ผมคิดว่า ขึ้นค่าแรง คนที่ทำงานได้เงินเดือน หรือรายวัน ได้ส่วนนี้ก็ดีไป
สิ่งที่ตามมาคือ ของขึ้นราคา ค่าครองชีพตามสูงขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือ คนที่ทำงานไม่ได้เงินเดือน หรือรายวัน (ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน อาชีพอิสระ ฯลฯ)
ซวย เพราะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ ไม่ได้มากขึ้นเหมือนคนมีรายได้ประจำเดือน หรือรายวัน

มั้ง......

ไร้ประโยชน์ครับ ของทุกอย่างจะขึ้นราคาตามหมด ผลโดยรวมผมว่าหนักกว่าเดิม - -

ผมอิจฉาเด็กจบใหม่ตอนนี้มากเลยอะ เงินมันดีมาก ๆ แค่สงสัยว่า ถ้าทำงานมาสามปี แล้วดันได้ค่าแรงเท่ากับเด็กจบใหม่ มันเสียความรู้สึกหนะครับ

ลองนึกดีๆผมนึกถึงคนจ้างว่ามันขึ้นเยอะนะครับเรื่องที่จะตามมาหลังจากนี้คงมีคนโดนปลดออกเยอะอะครับ คนน้อยลงต้องทำมากขึ้นต้องเขี้ยวกว่าเดิม ส่วน ป.ตี 15000 แค่ตอนยังไม่ขึ้น ผมยังเจอรับระบุ ปวส. แต่เอาเข้าจริงๆเอาแต่ป.ตรี ครับเพราะเค้าไม่อยากจ่ายเงินระดับป.ตรี เลยระบุไปงั้น

นี่ ละเค้าเรียกว่า ถอนขน หน้าแข้งคนรวย ช่วยคนจน
เอาคืน กันมั่ง ลงมาดูกันหน่อย ว่าคนจนเป็นไง เค้าสู้กันยังไง
กินกันไม่ครบมื้อเลย น้ำมันก็แสนแพง ใครก็ได้ช่วยเขา ได้บุญ

ผมว่ามันโคตรไร้สาระเลยอะครับ อย่างที่ทุกคนเข้าใจแหละครับ ค่าแรงขึ้นของก็ขึ้นตาม....

แล้วมันจะมีประโยชน์ยังไงหละเนี่ยสู่เพิ่มงานเข้ามาซะยังจะดีกว่าคนตกงานจะได้น้อยลง...

แถมถ้าคนไทยจะเอาค่าแรงขึ้นระวังผู้ผลิตจ้างไม่ไหวหันไปจ้างเพื่องบ้านหมดระวังจะตกงานกันหมด......

ทำไงได้หละครับก็เสียงส่วนใหญ่เลือกเองนิ.......

แล้วคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบลูกจ้างล่ะ เช่นพ่อค้าแม่ค้า
เค้าจะได้อนิสงอย่างไร ต้นทุนสูงขึ้นขยับราคาขายขึ้นตาม
เช่นก๋วยเตี๋ยวจากราคา 20 ปรับเป็น 25 เท่ากับขึ้น 25%
ปัจจุบันเป็น 30-35 บาทแล้ว ส้มตำแถวบ้านผมครกละ
25 บาท ไม่ว่ากันเข้าใจแต่หลังจากนี้ล่ะท่านว่าก๋วยเตี๋ยว
จะขึ้นราคาอีกไหมเอ่อน่าคิด แล้วเค้าน่าจะขายดีขึ้นด้วยมั้ย
เพราะกลุ่มลูกจ้างส่วนใหญ่ได้ค่าครองชีพสูงขึ้นมีกำลังจับจ่าย
ใช้สอยมากขึ้นไม่ต้องอดมื้อกินมือ หรือว่าสุดท้ายก็ต้อง
ห่อข้าวไปกินเหมือนเดิมสำหรับผู้ค้าแรงงานทั้งๆ ที่ได้ปรับ
ค่าแรงเพิ่ม

ท่านคิดว่าน่าจะเป็นเช่นไรสำหรับกลุ่มที่อยู่
นอกระบบลูกจ้างอย่างพ่อค้าแม้ค้า เค้าน่าได้อนิสงฆ์
เชิงบวกด้วยหรือไม่

ค่าแรงขึ้นของก็ขึ้นมันก็จริงครับ แต่ขึ้นแค่ไหนนี้อีกเรื่อง
ผมเข้าใจว่ามันมีงานวิจัยอยู่อันนึงบอกว่า โดยเฉลี่ยธุรกิจค่าแรงคนงานมันแค่1%ของต้นทุน
เพิ่มไปกี่เท่าราคาของก็ไม่ขึ้นเท่าไหร่ แต่ผู้ประกอบการจะฉวยโอกาสขึ้นราคาเยอะๆอันนี้ก็อีกเรื่อง
แต่ก็ยอมรับละ ธุรกิจหลายๆอันต้นทุนค่าแรงมันสูงกว่านี้ แต่งานวิจัยเขาว่ามางี้ก็พิจารณากันเองแล้วกัน ต้นทุนค่าแรงมันอาจจะไม่ได้สูงอย่างที่เราๆคิดกันก็ได้ แค่พวกนายจ้างปั่นกระแสไม่อยากเสียเงินเพิ่ม ไม่ก็อยากฉวยโอกาสขึ้นราคาของ ต้องตามดูต่อไปครับเรื่องนี้ เพราะบางธรกิจกระทบจริงๆขนาดอยู่ไม่ได้เลยก็มี

ส่วนเรื่องปริญญาตรีหมื่นห้า คิดว่ามากไปหน่อยครับ

ที่เน่ามากคือไอ้แทบเบล็ดเนี้ย เอามาให้เด็กมันเล่นเกมหรอ มันใช้เป็นไหม เอาไปใช้ทำอะไร หนังสือที่เรียนๆกันมีเป็นอีบุ๊คแค่ไหน ไร้สาระซะมากครับ

ปล
บอร์ดเฮียนี้ทุกอารมณ์จริงๆ

หากรัฐหันมาทำให้ราคาสิ้นค้าอุปโภคบริโภค รวมถึง
สิ่งจำเป็นต่อการยังชีพทุกครัวเรือน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ น้ำมัน
ถูกลง เสมือนทำให้เงินเดือนที่ได้รับอยู่มีมูลค่าสูงขึ้นจับจ่ายใช้สอย
ได้เพิ่มขึ้น แบบไหนน่าสนใจกว่ากัน เพิ่มเงินเดือนทั้งระบบ
กับทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงราคาสิ่งจำเป็นต่อการ
ยังชีพทั้งระบบถูกลง แบบใดจะมีผลแซกซอนน่าวิตกกังวล
กว่ากัน

คิดว่าเป็นนโยบายที่โง่มากครับ

คนที่รายได้น้อยๆ หรือไม่มีความรู้ ก็คิดตื้นๆเหมือนว่าตัวเองได้เงินเยอะขึ้น รายได้ดีขึ้น

แต่ไม่คิดว่าครองชีพมันก็จะขึ้นตาม แถมอัตราการจ้างงานจะลดลงเสียอีก
นายจ้างที่ไหนจะยอมมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น โดนที่รายรับเท่าเดิม

เอาเรื่องเฉพาะค่าแรงอย่างเดียว ผมว่าก็พอสมเหตุสมผล แต่อยากให้เริ่มเฉพาะ กทม.ก่อน ตจว.ค่อยๆตามไปตามความจำเป็นและค่าครองชีพ ค่าแรง 300x25วัน ประมาณเดือนละ 7500 ไม่ได้มากมายอะไรหนัก ส่วนเรื่องราคาสินค้าจะขึ้น รัฐบาลต้องควบคุมครับ อ้างค่าแรงขึ้น ต้นทุนขึ้นไม่ได้ เพราะเหมือนกับ คห.8ครับ ค่าแรงมันคือต้นทุนไม่กี่เปอร์เซนเอง

เหมือนกับข้าวสารขึ้นราคา แม่ค้าข้าวแกงปรับราคา30เป็น35 ทั้งๆที่ถ้าคิดจากข้าวที่ขึ้นคิดเป็นจาน มันขึ้นไม่ถึง50สตางค์ด้วยซ้ำ เอากำไรหน้าด้านๆ

เรื่องแท็ปเล็ดนี่ ประเด็นนี้น่าสนใจครับท่านว่าเราจะหาซื้อ
แท็ปเล็ดมือสองได้ถูกขึ้นมั้ย 555 ถ้ามเล่นๆ ครับแต่ผม
เตรียมเงินไว้รับจำนำ แท๊ปเล็ดจากเด็กในซอยแล้วครับ

ค่าแรงขั้นต่ำทั้งระบบวันละสามร้อยทำงานทุกวันเดือนละ 9000
พี่น้อง ตจว.บอกลูกๆ เลิกทำนาทำไร่หันเข้าเมืองหางานทำดีกว่าเยอะ
ทำนาทำไร่ต้องรอฤดู น้ำท่วมน้ำแล้งก็เป็นหนี้เป็นสินสู้เป็นลูกจ้างใน
กทม ไม่ได้เงินเดือน+OT น่าจะเดือนละหมื่นอัฟ

ลูกจ้างระดับกลางขึ้นบน เตรียมรับโบนัสเพิ่มได้ถอยรถ
ใหม่ป้ายแดงสมใจล่ะคราวนี้

ผู้ใช้แรงงานเบี้องแรกจะดีใจที่ได้เงินเพิ่ม. ในขณะเดียวกันค่าครองชีพก็สูงขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันด้วย และผู้ประกอบการเองค่าต้นทุนวัตถุดิบและทุกอย่างเพิ่มขึ้น พอมาเจอขึ้นค่าแรงเข้าอีกถ็เป็นภาระหนัก จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าและบริการ ถ้าทำธุรกิจเกีี่ยวกับของกินของใช้ก็น่าจะประคับประคองตัวไปได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็แย่หน่อย อาจถึงขั้นล้มละลายเอาเลย เจ้าของธุรกิจต้องวางแผนใหม่เพื่อให้อยู่รอด เช่น ลดจำนวนคนงานลงในขณะเดียวกันคนที่เหลือก็รับภาระงานมากขึ้น หรือไม่ก็อาจลงทุนใช้เครื่องจักรแทนแรงงาน.โดยส่วนตัวคิดว่า มีแนวโน้มที่ต่อไปจะมีคนตกงานมากขึ้น

ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้แรงงาน เช่น ข้าราชการ เกษตรกร ประชาชนตาดำๆก็จะลำบากมากขึ้น มีผลกระทบต่อสังคมเล็กๆคือครอบครัวเมื่อมีปัญหาเงินไม่พอใช้อาจทำให้ทะเลาะเบาะแว้ง ลูกเป็นเด็กมีปัญหา. ส่วนสังคมใหญ่เกรงว่าปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดจะเพิ่มขึ้น .....555....เรากังวลเกินไปรึเปล่าหว่า. ได้คุยกับพรรคพวกเจ้าของร้านอาหาร ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าส่ง ถ้ารัฐบาลบังคับใช้กฏหมายค่าแรงขั้นต่ำสามร้อย ที่เค้าคิดๆกันไว้คือลดจำนวนคนงานลงเป็นเบื้องแรก ตอนนี้ที่ได้รับผลกระทบแล้วคือร้านอาหารขึ้นราคากันแล้วเป็นส่วนใหญ่ ลูกค้าต้องจ่ายแพงขึ้นแต่ก็ต้องจำยอมค่ะ

ทุกวันนี้ใครๆก็รู้จักรัดเข็มขัดแน่นขึ้น อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ เก็บเงินสดไว้กับตัวเยอะๆเป็นดีที่สุด ใครจะไปรู้ว่าเบี้องหน้าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น จริงมั้ยคะ

ในฐานะคนเปฺ็นเด็กผมคิดว่า ขึ้นค่าแรงจริงก็ดีแต่ผลเสียคือ สมมุติมีเมื่อก่อนค่าแรง200บาทมี300คน=600000บาท แต่ถ้าขึ้นเป็น300บาทในปริมาณเงินเท่ากัน จะมีคนที่ตกงาน100คน ผมคิดว่าถ้าเพิ่มก็ควรเพิ่มทีละนิด

เด็กจบปริญญาได้ 15000 ผมคิดว่า

มีคนตกงานมากขึ้น บริษัทจ้างคนน้อยลง แต่คนที่ทำงานจะได้เงินเดือนมากขึ้นก็จริงโดยแรกกับงานที่มากขึ้นกว่าดิม

รู้สึกขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้เฉพาะในตัวเมืองบางจังหวัดรึเปล่าครับ เหมือนเคยอ่านที่หนังสือพิมพ์ แบบนี้คนแห่เข้าเมืองมาหางานกันเกลื่อนได้นะเนี่ย

ของราคาขึ้นแน่ๆ แล้วคนก็ต้องออกมาเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงอีก โดยบอกว่าไม่พอค่าครองชีพ...... มันก็จะวนเวียนไปเรื่อยๆ

แต่คนที่ได้ประโยชน์จริงๆคือ ..... ได้ผลงานตามที่สัญญาไว้

ขอนอกประเด็นนิด........เกาหลีเขาทุ่มงบไปกับเนื้อหาที่จะสอนบนแทบเลต แต่ของเราทุ่มงบในการแจกแทบเลตโดยที่ยังไม่รู้เลยว่า จะเอาเนื้อหาอะไรไปสอน

เหมือนแจกผลไม้ที่มีแต่เปลือก

แต่นโยบายอื่นๆก็ดีครับ

แล้วไอ้ที่จะถมทะเลทำเกาะแบบญี่ปุ่น นี้คิดว่าไงบ้างครับ

ถ้าขึ้นค่าแรงจริง
หูฟังร้านเฮียจะแพงขึ้นด้วยป่าวครับ
หรือจะไล่พนักงานออกแทน

ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ

คนที่ได้ประโยชน์จริงๆคือพรรคครับ ได้คะแนนเสียง ได้รักษาสัญญา


แรงงานมีฝีมือก็ได้กันเกิน 300 อยู่แล้ว ที่ได้ต่ำกว่านี้คือแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับนายจ้างเท่าไหร่นัก นายจ้างไม่จำเป็นต้องรั้งหรือแย่งตัวกับใคร เมื่อต้นทุนค่าแรงเพิ่ม ก็ลดจำนวนคนลง เป็นปกติของการจัดการต้นทุน

ไม่มีความคิดเห็นใดใดเลยเพราะคนส่วนใหญ่ เลือกคนกลุ่มนี้ให้มาบริหารประเทศแล้ว เค้าประกาศนโยบายยังไง เค้าก็คงพยายามทำอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนจะทำได้ทำไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับ การเจรจากับกลุ่มทุนกลุ่มผลประโยชน์ใหญ่ๆ ของไทย

ถ้าผลประโยชน์ลงตัวนโยบายพวกนี้ก็จะถูกดันออกมา เกิดผลดีผลเสียต่อสังคมยังไง ก็ช่วยไม่ได้แล้ว เพราะดันเลือกเค้าเข้ามาแล้วนี่ครับ
ถ้าทำแล้วได้ผลดีก็ดีไป ทำแล้วได้ผลร้าย ก็ซวยไปแล้วก็ต้องโทษ คนส่วนใหญ่ในชาติเองว่า ไปเลือกคนกลุ่มนี้เข้ามา

ผมขอถามอะไรหน่อยว่า ถ้าเราไม่เห็นด้วยแล้วเราจะทำอะไรได้บ้างครับ จะยับยั้งเค้าไม่ให้เค้าทำหรือยังไง นักการเมืองไทยเค้าไม่มาฟังเสียงชาวบ้านหรอกครับ คุยกันผลประโยชน์ลงตัวทุกฝ่ายเค้าก็ทำได้ทุกอย่างแล้วครับ อนาคตชาติภายหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้

ข้อดีของประชาธิปไตยคือ ถ้าชาติมันจะชิบหายล่มจม หรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ต้องโทษหรือชมใคร เพราะมันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลิกกันมาเอง เพราะฉะนั้นมันไม่ผิดหรอกครับ ถ้านโยบายรัฐบาลนี้จะทำให้เกิดความล้มเหลวทางด้านเศรษฐกิจ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกเค้าเข้ามาแล้วนี เสียงของพวกเค้าก็คือตัวแทนคนส่วนใหญ่ ถ้าประเทศมันแย่ลง ก็แสดงว่า คนส่วนใหญ่ หน่ะอยากให้แย่ใช่มั๊ยครับ ตามหลักประชาธิปไตยไง

เห็นด้วยกะคุณ butnotforme เลยครับ..

สิ่งที่สาธุชนอย่างเราๆ คาดคิดกันได้ทางทีมงานของรัฐบาลก็คงวางแผนรับมือไว้แล้ว
เช่นกันคิดในทางบวกนะ อาจเป็นเพราะผมไม่เคยบริหารงานในระดับมหภาคภูมิปัญญา
ล้าสมัยจึงอาจมองแบบเก่าๆ เกินไปรีเปล่ากำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ก็อดเป็นห่วง
ประเด็นนี้ไม่ได้เพราะอย่างไรเสีย การที่ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันกระทบ
ต่อการดำรงค์ชีวิตในภาวะเศรษกิจโลกยุคปัจจุบันทุกครัวเรือนทุกชนชั้น ตั้งแต่เด็กเล็ก
จนถึงคนชรา นมผง แฟ็ป สบู่ยาสีฟันลืมตาขึ้นมาก็ต้องมีรายจ่ายแล้ว ถ้ามันราคาสูง
อย่างต่อเนื่องอีก กลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิได้รับอนิสงฆ์จากนโยบายนี้จะปรับตัวอย่างไร
รัดเข็มขัดรึ ผมว่ามันแถบจะขาดครึ่งท่อนอยู่แล้วสำหรับบางครอบครัว ปัจจัยในการ
ดำรงค์ชีพคงขึ้นราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้รัฐจะขอความร่วมมือตรึงราคาไว้ได้สักแค่ไหน
เพราะผู้ประกอบการเองเค้าก็มีเหตุอันควรในการขึ้นราคาสินค้า นั้นก็เพราะ
นโยบายของรัฐเอง นี่ยังไม่มองรวมถึงค่าใช้จ่ายในการศึกษาของเยาวชนที่
อาจจะปรับตัวขึ้นตามนะ

แต่ก็เข้าใจ และเห็นใจผู้ใช้แรงงานระดับล่างๆ นะครับหาใช่มองข้ามพี่น้องร่วมชาติ
ด้วยกันไม่ ก็คงต้องดูนโยบายแรงๆ แบบนี้กันต่อไปว่าจะไปในทิศทางใดต้นทุนค่าจ้าง
แรงงานที่สูงขึ้น ประเทศที่มีต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าก็จะพลอยได้อนิสงฆ์นี้ไปด้วย
ผู้ประกอบการต่างชาติที่จะมาลงทุนจ้างแรงงานการผลิตกับประเทศรายใหม่ๆ
คงคิดหนักเหมือนกันหันไปจ้างแรงงานเขมร พม่าจะถูกกว่ามั้ย ขนาดผู้ประกอบการ
ของไทยเองยังหันไปใช้บริการแรงงานต่างด้าวเหล่านี้เลย ผู้ประกอบการอุสาหกรรม
ในประเทศจะหันไปจ้างงานคนต่างด้าวมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าตัวมั้ยเนี่ย หรือเค้า
จะหันไปลงทุนกับเทคโนโลยีเครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น เงินเดือนก็ไม่ต้องขึ้น
ให้สำหรับเครื่องจักรแถมเอาค่าเสื่อมรายปีไปลดหย่อนภาษีได้อีกต่างหาก หลากหลาย
ความวิตกจริตเมื่อมองทิศทางของประเทศในวันพรุ่ง หรือว่าเราวิตกจริตกันไปเองหว่า
รัฐบาลเค้าอาจคิดใหม่ทำใหม่่ในสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็เป็นได้ แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่ารัฐ
จะฝ่าวิกฤตเงินเฟ้อที่อาจจะเกิดขึ้นนี้อย่างไร สงสัยผมคงเป็นหนึ่งในพวกคิดเก่า กะโหลก
มันจึงบังปัญญาตัวเองก็ไม่รุ

กลัวของแพงขึ้นครับ T_T

แต่ถ้าหุ้นขึ้นด้วยก็โอเคนะ อิอิ

อีกหน่อย....ทองคำคงจะบาทละ 30000 บาท

เห็นใจคนที่ยังไม่ได้แต่งงานครับ...ถ้าฝ่ายเจ้าสาว

เรียกสินสอด...เงิน...สิบหมื่น

หอง...สิบบาท

งานนี้...พี่คล้าว...จุกแน่ๆครับ

ขอโทษครับ....ทองครับไม่ใช่...หอง

ผมคิดว่านะครับ

ถ้าท่านไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน...ท่านก็คงคิดว่า....

มันไร้ประโยชน์.....แต่สำหรับ ผู้ใช้แรงงานแล้ว

มันมีความหมายต่อเขามากครับ......

ของไม่จำเป็นต้องแพงขึ้นหรอกครับ

ถ้ารัฐบาลควบคุมสถานประกอบการได้ (ทำให้เขาได้ "กำไร" น้อยลง)

เท่านั้นเอง...ครับ

แชร์นิดหนึ่งนะครับ ผมทำงานในโรงงานเกี่ยวกับการผลิต อยู่แผนกที่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์ ตอนนี้นโยบายมาแล้วครับเกี่ยวกับการลดจำนวนพนักงานการผลิตโดยใช้เครื่องจักรเข้ามาทำงานแทนคน เมื่อก่อนอาจจะไม่กล้าลงทุนเพราะกว่าจะถึงระยะเวลาในการคืนทุนมันนาน แต่ถ้าค่าแรงเป็น 300 บาท ระยะเวลาดังกล่าวมันก็จะเร็วขึ้น คาดว่าจำนวนคนงานน่าจะถูกลดลงประมาณ 20% ทั้งนี้ยังรวมไปถึงโครงการการปรับปรุงขั้นตอนในการผลิตให้คนงานทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น(หรือหนักขึ้นนั้นเอง ทำงานหลายๆอย่างพร้อมๆกันประมาณนั้น) โครงการต่างๆโดนกำหนดใ้ห้เสร็จภายในสิ้นปีนี้

ไปคุยกับเพื่อนที่ทำโรงงานอีกแห่ง เห็นว่าก็กำลังจะทำกันโครงการประมาณนี้เหมือนกัน

เล่าสู่กันฟังครับ

เครื่องจักรดีๆ ถูกลงเรื่อยๆ ครับ
Robot สำหรับงานอุตสาหกรรมก็เริ่มจับต้องได้

ผมคนนึงล่ะที่ลงทุนกับเครื่องจักรเป็นหลักครับ

หุหุ เจ้านายบอก เงินเดือนเกินค่าแรงขั้นต่ำ 300 อยู่แล้ว ไม่มีการปรับเพิ่มให้ - -.


อ่าว แล้วครองชีพที่ตามมาเพราะนโยบายละ ซวยละ

"นายขึ้นหน่อยเถอะครับ ลูกน้องถามตอบลำบากเน้อ"

"อั๊วจ่ายให้ก็ได้ แต่ลื้อไปลดคนให้อั๊วจ่ายไม่เยอะกว่าเดิมนะ"

-ลูกจ้างซวยตลอด-

นโยบายอะไรก็ไม่เท่า ทำเรื่องผิดให้เป็นชอบหรอกครับ เฮ้อ...

ค่าแรงขึ้นของก็ต้องแพงขึ้นอยู่แล้ว

เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะบอกว่าให้พ่อค้าแม่ค้าได้กำไรน้อยลง

ถ้ากำไรน้อยลง ทำแล้วไม่ได้อะไร ไม่รู้จะทำไปทำไมครับ เพราะผู้ประกอบการต้องแบกรับความเสี่ยงเยอะกว่าลูกจ้างอยู่แล้ว
ไหนจะดอกเบี้ย ไหนจะเครื่องมือ ไหนจะเครื่องจักร
สารพัดแหละครับ สิ่งเหล่านี้ลูกจ้างไม่ต้องรับรู้ผู้ที่รับความเสี่ยงคือนายจ้างเต็ม ๆ

ทุกวันนี้ผมจ่ายเงินเดือนเดือนละ 150000 ถ้าให้ผมจ่ายเพิ่มเป็น 200000 = รายได้ผมเท่าเดิมกำไรผมหายไป 50000 ถึงตอนนั้น มันก็จำเป็นต้องลดจำนวนคนงานแทนแหละครับ

เท่าที่ดูๆข้อมูลมานะครับ ความเห็นส่วนตัว ผมติดว่าปฎิบัติได้จริงแบบทั่วถึงได้ค่อนข้างยากครับ อาจจะมีองค์กรหรือบริษัทเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ ที่สามารถปฎิบัติได้จริง แต่คงจะต้องแลกมาด้วยบางส่งบางอย่างไป เช่น การจ้างงานไม่เป็นแบบถาวรแล้ว ต้องเซ็นสัญญาเดือนต่อเดือนไป เดือนไหนทำผลงานไม่ได้ที่เค้าจ่ายก็ปลดออก บริษัทก็ยังพอจะควบคุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ครับ จำนวนพนักงานที่อยุ่ในองคืกรก็จะ fit พอดี คนเท่ากับงาน

แล้วพนักงานส่วนเกินขององค์กรจะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ ออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาละ ต้องแข่งขันกันลำบากเพิ่มมากขึ้น

เชื่อผมเหอะ ถ้าบริษัทจะปรับให้คนที่ไม่ถึงวันละ 300 ปริญญาตรี 15000 เนี้ย สัญญาจ้างงานจะเข้มงวดรัดกุมกว่าเดิมนี้เยอะแน่ๆครับ

ส่วนพนักงานรายวันยิ้มครับ ถ้าโดนว่าจ้างด้วยเงิน 300 บาทต่อวันจริง แต่จำนวนงานที่ว่าจ้างก็จะลดน้อยลงตามส่วน เดิมจ้างขำๆคนเกินกว่างานก็พอถูไถ แต่ตอนนี้ต้องจ้างฉพาะที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น ก็จะมีพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้ถูกจ้าง แล้วจะเอารายได้มาจากไหนมายังชีพครับ ยังไม่พูดถึงค่าครองชีพที่แพงขึ้นอีกแน่ๆ

แรงเสียดทานมันมากเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรมได้ภายในปีสองปีนี้แน่นอนครับ

ผมคิดว่านะ ให้ทุกบริษัทนำตัวเลขผลกำไรและต้นทุนของแต่ละปี

มาเปิดเผยต่อสถารณะชนครับ

ว่าผลของการขึ้นค่าแรงมันกระทบต่อต้นทุกของสินค้าเท่าไหร่ครับ

ไม่อย่างงั้นก็พูดกันด้วยความคิดครับ ไม่จบไม่สิ้น อีกคนคิดอย่างนั้นอีกคนคิดอย่างนี้

ไม่ใช่ไม่ดีนะครับที่คนหันมาคิดและมาสนใจ เพียงแต่การจะคิดหรือจะพูดสิ่งใดออกไปนั้น

ผมว่าควรจะพูดกันในส่วนของข้อเท็จจริงมากกว่าแล้วค่อยตามด้วยพูดจากความรู้สึกนะครับ

ถ้าจะทำจริงๆผมว่าน่าจะเอาข้อมูลมาคุยกันได้แล้วครับ

นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ผมว่านักวิชาการทั้งหลายน่าจะศึกษาและนำข้อมูลออกมาได้แล้วจริงไหมครับ ไม่ใช่พูดจากความคิดกันอยู่แบบนี้ (ผมหมายถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนะครับ)

เอาข้อมูลออกมาเลยครับ แล้วมาคิดกันเลยว่า

บริษัทมีพนักงานกี่คน ที่จะได้รับการขึ้นค่าแรง

บริษัทมีต้นทุนจากการจ้างงานเท่าไหร่

บริษัทตั้งเป้าผลกำไรไว้เท่าไหร่

ผลประกอบการที่โตขึ้นของบริษัทปีละเท่าไหร่

แล้วบริษัทได้กำไรเท่าไหร่ถ้าเกิดมีการขึ้นค่าแรง

แล้วสรุปมาครับว่ามันกระตบต่อต้นทุนจนต้องทำให้ราคาสินค้าของบริษัทต้องขึ้นราคาหรือป่าว

ถ้าเอาออกมาทำให้เป็นรูปธรรมแบบนี้

ถ้าบริษัทยังมีผลกำไรที่มากโขอยู่ก็ดำเนินการนโยบายต่อไป

ถ้าบริษัทจะเจ๊งก็ยกเลิกครับ แค่นี้ทำให้กระจ่างทุกอย่างก็จบครับ

ขอต่ออีกหน่อยนะครับ กลัวไม่เห็นภาพ

ถ้าสมมุติเรานั่งคุยกัน มีเจ้าของบริษัท1,เจ้าของบริษัท2 มีคนคิดนโยบาย

คนคิดนโยบายบอก อยากให้ขึ้นค่าแรง

เจ้าของบริษัท1 ได้เลยๆแต่ของต้องแพงขึ้นนะ

เจ้าของบริษัท2 ไม่ได้ๆ เดี๋ยวบริษัทขาดทุนทำต่อไม่ไหว

คนคิดนโยบาย -*-

เจ้าของบริษัท1 นโยบายก็ดีช่วยแรงงานแต่ถ้าขึ้นค่าแรงราคาสินค้าก็ต้องขึ้นนะ

เจ้าของบริษัท2 ถ้าขึ้นแล้วบริษัทผมขาดทุน ผมเลิกจ้าง คนงานไม่แย่กว่าเดิมหรอ

คนคิดนโยบาย _ _||

ก็คงต้องคุยกันด้วยข้อมูลแหละมั๊งครับมันถึงจะเดินหน้าต่อไปได้

ปล.ผมอาจจะคิดอะไรเด็กๆไปหรือง่ายๆไปก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ

ไปเบิร์น Ksc 35 ต่อละจร้าาา

ใจเย็นๆจ้าพี่น้องทั้งหลาย ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงมันต้องเป็นไปทั้งระบบ คงจะมองแต่ตรงจุดนี้จุดเดียวไม่ได้หรอกครับ เพราะนโยบายนี้ มันจะส่งผลกระทบไปรอบด้าน รวมไปถึงการแข่งขันในส่งออกซึ่งเป็นจุดแข็งในการหางบประมาณของพรรคเพื่อไทยเองด้วย ไหนจะการจัดเก็บภาษี ภาวะเศรษฐกิจโลกเอย จิปาถะ มันไม่ง่ายเหมือนเกมซิมซิตี้หรอกครับ

ท่านคิดอย่างไรกับนโยบายขึ้นค่าแรงของรัฐบาล
^
^
ดีครับ แต่คงทำได้แค่บางระดับและไม่ทั่วถึง แล้วจะมีข้ออ้างต่างๆมารองรับเอง เหมือนกับเคยมีนโยบาย แก้รถติดในกทม.ภายในหกเดือนสมัยพรรคพลังธรรมนั่นแหละครับ

มันก็มีแค่ 2 อย่าง ถ้าไม่ของราคาขึ้น ก็ พนักงานโดนลอยแพ

มันเป็นเรื่องที่แน่นอน เป็นอัตโนมัติอยู่แล้วครับ
จะไปบอกว่า ของไม่จำเป็นต้องราคาขึ้นอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่
หรือบอกว่าถ้ารัฐควบคุมสถานประกอบการได้ ......... ก็แล้วมันควบคุมได้ซะที่ไหนล่ะ

จะไปคิดว่า มันมีความหมายกับคนใช้แรงงาน
มันมีความหมายก็ตรงหลอกให้ดีใจว่าตัวเองได้เงินเยอะขึ้น ก็เท่านั้น
ค่าครองชีพสูงขึ้นตามไปด้วยมันจะมีประโยชน์อันใด

และมันจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน ไม่ใช่ "ถ้า"

ผมอยากรู้ว่าจะมีบริษัทไหน ที่ยอมใจดีปล่อยให้กำไรน้อยลง เพื่อเจียดกำไรนั้นไปขึ้นเงินเดือนพนักงานเปล่าๆ

มีเหรอครับ ?

ทำธุรกิจนะครับ ไม่ใช่องค์กรการกุศล

@Guzzo ครับ

ถ้าไม่ใช่บริษัทมหาชนเนี่ย ไม่มีบริษัทไหนเค้าออกมาเปิดเผยผลกำไรกันหรอกนะครับ
ออกมาพูดตามความจริงทั้งหมดมันเป็นไปไมได้อยู่แล้วครับ มันพูดได้แต่มันทำไม่ได้นะครับ
เพราะยังไงมันต้องมีการเลี่ยงอยู่แล้ว ไหนจะโดนภาษี แถมเสี่ยงต่อการถูกสรรพากรตรวจสอบอีก ผมขอถามหน่อยครับ บริษัทไหนบ้างที่ไม่โกงภาษีจ่ายเต็มใครจะไปอยู่ได้ครับ ยิ่งประเทศไทยมันโกงกันขนาดนี้

ที่จะทำได้จริง ๆ ก็คงเป็นพวกบริษัทมหาชนแหละครับ บจก หจก SME ต่าง ๆ เค้ารับไม่ได้หรอกครับ

โลกของ ธุรกิจ ไม่ได้ง่ายเหมือนเรียนหรอกครับ มันต้องมีด้านมืดบ้างอยู่แล้ว เหมือนที่ท่าน dutchmew บอก จะมีที่ไหนยอมกำไรน้อยเพื่อเพิ่มเงินเดือนให้พนักงาน ไม่มีหรอกครับ

Business is Business ครับ

เจ้ากิจการของลงทุนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน หากเจ้าของกิจการไม่ลงทุนจะเกิดการจ้างงานไหมครับ หากมาบีบผู้ประกอบการมาก ๆ ถ้ารับไม่ไหว การจ้างงานก็ไม่เกิดหรอกครับ

อย่าลืมนะครับ หากฟองสบู่แตกขึ้นยมา ภาระทั้งหมดจะตกอยู่ที่ใคร ถ้าไม่ใช่ เจ้าของกิจการ ถ้าเข้าไม่แสวงหากำไร จะทำไปเพื่ออะไรครับ
อย่างตอนนี้ ผมอายุ 26 เป็นหนี้อยู่ประมาณ 6 M ในการลงทุนเพื่อให้เกิดอาชีพในชุมชน ถ้าผมไม่แสวงหากำไร ผมจะไปกู้แบงก์มาทำไมให้ปวดหัวตัวเองครับ

300 บาท จะจ้างได้ ก็พวกแรงงานไม่มีฝีมือครับ พวกยกของ แบกข้าวสาร
เดี๋ยวนี้คนแกะกุ้งแถวบ้านผม แกะเก่ง ๆ ยังได้มากกว่า 15000 ต่อเดือนเลยครับ

เพิ่มค่าแรงเฉพาะ แรงงานนอกกรุงเทพ ส่วนใน กทม.ห้ามขึ้น
คนจะได้ไหลกลับบ้านกันมั่ง อิ อิ

จริง ๆ ผมอยากให้รัฐบาลกลับมามองมาแก้ปัญหาหน่วยพื้นฐานเล็ก ๆ ในสังคม
ที่เรียกว่า "ครอบครัว" ก่อนนะครับ
รู้สึกว่าปัญหาอาชญกรรม จากเยาวชนมันเยอะมากเหลือเกิน
ทำยังไงให้ลูกหลานเราไม่หนีเรียน ไม่ไปสุมอยู่แต่ร้านเกมส์
ไม่ไปเป็นเด็กแวนซ์ ไม่ไปรุมกระทืบคนเพื่อชิงทรัพย์
ไม่ไปรุมโทรมสาวทอม ฯ
เฮ้อ.......

ผมเองก็มีร้านเล็กๆ ของตัวเอง มีลูกน้องอยู่ ทำงานกันมาก็หลายปี ...

เห็นว่าของแพงอยากให้ขึ้นค่าแรงให้ ผมว่ามันก็แก้ปัญหาไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่ ...

แต่ก็เห็นใจคนใช้แรงงานอยู่เหมือนกัน ...

ขึ้นก็ตามขึ้นละครับ ... แต่ก็ต้องยอมรับกับสินค้าที่แพงตามมาแน่นอนละ เพราะมันก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีบริษัท ร้านค้าใด ใจดียอมแบกภาระหรอกครับ นี่คือชีวิตจริง

ผมว่าบริษัทนำร่องที่เริ่มต้นปฎิบัติตามนโยบายนี้ ก็ควรจะเป็นบริษัทที่รุ้ๆกันอยุ่ครับ

ลงมือทำแล้วเอา best practice มา share กัน

ถ้าทำได้สำเร็จ ได้รับผลประโยชน์ทั้งบริษัท/ลูกจ้าง มีหรือบริษัทอื่นจะไม่อยากทำตาม

Action lounder than words ครับ

ได้ยินมา เห็นว่ามีคุยกับบริษัทยักษืใหญ่เรื่องแนวทางปฎิบัติแล้วนี่ครับ เด๋วก็รู้

ยากแต่ทำได้ กับ ทำได้แต่ยาก มันให้ final output แตกต่างกันครับ

ผมมองนะครับ

การขึ้นค่าแรง จะกระทบกับราคาสินค้า ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยนบายช่วยเจ้าของโดยการลดภาษี แต่จะต้องหาเงินมาชดเชยด้วยการเพิ่ม vat

สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกจ้างรายวันได้ประโยชน์ แต่สำหรับลูกจ้างที่เงินเดือนเกินหรือคนชั้นกลาง จะกระทบเพราะราคาสินค้า+vatที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เงินที่แท้จริงลดลง และคราวนี้ก็จะเริ่มกระทบกับการใช้จ่ายบางส่วน ซึ่งทำให้กลุ่มนี้เป็นผู้เสียประโยชน์

ส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าแรงนั้นอาจทำให้แรงงานถูกปลดมากขึ้น

มันจะย้อนกลับมาปัญหาการว่างงานและปัญหาสังคมตามมา

และสิ่งที่จะเกิดปัญหาในอนาคตแน่นอนคือเงินเฟ้อ ซึ่งคงจะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนผู้ประกอบการด็เพิ่มขึ้น แล้วก็วนมาที่ลดต้นทุนหรือแรงงาน

ทีนี้ระเบิดเวลาจะเกิดขึ้นโดยสิ่งของ ราคาของที่ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว มันจะเพิ่มเพื่อชดเชยกำไรที่ลดลงคงไม่ได้ แต่จะลดก็ไม่ได้ แต่ปัญหาคือกำลังซื้ออาจจะลดลง เริ่มวนมาสู่การขยายตัวของ gdp ที่ลดลง รายได้รัฐลดลง แต่ยังต้องอุ้มนโยบายอีกหลายอัน ก็ไม่รู้รัฐบาลจะก่อหนี้เพิ่มอีกหรือเปล่า ซึ่งจะทำให้งบประมาณตึงตัวมากขึ้น หากมีเหตุการณืใดมากระทบก็จะทำให้เรามีปัญหาเหมือนปี 40 ได้

ผมอาจมองโลกในแง่ร้ายนะครับ แต่ถ้ารัฐบาลวิธีช่วยจริงๆ น่าจะช่วยไม่ให้ราคาสินค้าเพิ่มเร็วหรือผันผวนมากกว่าที่จะเพิ่มรายได้แต่ยอมให้ราคาสินค้าขึ้นตาม

ขอภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่ผมว่าไว้เลย

ยากแต่ทำได้ กับ ทำได้แต่ยาก มันให้ final output แตกต่างกันครับ

เห็นด้วยกับคุณเดร์ ครับ เรื่องผลลัพที่แตกต่าง ก็ได้แต่หวังว่าแนวนโยบายเรื่อง
ค่าแรงนี้จะส่งผลในด้านบวกด้วยเช่นกัน ผมดูข่าวฟังรัฐมนตรีท่านหนึ่งให้คำตอบ
เกี่ยวกับส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ทำให้เกิดนโยบายนี้คือ เพื่อเป็นการกระตุ้นการ
จับจ่ายใช้สอยภายในประเทศเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเมื่อประชาชน
มีกำลังซื้อมากขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบันการค้าขายระหว่างประเทศก็
แข่งขันกันอย่างรุนแรง ดังนั้นเมื่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นมีกำลังจับจ่ายใช้สอย
มากขึ้นเศรษฐกิจภายในประเทศก็จะดีขึ้นนี่คือแนวคิดที่ออกจากปากรัฐมนตรีหน้าใหม่
ท่านหนึ่ง ผมก็ได้แต่เอาใจช่วยให้สิ่งที่ท่านให้สัมภาษเป็นจริงดั่งที่ท่านวางแนวทางเอาไว้

แต่ถ้า INPUT มันผิด OUTPUT มันจะถูกเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันผิดตั้งแต่
INPUT แล้ว ขบวนการ processing ไม่สามารถทำให้ผิดเป็นถูกได้อย่างแน่นอนครับ

ขอบคุณพี่น้องที่เคารพทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมแชร์ความคิดเห็น ผมสนใจเรื่องนี้เพราะ
เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับทุกคน ทุกระดับ ตั้งแต่เศรษฐียันวนิพก มากน้อยตามแต่
ว่าท่านอยู่ในฐานะใด ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาลองดูซิว่าพี่น้องท่านอื่นๆ เค้าสนใจประเด็น
เรื่องค่าแรงนี้มากน้อยเพียงไร แล้วคนส่วนใหญ่เค้าคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร
เพราะถ้ามองนโยบายนี้ด้วยตา ไม่ใช่ปัญญา จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่ายินดี
ไม่มีถูกไม่มีผิดนะครับ ยินดีน้อมรับความคิดเห็นที่หลากหลายของทุกท่านครับ ผมเอง
และอีกหลายๆ ท่านจะได้เห็นมุมต่างบ้าง ว่าแต่ลองมาคิดกันในแง่บวกบ้างว่านโยบาย
ขึ้นค่าแรงทั้งระบบนี้จะส่งผลในเชิงบวกด้านใดบ้างดีมั้ย ถ้าจะมองต้องมองทุกมิติครับ
ทั้งใกล้ไกล ด้านกว้าง และด้านลึก อย่างแรกพี่น้องผู้ขายความรู้ความสามารถที่เรียนมา
กับพี่น้องผู้ขายแรงงานหลากหลายระดับก็มีรายได้เพิ่มขึ้น อันนี้ต้องขอแสดงความยินดี
ล่วงหน้ากับเขา ถ้านโยบายนี้เริ่มใช้ทั้งระบบภายในปีนี้ เพราะตอนหาเสียงเสนอตัว
เข้ามาแก้ไขวิกฤตประเทศ ได้ยินประโยคที่ว่าทำได้จริง และทำทันที ก็ต้องให้เกียรติเขา
เพราะพี่น้องส่วนใหญ่ของประเทศตัดสินใจเลือกแล้ว และเชื่อว่านโยบายขึ้นค่าแรง
ขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาท ปริญญาตรีเริ่ม 15,000 บาท เป็นนโยบายที่โดนใจ
พี่น้องผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ รวมถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบ หรือกำลังจะจบ
การศึกษาใหม่ทั่วประเทศ ซึ่งผมเข้าใจว่าพี่น้องผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่สนใจโครงสร้าง
ทางสังคมน้อยกว่า เรื่องปัญหาปากท้องของตนเอง ประเด็นนี้ผมเข้าใจและเห็นใจ
กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานระดับล่าง ทำงัยได้ช่องว่าระหว่างคนมั่งมีกับคนจนมันห่างกัน
มากเหลือเกินทั้งในเชิงตัวเลข รวมถึงรายได้เข้ากระเป๋าในแต่ละเดือน

มีคนเคยสอนผมว่า

"คำถามที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งคำตอยที่ถูกต้องเสมอ"

ถ้าเราตั้งโจทย์ผิด ไม่มีทางที่จะได้วิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมแน่นอน

ทีนี้นักวิเคราะห์ของรัฐบาล คงต้องวิเคราะห์และตีแผ่ข้อมูลออกมาละครับว่า

นโยบายนี้ เป็นการตั้งคำถามที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติแล้วหรือยัง

เห็นด้วยกับคุณเดย์ ครับ "คำถามที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องเสมอ"

ไม่กี่วันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ทำธุระในกรุงเทพ มี น ศ มาทำแบบสอบถามเกี่ยวกับนโยบาย
ผมเจอคำถามนึงที่คิดว่าไม่น่าถามเป็นอย่างมาก
คุณคิดว่ารัฐบาลแจก Tablet PC เป็นเรื่องดี หรือไม่ ผมเห็นคำถามนี้ผมเลยย้อนถามไปว่า

วันนี้มีใครบอกว่า ไม่ดีบ้างมั๊ย เพราะผมเชื่อว่าคงไม่มีที่บอกว่าไม่ดี เป็นคำถามที่ปลายปิดมาก

ก็งงเหมือนกันว่าอาจารย์ หรือ ที่ปรึกษา Researchชุดนี้ ปล่อยให้คำถามแบบนี้ ออกมาได้ยังไง

นายจ้างคงไปจ้างแต่ ปวส. หรือ ป.โทไปเลยมากกว่า

สุดท้าย ป.ตรี ถ้าจะเอา 15000 ก็ไม่มีใครจ้าง ตกงานไปตามระเบียบ ไม่ก็ต้องยอมรับ

เงินเดือนเท่าเดิม หรือไม่ก็เงิน วุฒิ ปวส.

ส่วน 300 บาท/วัน ก็เหมือนบีบให้ไปจ้างแรงงานต่างด้าวชัดๆ

อีกหน่อยเปิดเสรีอาเซียน จะได้จ้างแรงงานเขมรเยอะๆ บ้านเขาจะได้ร่ำรวยๆ



นโยบายทำคนไทย ตกงานระยะยาวครับ

คุณเดย์ครับ ผมว่านโยบายเหล่านั้น เป็นแค่ของใช้หาเสียงเพิ่อให้ได้เป็นรัฐบาล

ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ประเทศเลย ดีไม่ดีทำให้เจ็บยาวอีก

ขึ้นแบบก้าวกระโดด เร็วเกินไป ก็ต้องหาทางแก้ไขกันไป นี่ถ้าอีกไม่กี่ปีมีเลือกตั้งใหม่แล้วนักการเมืองมันต้องการคะแนนเสียงแล้วไปรับปากเพิ่มค่าแรงเป็น 500บาท พอได้เป็นรัฐบาล นายจ้างยังไงก็ต้องจ่ายชิมิ ดีเนอะ

เพื่อนผมที่เรียนปวส.มาด้วยกัน และต่อป.ตรี เพิ่งจบกันหมาดๆปีที่แล้วครับ 10 กว่าคน

ไม่มีใครได้ต่ำกว่า 15000 เลยครับ ส่วนใหญ่ก็ 15000 พอดี มีผมคนเดียวที่มาเป็น

ครูประถมอยู่บ้านนอกได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่น

ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ไม่มีไม่รู้ว่าจะขึ้นให้ครูจ้างบ้านนอกบ้างป่าวก็ไม่รู้ครับ -*-

ว่าแต่ท่านมีแนวคิดอะไรอยากให้ผมไปสอนกับเด็กๆ ก็ส่งมาทางอีเมลก็ได้นะครับผม

ปล.เด็กประถมนะครับ

ขอบคุณครับ

อิอิ

นโยบายประชานิยม แจกอย่างเดียว ไม่นึกถึงความเป็นจริงที่ปัญหาที่อาจจะเกิดตามหลังการแจก

ผมไม่เห็นด้วยกับหลานโยบายมาก อย่างเรื่องรถไฟฟ้า 20 นั่นก็อีกอย่างนึงท่ไม่เห็นด้วย

ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองหลายๆนโยบายคือเราได้ประโยชน์ แต่จริงๆคนที่แบกภาระคือประเทศชาติ รัฐบาลมันก็อยู่แค่ 4 ปี ถ้าผิดพลาดมากๆก็เปลี่ยนรัฐมันตรีไม่ก็ยุบสภาหนี แต่ภาระทุกอย่างก็ตกกับประชาชนทุกคน = =

ให้ยิ่งลักษณ์ ไปขอให้ CP ลดราคาสินค้าเกษตรกรรม ทั้งหลาย
ให้ไปขอ พวกเจ้าของปตท.ตัวจริง ยอมลดกำไร
ขอได้สองอย่างนี่ รับรอง ทำ 300 บาทก็ได้ ทำอะไรก็ได้นะ

p.s. ที่ว่าบริษัทจะโดนผลกระทบกับ การขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทมากที่สุด ผมว่าอาจจะเป็นบทสรุปที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะบริษัทพวกนี้มันกำไรเยอะมากๆ การลดภาษีเงินได้ ไปไปมามามันจะโปะ ต้นทุน ค่าแรง 300 บาทสบายๆ ไอ้ที่จะซวยก็คงเป็นพวก sme กะ บริษัทเล็กๆที่ต้องพึ่งแรงงานเป็นหลัก กำไรก็น้อย ลดภาษีก็ได้คืนมานิดแต่ดันมาเจอค่าแรงโหดอีก

สรุป รัฐบาลฉลาดครับ บริษัทใหญ่ๆข้ามชาติ หรือ ผูกขาดที่เป็นเจ้าใหญ่ๆในไทย ไม่ค่อยเจออะไรมาก คือพวกรัฐบาลเองกับพวกคนรวยมากๆที่เป็นกลุ่มอำนาจ ต่างๆอยู่ได้ แถมได้ฐานเสียงจากคนชั้นล่าง (ขออนุญาตใช้คำนี้นะครับ เพราะคงเป็นคำที่เข้าใจง่าย ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกแต่อย่างใด)
คนชั้นกลางที่ไม่ค่อยมีสิทธิในการชี้อะไรอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายก็ซวยไป (แต่แอบมีให้ความหวังจะลดราคาน้ำมันด้วยนะ)

คำกล่าวข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ขั้นต้น ไม่มีหลักฐานยืนยันอะไร take it with a grain of salt ครับซึ่งเป็นการมองแค่มุมเดียวแคบๆ

p.s. 1 เพื่อประกอบการสนทนา ผมเป็น คนที่ไม่ชอบทักษิณ ไม่ชอบเสื้อแดง เกลียดแกนนำเสื้อแดง
ไม่ชอบเสื้อเหลือง เบื่อประชาธิปัตย์
p.s. 2 อยากให้เมืองไทยเลิกเป็นเมืองที่กระแดะซะที ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ เรื่องหวยบนดิน กระแดะว่าเราเป็นเมืองพุทธ ไม่เล่นการพนัน จริงๆก็ยอมรับเหอะว่าคนบ้านเรามันบ้าพนันมากๆ ถ้ามีการจัดอันดับโลก เผลอๆจะเข้าที่ 1 ด้วยเอา ทำหวยใต้ดินให้มันถูกกฎหมายเหอะ เอาเงินนอกระบบ มาใช้พัฒนาบ้านเมือง (เอามาให้พวกนักการเมืองมันคอรัปชั่นด้วย ถ้าเงินมันเยอะๆ คอร์รัปชั่นไปก็อาจเหลือเงิน พัฒนาบ้านเมืองมากกว่ามีเงินน้อยๆ )

ใน p.s ผมพูดถึงบริษัทใหญ่ๆนะครับ

ที่ผมว่า คนชั้นกลางไม่ค่อยสามารถชี้นำอะไรได้อยู่แล้ว
เพราะหัวเชื้อที่แท้จริง มันอยู่ที่กลุ่มอำนาจต่างๆนั่นเอง คิดมุขอะไรขึ้นมาได้ ก็เอาไปเป็น campaign หาตัวพูดเก่งๆหน่อยมาพูดจาให้คล้อยตาม เลือกฟังแต่สิ่งที่ถูกใจ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นเกมส์อะไรของใครรึเปล่า
ผมเลยมองแบบง่ายๆว่า คนชั้นกลางในสังคมไทยไม่ได้มีพลังอะไรที่แท้จริง
คนเลือกรัฐบาล คือกลุ่มคนส่วนมากที่เค้าเคยเรียกว่า รากหญ้า
คนล้มรัฐบาล คือกลุ่มอำนาจฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

สรุปไปหาเงินไว้เยอะๆ แล้วคอยซื้อที่ซื้อทองดีกว่า ชัวร์ดี หรือ ให้ลูกหลาน น้องพี่ไปเป็นตำรวจก็ได้ ชัวร์เหมือนกัน :P

ทุกวันนี้ผมรอดูอยู่ครับว่ามันจะจบยังไง ขออย่าให้เป็นแบบที่คิดแล้วกันครับ

ผมเข้าใจที่คุณ Sweet P บอกเลยเอาเข้าจิงจะมีกี่บริษัทกันที่จะร่วมมือเพราะคงไม่มีที่ไหนยอมให้กำไรมันลดลงจิงไหมครับ ผมเข้าใจดีเลยครับว่าเจ้าของกิจการเสี่ยงแค่ไหนเพราะผมก็เป็นหนึ่งในเจ้าของกิจการ อายุแค่ 28ดันมีหนี้สินปาเข้าไป 6M กว่าๆแล้ว....

คุณ leenawat_Sri ครับ

ผมถึงพูดไงครับ คำถามที่ถูกต้องจะนำมาซึ่งคำตอบทีืถูกต้องเสมอ

ขึ้นต้นมาก็ชวนเป๋แล้วแบบนี้ ไม่ต้องห่วงอะครับ ว่าจะเดินตรงทางได้จนถึงจุดหมายปลายทางของชาติหรือเปล่า

นึกถึงนิทานเรื่องแม่ปูสอนลูกปูให้เดินตรงๆขึ้นมาเองเฉยเลยครับ

อย่าโยงผมไปการเมืองไทยนะ

อิ อิ

@oname2

เป็นพอ ๆ กับผมเลยนะครับ ของผมเพิ่งจะ 26 ไปหมาด ๆ นี่เอง

แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ถ้าเราไม่ทำ มันจะเกิดโอกาสการจ้างงานไหม ใช่ไหมครับ

ต้นทุนจากค่าแรงเป็นแค่ส่วนนึงที่คิดได้ง่ายๆ
แต่ต้นทุนเกิดจากส่วนอื่นด้วย วัสดุก็จะแพงขึ้น เพราะคนเอามาขายให้ค่าแรงแพงขึ้น

ค่าขนส่ง ค่านำ้มัน อื่นๆ ก็จะแพงขึ้น ต้นทุนโดยรวมก็จะแพงขึ้น

จะส่งผลกระทบแบบงูกินหางล่ะ

ผมว่าอย่างเราเป็นประชาชนธรรมดากันทุกคน ผมชอบทุกความเห็นเพราะเราเป็นประชาชนย่อมมีสิทธิในการออกความคิดเห็นแตกต่างบนความคิดแต่อยู่รวมกันอย่างสงบ
แต่ที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นคห.ที่ 52 เกือบทุกย่อหน้าที่เขียนเป็นความเห็นที่ค่อนข้างตรงกับความจริงในความเห็นส่วนตัวผม
สังคมเราวันนี้ธุรกิจใหญ่รวบไปหมด เอื้อกันระหว่างผู้ปกครองประเทศและนักธุรกิจใหญ่ๆต่างหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประชาชนรับเคราะห์แม่งวันยังค่ำ ยิ่งจนยิ่งเจ็บ
ผมเน้นเรื่องการนำอบายมุขมาทำให้ถูกกฎหมาย ท่านใช้คำว่ากระแดะยังน้อยไป มันน่าจะเป็นสัญญาณนำไปสู่ความเสื่อมของสังคมโดยความมัวเมาลุ่มหลงของประชาชนเป็นวังวนแห่งความพินาศเลย
จน อยากรวย บ้าหวย เป็นหนี้ กู้ใหม่ รัฐอุ้มเอาประชานิยม กลับไปเล่นใหม่เป็นหนี้อีก ตกเป็นเหยื่อคนรวยกว่า
แก่นของการดำรงชีพกลับอยู่ที่ความรู้จักพอดีมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องยากต่อการฝืนกระแสในปัจจุบันอย่างมาก
สรุปคือการขึ้นค่าแรงผมคิดว่าไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นตามที่หลายๆท่านว่า สุดท้ายก้อเสร็จคนรวยอยู่ดี

ยุค ปชป ขึ้นเงินให้ตัวเอง สส ข้าราชการ อบต ผู้ใหญ่บ้าน แจกเช็คคนละ 2000
ทีจะขึ้นเงินแรงงานให้คนยากคนจน บอกว่าเศรษฐกิจจะพัง

ค่าแรงต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่งบรายจ่ายส่วนค่าจ้างเท่าเดิม

1.เงินเฟ้อถามหาแน่นอน
2.รายได้ที่แท้จริงมันไม่ได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
3.ผู้ประกอบการรายเล็กๆแย่
4.ว่างงาน
5.ย้ายฐานการผลิต(ไป...) ว่างงานกันอีก
6.ดอกเบี้ยสูงขึ้น
7.ทุนต่างชาติไหลเข้า ดอกฝากไม่เพิ่ม ดอกกู้เพิ่มได้อีก
8.เงินบาทแข็ง
9.ส่งออกซวย
10.เกิดการเกรงกำไรในภาคการเงิน
11.การกระจายรายได้จะยิ่งกากลงเพราะ ข้อ 3,4
12.บล่าาาๆๆๆ

ถามจริงๆเถอะค่ะ ถ้าพวกพี่ๆ ทำงานได้ค่าแรงวันละ 300 จะพอใจแล้วใช่ไหมค่ะ อย่าตอบว่าใช่นะ ค่ะเพราะนั่นคือการผิดศีลตกนรกนะค่ะ เวลานายทุนขึ้นราคาสินค้าเขาเคยมาถามเราบ้างไหมค่ะว่าเราพอใจกับการที่เขาจะขึ้นราคาสินค้า ไม่มีใช่ไหมค่ะ ค่าแรงวันละ 300 ก็เป็นแค่การขาดทุนกำไรของนายทุนเท่านั้นเองค่ะ เห็นแล้วใช่ไหมค่ะว่าประชาชนคนเดินดินอย่างเราๆ โดนเอาเปรียบตลอด....

แล้วถ้ากำไรของนายจ้างน้องลงบวกกับเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีท่าทางว่ายอดขายจะลดลง...
งั้นสู้ไม่ต้องลงทุนไม่ต้องเสียงไม่ดีกว่าหรอครับ ใครกู้เงินมาแล้วถ้าเกิดเวลาเศรษฐกิจแบบนี้เสี่ยงมากนะครับ รับรองครับ ใช้หนี้ทั้งชาติเพราะดอกเบี้ยมันเยอะ.....เวลาคิดกำไรเค้าก็ต้องเผื่อค่าความเสี่ยงไว้ด้วยนะครับ ถ้าขายดีได้กำไรเยอะคืนทุนเร็วก็ดีไปอะครับ ....

ที่ผมพูดถึงคือ พวกขนาดกลางกับเล็กนะครับ ....พวกขนาดใหญ่ที่ยังไงก็ขายได้ยังไงก็ต้องซื้อของๆที่เค้าขายไม่ต้องพูดถึงครับ พวกนั้นแค่กระทบเบาๆ ....

หุหุ คุณยิ่งลักษณ์ก๊าบบบบบ ผมเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆ บริษัทนึง ทุกวันนี้ ผมขาดทุน เดือนละ 100000 กว่าบาท ขาดทุนมา 5 เดือนแล้ว ถ้ามันขึ้นค่าแรงอีก ป๋มไม่แย่ไปกว่านี้หรือครับ ไอ้คนที่หัวอกเดียวกันกับผมก็มีเยอะแยะ
ประชาชนส่วนน้อยมันก็คนนะคร้าบบบบ ไอ้ที่ขาดทุนนี่ไม่ใช่ขาดทุนกำไรเลยแต่เป็นการขาดทุนซ้ำเข้าไปอีก ประมูลงานทีไรเจอเส้นทุกที
555555 มีทางออกแล้ว ไล่พนักงานออกดีกว่า เหลือเอาไว้ไม่กี่คนก็พอ แล้วใช้งานเค้าหนักๆดีกว่า
พวกที่ถูกไล่ออก จะแนะนำว่า ไปเป็นนางแบบหรือ เป็นนักร้องดังดีกว่านะ ทำบริษัทพี่ไปก็เท่านั้นแหล่ะ ทุกวันนี้งานหาง่าย จะตาย จบตรีอย่างพวกน้องๆ ไปทำที่อื่นได้ไม่ต่ำกว่า 15000 นะ ส่วนพวกที่จ้างรายวัน ก็คงต้องแนะให้ไปทำที่อื่นเพราะที่นี่จ้างไม่ไหว เลี้ยวววก๊าบ

โดยปกติคนเราจะยึดเอารายได้ที่เป็นตัวเงินเป็นหลักครับ เพราะเราไม่ทราบว่าค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ระดับราคาสินค้ามันปรับขึ้นไปเท่าไหร่แล้วบ้าง ซึ่งกว่าเราจะรับรู้ราคาก็ต้องใช้เวลา อย่างเช่นวันนี้ไข่เท่าไหร่ หมูเท่าไหร่ เราก็ไม่ได้สนใจ สุดท้ายราคามันก็จะสะท้อนต้นทุนที่ปรับขึ้นนั้นแหละครับ ค่าแรงที่ขึ้นเมื่อคิดเป็นมูลค่าที่แท้จริงคือเรายึดเอาจำนวนสินค้าที่บริโภคได้มันก็จะไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเท่าที่ควรครับ อีกอย่าตอนนี้เศรษฐกิจก็ร้อนแรงอยู่แล้ว การขึ้นค่าแรงก็เหมือนไปอัดฉีดให้เงินเฟ้อมันสูงขึ้น ดอกเบี้ยก็ต้องสูงขึ้นอีก (คือเราต้องใช้ดอกเบี้ยในการปรับเงินเฟ้อ เช่นการขึ้นดอกเบี้ยฝาก ถอน เพื่อดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจเพื่อนลดปัญหาคนใช้จ่ายเยอะเกิดกว่าสินค้าที่ผลิตได้ซึ่งมันจะทำให้ราคาสูงขึ้น ) และสุดท้ายคนที่มีภาระ ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือผู้ประกอบการที่ต้องกู้ยืม ก็ต้องมีแบกรับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอีก ไหนจะเงินทุนต่างชาติที่จะทะลักเข้ามาอีกหากเราปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อลดเงินเฟ้อ ซึ่งมันจะไปทำให้บาทแข็ง เพราะฝรั่งมันต้องดอล์ล่ามาแลกบาท ทำให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มมากขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อผู้ส่งออก บล่าๆๆ

ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะทำได้ เพราะถ้าทำทั่วประเทศ ผู้ประกอบการลำบากแน่นอน ซึ่งคงต้องย้ายไปเขมร เวียดนามแทน สุดท้ายก็ตามมาด้วยปัญหาการว่างงานอีก ก็จะเหลือแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีกำไรสูง ซึ่งส่วนมากจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้ทุนต่อแรงงานน้อย กว่าพวกอุตสาหกรรมสิ่งท่อหรือ sme ซึ่งสุดท้ายก็มาสู่ปัญหาการว่างงาน รายกระจุกจนกระจาย ผมวาไม่น่าจะทำได้ทั้งประเทศ

ข้อดี
ถ้าทำในกรุงเทพก็ดีจะได้ย้ายฐานการผลิตออกไปตามต่างจังหวัดบ้าง ลดความแอ่อัดในเมืองหลวงลงไปบ้าง กระจายรายได้ให้คนในต่างจังหวัดบ้าง

ปล. บางบริษัทเล่นแง่บ้าง เช่นไม่ให้ผ่านโปรบ้าง บีบให้ออกแล้วจ้างใหม่เรื่อยๆบ้าง ถ้าจะคิดมันก็มีเรื่องให้คิด ถ้าไม่คิดมันก็ไม่มีอะไร พิมพ์ทั้งคือก็ไม่หมดอะ

รบกวนผู้ที่จะมาตอบกระทุ้หน่อยนะครับ เจ้าของกระทู้ตั้งกติกาไว้ชัดเจนแล้วว่า

"ขอแค่มาแชร์ทัศนะของแต่ละท่านอย่างสร้างสรร
ต่อนโยบายเพิ่มค่าแรงของรัฐบาล "

ถ้ายังไม่ได้อ่านให้ครบ รบกวนขึ้นไปอ่านอีกรอบนะครับ

ดังนั้น การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ คือการนำเสนอแนวความคิดของตัวเอง อย่างมีหลักการมีเหตุมีผลมีตรรกะมารองรับ

ดีก็ให้ข้อมูลว่าดีเพราะอะไร ไม่ดีก็ให้ข้อมูลว่าไม่ดีเพราะอะไร

หลังจากแสดงความคิดเห็นแล้วก็แสดงเหตุผลประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลของตัวเองออกมาด้วยครับ ไม่อย่างงั้นมันก็จะกลายเป็นความคิดเห็นเชิงใส่ความหรือตีหัวเข้าบ้าน คนโพสไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใน"คำพูด"ของตัวเอง โพสเสร็จๆแล้วก็ไป รังแต่จะให้กระทุ้กลายเป็นกระทู้ดราม่าไปเท่านั้น

ตอนนี้เพื่อนๆทุกท่านที่เข้าใจหลักการของการตั้งกระทุ้นี้เข้ามา จะแสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งเหตุผลต่างๆที่หยิบยกขึ้นมาแสดงประกอบความคิดเห็นของตนเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ

ส่วนตัวเราก็มีหน้าที่อ่านแล้วพิจารณาตัดสินใจว่าจะเชื่อคล้อยตามเหตุผลที่หยิบยกมาหรือไม่

น่าจะดีกว่านะครับ กระทู้นี้จะได้ฟังความได้รอบข้างเพิ่มมากขึ้นด้วย

หลักการประชาธิปไตย ก็คือ พวกมากลากไปครับ

ใครมีพวกมาก ก็ได้ประเทศไปบริหารครับ

ไม่เกี่ยง ความรู้ ความอ่าน โง่ หรือ ฉลาด ถือว่า 1 เสียงเท่ากัน

ใครซื้อใจ คนได้มากกว่า ก็ชนะไป

จะออกนโยบาย เอื้อ ใคร ก็แล้วแต่ ว่าใครเป็นใคร ทำได้หรือไม่ ถูกต้องหรือไม่

ก็ปล่อยมันไป เพราะคนมีอำนาจ ไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ มันผิดตั้งแต่ก่อนก่อนก่อนการเลือกตั้งแล้วครับ

สุดท้ายประเทศนี้ ก็จะ เป็นแบบ มือใครยาว สาวได้สาวเอา ในที่สุด

**************************

กลุ้มใจกับประเทศนี้จริงๆ เฮ่อ

มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนะครับ ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการให้สินค้าถูกลงมากกว่าการได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น

คิดกลับกันปัจจุบนค่าจ้างขั้นต่ำ 215 บาท ข้าวแกงจานละ 25 - 30 ซื้อข้าวแกงได้ 7 - 8 จาน

แต่ถ้าทำตามนโยบายรัฐบาลคือขึ้นเงิน 300 ข้าวเกวียนหมื่นห้า(หอมมะลิ 2 หมื่น)

ของทุกอย่างต้องขึ้นตามมาเพราะค่าแรงงานมันเพิ่ม 300 อาจจะซื้อข้าวแกงได้ 5 - 6 จาน

สินค้าอุปโภคบริโภคอย่างอื่นก็ขึ้น เท่ากับว่าได้เงินมากขึ้นแต่ซื้อของได้น้อยลง แล้วจะขึ้นทำเพื่อ

อีกอย่างนึงแรงงานที่มีฝีมือ และ ความชำนาญ เค้าก็ได้เงินเกินวันละ 300 อยู่แล้ว

ในขณะเดียว เมื่อทุกอย่างขึ้น เหมือนเรา อยากจะถีบนักลงทุนต่างชาติออกจากประเทศเรา แล้วโยนไปให้ประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ก็ส่งเสริมให้บริษัทใช้เครื่องจักร มากกว่าการใช้คน

ตอนก่อนเลือกตั้งเคยฟังคนที่คิดนโยบายเค้าบอกว่า เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้เงินการมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผมมองว่ามันไม่จริงเลย มันยิ่งจะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจ ซบเซาลงด้วยซ้ำ

ไม่อยากคิดมากกว่านี้แค่นี้ก็ปวดตับและ = =

แรงงานที่มีฝีมือเค้าไม่สนใจกันหรอกครับ แต่ก็อย่างว่า แรงงานประเภทนี้หาได้น้อยนัก สำหรับคนไทย

ตอนนี้แรงงานชายร่างการแข็งแรง ไม่ต้องรู้อะไรมากมีบัตรประชาชนไทย ค่าแรงจะอยู่ที่ 300 บาทต่อ 1 กะ อยู่แล้วครับ

ถ้าเป็นช่างมีฝีมือก็เริ่มที่ 50 บาท ไปยัน 200 บาทต่อชั่วโมง ถ้าหัวหน้างานก็มากขึ้นไปอีกล่ะครับ อันนี้ไม่ต้องมีปริญญานะขอบอก

เด็กจบปริญญาลงทุนไปเยอะกว่าจะจบให้เขาเถอะครับ 15000

เมื่อก่อนนี้ตอนเศรษฐกิจยังรุ่งเรืองจบใหม่ๆ ก็ได้ 16000-18000 แล้วครับถ้าอยู่ต่างจังหวัดมีสวัสดิการอีกต่างหาก ตอนนั้นสุราไทยสั่งตามร้านอาหาร 140 บาทเองครับ น้ำมันเบนซินไร้สาร 8-9 บาท อยู่ได้สบายๆ ตอนนี้จบมาได้ 15000 ถ้ามีรถเติมน้ำมันทีละ 1500 เติมสามทีก็ยวบแล้วล่ะครับ กินอยู่ต่างหากเน้อ

ยังไงก็ได้ครับไม่ว่าจะยังไงการขึ้นค่าแรงมันมีผลดีล่ะครับ อิอิ

ขอบคุณเพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกๆ ท่านครับ ที่กรุณาให้เกียรติเข้ากระทู้มา
เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นรวมถึงคุณเดร์ ด้วยนะครับ แต่หนักนิดเบาหน่อยก็
แชร์ความคิดเห็นกันครับผมเข้าใจอารมของแต่ละท่านดีก็ไม่ได้มากไม่ได้น้อย
ไปกว่ากันสักเท่าไหร่หลอกครับ

เพียงแค่ผมอยากรับฟังความเห็นที่แตกต่างจากหลายๆ ท่านดู
เผื่อผมจะได้อาศัยหลักคิดและแนวคิดของท่านอื่นๆ ไปปรับทัศนะตนเองได้บ้าง
กระทู้นี้ขอให้เป็นการแสดงทัศนส่วนตัวที่มีต่อนโยบายรัฐ อย่าหักล้างกันเอง
ระหว่างกระทู้ เหมือนแก้ต่างให้รัฐหรือสนับสนุนรัฐอะไรทำนองนั้นเลยครับ
ท่านใดเห็นแง่มุมที่เป็นบวกผมก็ยินดี ท่านใดเห็นเป็นเชิงลบผมก็ยินดีเช่นกัน
เพราะทั้งสองด้านล้วนทำให้ผมได้รับมุมคิดมุมมองเพิ่มขึ้นในหลายๆ ด้าน
คนเราจะฉลาดได้ด้วยการฟังครับ ไม่ใช่การพูด ด้วยเหตุนี้กระมังที่ธรรมชาติ
จึงให้หูเรามาสองหู แต่มีปากเพียงปากเดียว ผมจึงตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อรับฟัง
และเรียนรู้มุมคิดมุมมองในหลายๆ มิติ จากเพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติท่านอื่นๆ
ด้วย

อย่างน้อยๆ ทุกท่านที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนทัศนกันก็แสดง
ให้เห็นว่าในเวปอันทรงเกียรติแห่งนี้มีความหลากหลายครบถ้วน ความรู้
สาระ และบันเทิง เป็นความหลากหลายที่น่าชื่นชม จึงไม่แปลกอะไร
ที่เวปอันทรงเกียรติแห่งนี้ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ครับ

ทัศนต่อจากนี้ขอรบกวนเพื่อนๆ ที่เคารพ แสดงทัศนะกันในลักษณะส่วนบุคคล
และขออย่าได้หักล้างกันเองโดยตรงเชิงแก้ต่างแทนรัฐ หรือสนับสนุนรัฐ รวมทั้ง
ด่าทอรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลยนะครับ ด้วยความเคารพ
ทุกท่านจริงๆ

ทรัพสิ่งในโลกล้วนเป็นสองครับอันนี้ต้องยอมรับกันด้วยความเข้าใจ
มีมีดมีสว่าง มีซ้ายมีขวา มีดีมีไม่ดี อะไรที่เป็นกลางเท่านั้่นครับถึงจะมีหนึ่งเดียว
ลองมองร่างกายเราเองก็ได้ครับ อะไรที่อยู่ตรงกลางมักจะมีอันเดียว จมูก ปาก
สะดือ และก็... ยกเว้นเรื่องความดีกับความเลวครับเรื่องนี้ไม่มีตรงกลาง
ให้เลือก

พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้ว่า ในบันดาทรัพย์ทั้งหลายทั้งปวงศรัทธาเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
และในบรรดาศรัทธาทั้งหลายทั้งปวง ศรัทธาในตัวเองเป็นศรัทธาที่สูงสุดแล้วครับ
เพราะชีวิตเราต้องอยู่ในกำมือเราครับ ถ้าเรายังหวังว่ารัฐบาลชุดใดก็ตามแต่ที่ท่าน
ศรัทธาอยู่เท่านั้นถึงจะทำให้ชีวิตและครอบครัวท่านลืมตาอ้าปากได้ นั่นเท่ากับว่า
ชีวิตเรา และครอบครัวเราอยู่ในกำมือคนอื่น อย่าปล่อยชีวิตให้เป็นเช่นนั้นเลยครับ
มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นครับที่จะพลิกชีวิตตัวเรา และครอบครัวเราได้ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ หากท่านนับถือพระศาสดาองค์เดียวกับผมนะ

แค่ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยนได้ทั้งชีวิตครับผมเชื่ออย่างนั้น ผมถึงไม่อยากให้
มีการตำหนิรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ในกระทู้นี้งั้ยครับ

ขอบคุณเพื่อนสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกๆ ท่านครับที่ให้เกียรติเข้ามาอ่าน รวมถึง
ทุกท่านที่เข้ามาร่วมแชร์ทัศนกัน ทุกกระทู้มีเหตุมีผลด้วยกันทุกท่านครับผมเข้าใจ
ความรู้สึกทุกท่านดี และขอบคุณในความเป็นสุภาพชนของทุกท่านด้วยครับ

ร่วมแชร์กันได้เลื่อยๆ ครับ คนเราฉลาดได้ด้วยการฟังครับ ไม่ใช่การพูดสบด
ธรรมชาติจึงให้หูมาสองหู แต่มีปากเพียงปากเดียวครับ ความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ อิอิ

ด้วยความเคารพเพื่อนสมาชิกทุกท่านครับ

คุณแป๊ะครับ

อะไรที่ละไว้ใน ... ครับ

อิ อิ

โรงงานที่เป็นSME ลำบากแน่ครับ ... ผู้ประกอบการต้องหางานเพิ่มเพื่อมาจ่ายค่าแรงงาน

หรือต้องปลดคนงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต.. หรือ ต้องขึ้นค่าสินค้า

แต่ยังไงถ้าให้ผู้ประกอบการเลือกก็คงต้อง...เพิ่มราคาสินค้า...(ซึ่งขึ้นไปรอก่อนหน้าค่าแรงเรียบร้อย)

ทุกวันนี้ผู้ประกอบการก็หน้ามืด ลมแทบจับอยู่แล้วกับวัตถุดิบที่สูงขึ้น...

ราคาค่าแรงงานก็เป็นต้นทุนที่เราไม่สามารถลดได้อยู่แล้ว...

แต่ที่น่าเป็นห่วงจริงๆคือ...การทะลักของแรงงานต่างด้าว..เพราะราคาค่าแรงที่เป็นเหตุจูงใจ

อันอาจก่อผลถึงปัญหาอื่นๆเช่น อาชญากรรม...โรคระบาดเป็นต้นนะครับ

การที่แรงงานต่างด้าวก็มีสิทธิที่จะใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี่เอง....ผลที่ตามมาก็หางว่าวเลย

ไม่ทราบว่าภาครัฐมีการคิดถึงผลในจุดนี้ด้วยหรือไม่ ...

จากผู้ประกอบการรายเล็กๆ...

จู๋ ครับคุณเดร์ 55555

จู๋ หมายถุง ดวงจู๋ ลักษณะเป็นดวงที่มันจู๋ๆ อ่ะครับไม่รู้เคยเห็นป่าว 55555

เคยได้ยินเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งบอกว่า

"คำถามที่ถูกต้องจะนำมาซึ่งคำตอบทีืถูกต้องเสมอ"

ไม่ทราบว่าผมตอบถูกใจคุณเดร์ รึเปล่า ถ้าจะผิดผมว่าน่าจะผิดตั้งแต่
คุณเดร์ตั้งคำถามแล้วล่ะครับ 5555 น่าตีจริงๆ คุณเดร์เนี่ย

ก๊ากกกกกกกกกกกก

ที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงแค่ "ตัวเลข"ครับ

เป็นไปไม่ได้เลยที่ของจะไม่ขึ้นราคา เพราะต้นทุนการผลิตมันสูงขึ้น สิ่งที่พวกผู้ประกอบการต่างๆเค้าคิดก็คือ "กำไร" ซึ่งคิดมาจาก "ต้นทุน"
ตอนนี้หลายๆที่เริ่มมีนโยบายลดพนักงาน เพราะต้นทุนมันสูงขึ้น และมันก็แพงมาเป็นทอดๆตั้งแต่วัตถุดิบ

ยกตัวอย่างง่ายๆ โรงงานทำน้ำตาล อ้อยที่มาจากไร่ราคาสูงขึ้น เพราะคนงานตัดอ้อยค่าแรงสูงขึ้น ค่าขนส่งสูงขึ้น ค่าแรงคนงานที่โรงงานสูงขึ้น ราคาน้ำตาลก็ต้องสูงขึ้นตาม

แล้วถ้าไม่มีการควมคุมราคาดีๆ ขึ้นราคากันตามใจชอบ ไม่ใช่สูงขึ้น 10-20% นะครับ เผลอๆอาจแพงขึ้น 40-50%(ซึ่งก็มีให้เห็นกันบ้างแล้ว)

จะขึ้นค่าแรงผมว่ามันก็ดีครับ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจคนหาเช้ากินค่ำ แต่ควรทำเมื่อมันถึงเวลามากกว่า ไม่ใช่ว่าน้ำท่วมแล้วไข่ฟองละ 15 บาทแบบนี้ ผมว่าสามัญสำนึกของคนมันยังน้อย

ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นเพียงแค่"ตัวเลข" แต่ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเดิมครับ เผลอๆจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ

...ว่าแต่หูฟังจะขึ้นราคารึเปล่าเนี่ย

ผมคิดว่าเรื่องแรงงานต่างด้าวนี่ คนไทยนี่แหละตัวดีเลยครับ

ผมว่าแรงงานต่างชาติคงไม่เดินมาโท่งๆมาทำงานหรอกครับ คงจะเป็นคนไทยนี่แหละที่จัดหา

-*-

กระทบกับบริษัทเล็กๆ SME รายย่อยที่ใช้แรงงานคน จะเจ๊งและค่อยๆตายไป
จะอยู่ได้แค่โรงงานใหญ่ๆที่ใช้เครื่องจักรมากกว่าคน
300 ผมว่าทำได้แต่จะก่อปัญญหาแรงงานต่างด้าวเข้ามาแย่งงาน
บริษัทใหญ่ๆ ย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น
ใครๆก็หวังกำไรที่มาก
อิอิ

ลดภาษีเครื่องดนตรีและหูฟังเหอะครับ 555555555

เฉยๆ ครับ คนที่ได้ขึ้นก็ดีไป แต่ก็ต้องดูผลที่จะตามมาด้วยครับ ว่ามันจะมีผลเสียหรือดีแค่ไหน

สำหรับผม ปลงแล้วละครับ สำหรับการเมืองไทย มันคงได้แค่นี้จริงๆ ไม่มีคนไหนหรือพรรคไหนเลยที่จะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ มีแต่จะทำประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น ประเทศมันถึงเป็นแบบนี้ แค่ให้คนทำผิดกลับกลายมาเป็นคนถูก ก็ทุเรศแล้วละครับ 555

^
^
^
รู้สึกคร้ายๆผมตอนนี้เลยครับ ..ปลงๆไปครับ ^-^

คห.ที่ 65 ท่านบอกท่านขาดทุนเดือนละแสนกว่า แต่ยังไม่เจ๊งใช่มั้ย? อย่างน้อยก้อแสดงว่าท่านอาจจะมีกำลังสองรองเยอะหรือมีแนวโน้มอย่างอื่นหรืออะไรก้อแล้วแต่ที่ทำให้ท่านสู้อยู่ได้
แต่...ผมเจ๊งไปแล้วครับ ปิดร้านนนนนนนนนนนนนนน