วันนี้ 5 พฤษภาคม 2554 วันมงคลของชาวไทย
และก็เป็นวันหยุดกันนะครับ ผมก็เลย นำ MD มารีวิวให้อ่านกันเพลิน ๆ
MD เครื่องนี้ เป็นของคุณโจ๊ค Joker (Muyan) ได้นำมาให้ผมรีวิว
ซึ่งหารู้ไหมว่า จะไม่ได้คืน (เหมือนทุกที)
ขอขอบคุณสำหรับการยืมลืมในครั้งนี้ด้วยครับ ^_^
เอาละมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
คือ ผมมักชอบเรียก MD เป็นฉายานะครับ เช่น รถถังบ้างละ เรือรบบ้างละ
อย่างล่าสุดก็รีวิว Hitachi โกโบริไปสีทอง ๆ มาคราวนี้ Sony R4ST เรียก The Spacecraft
หรือ ยานอวกาศนั่นเอง แบบว่า เห็นปุ๊บ ผมนึกถึงหนังอย่างพวก Starwar อ่ะ
มาเริ่มกันเลยนะ
Sony R4ST วางจำหน่ายเมื่อ กรกฎาคม 1996 ราคาประมาณ 500 USD ครับ
ใช้ ATRAC 3.5
เอาละจบเรื่องทฤษฎีและสาระ เอิ๊กๆๆ ต่อไป รีวิวสไตล์ดำน้ำของผมละครับ
แท่นแท้น นี่เลย โฉมหน้ากล่อง Sony R4ST
น้อยคนนักที่จะมีครบ ๆ แบบนี้ ทั้งกล่องหนักประมาณ 3 โลกว่า ๆ ครับ
แค่ค่าน้ำหนักก็น้ำตาไหลแล้วครับ เวลาให้ส่งมาเนี่ย
ก็จะมีอุปกรณ์ดังนี้
เครื่อง + รางถ่าน AA + หูฟัง+ รีโมท+ คู่มือการใช้งาน+ สายไฟ
สำคัญจริง ๆ รางถ่าน AA เนี่ย ผมละช้อบชอบ
หน้าตาแบ็ตมันผมลืมถ่ายมาให้ดู ก็หยวน ๆ นะครับ (ไม่รับผิดชอบเลยแฮะ)
นี่เลย รีโมท และหูฟังที่แถมมาในเซ็ท
ก็เป็นหูฟังรุ่น 838 นะครับ (อยากได้อ่ะ) ตรงหูจะมีสกรีนคำว่า Minidisc ด้วยครับ เท่ห์มาก
ผมว่า มันเหมือนพวกยานอวกาศเลย
บางคนมาบอกผมว่า "พี่ครับ ผมมองว่ามันเหมือนเครื่อง FAX"
เซ็งจริงๆ เล้ย พวกไม่มีจินตนาการ -_-" (แต่มันก็เหมือนจริงๆ พูดทำไมให้คิดว้า)
นี่ครับ ปุ่มใช้งานต่าง ๆ บนตัวเครื่อง (ตั้งใจทำมาก ๆ ครับ กว่าจะได้ภาพนี้มา)
แบบว่า ผมแปลญี่ปุ่นออกนะครับ (น่านไอ้ขี้โม้)
เรียกได้ว่า Sony R4ST นั้น อย่างกับพวก MD Deck เลยครับ
แต่เขาจะเรียกว่า MD Station นะ ตามรุ่นลักษณะแบบนี้
มาพูดถึงปุ่มบนหน้าปัดกันหน่อย อุตสาห์ทำภาษาอังกฤษแนบไว้
- Display ก็คือ ให้หน้าจอโชว์การทำงานนะครับ ว่าจะเป็นชื่อเพลง หรือจะโชว์เวลาของเพลง
- Mode ก็คือ ปรับพวก Repeat , Shuffle อะไรทำนองนี้
- Track Mark ก็คือ การกำหนด Track ให้เพลง หรือ การอัดต่าง ๆ ครับ
- Move / Insert ก็คือ การโยกย้ายตำแหน่งเพลงครับ เรียงลำดับเองได้นะ
- Eraser / Delete ก็คือ ลบเพลง หรือ ลบไฟล์ที่อัดทิ้งจากแผ่นซะ
- Enter ก็คือ ปุ่มกดยืนยันคำสั่งต่าง ๆ ครับ
มาอีกฝั่งนึง (ฝั่งซ้ายมือ)
ไม่ต้องอธิบายเลย ว่าใช้ยังไง พื้นฐานเลยครับผม
ข้างเครื่องทางด้านขวาครับ จะมีช่องไว้ใส่แบ็ตด้วย
เชื่อเลย ใครจะพกพาไปทั้ง Dock ละเนี่ย มีแบ็ตตรงนี้แล้ว และก็มีแบ็ตตรงตัวเครื่องตัวเล็กอีกนะ
ส่วนภาพนี้ นี่หลังเครื่องครับ ช่อง In Out ครบสะใจ สำหรับเมื่อ 15 ปีก่อน
แน่นอนครับ เขียนแนบให้เลย
แจ่มนะ มีทั้ง input Optical, RCA in, Output Optical , RCA out
ทางสันหน้าเครื่อง ก็จะมีรูเสียบหูฟังแจ๊กขนาด 6.5" และ ปุ่ม Volume แบบหมุนอนาล็อค
ชอบจริงๆ การหมุน Volume ด้วยมือเนี่ย ผมไม่ชอบแบบว่า กด ๆ แล้ว + เป็นตัวเลขขึ้นเรื่อย ๆ
แบบนี้มันโบราณดีครับ
ด้านหลังเครื่องครับ
ได้ระบุไว้เลยว่าเป็น MD Station
ใช้ไฟถึง 10W เลยนะครับ อย่างกับ Decks MD เลยทีเดียว
เอาละจับเสียบไฟทดสอบการใช้งานเลยดีกว่า
เนื่องจากเครื่องใช้ไฟญี่ปุ่น 110v ดังนั้น เราต้องมีหม้อแปลงมาแปลงไฟก่อนเสียบไฟตรงบ้านเรา
ไม่งั้น ได้พังนะครับ
เมื่อเสียบไฟ เปิดเครื่อง จอก็จะแสดงผล สีฟ้า ๆ ชัดเจนดีครับ สวยดีนะ
เอาละ มา Slide เอาตัวยานเล็ก ออกมาดูกันดีกว่า
การล็อคยานเล็กกับยานแม่นั้น ล็อคด้วยระบบไฟฟ้านะครับ คือ ถ้าไม่เสียบไฟนี่
ปล่อยยานเล็กไม่ได้เลยนะครับ พอเสียบไฟปุ๊บ กดปุ่ม Slide ป้าบ
ยานเล็ก ก็บินพุ่งออกไปเลย
พูดเวอร์ไปงั้นนะครับ มันก็แค่ดังแกร๊ก เหมือนปลดล็อค เราก็หยิบยานเล็กออกมาได้เลย
สวยแบบเรียบ ๆ แต่คงไว้ซึ่งคุณภาพเต็มเปี่ยม
มาดูปุ่มการทำงานต่าง ๆ บนตัวเครื่อง (ตั้งใจทำนะเนี่ยภาพเนี้ย)
AVLS = Automatic Volume Limiter System นั่นเอง
อันนี้ทางสันเครื่องกันบ้าง
ก็จะมีช่องไว้เสียบรางถ่าน AA นะครับ
เอาละใส่แผ่น เตรียมพร้อมทดสอบการเล่นละ
จริง ๆ เราฟังบนเครื่องตัวยานเล็กนี่ได้เลยนะครับ แต่ผมไหน ๆ มียานแม่จอดใกล้ๆ
ก็เลยเอาไปเสียบตัวยานแม่ดีกว่า ฟังแบบมีพลังไฟเต็ม ๆ ดีกว่า
แท่นแท้น
กด Play ฟังกันเลย
ส่วนจอ Display นั้น บอกรายละเอียดครบถ้วนเลยครับ
คือ ถ้าเราตอนทำแผ่น MD แล้วเราพิมพ์ชื่อเพลง พิมพ์ชื่ออัลบั้ม มันก็จะโชว์ครบ ๆ แบบนี้ละครับ
ยกตัวอย่างของผมก็คือ
Album : The Best of Pink Floyd
ชื่อเพลง Marooned
แทร็กที่ 1
แผ่นนี้มีทั้งหมด 8 แทร็ก
แน่นอนครับ ไม่มีอะไรคู่ควรเท่า Grado 325is แล้ว
เพราะผมมีปัญญาซื้อ Fullsize แค่อันเดียวนะครับ T_T
ค่อย ๆ หมุน
ถ่ายรูปเสร็จ ตัดเล็บเลยครับ เล็บยาวอ่ะ -_-"
กลัวไม่รู้ว่า ระหว่างเราเล่นใส่แผ่นนั้น มันปล่อยสัญญาณ optical Out ไหมหนอ
ฟ้องด้วยภาพกันไปเลย
เปิดจุกออก เลเซอร์ยิง
ผมว่า มันสวยนะครับ เจ้า Sony R4ST เนี่ย
ผมทำความสะอาดขัดเครื่องให้ด้วยแล้วละ
ขนาดเมื่อเทียบกับ MD สุดแพงของผม
ลูกรัก ยังไม่พร้อมมารีวิวให้อ่านกันซะที
หลังจากเทสฟังจนเพลิน ก็ถอดแผ่นออกละ
มาสรุปเรื่องเสียงกันนิดนึง
ผมว่า เรื่อง stage ของรุ่นนี้ ให้เสียงออกมาดีมากครับ
การฟังแบบต่อ dock เครื่องใหญ่นั้น ไม่มีปุ่ม Boost Bass นะ
ผมลองฟังแบบ Boost Bass ของตัวยานเล็กแล้ว ผมว่ามัน Boost จริง ๆ คือ bass กลบเสียง
ย่านอื่นไปเยอะ แพงแบบไม่ต้อง Boost Bass นี่ละ มันก็มี Bass แล้วครับ
เบสมันก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่แบบละอองซะทีไหนกัน
ถ้าให้เทียบ ก็เหมือนเสียงของพวกเครื่องเล่น CD Discman รุ่นดี ๆ เลยนะครับ
อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับแผ่นที่อัดมาฟังด้วยนะครับ สำคัญมาก
source ที่ใช้ถ้าดี เสียงก็ดี อันนี้แน่นอน ฟังได้หมดทุกแนวนะครับ เจ้าตัวนี้
เพราะมีความ flat ในตัวเอง แต่ไม่ใช่ flat แบบ แบนราบเป็นหน้ากลองนะครับ
ไม่ใช่ว่า เอาเครื่องดนตรีมายืนหน้ากระดานแล้วเล่นนะ แบบนั้น เขวี้ยงทิ้งแน่ ๆ
สมราคาและสมตัวครับ คงเป็นเพราะระบบ MD Station กึ่ง ๆ เกือบเท่า Deck
ระบบไฟเลยได้ใช้เต็มที่ ทำให้ขับเสียงออกมาได้สบาย ๆ เลย ผมฟังด้วย Grado 325is
ที่ 9 นาฬิกา ก็สบาย ๆ แล้วครับ แน่นอน Grado ขับง่ายอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ขอนับถือคือ งานวิศวกรของ sony ในอดีตนั้น เรียกได้ว่า แข็งแรง และ ทันสมัย
นี่ผ่านมากว่า 15 ปีแล้ว ยังเล่นได้สบายบรื๋อเลยครับ อ่านแผ่นปกติ ไม่ช้าเลย
คือถ้าใช้มาหลาย ๆ เครื่อง จะจับทางได้เองครับ ว่าแบบนี้ละเรียกว่า หัวอ่านยังดีอยู่เลย
อ่านแผ่นได้ปกติพอเหมาะกับเวลาที่ควรเป็น (จะจับจังหวะได้เองครับ)
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณคุณโจ๊ค ที่นำมาให้รีวิว (ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ค่อยว่าง)
แต่ก็อยากรีวิวให้อ่านกันนะครับ ถือว่า อ่านเพลิน ๆ นะครับ
MD มันไม่ใช่เทคโนโลยี ที่โบราณ นะครับ
มันเป็นดิจิตอล แต่มันแค่ไม่สะดวกสบาย และ ไม่รวดเร็วในการนำเพลงลงแผ่นนี่ละครับ
แต่สำหรับคนรักและชอบทางนี้แล้ว นั่นละ เหตุผลที่เราเล่น Minidisc
เพราะเรากินเตี๋ยวแล้วชอบใส่เครื่องปรุงครับ ^_^
auns555 อั๋น (สันติ)
[email protected]
โทร. 089-0785670
