวงนั้น หลังจากที่ไม่มีงานศึกสงคราม ก็ยืนโรงกินหญ้ากินกล้วย อ้อย ไปตาม ประสา เวลามีแขกบ้านแขกเมืองมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ก็แต่งองค์ทรงเครื่องมาให้แขกเมืองได้ชมกัน หลังจากนั้นก็กลับโรงช้างไป ซึ่งงานพระราชพิธีเช่นว่านานๆ ถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง

ต่อมาครั้นถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โลกเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศไทยโดนผลกระทบอย่างรุนแรง ช้างหลวงซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายเชือก บางส่วนอยู่ในพระบรมมหาราชวัง แต่อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่โรงช้างหลวง ( เดิมตั้งในบริเวณรัฐสภา ปัจจุบัน) ก็ถูกผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งนี้ด้วย

ช้างหลวงที่ไม่ได้ใช้งาน มีประมาณ ๒๐ เชือก ซึ่งยังต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู รวมทั้งเงิน เดือนของข้าราชการกรมคชบาลอีกด้วย ดังนั้น ทางราชการจึงตัดสินใจขายช้าง โดยให้มีการ ประมูลช้างทั้งหมดไป

ชาวบ้านร้านตลาดในกรุงเทพ ต่างรู้สึกใจหาย เมื่อทราบว่าช้างหลวงที่เคยเห็นเดินกิน หญ้า ลงเล่นน้ำในเมืองกรุง แม้ว่าประชาชนคนเดินถนนไม่ได้เลี้ยงช้างเอง แต่ก็รักช้าง เพราะเขาเห็นพวกมันเหมือนเป็นเพื่อน ช้างที่ยังเด็กหน่อย ชาวบ้านเราก็เห็นเหมือนลูกเหมือนหลาน เมื่อรู้ว่าถูกขายให้ฝรั่ง เอาไปใช้งานยิ่งให้อาลัยนัก โจทย์ขานกันไปทั้งเมือง ด้วยความรักและสงสาร

โถ!...ช้างหลวงเคยทำงานหนักเสียเมื่อไหร่กัน นอกจากนั้น ยังไม่เคยได้ถูกฝึกสอนมาให้ทำงาน ควาญกรุงเทพก็คุ้นรู้จักนิสัยใจคอกันก็ตามไปดูแลไม่ได้ แถมยังต้องไปลากไม้ไปทำงาน เป็นคนใช้เขาเสียอีก

ช่างน่าสงสาร เสียเหลือเกิน!

เปรียบไปก็เหมือนลูกผู้ดีมีสตางค์ ต้องลดตัวไปเป็นขี้ข้าเขาเสียแล้วในชั่วพริบตาเดียว มันก็น่าใจหายอยู่หรอก และไม่ได้เดินทางไปสุขสบายที่ บ้านทรายทอง กับเขาเสียเมื่อไหร่กัน

ช้างอื่นถูกไปหมด เหลือเพียงช้างเผือกพระที่นั่ง ๒ เชือกเท่านั้น ที่ไม่ถูกจำหน่ายไปด้วย คือ
พระเศวตวชิรพาหน ในรัชกาลที่ ๖ และ
พระเศวตคชเดชดิลก ในรัชกาลที่ ๗

ไม่น่าเชื่อว่าสื่อมวลชนผู้คนในกรุงเทพ จะสนใจข่าวการประมูลช้างหลวงครั้งนี้กันมากมาย มีช้างอยู่เชือกหนึ่งซึ่งผู้คนรักมากเป็นช้างพัง (เพศเมีย) ชื่อ "แม่พังแป้น" ซึ่งเป็นช้างหลวง ลักษณะดีสูงใหญ่อายุ ๖๐ ปี

แม่พังแป้นนั้นกริยามารยาทเรียบร้อน จิตใจอ่อนโยนเมตตา เป็นแม่ช้างที่เด็ก ๆในกรุงรักมาก หากเทียบอายุนางงามตอนนั้นก็พอกับนางสาวไทย ที่สมาคมโรงเรียนเก่าผมจัดประกวด ยุคหลังนางงามวชิราวุธ ปีต้น ๆนั่นแหละครับ ซึ่งผู้คนยังเห็นว่าเป็นสาวใหญ่ที่สง่าผ่าเผย เดินไปไหนก็ ยังมีคนชมคนมอง

แม่พังแป้น ก็เป็นเช่นนั้น!

แม่พังแป้นนั้น ผู้คนรู้จักกันมาก เพราะเป็นช้างที่อยู่มานาน มีอายุมากกว่าช้างอื่น รูปร่าง สูงใหญ่ และเคยเป็นแบบโฆษณาภาพยนตร์เรื่อง Chang (ช้าง
)
ฝรั่งได้สร้างหนังเรื่อง Chang หรือช้างนั่นเอง โดยไปถ่ายทำที่จังหวัดน่าน แล้วส่งออกฉายทั่วโลก และเมื่อมาฉายเมืองไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ พังแป้นได้มีโอกาสมายืนโฆษณาหนังเรื่องนี้หน้าโรงหนังพัฒนากร ยิ่งทำให้ผู้คนได้รู้จักพังแป้นมากขึ้น

ด้วยรูปเรือนกายอันใหญ่โต ของแม่พังช้างหลวงตัวนี้เอง ทำให้ชื่อของหล่อนกลาย เป็นตำนานเรียกขานผู้หญิงเจ้าเนื้อ ตัวใหญ่โตว่า “คุณพังแป้น” มาจนถึงทุกวันนี้!

ตอนที่ฝรั่งมาประมูลนั้น ใช่แต่ว่าผู้คนในกรุงเทพจะรู้กันเท่านั้น ช้างที่ถูกประมูล ก็รู้ตัวด้วยเช่นกันว่า

มันจะต้องถูกประมูล ขายตัวออกไป !

ต้องไม่ลืมว่า ช้างนี่เป็นสัตว์ที่รู้มากเพราะกะโหลกใหญ่ความจำดี เข้าใจภาษาคน ควาญเก่าคงบอกล่วงหน้าว่าจะถูกขาย ช้างก็เลยตกอยู่ในความเศร้าหมองกันทั้งโขลง ควาญที่เลี้ยงดูแลกันมานานก็สงสาร เฝ้าปรนหญ้าปรนน้ำ สำหรับแม่พังแป้นผู้อาวุโส เหมือนรู้ว่าไปครั้งนี้แล้ว จะไม่ได้กลับมากรุงเทพอีก น้ำตาเธอก็ไหลรินตลอด นับแต่วันที่ไปโชว์ตัวให้ฝรั่งมาประมูล พวกชาวบ้านพอรู้ข่าวว่าพังแป้นเอาแต่ร้องไห้

ก็ยิ่งสงสาร...หนักเข้าไปอีก!

พอวันเดินทางของช้างหลวงมาถึง ขบวนช้างหลวงทั้งหมดได้ไปตั้งที่สนามไชย หันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีการตั้งเครื่องสังเวย และทาง การนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ส่งโขลงช้างที่จะสิ้นสภาพความเป็นช้างหลวงแล้ว ต่อไปนี้ต้องไปเป็น

‘ช้างกุลี’
ช้างงานขี้ข้าฝรั่ง ทำไม้เมืองเหนือ!

ผู้คนกรุงเทพเดินทางมาส่ง เหมือนกับญาติพี่น้องที่จะต้องต้องไปตาย ไปแล้วไปลับ ไม่ได้กลับมาให้เห็นหน้ากันอีกแล้ว
ในชาตินี้!!

ช้างทั้งหมดทรุดตัวลงชูงวงชันขึ้น แสดงท่ากราบถวายบังคมทูลลา องค์พระมหา กษัตริย์ และนมัสการพระแก้วมรกตในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระสงฆ์สวดเจริญชัยมงคล คาถาให้ช้างเดินทางปลอดภัย

จากนั้นควาญใหม่เมืองเหนือที่มารับ ทำความคุ้นเคยกับช้างใหม่ไว้แล้ว ก็รับไม้ทำหน้าที่ต่อจากควาญประจำ โดยขึ้นคร่อมคอช้างพร้อมขอ แต่ช้างหลายตัวออกอาการขัดขืน เล่นเอาอื้ออึงกันไปพักใหญ่ ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านได้เล่าให้ผมฟัง ว่า

ช้างตัวอื่นลุกขึ้นแล้ว แต่แม่พังแป้นยังลุกไม่ขึ้น ใช้งวงกอดควาญน้ำตาไหลพรากๆ ตัวควาญเองก็ร้องไห้น้ำตาท่วม ผู้คนที่เฝ้าดูเห็นภาพนั้นต่างก็สงสารจับใจ พากันร้องไห้ตามเสียงระงมไปเลยทีเดียว ทั้งสนามไชยตกอยู่ในห้วงแห่งความวังเวง

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าสลด!

ในที่สุดแม่พังแป้น ก็ค่อย ๆพยายามพยุงกายลุกขึ้น ซวนซัดโซเซเล็กน้อย แต่แล้วก็ทรงตัวได้ ยืนนิ่งสักพักหนึ่ง ตัดใจชูงวงถวายบังคมไปยังพระบรมมหาราชวังอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแม่พังแป้นก็หันหน้า เดินนำโขลงช้างหลวงออกเดินไปช้าๆ เนิบๆ ในลักษณะช้างผู้ดีเต็มตัว ด้วยความมีศักดิ์ศรีของช้างที่รู้หน้าที่และภารกิจ

สมกับที่เป็น...‘ช้างหลวง’

เมื่อถึงคราวบ้านเมืองจนยาก แม่ก็ต้องขายตัว แลกเอาทรัพย์มาช่วยบ้านช่วยเมือง ไม่เหมือนไอ้คนที่เคยมีอำนาจ แล้วขายโรงกลั่นสมบัติของชาติในราคาถูกๆ แล้วยังมีผู้คนยังโง่ ยกย่องยกเป็น ‘ผู้ดี’ แห่งเมืองกรุงเสียอีก...แน่ะ!

แม่พังแป้นเดินร้องไห้ไปตลอดทาง ผู้คนที่สงสารเดินดูใจไปส่งไกล เกือบสุดเขตพระนครก็มี!

ช้างหลวงนั้นไม่เคยสำบุกสำบัน พอเดินทางไปถึงอยุธยาก็ล้มเสียสองเชือก หนังสือพิมพ์ลงกันเกรียวกราว

สำหรับแม่พังแป้น ขวัญใจของชาวกรุง ผู้ต้องประสพกับมุมหักเหเมื่อยามชีวิตใกล้อัศดง ก็ทำให้หนังสือพิมพ์ได้ตีข่าวดังใหญ่อีกครั้งด้วยว่า

พังแป้นนั้น แม่เดินน้ำตาไหลพรากจากกรุงเทพ ไปจนถึงนครสวรรค์ ด้วยความโศกเศร้าอาดูร และตรอมใจ ที่ต้องพลัดพรากจากที่นาคาที่อยู่ ต้องจากเวียงวังคลังรัตน์ อันอบอุ่นซึ่งอยู่มาแต่อ้อนแต่ออด มันก็น่าน้ำตาไหลอยู่ดอก

ก่อนที่ขบวนช้างทั้งหมดจะข้ามลำน้ำนครสวรรค์ กำลังของแม่ก็สิ้น พังแป้นล้ม!

และชีวิตของแม่ก็ขาดผึงลง...ที่ตรงริมฝั่งแม่น้ำนั้น!!
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

JOKER_THX

31/01/2013 15:35:45
7
ไอ้ผมอ่านตอนแรกก็นึกว่าศัพท์ใหม่วัยรุ่น "โมโหจนฟาดแป้นคีย์บอร์ดพัง" อะไรประมาณนั้นพอเข้ามาก็ได้สาระล้วนๆ ขอขอบคุณเฮียและคุณเหน่งบามากๆครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

เหม่งน้อย

31/01/2013 15:59:11
0
อ่านแล้วก็นึกถึงช้างในสมัยนี้ ที่เดินตามในเมือง เห้อ...
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

zetathix

31/01/2013 16:14:55
11
ความคิดผมคือ คนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ หาความผูกพันกับช้างและให้เกียรติและสำนึกบุญคุณต่อช้างด้วยหัวจิตหัวใจไม่มีแล้ว

เท่าที่ผมอ่านผ่านตามา "เขาเล่าว่า" ถ้าไม่ใช่ช้างเลี้ยงหรือมีประสบการณ์กับมนุษย์ ช้างจะมีความทะนงตนมากว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆในที่นั้น คล้ายกับปลาวาฬหรือมนุษย์ที่ชอบทะนงตนว่าโลกเป็นแต่ของมนุษย์ครอบครอง

หากช้างตัวไหนปราณีอารีย์ นั่นหมายถึงช้างมองด้วยสายตาประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ที่ใจดีกับลูกหลานครับ

ที่ว่ามาถ้าผิดก็ขออภัยครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดกัน

ขอบคุณทั้งเฮียและคุณเหน่งบาสำหรับความรู้ครับ

ไม่รู้ที่นี่จะมีใครชอบอ่าน "เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก" เหมือนผมบ้างไหมนะ ฮิฮิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

รัน

31/01/2013 16:20:54
1
โอ้ ชอบๆๆๆๆๆๆ ขออีกๆๆๆ ครับ ผมชอบฟังเรื่องเก่าๆ รูปเก่าๆ ได้ความรู้สึกหมือนตอนปู่มาเล่า ให้ฟังถึงอดีตเลยครับ ชอบๆๆๆ ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

เล็ก

01/02/2013 08:15:34
5
สาระมาเรื่อยๆเลยครับผม

ขอบคุณครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

ม้าน้ำ

01/02/2013 08:52:05
1
พึ่งรู้นะเนี่ย ^^ มีไรที่ไม่รู้อีกเยอะเลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
"พังแป้นคือ...."