รูปตัวที่ผมไปทำมา

และ

รูปไม่ขึ้นเอาใหม่

และ

สุดท้ายรายการครับ

4.ถามเพิ่มอีกข้อครับ ถ้าอยากจะทำให้สามารถเร่งเสียงได้มากกว่านี้
(คื่อเสียบiPodผมฟังกับ Ms2i ต้องเร่งVolumeประมาณ80-85%)
ซึ่งอยากให้เร่งแค่ซัก 2 เท่าของต้อนนี้ ต้องทำอย่างไรครับ?

อูย.....ของดีๆทั้งนั้น
กำลังจะกลับบ้านไว้ถึงแล้วค่อยมาตอบครับ

5555

เออแฮะ ขนาดผมดูไม่ค่อยเป็น ยังรู้สึกว่าอุปกรณ์หลายตัวดีๆ ทั้งนั้น 555
สมัยผมเล่นพวกแอมป์ DIY ของไทย ก็คุ้นๆ กับชื่อพวกนี้ล่ะ อย่าง SCR นี่คนไทยถือว่าโคตรฮิตเลย........

เอ้า รอพี่ nopphong อาบน้ำประแป้ง ก่อนนะครับ 555

ขอบคุณครับเฮีย ได้ยินอย่างนี้ดีใจครับ(กรู..ไม่โดนช่างมันต้มแล้วโว้ย..)
พี่นพ ครับอาบน้ำประแป้งอย่างเฮียว่าก่อนก็ได้ครับ
แถวรัชดา-ฟอร์จูนนี่มีเยอะดีครับ
เสร็จแล้วค่อยมาตอบก็ได้ครับ....55555

ขอบคุณครับเฮีย ได้ยินอย่างนี้ดีใจครับ(กรู..ไม่โดนช่างมันต้มแล้วโว้ย..)
พี่นพ ครับอาบน้ำประแป้งอย่างเฮียว่าก่อนก็ได้ครับ
แถวรัชดา-ฟอร์จูนนี่มีเยอะดีครับ
เสร็จแล้วค่อยมาตอบก็ได้ครับ....55555

ขอบคุณครับเฮีย ได้ยินอย่างนี้ดีใจครับ(กรู..ไม่โดนช่างมันต้มแล้วโว้ย..)
พี่นพ ครับอาบน้ำประแป้งอย่างเฮียว่าก่อนก็ได้ครับ
แถวรัชดา-ฟอร์จูนนี่มีเยอะดีครับ
เสร็จแล้วค่อยมาตอบก็ได้ครับ....55555

1.มันฮัมเวลาไม่ต่อ input นี่เรื่องปรกติครับ มักจะเป็นกับแอมป์ที่มี input impedance สูงๆ พอไม่มีการต่อสัญญาณให้ครบวงจรมันก็จะเอาสัญญาณในอากาศไปขยายแทน วิธีแก้โดยไม่ให้มีผลกระทบนี่ไม่มีครับ แต่โดยปรกติถ้าเราไม่เสียบสายสัญญาณ และมีการลงกราวด์กล่องให้ดีไม่น่าจะมีสัญญาณรบกวนได้นะครับ
2.จับปุ่มแล้วฮัม แก้ได้โดยลงกราวด์ปุ่มครับบอกช่างเขาให้ต่อให้แป๊บเดียวก็เสร็จ
3.ของที่ใช้ถือว่าอยู่ในเกรดดีแล้วครับ ไม่น่าต้องเปลี่ยนอะไร แต่ไอ้ประเภทที่บอกว่า c ตัวนั้นเสียงเร็วกว่าตัวนี้ C ตัวนั้นเสียงอืดต้องใส่ร่วมกับตัวนี้ อะไรแบบนี้นี่ผมฟังไม่ออกเลยแนะนำไม่ได้ครับ

4. ขอเรื่อง Volume ด้วยครับพี่นพ ตอนนี้ต้องเร่ง ไป90-95%สำหรับ
เพลงที่บันทึกมา เบา จะแก้ไข ยังไงให้เร่งได้มากกว่านี้ครับ
อยากให้เปิดซักแค่ 50% ก็ดังเท่ากับ100% ตอนนี้น่ะครับ

5.ไม่ทราบพอรู้จัก Opamp OPA627 ไหมครับเห็นในกระทู้คุณwisin
บอกว่าเปลี่ยนแล้วเสียงดีขึ้น มันแนวไหนครับแล้วราคาประมาณเท่าไร
เหรอครับ?
http://www.htg2.net/index.php?topic=27867.msg312133

รอความเห็นครับทั้งพี่นพ และท่านอื่นๆ

Burr Brown Opamp OPA627 คงไม่ถามต่อแล้วครับ
ที่แท้มันก็อยู่ในแอมป์ ที่คุณก็รู้ว่า....
http://www.pantip.com/tech/gadget/topic/TM2130362/TM2130362.html

ค้นไปเจอเลยเอาข้อมูลมาฝากไว้ครับสำหรับคนสนใจ Opamp DIY.

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fatnomore&month=12-2006&date=11&group=1&gblog=1

เปรียบเทียบเสียง Op-amp แต่ละเบอร์

่ตั้งแต่ได้เริ่มทำ Headamp ตัวแรก ซึ่งเป็น headamp TR หลังจากนั้นผมก็ทำแต่ headamp ที่ใช้ op-amp โดยตลอด ถึงวันนี้ก็ 3 เดือนผ่านไป ได้ทดลอง op-amp หลายเบอร์ วันนี้จึงเอามาเล่าให้ฟัง

op-amp ที่ได้ทดลองแล้วมีดังนี้ (เกือบทั้งหมดจะเป็นของ Brow Brow ครับ)

- OPA134,OPA2132p เป็น op-amp ที่ใช้กับวงจร CMOY ซึ่งเป็น Headamp แบบ op-amp ล้วนตัวแรกที่นิยม DIY กัน
- OPA637 เป็น op-amp ราคาแพง ที่ฝรั่งชมกันมาก
- OPA2111 เป็น op-amp ที่จริงๆแล้วตามสเปกแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือวัดเสียมากกว่าเป็นเครื่องเสียง
- OPA602 เป็น op-amp ที่คนขายแนะนำว่าเสียงดี
- NE5532 เป็น op-amp ที่ราคาถูกแต่เครื่องเสียงราคาแพงมักนำไปใช้ มีสองเกรด คือของไทยตามบ้ามหม้อและของ us แท้ๆ
- TL071 ,072 op-amp ตลาดเช่นเดียวกับ 5532 แต่เสียงสู้ 5532 ไม่ได้
- OPA2107 เพื่อนใน gadget แนะนำให้ลอง ตอนรีวิว 2111
- OPA2227,2228
***********************************************************************
OPA134 , 2134, 132, 2132
***********************************************************************
132,134 จะเป็น single op-amp คือ 1 ตัวมี op-amp ภายในแค่ 1 ตัว ส่วน 2132,2134 เป็น Dual op-amp คือ 1 ตัวมี op-amp ภายใน 2 ตัว
และ x134 จะเป็น Audio version ของ x132 หรือ x134 ทำมาเพื่อใช้กับเครื่องเสียงนั่นเอง ดังนั้นแบนวิธจะแคบกว่า x132

เสียงของ x132,x134 เป็น op-amp ที่เบสดี มีเบสมาก
ถ้าใช้ 2132pa เสียงจะทึบๆหน่อย
แต่ถ้า 134,2134,2132p เสียงจะใส รายละเอียดดีพอสมควรครับ
ส่วนเสียงกลางจะหลบนิดๆ (จะว่าหลบก็ไม่ได้นะ แค่ยังสู้เบอร์อื่นบางเบอร์ไม่ได้แค่นั้น)
ถ้าไม่ bias class A เสียงจะแคบๆหน่อย
ถ้าเอาไปใช้วงจร Cmoy จะดีที่สุดในกลุ่ม dual op-amp เพราะกระแสสูงครับ
________________________________________________
*************************************************************************
OPA637,627
*************************************************************************
ทั้งสองเบอร์เป็น
op-amp ตัวนี้เขาว่าเป็นตัว TOP ของ brow brow ฝรั่งชมกันมาก
เท่าที่ทดลองด้วยวงจรของ CMOY และ Diamond แล้วเป็น op-amp ที่ให้รายละเอียดดีมาก soundstage กว้างโดยไม่ต้อง bias class A

เป็น op-amp ที่เสียงธรรมชาติมากๆ เหมาะกับฟังพวกคอนเสริท์มากๆครับ

แต่มีข้อเสียงที่เสียงกลางเด่นเกินไป ไม่ใช่อิ่มหนาแต่เป็นแผดพุ่ง ซึ่งไม่ดีกับหูฟังที่กลางไวๆ แต่ถ้าทำเป็น Class A แล้วเสียงจะดีที่สุดเลยล่ะครับ เพราะเสียงที่ให้เป็นธรรมชาติที่สุด คือเสียงดนตรีต่างๆถูกต้องที่สุด เพี้ยนน้อยมาก

อีกเรื่อง เบสของ op-amp ตัวนี้เป็น deep เบสที่สุดครับ
สรุปว่า มันดีตามราคาของมันครับ คือดีทุกย่านความถี่ รายะละเอียดดี
แต่ถ้าเอามาทำ cmoy กลางจะจัดบาดหูไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็น class A แล้วสุดยอดแล้ว op-amp ตัวนี้
________________________________________________
*************************************************************************
OPA2111
*************************************************************************
เป็น dual op-amp
เสียงของ 2111 เน้นที่ความถูกต้องของเสียงคือแฟลตมาก
บุคลิคเสียงแทบไม่เปลี่ยนเลย รายละเอียดเสียงคมชัดมาก เสียงเล็กๆเบาๆ จะถูกขับดันขึ้นมา ชัดมากครับ

เป็น op-amp ที่ soundstage ด้านกว้างดีมากๆครับ แต่ด้านลึกไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้ฟังครั้งแรกจะรู้สึกว่าเสียงแคบ แต่จริงๆไม่ได้แคบ แต่ไม่ลึกตะหาก

ถ้าใช้ในวงจร cmoy กระแสน้อยไปครับ ต้องมี buffer ช่วยเท่านั้น

แบบ socket แปดขา มีเฉพาะ kp เท่านั้น
ส่วน BM จะเป็นตัวถังเหล็ก เสียงจะดีกว่า kp 30% เลยทีเดียว
(ผมก็หาลองไม่ได้)
_________________________________________________
*************************************************************************
OPA602
*************************************************************************
เป็น single op-amp ไม่มี dual
เป็น op-amp ที่รายละเอียดดีไม่แพ้ 637 เลย ฟังดีๆแล้ว รายละเอียดดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็มีจุดด้อย ที่มีเสียงก้องติดมาด้วย
คือทุกเสียงจะมี echo ติดมาด้วยนิดๆ
ถ้าใช้ฟัง jazz หรือเพลงที่ต้องการความกังวานของเสียง ตัวทำได้เพราะมากเลยครับ เพราะกว่า 637 ด้วยซ้ำ แต่เจอร๊อกก็จบครับ มั่วไปเลย และไม่มีความมันเหลือ

มิติเสียง soundstage ทำได้ดีครับ

เคยอ่านๆดู มันเคยเป็นตัว top ของ brow brow อยู่ก่อนที่จะมี 627/637 ครับ
_________________________________________________
*************************************************************************
์NE5532
*************************************************************************
เป็น dual op-amp ตลาด ที่เครื่องเสียง ดีๆ นิยมใช้กัน
หาซื้อไม่ยาก ตัวก็ไม่แพง แต่มันมีสองเกรดครับ
ผมบังเอิญ ได้ตัวเกรดดีมาลอง เสียงของตัวเกรดดี
เสียงจะหนากว่า คมกว่า แต่สไตล์เสียงจะเหมือนกันคือกว้างๆ ใสๆ
แต่ก็ยังไม่หนาเท่าของตระกูล OPA อยู่ดี

NE5532 เสียงจะออกแนว ใสๆ กว้างๆ เบสบางๆหน่อย sound stage ดีครับ รายะลเอียดก็ดี ทำได้ไม่แพ้ OPA เลย

_________________________________________________
*************************************************************************
์TL071,072
*************************************************************************
TL071 เป็น single version
TL072 เป็น Dual version

ตัวนี้หาซื้อง่ายกว่า 5532 อีก ร้านซ่อม TV ทั้วไปมีทุกร้านครับ
เสียงจะทึบๆ แคบๆ รายละเอียด แย่สุดเลยในบรรดา op-amp ที่เอามา review แต่ถ้า op-amp ตัวเก่าในเครื่องของท่านเสียงเสียก็เอามาแก้ขัดได้ครับ 555

_________________________________________________
*************************************************************************
์NE5532
*************************************************************************
เป็น dual op-amp ตลาด ที่เครื่องเสียง ดีๆ นิยมใช้กัน
หาซื้อไม่ยาก ตัวก็ไม่แพง แต่มันมีสองเกรดครับ
ผมบังเอิญ ได้ตัวเกรดดีมาลอง เสียงของตัวเกรดดี
เสียงจะหนากว่า คมกว่า แต่สไตล์เสียงจะเหมือนกันคือกว้างๆ ใสๆ
แต่ก็ยังไม่หนาเท่าของตระกูล OPA อยู่ดี

NE5532 เสียงจะออกแนว ใสๆ กว้างๆ เบสบางๆหน่อย sound stage ดีครับ รายะลเอียดก็ดี ทำได้ไม่แพ้ OPA เลย

_________________________________________________
*************************************************************************
์OPA 2107
*************************************************************************
เป็น op-amp ที่ดีอย่าง มันมีเกรดเดียวคือ AP

เสียงกลาง แทบจะเหมือน 637 เลย และไม่เปิดแบบ 637 ด้วย
เสียงกลางหวานเนียน คล้ายหลอดมาก รายละเอียดเสียงแหลมดี เบสมีทั้ง deep และอิมแพค ครับ แต่จะอยู่ระหว่าง 637 กับ 2132p

แต่เพราะเสียงกลาง forward นิดๆ บางท่านอาจจะไม่ชอบก็ได้นะครับ
แต่ผมชอบนะครับ มันทำให้ image เสียงฟังแล้วดูนิ่งดี

_________________________________________________
*************************************************************************
์OPA 2227,2228
*************************************************************************
เสียงคล้าย 5532 มากๆ แต่เสียงหนากว่านิดหน่อย
ถ้ากับ 5532 เกรดดี แทบไม่ต่างเลยครับ

Last Update : 2 พฤษภาคม 2550 11:44:48 น.

เห็นเขาว่า พวกic-opamp ของ บริษัทิanaloge divice ก็เสียงดีเหมือนกันนะครับ แต่ราคามันแพง+หาซื้อยากนะ เลยไม่เคยลองซักที

โออออออออออออ............. สาระครับ สาระสุดๆ

ขอบคุณครับ คุณชัยitouch เด๋วลองหาข้อมูลดู
คุณpiggy9576 หรือท่านอื่น
ถ้าสนใจทำก็ลิ้งข้างล่างนี้นะครับ

มีข้อมูลให้ สำหรับแผงวงจร ลายวงจร

เป็นfile Pdf save ไปสั่งทำได้

http://www.htg2.net/index.php?PHPSESSID=317ac43685a48fd0b8b50f0ba1d08eb3&topic=20103.0

ตอบครับ
4.ทำได้โดยการปรับ gain ของ opamp ครับ ในที่นี้คือ r3 ค่า 100K ตามในวงจรเดิม แต่ทีนี้ค่านี้มันก็ขยาย 10 เท่าแล้วนะครับ น่าจะดังมากๆแล้ว ยังไงลองเช็กว่าเขาต่ออะไรผิดหรือใส่ค่าอะไรผิดหรือเปล่าเสียงถึงได้เบาจะดีกว่าครับ
5.เปลี่ยน opamp เป็น 627 เสียงจะดีขึ้นเยอะครับ ทั้งในเรื่องเบสและความใสพริ้ว แต่ราคามันไม่พริ้วสิครับ ถูกที่สุดที่เห็นก็ราวๆตัวละห้าร้อยกว่าบาท ใช้สองตัวก็ราวๆพันกว่าบาทครับ แต่เสียงมันจะไม่เหมือน the pig ซะทีเดียวเพราะ thepig เป็นการต่อ output ตรงออกจาก opamp เลย ซึ่งเสียงที่ได้จะเที่ยงตรงกว่า แต่กำลังขับจะน้อยกว่าเพราะเจ้าตัวฮีดปลอมนี่มันจะมีส่วนขับกระแสเพิ่ม แต่ก็เพราะมีวงจรเพิ่มก็เลยจะเพี้ยนมากกว่านิดนึงครับ
ถามว่าคุ้มค่าเปลี่ยนใหมนี่ตอบยากแล้วแต่คนชอบแล้วแต่เงินครับ อิอิ แต่ถ้าเป็นผมจะเปลี่ยนนะเพราะไหนๆก็ฟังแอมป์ทั้งทีให้มันสุดๆไปเลยดีกว่า ที่บ้านมีอยู่คู่นึงวันไหนว่างๆจะมาลองก็บอกเดี๋ยวเอาติดไปให้ลองที่ร้าน ถ้าเสียงถูกใจค่อยไปหาซื้อเอาเอง ผมไม่ขายขี้เกียจซื้อใหม่อิอิ

วงจรของ heed แม้จะ 10X แต่เสียงก็เบาครับ ไม่แนะนำให้เพิ่ม Gain เพราะมันจะเพี้ยนอย่างรู้สึกได้
ต้นเหตุแห่งความเบาน่าจะมาจาก C ค่าน้อยๆ(จำไม่ได้ว่าค่าเท่าไหร่)ที่ต่อจาก out ก่อนไป R feed back อ่ะครับ ถ้าถอดออกจะเสียงดังขึ้นแต่ก็ไม่แนะนำให้ถอด

จากรูปให้ผมเดาเสียง มันคงออกแนว อิมแพคเบส+มวลมากใช่ไหมครับ เสียงสูงไม่น่าลากถึงสุด
ตัวที่แนะนำให้เปลี่ยนมากที่สุดคือ
1.C elna สีน้ำตาลบนบอร์ด opamp จะช่วยรายละเอียดเสียงสูง
2.Rสีฟ้าตัวที่ใหญ่ที่สุด หาแบบเกรดดีๆแล้วเผื่อขนาด W ให้มากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความร้อนสะสมเมื่อใช้เป็นเวลานาน
3.ลดค่า C input จะช่วยลดมวลทำให้เสียงโปร่งขึ้น จากประสบการณ์แอมป์หูฟังมักไม่ใส่เกิน 1uf ยกเว้นแอมป์หลอด หายี่ห้อดีๆอย่าง Kimbercap,Auricap,M cap,Hovland หรือจะถอดออกไปเลยก็ได้ครับ(ถ้าชอบ)

ขออภัย ดูผิด!!! R ไม่ต้องเปลี่ยนนะครับ

มีที่รับทำด้วยเหรอครับเนี่ย เค้าคิดค่าแรงกันยังไงอะครับ อยากรู้รายละเอียดจัง เผื่อจะได้ทำตัวอื่นบ้าง DIYคงจะไม่ไหว ไม่รู้เรื่องelectronicเล้ย

ขออณุญาติค้านข้อ3ของคุณ guru ครับ ฮ่าๆ

สำหรับผมการลดค่า C มันจะทำให้ความถี่ตัด(cutoff frequency)ของความถี่ต่ำมันสูงขึ้น จริงอยู่ว่าเบสมันลดลงแล้วมันทำให้กลางกับสูงดูโปร่งขึ้น แต่ผมว่ามันไม่ hifi นะครับ คือการดัดแปลงปรับลดความถี่ไหนไป ก็เท่ากับแอมป์เรามันพิการไม่สามราถขยายความถี่นั้นได้ดี ถ้าทำเพราะชอบเสียงล่ะก็โอเค แต่ถ้าทำแล้วบอกว่าแอมป์ฉัน Hifi ล่ะก็ไม่ใช่แล้วล่ะครับ ผมว่าคนใช้ไปปรับกันที่ source น่าจะดีกว่า

เมื่อก่อนผมก็คิดแบบคุณนพพงษ์ครับ ใส่4.7ufเหมือนกัน แล้วก็ลองเพิ่มค่าลดค่าแล้วก็เลยเข้าใจครับ
ต้องลองครับของแบบนี้

ฮ่าๆผมพวก bass lover ครับ ลดค่าแล้วเหลือแต่เสียงใสๆนี่ รับไม่ได้ครับฟังแล้วรำคาญครับ เคยมีท่านนึงชอบแอมป์เสียงใสๆเลยไปลดค่า่ c ลงแล้วเอามาให้ผมฟัง ผมฟังแล้วก็อยากจะบอกว่าทำอะไรมาน่ะเสียของหมดครับฮ่าๆๆ ที่ลองกับตัวเองพบว่าถ้าลดค่า c จนจุดตัดสูงกว่า 30Hz นี่ไม่ไหวเลยครับ ฟังแล้วไม่มัน
อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณ guru ใช้กับหู hd650 ซึ่งมันค่อนข้าง dark (เห็นใช้ super fi 5 อยู่ด้วย เจ้าตัวนั้นก็เบสกระจาย) เลยต้องการลดเบสและเน้นใสๆครับ ส่วนผมใช้ 701 + ipod ซึ่งปรกติมันออกใสๆเบสไม่ค่อยมี ขึนไปลดค่า c มีหวังได้โยนแอมป์ทิ้งสถานเดียวครับ

555 ไม่รุ้เรื่อง Electronic กับเค้าเลยครับ แต่อาศัยอ่านอย่างเดียวจ้า.......เรื่องทฤษฎีไฟฟ้าสงสัยต้องยอมแพ้ 555

ต้องขอบคุณ พี่นพ และคุณheadphoneguru มากๆครับ

พอดีผมเพิ่งมาอ่าน 627 น่ะไม่ทันแล้วพี่

วันนี้หลังจากนั่งหาข้อมูลเมื่อคืน
ทำให้วันนี้รีบวิ่งไปซื้อ Burr Brown opamp opa637bp มาแทบไม่ทัน
แบบเสียวๆ ตัวละ750x2=1500.-บาท ด้วยความเสี้ยน...
และเสียว...ว่าเสียงจะมีปัญหา ออสสิเลสอะไรซักอย่าง555
(เคยเห็นในTAF)เสียงแทรกมั้ง ที่พี่ nopphong โพสไว้
แต่เอาก็เอาวะไหนๆ ก็ไหนๆ เสียตังค์กระเป๋าฉีกมาถึงเพียงนี้แล้ว
อีกซักหน่อยยังมี..มาม่า ที่บ้านอีกหลายห่อ
ไอ้ ร้านที่ขาย เค้าแนะนำ AD797 แต่ผมไม่อ้าวว...
แต่แอมป์หลอดร้านพี่แก เสียงสุด...ตรีน มากๆครับถอดหู BayerBT770
คืนแทบไม่ทันพวกขายหูBayerด้วย เด๋ว โดนแอมป์หลอดอีก...ตรู แค่นี้ก็หมดตรูดแล้ว

หลังจาก...ที่เปลี่ยนลุ้นๆๆๆๆๆๆๆ
O_o*
ให้ตาย....พระเจ้ายอด...จอร์ดมันทอดกล้วย!!!!!!
(ช่างที่ทำชื่อยอด..หูms2iของนายจอร์ดสำแดงฤทธิ์ ชนิดที่เรียกได้ว่า
เหมือนนาย..จอร์ดมาทอดกล้วยแขกให้กิน ก็ไม่ปาน.......)
เสียงดี...แบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
เสียงมาครบทุกย่าน จริงๆและแบบมีคุณภาพสูงซะด้วย

อาการเสียงเบสที่มากแต่ไม่สวยเท่าไรกับกลางที่พุ่ง
ของ opa134 หายไปหมดแล้วจริงๆ
ตัวนี้ให้เสียงที่ ผมก็ว่าพอใจแล้วระดับนึง
น้ำตาแทบจะไหล..ออกมาไม่เสียแรงที่วิ่งไปบ้านหม้อหลายรอบ
จนน้ำหนักลดไป ครึ่งกิโล

ส่วนเรื่อง Volume อยากให้ดังขอบคุณพี่ทั้ง 2ท่านมากครับ
จะเอาไปปรึกษาช่างยอดอีกทีครับ

คุณ warin ครับคือผมไม่อยากเสียมารยาทน่ะครับ
บนเวปเฮียก็ขายแอมป์อยู่ด้วยมันทำให้รู้สึกเปรียบเทียบกัน
เกรงใจมากๆ

เรื่องราคาคงต้องไปสืบเอาเองครับ
รวมทั้งคนรับทำด้วย
ช่างยอดบอกกับผมว่าถ้าให้ทำอีกคงไม่คิดเท่าเดิมแล้วมันถูกไป
เพราะผมกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ทำนี่ ก็ลำบากนิดหน่อย
เพราะจริงๆ ร้านพี่แกขายแอมป์หลอด ทำแอมป์หลอดน่ะครับ
ผมเอาข้อมูลทั้งหมด ลายวงจร ไปให้เค้า
พอดีเค้า..อารมณ์ อ่ะๆ เอาก็เอา ลองทำดู..ก็ได้วะ

ถ้าสนใจจริงๆ บ้านหม้อไม่กว้างมากหรอกครับ
ขอให้โชคดี..ครับ
ขอเผาหัว 637 ต่อก่อน
55555555....เสียตังค์แล้วสะจายยยยยยยยยย..วู๊ยยยยยยยย

ad797 น่าสนใจครับตัวเท่าไร ร้านไหนมีขายครับ เผื่อผมจะไปซื้อมาเก็บเข้าคอลเล็กชั่นอีกสักคู่นึง อิอิ

ตัวละ 750บาท ร้านอยู่บ้านหม้อพลาซ่า
ชั้นล่าง ที่ทำแอมป์หลอดกับขายหูBayer
น่าจะเป็นยี่ห้อที่คุณชัยitouch แนะนำผมน่ะ
คนขายที่เป็นช่างบอกผมว่ามันสุดยอดของลายเลยน้อง
นายทุนเค้านำเข้ามาเอง มีของเพียบ
โทรบอกประมาณ30นาทีเค้าเอาของมาให้จากเยาวราชน่ะครับ

ถามต่อครับ เรื่อง C Elna บนบอร์ด opamp สีน้ำตาลถ้าเปลี่ยน
ต้องเปลี่ยนไปใช้ ยี่ห้อไหนเบอร์อะไรครับ

รบกวนคุณ headphonguru กับ พี่นพ อีกที

เออ..ร้านที่ขาย opamp นี่ไม่ใช่ร้านที่ทำแอมป์ให้ผมนะครับ
ลองถามเล่นๆ เค้าก็รับทำแต่ราคานี่ หัวแตก..เลือดอาบเลยครับ
ฟังแล้ว..สยอง

ือืม ผมเข้าใจดีครับ แต่ที่ถามไปก็เพราะไม่ค่อยได้ึคลุกคลีกับวงการนี้เล้ย ละแวกบ้านหม้อนี่ก็ผ่านแทบทุกวัน ซึ่งไม่ได้ไปเดินก็เพราะแดดเปรี้ยง+ควันรถ 55+ นึกอยู่หลายที ทำไมทำตัวติ๋มจริง พอดีผมอยากลองβ22น่ะครับ มันก็เป็นamp opensource อยู่แล้ว ถ้าหาคนไทยทำให้ได้มันก็ประหยัดดี ไำม่ต้องจ่ายpremiumให้ฝรั่ง ไม่ต้องเสียค่าส่ง customด้วย

โอ๊ย คุณ xiii23 ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะของพรรค์งี้มันเป้นเรื่องความสนุกในการเล่นครับ ผมไม่ได้มองทุกอย่างเป็นเรื่องซื้อขาย เป็นเงินเป็นทอง เป็นผลประโยชน์หรอกจ้า 555 ถือว่าเป็นความรุ้ที่มาเล่ามาถามกันนะครับ...........


ยิ่งงาน DIY นั้น มันเป้นความสนุกของคนเล่นครับ มันส์สนุกกว่ามานั่งซื้อมากมายนัก........ผมเองแต่ก่อนก็ง่วนอยู่แต่การทำลำโพง ทำแอมป์เหมอืนกันครับ 555


ยิ่งอ่านว่า น้ำตาจะไหล ทำให้เห็นภาพเลยล่ะ 555 ว่ามันโคตรปีติจริงๆๆๆ 555



ผมเคยรุ้สึกแบบนี้มาก่อนจริงๆๆๆ

ตัวละ 750 จ๊ากแพงกว่า 627 อีก
คงต้องรอเงินมันงอกก่อน เด็ดใบมาใช้หมดเดี๋ยวต้นมันจะตายซะก่อนฮ่าๆๆ
ไว้เดี๋ยวแอมป์ผมเสร็จก่อนแล้วค่อยไปซื้อมาลองเปลี่ยนดูครับ ใกล้แล้ว...มั้ง อิอิ

ไปดู B22 มา
เลิกคิดได้เลยครับ เพราะวงจรยุ่งยากมาก แถมบ้านเราไม่มี fet ขายด้วยครับ ขนาดเมืองนอกยังหายากเลยครับ ถ้าใครหาได้ซื้อมาขายผมซักสิบตัวนะครับ อิอิ

ฟังเฮียพูดแล้ว..รู้สึกดีจริงๆครับ

สำหรับ คุณwarin ผมบอกเพิ่มอย่างนี้นะครับ
ช่างยอดจะอยู่แค่วันเสาร์-อาทิตย์น่ะครับ
ทางไปคือเข้าซอยบ้านหม้อข้างกองจราจร
อยู่อาคารบ้านหม้อสแควร์ ชั้นล่าง
ชือร้าน Master Componentครับ จะมีแอมป์หลอดตั้งอยู่หลายๆตัวน่ะครับ
ราคาไปลุ้นกันเอาเองครับบอกได้คำเดียวค่าของอย่างเดียว
ก็เล่นเอาผมจุกเสียดแล้วครับ...

แต่ก็คุ้มน้ำตาแทบไหล จริงๆครับเฮีย

พี่นพครับ ต้นที่พี่ปลูกนี่วางไว้ไหน เด็ดใบมาใช้ได้ ขอซักต้นสิเพ่!
55555 ~_~

สมัยก่อน ร่วม 20 ปี ตอนที่ผมบ้าลำโพงตั้งพื้น ผมไปนั่งแหมะอยุ่ที่ บ.ออดิโอคอลซัลแตนท์ เจ้าของลำโพง XAV ไปนั่งกินๆ นอนๆ อยุ่ที่นั่น

ตอนนั้นผมจำได้ว่า ผมสั่งต่อลำโพง 4 ทาง โดยมีทวีตเตอร์ 2 ดอก ของแต่ละตัวแพงๆๆๆๆ ทั้งนั้น........

ตู้ลำโพง ใช้ไม้ MDF อย่างดี แถมทำห้องดักเสียงและใส่ทรายลงใต้ตู้อีก และทำ crossover แบบเจ๋งสุดๆ เท่าที่เงินจะจ่ายได้ ผมจ้างช่างเฟอร์นิเจอร์ทำสีแบบเปียโน คือดำเงาวับ..........


จำได้ว่าผมจ่ายเงินค่าต่อลำโพงไป 4 หมื่นบาท สำหรับการต่อลำโพงไทย !!!!!!


คนเค้าว่าผมบ้า ที่จ่ายเงินก้อนขนาดนี้ทำไม ทำไมไม่ไปซื้อลำโพงมีแบรนด์มาเล่น ผมเองต้องบอกว่าอารมณ์นั้นประมาณว่า รักคนไทยจริงๆๆ ประมาณว่า คนไทยช่วยเราได้........คนไทยเท่านั้นถึงจะช่วยสานจินตนาการเราได้........


ตอนเสียบฟังเสียงครั้งแรก หลังจากที่เสร็จสมบูรณ์แบบ ผมจำได้ว่า น้ำตาจะไหล.......งัดบุหรี่ออกมาดูดวาบๆๆๆๆ ใจมันสั่น ใจมันตื่นเต้น

ว่าลำโพงที่กูตจินตนาการเสร็จแล้ว เสร็จซะที...........


อารมณ์แบบนี้ต้องคนเคยมาก่อนถึงจะซึมซาบครับ.........5555




และก็ยังมีอีกหลายตอนที่ผมไปมั่วสั่งทำแอมป์สเปคพิเศษ โมแบบพิเศษ เลือกอุปกรณ์เองที่ร้าน ออดิโอสเปคตัม (ใครที่เป้นแฟนแอมป์คนไทย จำได้แน่นอน) 555

โอ้ ขอบคุณนะครับ copy paste เก็บไว้ละ เผื่อไว้ใช้ในภายภาคหน้าครับ จากประโยค บ้านหม้อไม่กว้างเท่าไรหรอก ไว้ผมจะไปลองเดินเล่นดูของบ้างนะ เห็นมันมีขายลำโพงเยอะแยะเลย ถ้าไปหาๆดูน่าจะเจอที่เสียงใช้ได้อยู่เหมือนกันเนอะ สำหรับคุณ nopphong ก็ขอบคุณที่มาเบรคไว้ครับ ในอนาคตจะได้ไม่ต้องไปเก้อ ประหยัดเงินได้อีกด้วย 55+
ขอบคุณเฮียด้วยเน้อ บอร์ดอิสระโคตรๆ พักนี้ยังถ่ายรูปอยู่รึเปล่าเอ่ย

อ่านแล้วได้ใจ...มากๆครับ

&dquot;อารมณ์แบบนี้ต้องคนเคยมาก่อนถึงจะซึมซาบครับ.....&dquot;

เล่นซะผมน้ำตาคลอเลย...ตอนพิมพ์กระทู้ดีใจจนมือสั่นจริงๆครับ
ทำมาอาทิตย์กว่าๆ ค่อยๆลองฟัง ค่อยๆลุ้นทีละนิด
มันจะดีไหมๆ คิดไม่ผิดจริงๆ

ไม่ทราบว่า เจ้าของกระทู้ไปจ้างช่างบัดกรี แล้วให้ช่างใช้ตะกั่วอะไรครับ หากเป็นตะกั่ว ธรรมดา เสียงจะสู้ พวกตะกั่วสำหรับ งานdiy ราคาประมาณเมตรละ70-200 บาท แรกๆตอนผมหัดdiyแอมป์ใหม่ๆก็ไม่เชื่อเรื่องตะกั่ว แต่พอเปลี่ยนไปใช้ตะกั่วดีๆ เสียงใสขึ้นมาจริงๆ

อ๋อ เรื่องc อย่าไปยึดติดกับยี่ห้อมากครับ ผมเคยใช้cเอ้าท์พุท ในแอมป์หลอด คู่ละ850บาท(จำยี่ห้อไม่ได้ แต่คนขายบอกดีมาก) เสียงมันออกมาหม่นๆ แต่เบสเยอะ แต่พอไปใช้cบ้านหม้อยี่ห้อsamwa ตัวละ11บาท(ซื้อที่นัฐพงษ์ จำได้) เสียงเบสน้อยกว่าแต่เสียงกลาง+เสียงแหลมดีกว่าไอ้850อีกครับ คือพุดง่ายครับ &dquot;คุณถาพเสียง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา-ยีห้ออุปกรณ์เสมอไป&dquot; ปล.ทุกวันนี้บ้านหม้อเปลี่ยนไป กลายเป็นที่ขายเครื่องเล่นdvdหลบภาษี(บางร้าน) กลายเป็นที่ขายแผ่นdvdเถื่อน และหนักสุดที่ผมเกลียดมากก็คือไอ้พวก&dquot;โป๊ไหมพี่&dquot;

^
^
^
ที่เกลียดมากพวก&dquot;โป๊ไหมพี่&dquot;
เพราะ.............. ถือว่าดูถูกกันใช่ใหม่ล่ะครับเพราะคุณชัยมีเยอะแล้ว ไม่ต้องซื้อจากพวกนั้นหรอกถ้าจะเอามาขายพวกนั้นล่ะพอไหวใช่ไหมล่ะครับฮ่าๆๆ

5555 ชัยพูดนี่มีส่วนจริงเลย
ของอิเล็คโทรนิค บางทีได้ตัวแพงๆ มันสูงส่งในเรื่องสเปค ในห้องแลป แต่เอามาฟังจริงๆ ไม่เท่าไหร่ครับ 555

ผมว่าการแมทช์อุปกรณ์ที่เหมาะสม โดยสุดท้ายต้องใช้หูตัวเองเป็นเกณฑ์วัดอย่างเดียวครับ...........

ขอบคุณ คุณชัยitouch ครับ พอดีพี่นพ เคยบอกไว้
แถวๆต้นกระทู้ว่าควรใช้สายไฟดีๆและตะกั่วเงิน
ผมก็เลยย้ำช่างแล้ว เนื่องจากร้านเค้าทำแอมป์หลอดอยู่แล้ว
เลยมีใช้ตะกั่วเงินกับสายเงิน อย่างดีให้
ยกเว้นบางส่วนที่ไม่จำเป็น
พวกภาครับไฟหรือไงเนี่ย..ครับ ที่ใช้สายทองแดงธรรมดา

เรื่องC เด๋วของลองฟังให้ชิน จำเสียงได้ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนครับ

ขอบคุณมากครับเฮีย เพราะตอนนี้ถ้าจำเสียงไม่ได้เปลี่ยนC ไปซี้ซั้ว
เดี๋ยว...เสี่ยงห่วยลงล่ะก็แย่เลย

เรื่อง Volume นี่คิดหนักเลยครับถ้าเพิ่ม gain โดยเปลี่ยน R แล้ว
เสียงเพี้ยนนี่คงไม่ทำดีกว่า แต่อยากได้ AKG701 ไม่รู้จะขับไหวไหม
คงต้องไปลองที่ร้านพี่นพ อย่างเดียวถ้าไหวอาจไม่ทำอะไรกับมันก็ได้
แต่ตอนลองที่ร้านที่ซื้อ opamp 637 กับหู BayerDT770 น่าจะ300โอห์ม
ยังขับไหวแต่ น้ำหนักเสียง
ดูจะยังสู้ Ampหลอดของเจ้าของร้านนั้นไม่ได้ มันทรงพลังมากครับ
ของเค้าเร่ง Volume ได้แบบหูแทบแตกตายคาร้านได้เลย

พวก&dquot;โป๊ไหมพี่&dquot; นี่มันน่ารำคาณฉิหาย
เหมือนปลาหมึกชอบเกาะเกี่ยว ลูบแขน สกิด ดึง
ถ้าเป็นผู้หญิงสวยใส่ชุดตรงปกหรือ หน้าตาแบบน้องพม่า(คุณตั่วปุ๊ย)
มาขายผมจะไม่ว่า...เลยซักคำ 55555

อิอิอิคุณ noppong รู้ได้ไงเนี้ย 555

็ำHello test No 1

อ่านแล้ว อยากทำเป็นมั่งอ่ะครับ ตอนนีก็เรียนวิศวะ ไฟฟ้า อยู่ครับ แต่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้แต่อย่างใดเลย จะเริ่มต้นยังไงดีครับ รบกวนพี่ๆแนะนำหน่อยครับ

เริ่มต้นไม่ยากครับ ไปซื้อชุดคิทมาทำเล่นซักตัวนึง แล้วพอทำแล้วมันไม่สำเร็จก็ไล่วงจรดูว่าทำผิดตรงไหนรวมทั้งดูว่าวงจรทำงานยังไง ทำอย่างนี้ซักสี่ห้าชุด จะได้ทั้งของใช้และความรู้ครับ

ถ้าใคร ทำAmp DIY ตัวอื่น เอารูปมาโพส กระทู้นี้
จะขอบคุณมากครับ
จะได้แลกเปลี่ยนควรรู้กันครับ
ถ้าผมดัดแปลงแอมป์ตัวนี้ยังไงอีกจะเอารูปมาโพสต่อครับ
^_^

เอามาโชว์ได้ตลอดครับ บอร์ดผมเปิดกว้างจริงๆ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ยันไปถึงเครื่องบินรบก็ยังได้ 555

ใครอยากจะโพสความรู้หรืออยากจะหารือ หรืออยากจะปรึกษา หรืออยากจะกู้ยืมเงิน อยากจะวางหลักทรัพย์ อยากจะได้เงินด่วน อยากจะจำนองที่ดิน ผ่อน 0% หาคนค้ำประกัน........

ติดต่อได้ที่คุณ nopphong ได้เลย.........




อะจ๊ากกกกกกกกก 555555555 หลบก่อนวุ๊ยยยยย

มีอยู่คนนึง ทำตัวนี้ใส่637 แล้วออสซิลเลทกระจาย ฟังไม่ได้เลย
น่าแปลกที่ผมทำบางตัวก็เป็น บางตัวก็ไม่เป็นทั้งที่วงจรเดียวกัน
วงจรทำไม่ยาก แต่ใส่กล่องให้สวยลงตัวยากยิ่งกว่าครับ...

ทำแอมป์เนี่ย ผมกลัวอยู่สองอย่างคือ สั่งพันหม้อแปลง กับหากล่องให้มัน เพราะทั้งสองอย่างต้นทุนสูงมาก+ ไม่ได้ดั่งใจ อย่างผมเคยสั่งพันหม้อแปลง เอ้าพุทออก 12.6v พอเอามาวัดจริงๆ (ขณะไม่มีโหลด) ได้12.1v (เทสต์ด้วยมิเตอร์ ดิจิตอลfluke)

โอว....คุณชัยมี fluke ใช้ด้วย ผมยังไม่มีปัญญาซื้อเลยทุกวันนี้ใช้มิเตอร์จีนอยู่ครับ อิอิ
เรื่องกล่องกับการเอาลงกล่องเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการทำแอมป์ครับ เรียกว่าทำแอมป์สนุกแต่เอาลงกล่องเดินสายนี่ไม่สนุกเลย บางทีทำกันเป็นวัน
ที่ไม่ทำแอมป์ขายก็เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลาไม่คุ้มค่าตอนทำกล่องเนี่ยแหละครับ อิอิ

555 ซื้อต่อเขามานะครับ (ซื้อมาแค่4000 ของใหม่ หมื่นกว่า) ตอนนี้เพิ่งซื้อดิจิตอลอีกตัวของ sanwa รุ่นcda800ของแท้ เป็นดิจิตอลราคาถูก ประมาณ1300กว่าบาท ของจีนผมเคยลองแล้วไม่ทน+วัดค่าเพี้ยนเช่นตัวต้านทานค่า1kวัดออกมาได้1.3k เลยเลิกใช้ครับ (ใช้ปีเดียวซื้อของปลอม 3ตัว แต่ปัจจุบันซื้อของแท้ตัวเดียวใช้ได้3ปียังไม่พังเลยครับ) ปล.ถ้าถูกหวยรางวัลที่1จะซื้อสโคปดิจดตอลสักตัว 555

ผมก็ใช้ &dquot;พระกาฬมิเตอร์จีน&dquot;เหมือนกัน 555

พี่นพ ไม่มีตังค์ซื้อ fluke ขาย 701 ให้ผมสิ จะได้มีมิเตอร์ดีๆ ใช้
5555

คุณ headphoneguru ครับพอดีเมื่อคืนได้มีโอกาส
เข้าไปอ่านรีวิว BayerDT770
แต่เห็นว่า DT880 ตัวที่ บอกว่า
ใช้อยู่ เป็นแบบกึ่งเปิดให้เสียงที่ถูกใจอยากรบกวน
ช่วยเปรียบเทียบ กับ 701 ให้ฟังหน่อย ขอแบบความรู้สึก
หรือความชอบส่วนตัวก็ได้ครับ
อ่าน770 และเคยฟังที่ร้านบ้านหม้อแล้ว
ผมว่าเสียงมันไม่ธรรมดาเหมือนกันครับชักสนใจพระกาฬเยอรมัน

ของจีนที่ผมใช้ยี่ห้อ uni-t น่ะครับ เลือกตัวที่พันกว่าๆนี่ตรงใช้ได้เลยครับ ตัวที่ใช้ประจำร้านนี่ 4000 กว่ายี่ห้อนี้เหมือนกัน ตรงมากๆใช้ได้เลยครับ แต่ของ fluke สวยกว่าอยากได้ๆ อิอิ

รีวิวไว้จะเขียนเร็วๆนี้หลังจากสางงานรีวิวอื่นจนหมดก่อน ประมาณ 40-50 รีวิว 555+
DT770 ในความรู้สึกของผมไม่ได้ติดฝุ่นDT880เลยแม้แต่น้อย
กับ701แล้วมันแตกต่างดังนี้
เวทีแคบว่าแต่มีลักษณะเป็นทรงกลม ไม่ออกเป็นลูกรักบี้แบบ701,เสียงร้องไม่พุ่งปะทะเหมือน701,เบสดีกว่า อิมแพคกว่า ไม่ลึกเท่า 650,เสียงสูงสูสี
ต้องใช้แอมป์แน่นอน เสียงโปร่งถ้าแอมป์ไม่ถึงเสียงจะบาง แต่ไม่วังเวงเหมือน 701
ข้อเสีย : เสียงเรียบเป็นกระดาน ออกแนวบาลานซ์ ไร้จุดเด่น
*อย่าไปยุ่งกับ DT990 ภาษาผมเรียกห่วย!!!

5555
อ่านแล้วชอบครับตรงๆดี
990จริงๆก็เหล่ๆอยู่
เห็นเค้าขายลดราคาอยู่ต้องขอบคุณครับ
ผ่านไปก่อนก็ดี
ไว้จะรออ่านรีวิว880 เต็มๆครับ

กลับมาถามต่อครับ
เรื่องเปลี่ยน C แล้วทำให้มีโอกาสเสียงดีขึ้น

A. ตามภาพ เท่าที่เคยถามพี่นพพงษ์ บอกผมว่า เปลี่ยน เบอร์ 1 จะมีผลมากสุด
ถ้าเปลี่ยนเป็น ยี่ห้อ Jenzen จะดีขึ้นไหมครับ หรือมียี่ห้ออื่นแนะนำไหมครับ เห็นมีขายแพงพอสมควร

แล้วเบอร์ที่เหมาะสมสำหรับวงจรนี้ คือ 4.7 mF/630 หรือ 0.47 mF/630
กันแน่ เพราะในวงจร กับลายปริ้นท์ มันไม่ตรงกัน ถ้าใส่ 0.47 แล้วจะเป็นยังไง

แต่ปัจจุบัน ใส่ของ SCR 4.7 mF/250 250 นี่มันคือไม่สำคัญใช่ไหมครับ
แค่การทนทานVoltage เหรอครับ มีผลกับเสียงไหม


ฺB. ถ้าเปลียน C เบอร์ 4 จะมีผลต่อเสียงรองลงมา เป็น Backgate 10/50
จะใช้ได้หรือไ่ม่ เบอร์เก่าเป็น elna 10/35

C. แล้วเบอร์ 2 กับเบอร์ 3 ไม่สำคัญเหรอครับ เลยอยากให้ช่วยอธิบาย
นิดครับไม่รู้จริงๆ ว่าแต่ละตัว เบอร์ 1 2 3 4 มันทำหน้าที่อะไรกันบ้าง
ตัวไหน input ตัวไหน output หรือ อื่นๆ

D. จริงหรือไม่ครับ C แบบฟิลม์ ตัวใหญ่กว่าน่าจะให้เสียงที่ดีกว่า หมายถึง
เบอร์ 1 น่ะครับ

ขอถาม พี่นพ และทุกท่านที่พอแนะนำได้ ช่วยแนะนำผมด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ

C Jenzen แพงโคตร ถ้ามันดีจริงก็อยากจะลอง
http://www.pridediyjunk.com/catalog/product_info.php?cPath=1_2_6&products_id=592

C Jenzen แพงโคตร ถ้ามันดีจริงก็อยากจะลอง
http://www.pridediyjunk.com/catalog/product_info.php?cPath=1_2_6&products_id=592

250 คือทนได้ 250 V ซึ่งปรกติ ipod มันไฟแค่ 3V หรือถ้าดูจากแหล่งจ่ายปลายทางก็+-15V เท่ากับไม่เกิน 30V เรียกว่าเหลือๆครับ ยิ่ง V สูงยิ่งตัวใหญ่และแพงแต่ไม่เกี่ยวกับเสียงซักนิดนึงครับ
ตัวที่เกี่ยวกับเสียงคือค่า 4.7 ซึ่งถ้ามากเบสจะเยอะแหลมอาจจะลด(เนื่องจากค่าที่มากขึ้นจะมีค่า L แฝงมาด้วย) ถ้าน้อยไป แหลมนำเบสหาย จะดูว่าค่าเท่าไรเหมาะสม ช่างชาวบ้านใช้วิธีลองเปลี่ยนเอาเพราะง่ายสุดแต่ก็แพงที่สุด ถ้าอย่างผมจะใช้วิธีซิมมูเลทดูความถี่ตัด โดยดูจาก input impedance ของแอมป์ แล้วใส่ค่า c ดูว่ามันลดลงที่ความถี่ไหน แต่ซิมมูเลทแล้วต้องลองเสียงจริงอีกที เพราะนอกจากความถี่แล้วตัว C จริงๆยังมีเรื่องของน้ำเสียง ความนุ่ม ฯลฯ อีกที่ซิมไม่ได้ แต่ก็ช่วยในการตัดสินใจว่าจะใช้ค่าเท่าไร(ส่วนจะใช้ยี่ห้ออะไรอันนี้ต้องลองฟังเอง)

ส่วน 2 กับ 3 เป็น decoupling แค่กันสัญญาณรบกวนที่มากับไฟครับไม่สำคัญ

่สวน4 เป็น C feedback สำคัญน้อยกว่า c input นิดหน่อย แค่ถ้ามีค่า L แฝงสูงเสียงสูงอาจจะหดได้ครับ

อ้อที่อยากให้ลองอีกอย่างคือ ถามว่า C แต่ละตัวแต่ละยี่ห้อต่างกันไหมถ้าค่าเท่าๆกัน ตอบว่าต่างนะครับ แต่จะฟังออกหรือเปล่า?? อย่างผมนี่เอา c สองชิดค่าเท่าๆกัน เป็นแบบ ฟิลม์ตัวนึงอิเลคโตรไลท์ตัวนึง ต่อเข้าสวิทแล้วโยกสลับไปมา ผลคือ...ผมฟังไม่ออกครับว่ามันต่างกันตรงไหน เป็นไปได้ว่าตอนนั้นหูฟังยังไม่ดีหรือไม่แอมป์ผมก็ยังไม่ดีพอ เลยอยากให้ลองหา C ที่ไม่ต้องแพงมากค่าเท่าๆกันมาใส่ดู ถ้าฟังไม่ออกก็จบครับไม่ต้องไปหาซื้อของแพงมาใช้เพราะยังไงก็ฟังไม่ออกอยู่ดี
ยกเว้นจะเจาะรูเอา c มาไว้ข้างนอกเพื่อโชว์มีผลในด้านความภูมิใจและจิตวิทยาครับ อิอิ

อ่านแล้ว อยากซิมูเลทเป็นแต่คงยากเกินไป

ผมยังไม่แน่ใจว่า 4.7mF นี่ความถี่ตัด มัน เหมาะสมแล้วหรือยังครับ

ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ
รู้สึกแอมป์เสียงกลางเด่นมากๆ หรือเป็นที่หู 701หว่า

แล้ว C ที่คุณ Wasin ใช้ตัวต้นแบบ มันทำไม เขียน 475 JHF งงครับ?
ค่ามันเป็นเท่าไรกันแน่

สรุปได้ว่า
- ขนาด C ไม่เกี่ยว 630V หรือ 250V ไม่จำเป็น หาน้อยกว่านี้ก็ใช้ได้
- C Backgate 10mF/50V สามารถเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่ 4 ได้
- C ตำแหน่งที่ 2+3 กันสัญญาณ รบกวน เปลี่ยนไปเสียงก็ไม่เปลี่ยน
ถูกไหมครับ?

แล้ว input impedance กับ impedance ของหูฟัง Akg 701
มันเกี่ยวข้องกันไหมครับ

Sensitivity (dB/mW, dB/V*) 105
Audio bandwidth (Hz to kHz) 10-39,8
Max. input power (mW) 200
Rated impedance (ohms) 62

ถ้าปรับให้เข้า กับ 701 มากที่สุดต้องปรับที่ตัวไหนบ้างครับ?

ขอบคุณมากครับพี่
ยังไงอย่าเพิ่งรำคาญผมล่ะ555 แหะๆ

อ่านแล้ว อยากซิมูเลทเป็นแต่คงยากเกินไป

ผมยังไม่แน่ใจว่า 4.7mF นี่ความถี่ตัด มัน เหมาะสมแล้วหรือยังครับ

ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับ
รู้สึกแอมป์เสียงกลางเด่นมากๆ หรือเป็นที่หู 701หว่า

แล้ว C ที่คุณ Wasin ใช้ตัวต้นแบบ มันทำไม เขียน 475 JHF งงครับ?
ค่ามันเป็นเท่าไรกันแน่

สรุปได้ว่า
- ขนาด C ไม่เกี่ยว 630V หรือ 250V ไม่จำเป็น หาน้อยกว่านี้ก็ใช้ได้
- C Backgate 10mF/50V สามารถเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่ 4 ได้
- C ตำแหน่งที่ 2+3 กันสัญญาณ รบกวน เปลี่ยนไปเสียงก็ไม่เปลี่ยน
ถูกไหมครับ?

แล้ว input impedance กับ impedance ของหูฟัง Akg 701
มันเกี่ยวข้องกันไหมครับ

Sensitivity (dB/mW, dB/V*) 105
Audio bandwidth (Hz to kHz) 10-39,8
Max. input power (mW) 200
Rated impedance (ohms) 62

ถ้าปรับให้เข้า กับ 701 มากที่สุดต้องปรับที่ตัวไหนบ้างครับ?

ขอบคุณมากครับพี่
ยังไงอย่าเพิ่งรำคาญผมล่ะ555 แหะๆ

ถามเพิ่มอีกครับ
เวลาใช้แอมป์ตัวนี้ กับช่องเสียบหูฟังของโน๊ตบุ๊ก แล้วมีปัญหา
ปรกติเวลาเสียบหู Notebook จะโชว์ ว่า Jack ถูกเสียบ
ตอนแรกที่ทำแอมป์ตัวนี้เสร็จก็ใช้ได้ปรกติ เพิ่งมาเป็นเมื่อ 3-4วันนี้
คือเสียบแล้วมีเสียงซ่า แทรกเข้ามาตลอด

ไม่ทราบเป็นไปรึเปล่าว่าไฟมันรั่ว
เข้ามาที่ RCA แล้วไปที่ Jack หรือเปล่าครับ แก้ไขยังไง?

ถ้าเอาหูฟังมาเสียบ ตอนแรกมันจะเสียงไม่เข้าหูฟังครับ จน
มันขึ้นที่จอ Notebook ว่า Jack ถูกเสียบแล้ว เสียงถึงจะมาดังที่หูฟังปรกติ (อันนี้คือปรกติของมันน่ะครับ)

ผลการทดสอบ Capacitor ยี่ห้อต่างๆ เรียงตามลำดับ ตัวอักษรครับ

http://www.humblehomemadehifi.com/Cap.html

AmpOhm FP-CA-AU 630VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: “Designed for high performance audio systems. Low ESR and low self-inductance. High stability with respect to both temperature and frequency. Ideal for use in loudspeaker crossover networks and valve amplifiers where pure sound is at a premium.” Dissipation factor <0·001 @ 1kHz and 20°C; Terminations 70mm long, 1/1·0 copper with PVC insulation; case: Flame retardant polypropylene, epoxy resin filled.”

Sound: The Amp Ohm FP-CA-AU is a very neutral sounding capacitor that takes a nice smooth and calm approach to the reproduction of music. I found the balance of the midrange very pleasing letting acoustic instruments keep their natural warm tone. Absolute detail and air isn’t quite up to the level of an Audyn Cap Plus or Mundorf Supreme but it comes very close although they do need some time to open up so don’t judge them fresh out of the box. Spatiality is broad with reasonable depth but if you want “bowling alley” depth go for (the much more expensive) Mundorf Silver/Oil.



Verdict: 8,5




Arcotronics MKP-C4G 600VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: Self-healing metallised polypropylene snubber capacitor intended for use in power semiconductor circuits to suppress or attenuate undesired voltage peaks e.g. electronic ballasts and motor applications.

Sound: The Arcotronics cap is a modest sounding capacitor, a little on the quiet side concerning dynamics. I quite like the midrange quality especially with percussion music. Drums, etc had a nice natural timbre. There seems to be a focus on the midrange, the treble is slightly rolled off. Spatiality is a little compromised resulting in a slightly distant and compact image. Overall detail is slightly better than a standard Audyn Cap for example but doesn’t compete with an AmpOhm or Mundorf Supreme. A good MKP for basic filter applications.



Verdict: 7





ASC X386S MKP in oil 600VDC – 10% tolerance



Technical Specifications: Industrial application capacitor. Although the tolerance stated is meant to be a poor +/- 10%, I measured all of them and they were all spot-on the stated capacitance. Now that is what I call built to industrial standards! I guess they state such a large tolerance because being designed for industrial applications they will be used in varying temperature conditions. The vegetable oil inside will therefore vary in fluency. But at normal room temperature they seem to be at their best. The values are different to the standard range but they come in values from 1,0 to 60mF although small quantities are hard to get unless you want to order more than a hundred of them. ASC also supplies these metalized polypropylene types to other notable High-End Audio companies, including Conrad-Johnson. ASC polypropylene and oil capacitors feature a sealed metal &squot;oil can&squot; construction and hefty four-way solder/connector lugs on the bottom. The capacitor itself is made of metalized polypropylene film, similar in construction to standard MKP’s, but suspended in a bath of vegetable oil: some claim that this oil provides a damping effect in audio circuits. When you shake it you can hear the oil splash around!



Sound: They sound a bit dull at first because they take a while to burn-in. But after a few days of normal use they deliver a wide and open sound stage. Nice and neutral, maybe a slightly warm sound. One of those things that don’t impress at first but sort of grow on you after a while, you learn to appreciate their qualities – great! If you want a lively and bright sounding filter then this is not your cap (try a Hovland Musicap instead), if you are looking for a smooth, warm and relaxed sound then give these a try.



Verdict: 7,8





Audio Cap PPMF MKP 200VDC – 10% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The PPMF Audio Caps are metalized polypropylene, useful as upgrade from Mylar or inferior film caps, and available in values large enough to be ideal for speaker crossover networks. They are built of the best materials and exhibit excellent electrical and environmental characteristics. Their superior build quality and high capacitance values provide a high-quality stable, long-term performance not usually found in this price range. The gold-plated OFHC leads provide long-term high reliability and excellent solder ability, superior to silver wire because of gold&squot;s non-oxidising properties.”



Sound: Slightly more detail, depth and separation than a standard Mundorf M-Cap but slightly less than a Hovland Musicap. The M-Cap has a more “round” character, the Audio Cap PPMF a more “glazy” character – for the rest I find them reasonably neutral.



Verdict: 7





Audio Cap Theta PPT MKP-Sn 200VDC – 10% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The PPT Theta Audio Cap is an excellent film & foil capacitor for all audio circuits and power supplies. It provides low distortion performance and long-term reliability. It exhibits excellent electrical and environmental characteristics at a reasonable price. Its sonic signature is rich and full and its superior build quality ensures a high-quality stable, long-term performance not usually available in this price range. The gold-plated OFHC lead wires provide long-term high reliability and excellent solder ability, superior to silver wire owing to gold&squot;s non-oxidising properties.”



Sound: These caps have a lean, clinical brightness to them but at the same time lack transparency. A form of artificial clarity is created by means of a treble “glare” in the top end – at least they don’t have a loudness effect. They work well in opening-up a dull, lifeless speaker but that’s about it. Use them as a small value bypass cap only; they will clean up a cheap Intertechnik Audyn Cap nicely. But costing far more than an ERO MKP1837 I don’t really see the point of buying them.



Verdict: 6,5





Clarity Cap PW MKP 160VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The PW range has long been established as an economical component producing improved sonic performance over many overseas brands. Over the years numerous companies have used this range as their entry-level products with great success. Available at ratings of 160Vdc, 250Vdc, 400Vdc and 630Vdc, it offers audio engineers the maximum flexibility when considering components for their circuits. Wound from 4µm, 6µm, 8µm and 10µm metallised film respectively, components can be selected using their slightly differing sonic performances and aspect ratios to give the optimum solution desired. Copper clad steel terminals are standard; however, others are available upon request Tape and resin colours are flexible with options shown in Custom products. Unless specified, capacitors would be supplied with white tape and red resin. ”



Sound: The Clarity Cap range has an overall similarity in tonal balance, going up the range you gain clarity and spatiality. I found the PW to be neutral with a slightly warmish presentation. Compared to the PX there is a loss of detail but they never sound dark. Compared to a standard Mundorf M-Cap the stereo-image is a little larger. The price/quality ratio is very good. I can recommend this capacitor if you have a tight budget and like a speaker to be as smooth as possible.



Verdict: 7





Clarity Cap PX MKP 250VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The PX range was developed to address the performance gap between the PW and SA ranges. It is closer to the SA in terms of sonic performance but at a price very similar to the PW range. Since it was introduced, it has made significant inroads into the loudspeaker industry. Constructed from a 250Vdc(6µm) rated film, this component is spindle wound. It is then given a special heat treatment before it has insulated copper terminals hand soldered to give the best possible connection. The inherently low dissipation and dielectric absorption factors of polypropylene allied with excellent mechanical stability results in an extremely detailed sonic performance. The construction also results in a low self-inductance and ESR (Equivalent Series Resistance) and the devices are highly stable with regard to temperature and frequency. Tape and resin colours are flexible with options shown in Custom products. Unless specified, capacitors would be supplied with blue tape and blue resin.”



Sound: The Clarity Cap range has an overall similarity in tonal balance, going up the range you gain clarity and spatiality. I found the PX to be neutral with a slightly warmish presentation. Compared to a standard Mundorf M-Cap the stereo-image is a larger but less spacious than a Mundorf Supreme or Audyn Cap Plus. Clarity is a good step up from the PW and also the M-Cap. The price/quality ratio is very good. I can highly recommend this capacitor if you are looking for a nice, but not too expensive MKP.



Verdict: 8,5





Clarity Cap SA MKP 630VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The SA range, developed in conjunction with a renowned loudspeaker manufacturer, remains one of the most highly regarded axial components currently used in the audio market. Time and time again the component is specified as a benchmark for other manufacturers components to try to aspire to. Sales continue to grow year on year as new customers, in new markets appreciate its worth. Specially developed to meet the needs of the professional audio engineer in both hi-fi and studio monitoring, these components are the result of extensive consultation between the audio industry and Clarity Cap. The capacitors are hand wound using a 10µm (630Vdc) rated polypropylene film. Following a special heat treatment cycle insulated copper terminals are hand-soldered to give the best possible connection. The inherently low dissipation and dielectric absorption factors of polypropylene allied with excellent mechanical stability results in an extremely detailed sonic performance. The construction also results in a low self-inductance and ESR and the devices are highly stable with regard to temperature and frequency.”



Sound: The Clarity Cap range has an overall similarity in tonal balance, going up the range you gain clarity and spatiality. I found the SA to be neutral with a slightly warmish presentation. Compared to the Audyn Cap Plus definition and separation are better, the stereo-image is also little larger. The Audyn Cap Plus seems to focus in tonal balance a little more on the midrange, the Clarity Cap SA has a more neutral balance. I did find the top end to be slightly rolled-off, not that they lacked detailed but on some recordings I wanted a fraction more transparency – but all in all still very nice. Making a capacitor using about 90% Clarity Cap SA and about 10% Mundorf Supreme works very well, this opens up the top end just nicely without altering anything else. I find the Clarity Cap SA a nice alternative in the upper range capacitors especially when cost is an issue.



Verdict: 9,5





Clarity Cap DTAC MKP 630VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “A narrow 10µm (630Vdc) polypropylene film with a special spray and heat treatment contribute to the exceptional performance of this capacitor. These measures combined with hand soldered M8 male or female terminations ensure that the ESR is greatly improved when compared to the traditional axial leaded components. It has been designed to produce the lowest possible resistance within the component, which Clarity Cap believe has a direct relationship to sonic performance. The low ESR is particularly relevant in high quality crossover networks, ensuring that loudspeakers perform to their optimum. Tape and resin colours are flexible and unless specified, capacitors would be supplied with gold tape and black resin.”



Sound: The Clarity Cap range has an overall similarity in tonal balance except for the DTAC. It doesn’t have the rounded character of the other Clarity Caps and sounds in comparison nicely spatial and clear. I may be exaggerating a little here, but the DTAC makes a Clarity Cap SA sound a little cheap. Compared to a Mundorf Silver/Gold they still seem a fraction rounder and they are as transparent and clear as a Jantzen Audio Silver Z-Cap without being over bright. If you were looking for lots of depth, ambient information and concert-hall reverberation then I would advise to look at the Mundorf Silver/Gold, but if you prefer a slightly smoother top-end then the Clarity Cap DTAC is a very nice alternative.



Verdict: 10,5





Ducati 4.16.10 - 400VAC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The dielectric is polypropylene film, the electrodes consist of an extremely thin metal coating obtained by vacuum evaporation. Case and cover are made with self-extinguishing plastic material; the capacitive element is sealed with polyurethane resin. The main characteristics of these capacitors are: Low losses non-inductive winding; Self-healing property avoiding short circuits; Small size and limited weight; No leakage risk; Class of safety protection: P0; Capacitance tolerance: ± 5%; Working frequency range: 50 ÷ 60 Hz; Individual test voltage: Between terminals: 2.15 Vn for 2 sec.; between terminals and case: 3KV for 2 sec; Dissipation factor tan δ: <20 10–4@ 20°C V=Vn, 50Hz; Protection Case and cover in self – extinguishing plastic material, grade V2 according to UL 94; Terminals: twin cable, unipolar leads; Protection degree: with terminals: IP00; with twin cable IP55; Cover : Ball pressure test (IEC 309-1): 125°C; Glow wire test (IEC 695-2-1): 850°C; Tracking resistance (IEC 309-1): ≥ 250V; Threaded fixing bolt M8”



Sound: This industrial type capacitor (like the ASC and Inco) is quite nice! They sound a bit dull at first because they take a while to burn-in. But after a few days of normal use they deliver a reasonably wide and open sound stage. Nice and neutral, maybe a slightly warm sound. One of those things that don’t impress at first but sort of grow on you after a while, you learn to appreciate their qualities – great! Not the ultimate in sound staging or micro-detail and if you want a lively and bright sounding filter then this is not your cap. But if you are looking for a smooth, warm and relaxed sound then give these a try.



Verdict: 7,5





Duelund VSF Copper Capacitor - VAC? – 2% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The Virtual stack foil capacitor, a capacitor made specially for loudspeaker crossovers. This new capacitor is the realisation of a lifelong ambition. It consists of copper foil and high-density paper, soaked in pure mineral wax, coated with pure cocoon silk and finally, treated with special lacquers made from natural materials. It is without question a &dquot;green&dquot; product. The actual construction has been overseen by Mr. Steen Duelund Chief Engineer of Duelund Coherent Audio. Mr. Duelund has dictated the capacitor&squot;s special characteristics, i.e. its flatness, giving the opportunity to create its stack-foil working manner ensuring very low inductance, forming a solid block resulting in a form free of internal resonance. Furthermore, the flatness makes it easier to achieve greater values by connecting the capacitors in parallel”.



Sound: WOW! Now I know how natural a capacitor can sound! They are super natural, smooth, clear, open, and at the same time they stay calm and controlled but delivering dynamics when the music calls for it. The tonal balance is near perfection, especially audible on acoustic instruments and the human voice. This makes my classical music collection so much more realistic. Also I was very pleased with the separation of every individual instrument in an orchestra, the string section is much more a group of individuals rather than just a group. In comparison I found the Mundorf Silver/Gold to be a little over-etched sometimes, they seem to have a slight top-end emphasis. The Duelund VSF Copper Capacitor seems to be the only capacitor I have tested so far that doesn’t need bypassing with an MKP1837 to be at its best. Still my ooh so natural reference!



Verdict: 12,5





Evox-Rifa PHE 450 MKP 250VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: Double metalized Polypropylene Film Pulse Capacitor intended for high frequency, high current stress applications. Typical Application: Protection circuit in SMPS and Electronic Ballasts. Encapsulated in self-extinguishing material meeting the requirements of UL94V-0. Only available in values up to 4,7mF.

Sound: The Evox-Rifa PHE 450 is a very transparent and clear sounding capacitor, some times a little too “fresh” sounding but this character can be compensated by adding a capacitor with a more round character – I had very good results with about 10% of the total value made up from Angela (Jensen) paper in oil. On its own I find the midrange a little under exposed and the treble has a slight “glaze” over it, which again can be removed by bypassing it with a Vishay MKP1837. Imaging is quite good with a nice sized soundstage but only average separation. Dynamics are nice and snappy and the treble is well detailed. It might seem that I am not too keen on the PHE 450 but this is just a way of trying to describe its character in words – I still find it a very nice little capacitor considering the price. I can imagine the smaller values would also work well as a bypass capacitor. This capacitor has a high price/quality ratio and matching it with other capacitors to create a custom capacitor gives very good results.



Verdict: 7





Hovland Musicap MKP 100VDC – 2,5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Separate layers of polypropylene film & conductive foil; Large flexible 16 gauge, stranded, silver-plated copper leads; Lead-free silver-bearing solder used in tinning and attachment of leads; Manufactured in U.S.A. Hand soldered lead termination; Extremely low DA, DF and ESR; 100% pre-testing for quality assurance; Consistent, even, winding tension. ” They are slightly squiggly, when you squeeze them their capacitance changes!



Sound: “MusiCaps deliver fine dynamics, speed, focus, correct timbre and depth of field, and good inter-transient silence” – I can’t agree more on this! But I must say I have a love/hate relationship with them: they don’t mate with all types of tweeters. If in series with a very nice soft-dome tweeter they seem to bring out more detail than usual from such a tweeter compared to when used with other caps. I had good results with Scan speak soft domes and for the Dynaudio D260 Esotec I couldn’t imagine a better cap in this price range. But if the tweeter tends to be a tad on the bright or clinic side they sound awful. Of course you do get more detail and a better sound-stage compared to if you used an Audyn Cap or Le Clanché but for example I tried them with the Focal tweeter in the Auriga and this didn’t work at all! It hurt my ears! Here’s a good tip: When tweaking a combo with a Scan speak D2905-9700 I found the best to be a 50/50% combination of the Hovland Musicap with a Mundorf Supreme Cap.



Verdict: 8





Inco Sintex 45T D2BS MKP 425VAC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Metalized Polypropylene Film Capacitors to be used with Alternate Current. The most specific use of these capacitors concerns the starting and running of single-phase and three-phase motors when the latter are to be connected to any single-phase power supply mains.” “Self-healing metallised polypropylene capacitors for motor run applications. Stud mount M8, flexible wire ended, plastic case.”



Sound: This industrial type capacitor (like the ASC) is quite nice! They sound a bit dull at first because they take a while to burn-in. But after a few days of normal use they deliver a reasonably wide and open sound stage. Nice and neutral, maybe a slightly warm sound. One of those things that don’t impress at first but sort of grow on you after a while, you learn to appreciate their qualities – great! Not the ultimate in sound staging or micro-detail and if you want a lively and bright sounding filter then this is not your cap. But if you are looking for a smooth, warm and relaxed sound then give these a try.



Verdict: 7,5





Intertechnik Audyn Cap MKP-QS 400VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: The Intertechnik MKP QS series of capacitors are recommended for use in medium quality loudspeaker crossovers. Two voltage ratings are available, 400VDC/250VAC and 630 VDC/400 VAC.

Sound: The Audyn Cap is a good step–up from cheap electrolytic capacitors often found in standard quality factory built speakers. Nothing wrong with them but also nothing exciting. Compared with electrolytics they have much more detail, smoothness and a wider stereo image. Compared to an Audyn Cap Plus they sound dull, mushy and closed-in. Your basic good old MKP for all basic filter applications, especially when not in the signal path. A good substitute for electrolytics.



Verdict: 6





Intertechnik Audyn Cap Plus MKP 800VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: These low loss capacitors have been developed for extreme impulse/power handling. An important design/constructional feature is the power handling of the connection between the foils (electrodes) and the end. The Audyn Cap Plus has a vastly improved system of connecting the electrodes to the end leads. Audyn Cap Plus also utilises an internal series connection system whereby layers of metal foil are combined with a one-side metalized &dquot;blind&dquot; layer. As a result of the double metallization performance is greatly enhanced. Dielectric: Polypropylene Winding: Induction free: 2 windings series connected Layers: Vacuum metalized Body: Aluminium, Synthetic material (plastic).



Sound: The Audyn Cap Plus is a nice high-end capacitor! They sound a bit hard at first and have a sort of midrange haze because they take a while to burn-in. But after a few days of normal use they deliver a very spatial sound with lots of depth that only gets better as time passes. Good reproduction of musical nuances. Furthermore, the effect is not only achieved with very expensive high-end components. It delivers a significant enhancement in more price-conscious configurations, making it a very worthwhile upgrade even though it is a little expensive. Clarity, depth, detail and openness are there. When I first switched over to these I thought, “this is it!” even though they were fresh from the shelf (but that was a few years ago). They sound a little more mid-range forward compared to the equally good Mundorf Supreme Cap.



Verdict: 9





Jantzen Audio Standard Z-Cap MKP 400VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: metalized polypropylene film, “special winding techniques”.

Loss ang. Tan = 0.0002 for 1kHz / 1uF



Sound: Like the Intertechnik Audyn Cap QS they lack clarity and sophistication. Even after extensive burn-in they still stay rather closed-in. But at least they don’t have that “mushy” sound the Audyn Cap QS has and their tonal balance is reasonably neutral. They do emphasise “S” and “T” sounds a little, so don’t use them in the signal path! Due to their low cost they are ideal for parallel capacitors in the low-pass of a woofer for example where in low budget systems electrolytics are often found. They are nicely compact in size, so they can turn out handy when space is critical.

Verdict: 6,5





Jantzen Audio Superior Z-Cap MKP 800VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: metalized polypropylene film, high-grade copper lead wire. The finish is a flame-retardant tape wrap, and the end of the caps is resin sealed to protect against humidity. Loss angle tan = 0.00002 to 1K; Loss angle tan = 0.00001 to 10K.



Sound: Very neutral and coherent balance, they don’t seem to highlight anything and I mean that in a positive way! They are a little flatter in presentation than their more expensive brother, the Silver Z-Cap but still better than the Clarity Cap SA in depth and spatial information. In direct comparison with a Clarity Cap SA they are less up-front in the lower treble and have a very good texturing of acoustic instruments like a violin for example. In the upper treble they are slightly brighter than a Mundorf Silver/Gold which probably explains the good spatial information and separation. Compared to the Jantzen Audio Silver Z-Cap I find them the more musical of the two and I will definitely add them to my favourites list.

Verdict: 10





Jantzen Audio Silver Z-Cap MKP 800VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: metalized polypropylene film, high-grade silver lead wire. The finish is a flame-retardant tape wrap, and the end of the caps is resin sealed to protect against humidity. Loss angle tan = 0.00002 to 1K; Loss angle tan = 0.00001 to 10K.



Sound: More transparent than the less expensive Superior Z-Cap, very detailed. Sometimes too detailed for my liking which makes them less coherent than the Superior Z-Cap. They give some emphasis on the upper treble but are still more civilised than a Clarity Cap SA for example; they have a so-called “high-end” flair. Objectively speaking they are better than the Superior Z-Cap but I prefer the Superior Z-Cap for it’s more neutral presentation. I guess you could call the Jantzen Audio Silver Z-Cap the “audiophile” capacitor and the Jantzen Audio Superior Z-Cap the “musical” capacitor.

Verdict: 11





LCR Capacitors FSC tubular foil polystyrene, axial lead, 0,01uF 160Vdc – 2,5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Polystyrene is a superior dielectric material with exceptionally high insulation resistance and low loss. Aluminium foil electrodes are used and terminal wires are welded to them to ensure satisfactory performance at low voltage and high frequency. Low temperature coefficient. Close capacitance tolerance. Extreme capacitance stability. Low power factor. High Q. High insulation resistance. Small physical size. These are recommended for use in I.F. transformers, tuned circuits, pulse networks, laboratory standards, timing circuits, analogue and digital computing circuits and many other applications where superior qualities are used to advantage. Marking: Wherever possible capacitance tolerance and working voltage are clearly indicated by black digital lettering, but on small components a letter code is used for tolerance.”



Sound: Like the MKP1837 they really clear things up. They take away the &dquot;grainy&dquot; edge from any capacitor. A gain in clarity and transparency making instruments better separable from each other, the violins in an orchestra are a group of individual violins instead of one mass. They don’t do the disappearing-act quite as well as the MKP1837 but they come close.

Verdict: An alternative to the MKP1837 – use them as bypass cap with any capacitor.





Le Clanché PPM MKP 250VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: Industrial application capacitor. Although the tolerance stated is meant to be +/- 5%, I measured all of them and they were all spot-on the stated capacitance.



Sound: Similar in character to the Mundorf M-CAP but with more detail right down into the midrange. Pleasant open sounding and smooth. Less depth than the ASC MKP in oil. I quite like these!



Verdict: 7,5





Mundorf M-Cap MKP 400VDC – 3% tolerance



Technical Specifications: The Mundorf M-CAP is a high quality metalized polypropylene capacitor. Great care taken during the production is meant to guarantee constant high quality and minimum electrical and mechanical tolerances. Thus, in the final inspection, maximum deviations in capacitance of 1.5 % are measured, so the guaranteed value of 3 % is far exceeded. I found them to be within 1% accurate. The practically induction-free type of construction and the low loss factor of the M-CAP result in a very &dquot;quick&dquot; capacitor. Used by Audiodata, Sonus Faber and many others.



Sound: I find the Mundorf M-CAP a little better than the Intertechnik MKP QS. The difference in sound quality is reflected in the price: also a little higher. Nothing extreme but noticeable, especially if all capacitors in your filter are M-Cap’s. A little livelier than the Audyn Cap MKP-QS with slightly more midrange openness.



Verdict: 7





Mundorf RXF MKP 600VDC – 3% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Optimised Winding Geometry. Extremely short low-loss signal transmission. Maximised internal contact surfaces. Extremely reduced residual-resistance (ESR). Considerable low residual-inductivity (ESL). Sealed foil coil against microphony effects. Polypropylene capacitor-foil, alu metalized. Massive connector plate”.



Sound: Compared to the M-Cap they are cleaner and more transparent. The M-Cap&squot;s are slightly more midrange focussed. The RXF are nicely detailed without being &dquot;edgy&dquot; but could be a little smoother sometimes, they tend to draw your attention to the top-end more than the rest. This top-end focus does gather points regarding the retrieval of ambient information and reverberation. But I find the lower treble lacks some refinement, a bit &dquot;in your face&dquot;. They do get better over time but a slight &dquot;glare&dquot; stays. The Supreme is similar in spatial information but more refined and therefore better. I also find the Clarity Cap PX to be smoother, rounder and therefore scores better in long term listening. This is most evident on well-recorded classical music. Overall I am still very positive about the RXF (especially considering the price) and see them as a welcome arrival for the budget sensitive user. They could also be a handy upgrade for existing crossovers were space is limited because they are built more compact than regular tube-shaped capacitors, especially when you need large values.



Verdict: 8





Mundorf Supreme Cap MKP 800VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: 1. Special induction-free winding technology: Two capacitor windings are interleaved so that their inductances effectively cancel each other out. These two windings are connected in series. This means that it takes two 2µF windings to make a single 1µF M-CAP SUPREME capacitor - the same amount that it would take to produce a full 4µF of capacity using conventional technology! 2. Best available materials: The polypropylene film used for the M-CAP SUPREME has exceptionally low loss characteristics. 3. Sturdy plastic and aluminium cases: This prevents microphone effect feedback, thus protecting important signal details.



Sound: The M-CAP SUPREME delivers a very spatial sound with lots of depth. Good reproduction of the musical nuances. Detail and depth from the high treble right down into the low mid-range. Furthermore, this effect is not only achieved with very expensive high-end components. It delivers a significant enhancement in more price-conscious configurations, making it a very worthwhile upgrade. Clear and transparent sounding cap with a good sound stage. They provide a good improvement in clarity, focus and dynamics compared to standard quality MKP’s. The degree of improvement is comparable to upgrading to high-end cables and interconnects. I must say I was impressed when I first auditioned them. The Mundorf M-Cap Supreme mix very nicely with Clarity Cap SA type capacitors, so blend the two to make your own personal taste.

Verdict: 9





Mundorf M-Cap Supreme Silver/Oil MKP 1200VDC – 2% tolerance (typ. 1%)



Technical Specifications: “An oil impregnated metallised paper dielectric capacitor, with the same series wiring as the Mundorf M-Cap-Supreme capacitors. The winding technology enables the production of induction-free capacitors. As the name indicates, high-purity silver is used for the capacitor coating, and the winding is impregnated with special oil developed in an exhaustive series of experiments and listening tests. The metallised paper foils make it possible to maintain extremely exacting production tolerances that cannot be achieved with traditional oil/paper capacitor designs. This is also the first time that the benefits of oil-impregnated capacitor design have been successfully combined with the well-known long-term stability of metallised paper and internal series wiring for induction-free performance. These low manufacturing tolerances is one of the key reasons for the wonderfully spacious music reproduction achieved with these capacitors: Perfect stereo is only possible when the performance of the left and right channels is virtually identical. The long-term capacitance stability of these products is equally important, of course. Without it there is no way to achieve really constant performance – not even with capacitors selected as matched pairs.”



Sound: The M-CAP SUPREME SILVER/OIL is one of my favourite capacitors! I can only underline what Mundorf states: “…wonderfully spacious and detailed sound reproduction …an even fuller and smoother tonal richness and diversity. This capacitor’s ability to bring out the finest nuances and the subtlest distinctions make the music sound more alive and “juicy”, yet without unnatural emphasis of any individual effects. …Wonderfully spacious music reproduction… ”.

Music detail and depth throughout from top to bottom. Very smooth and liquid. To exaggerate things: it makes a standard Supreme Cap sound slightly rough!

Verdict: 10





Mundorf M-Cap Supreme Silver/Gold 1200VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: The top coil technology of the Supreme capacitors is combined with silver foil, containing 1% gold. According to Mundorf the crystalline structure of the silver is also improved. Available in values from 0.1uF to 1.0 uF. Made from 99% pure silver and 1% Gold metallised foils. Dielectric: Polypropylene, Metallization: 99.99% pure silver with 1% gold, Dielectric strength: 1200V DC 800V AC, Tolerance: ± 2%, typ. 1% Loss angle tan d = 0.00002 to 1kHz Loss angle tan d = 0.00001 to 10kHz.

Sound: Nicely clear and transparent, rich textured treble, very spacious – front to back and left to right, very good separation of individual instruments, deep black background, clean and dynamic, heaps of micro-detail information, the details get high-lighted a little. I know one could easily think that this capacitor must be good because everyone says so and it is very expensive but I have tried to keep my objective view and even so I am very impressed. Were I would describe the Silver/Oil as extremely neutral, I would describe the Silver/Gold as extremely natural if you know what I mean. Acoustic instruments like a viola da gamba sound really life-like. In comparison to the Duelund Copper Foil capacitor they can sound a little bright in the top-end, but this can be a plus point if you want to brighten up a dull sounding system or you just dig those so-called “high-end” recordings with bells, chimes and things. They are by no means harsh, just on the clear side of neutral sometimes.



Verdict: 11+





North Creek Crescendo Film and Foil MKP 200VDC – 10% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Released in 1996, these capacitors were designed with a lush, rich midrange and romantic but detailed top end; a tonality opposite that of other large film-and-foil capacitors. Proper application of the thick 200 Volt film results in a tonal continuity from the midrange through the treble extremes, and balances the midrange correctly with the upper octaves. The extreme top end of the Crescendo capacitors is soft and very quiet. Although Crescendo Harmonically Balanced™ film-and-foil capacitors were designed to operate un-bypassed in most tweeter circuits, they also benefit from bypassing and cascading with the higher voltage Crescendo bypass capacitors. They also make an excellent bypass cap when paired with most other base caps for high performance midrange circuits, and can be configured in large pure film-and-foil stacks for the ultimate in midrange performance”. Although the tolerance stated is meant to be a poor +/- 10%, I measured all of them and they were (like the ASC polypropylene in oil) all within about 1% the stated capacitance – the worst one measured 10,12mF.



Sound: Well all the above is just sales talk! Okay, they are very good capacitors with good separation of the individual instruments and a nice deep sound stage but the major drawback is they have a sort of “loudness” built-in, like with the Hovland Musicap (of which they remind me of the most) I have a love/hate relationship with them: they don’t mate with all types of tweeters, they don’t make an excellent match for most aluminium and titanium domes. I tried them in the new HATT-MkIII and felt like wanting to increase the L-pad function of the tweeter. If in series with a very nice soft-dome tweeter they seem to bring out more detail than usual from such a tweeter compared to when used with other caps. I had good results with the Seas Excel tweeter used in the Mezzo Proteus but other soft-domes should also benefit the same way. If the tweeter tends to be a little on the bright or clinic side they sound awful. But you do get more detail and a better sound stage compared to if you used an Audyn Cap or Le Clanché. Here’s a good tip: Use them as a bypass cap only; they will clean up a cheap Intertechnik Audyn Cap nicely.



Verdict: 8





Obligato MKP 630VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: Chinese built, extra tight winding, no voids and thick-coated aluminium film imported from Germany. Very low inductance. Lead-outs are soldered copper, solid core.



Sound: Analogue is the word that keeps popping-up in my head when trying to describe these capacitors. They have a rich texture and produce and open and smooth image with realistic dynamics and good retrieval of ambient information. They have slightly less depth than a Clarity Cap DTAC but are also very detailed and never get harsh. They seem to have a sort of “detailed warmth” about them. Very nice especially when you look at their price!

Verdict: 10,5





SCR Châteauroux MKP-PB 400VDC – 2% tolerance



Technical Specifications: Tinned solid-core lead-out version of the Solen Châteauroux Fast Cap PB-MKP-FC.



Sound: The Solen MKP-PB are a fraction better than the Intertechnik Audyn Cap QS (but what isn’t) but are still rather flat and lack depth and transparency. Rather coarse compared to the cheaper range Clarity Caps like the PW and APW series but they do have a similar, reasonably neutral tonal balance. What they have going for them is their very low cost, to get more spatial information and better definition you would have to look at a slightly more expensive Mundorf RXF for example if you really want to improve things.

Verdict: 6,5





Solen Châteauroux Fast Cap PB-MKP-FC 400VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “Low dielectric absorption factor; High insulation resistance; High frequency and temperature stability; Good self healing characteristics of polypropylene dialectic; High Current Capacity; Excellent Over voltage and Pulse handling capability; Low self inductance; Low equivalent series resistance; Excellent stability; Flexible leads: Tinned pure copper multi-strand insulated sleeves; Superior high frequency characteristics; High Ionisation level; Dissipation factor @ 20o C: Less than .01 %; Dielectric absorption factor at 20o C: Less than .01%; Insulation resistance @ 20C: More than 100 K megohms/mfd; Temperature range: -25o C to+85o C; Dielectric: Polypropylene Film; Working Voltage: 400 VDC.” Low priced cap, same quality as SCR and Angela branded capacitors, same sizes. Why? Because they are exactly the same!



Sound: The Solen Châteauroux Fast cap is a good step–up from MKT capacitors often found in standard quality factory built speakers. Like the standard Intertechnik Audyn Cap nothing wrong with them but also nothing exciting, but if I had to choose between the two I would still go for the Solen, they seem to have a fraction more “musicality” to them. Compared with electrolytics they have much more detail, smoothness and a wider stereo image. Compared to a Mundorf Supreme Cap they sound closed-in. Midrange is slightly forward compared to more neutral caps, they can be a little “nasal” sounding in some configurations. Due to this “character” they would make a good match with Focal tweeters for example. If you have a tight budget then this is a good choice!

Verdict: 6,5





Sonic Craft Sonicap MKP 220VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): “The Sonicap is a revolutionary product! How is it revolutionary? It redefines the price-to-performance ratio for &dquot;audio capacitors&dquot;. The Sonicap is the &dquot;entry level&dquot; of its design. However, the design is world class! The Sonicap will yield or exceed the performance found with the most prestigious of boutique caps, yet a price conducive to that of &dquot;entry level&dquot;. The Sonicap is well balanced and true to the source. The word &dquot;neutral&dquot; is so loosely (and incorrectly) used that I prefer the term &dquot;balanced&dquot;. While capacitors suffer from more noise (high distortion) than most audio components, the Sonicap exhibits very low noise and parasitics. The presentation is rich in harmonics, warm, without the slightest loss of detail retrieval! As a matter of fact, the micro-dynamics of the Sonicap is unmatched by anything close to its price range. All Sonicaps are tested at twice their rated voltage. The Sonicap meets or exceeds several Mil-specs. Dissipation Factor is typically better than 0.02% @ 1kHz. The Sonicap leads are tinned solid copper (high purity). Tolerances are typically better than 5%. Custom values and tighter tolerances are available. For the mods, which require a smooth presentation “unlike” that, produced by capacitors where dielectric breakdown (&dquot;self healing&dquot;) is an acceptable (admirable) attribute. For the tweak who&squot;s system is well balanced and does not require &dquot;coloration band aids&dquot;. For the hobbyist on a budget. Whether it is a power supply bypass, coupling, or speaker application, the Sonicap will be there!”



Sound: I can agree on the good price-to-performance ratio! You get a nice capacitor for a reasonable price – nearly 4 times the price of an Intertechnik Audyn Cap but still only half the price of an Audyn Cap Plus or Mundorf Supreme. Compared to a standard Mundorf M-Cap they are more transparent and clearer with lots more depth. Bypassing them with an MKP1837 (a good tweak for any capacitor) can create even more detail and separation! They reveal micro-information in a way that reminds me of a Hovland Musicap but without the Hovland loudness effect. I didn’t find them to mix well with other caps – a 50/50 mix with a standard Mundorf M-Cap gave me the funny sensation of listening to two different cap’s at the same time. I can advise them if you are looking for a “high-end” cap but are on a “tight” budget.



Verdict: 8,5





Super PP capacitor (SPP) MKP 400VDC – 5% tolerance



Technical Specifications (according to manufacturer): 5 layers Composite dielectric, Super low DF.



Sound: First of all they need a much longer burn-in time than most capacitors, in the beginning they are rather aggressive. After burn-in I still find the top-end over-etched which gives it a slightly artificial treble. They are well detailed but I find the midrange a little under exposed, maybe they would work well in a dull sounding speaker. Spatiality is good, probably due to the highlighted top-end but only average separation. I find them similar in character to the Evox Rifa PHE-450. They also benefit a lot from a paper-in-oil bypass capacitor. For their low price they perform well.



Verdict: 7,5





TRT Wonder DynamiCap MKP 210VDC – 5% tolerance



Technical Specifications: “DynamiCap includes special rugged wrap and a construction with metal end caps, and individually hand soldered 19 gauge silver clad copper wonder wire leads. DynamiCap boasts a virtual infinity of parallel paths through the plates, from input to output. More importantly these parallel paths are virtually the same length as one another, so all parts of the input signal arrive simultaneously at the output terminal.” Physically they are very lightweight compared to other brands of similar size.



Sound: Their name does describe them a bit: they have a wide dynamic range and sound “fast” and “quiet” - dynamics are nice and snappy, but at the same time they are not very subtle or delicate, they seem to grab attention and run away with it. Now I do find dynamics to be one of the most important factors in the aim to reproduce recorded music in a lifelike manner, but the DynamiCaps seem to lack coherency and make the music nervous and therefore fatiguing – not relaxing at all. At first they are impressive but soon they become distracting and get you listening to things like transparency, transients and detail instead of listening to the music! Use them if you want to spice things up a bit, some might call them revealing, I find them grainy. Also imaging is a little compromised, compared to a Clarity Cap PX they sound a little on the flat side, a Clarity Cap PX has more space and depth. They do form a nice upgrade from standard quality MKP’s and work better as a midrange capacitor than a capacitor in the signal-path of the tweeter, but considering their price, there are many alternatives out there with a more neutral approach to music.



Verdict: 7,5

คนไทยเราก็ทดสอบเองบ้าง

ข้อความของคุณ 100db

C กองนี้กับหูผม ถ้าไม่นับ wima แดง เมื่อพิจารณาจากความคุ้มค่าและความพอใจแล้วผมว่า Hovland ห่วยสุด
ไฮไลท์คือ Obbligato Tony ให้คะแนน 10.5 สูงกว่า M-cap silver oil อีก .....น่าเชื่อมั๊ยนี่
แต่ในกองนี้เท่าที่ผมลองฟังมันก็ดีสุดแล้วครับ

เรียงตามลำดับความชอบของผมเลยนะครับ
Obbligato film & foil จะให้เสียงกลางอิ่ม หวานฉ่ำ เสียงร้องใหญ่ แต่ไม่อับทึบ ใส รายละเอียดเพียบ เวทีกว้างและลึก
Intertechnik Audyn plus เสียงแนวเดียวกับ ตัวแรกแต่ไม่ใสเท่าออกไปทาง dark มากกว่า เสียงร้องอวบหนา
SPP-Nova ตัวสีขาวเหลือง ให้เสียงแนวเดียวกับ Obbligato แต่รายละเอียดและบรรยากาศยังหวานสู้ไม่ได้ ( ไม่รู้จะอธิบายยังไง )

สามตัวด้านบนจะให้เสียงแนวเดียวกันครับ คือกลมกลืนกันเดีออกแนวเนียนๆ ไม่มีช่วงไหนเด่นเป็นพิเศษ
กลุ่มถัดไปจะให้เสียงอีกแนวนึงคือเน้นเสียงช่วงใดช่วงนึงออกมา แนวประมาณสดๆ จัดๆ มีสีสันมากหน่อย

Obbligato metalized film in oil ตัวกระป๋องดำ จะให้เสียงสูงได้ชัดเจนกว่า ใส รายละเอียดเยอะ ออกสดๆกว่าตัว film & foil เสียงร้องบางกว่า
SPP ตัวขาวดำ เสียงออก forward เสียงจาก tweeter คม ชัด จนบางทีจะล้ำหน้าเสียงอื่นๆ เสียงร้องค่อนข้างเด่นละชัด เวทีดูแคบกว่า Nova แต่ลึก
Hovland เสียงร้องเด่นมาก นักร้องมาเป็นตัว ล้ำหน้าเสียงช่วงอื่น แนวเสียงออก bright คล้าย SPP ตัวขาวดำมากๆ แต่รายละเอียดผมว่า SPP ทำได้ดีกว่า อีกทั้งราคาถูกกว่าผมเลยให้ตัวนี้บ๊วย

มี Mcap ขาวอีกตัวนึงที่ผมเคยฟังเทียบกับ SPP แล้วผมว่าสูสีทั้งคุณภาพและราคา แต่เสียงออกคนละแนว SPP จะสดกว่า
พอดีว่าไม่มีค่า 4.7uf อยู่ในมือคราวนี้เลยไม่ได้เทียบ คราวก่อนใช้ 3.3uf ฟังเทียบกัน ถ้าจำไม่ผิด SPP จะเลิกผลิตแล้ว ทีแรกกะว่าจะเอา Mcap ขาวเป็นตัวแทนแต่โดน Obbligato กินไปซะแล้วววววว

_______________________________________________

Obbligato อ่านแล้วน่าสนใจครับ Jenzen แพงมาก
ถ้าทำได้คงหามาลองครับ ถ้ามีท่านใดเคยใช้ C ตัวไหน
แนะนำกันได้ครับ

ลองเล่นพวกที่ไม่ค่อยแพงก่อนสิครับ เช่นmundorf ผมว่ายี่ห้อนี้ก็ดีนะ เสียงออกชัดๆเบสเยอะนิด

อ่านแล้วตาลาย 555+
ทุกยี่ห้อที่กล่าวมามันก็มีหลายรุ่น

Mundorf หรือ M cap(ตัวเดียวกัน)ดีครับ แต่มันก็ถูกเฉพาะรุ่นล่าง ถ้าเป็นรุ่น Silver แพงกว่า jensen อีกครับ มันเหมาะกับแอมป์หูฟังหรือใช้กับเครื่องเสียงรถยนต์ ขัดอย่างที่คุณ ชัยitouch ว่า

อย่าลืม Kimber CAP ครับ ถ้าชอบชัดๆ และมีเบสผมว่าดีตามราคาของมัน ดีกว่ารุ่นที่ราคาเท่ากันของ Mundorfจำชื่อรุ่นไม่ได้

Jensen เสียงอิ่มดี แต่ไม่ค่อยชัด อย่างที่เคยเถียงกับคุณนพพงษ์ไปทีนึงแล้งเรื่องค่าของมัน ผมยังยืนยันที่ไม่เกิน 1uf มันจะแยกมิติได้ดีกว่า ที่สำคัญมันพอมีเงินเหลือซื้อรุ่นแพงๆได้ ถ้าซื้อ 4.7uf ตัวละ 1,900 บาทกระเป๋าแหก 555+

black gate แบบอิเลคโตรไลต์ก็ได้ครับ 4.7uf ไม่เกิน 80 บาท เบสดี เนื้อดี เสียงชัด ไวใช้ได้ เหมาะกับ 701

ถ้าเปลี่ยนตรงนี้แล้วลองไปเปลี่ยนตัวที่คุณนพพงษ์ว่าไม่สำคัญด้วยนะครับ ผมลองหมดแล้วมันมีผลทั้งนั้น

*ความเห็นแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกนะครับ

่ขอบคุณทั้ง 2ท่านมากครับ
jenzen นี่ผมคงยังเบรค ไว้ก่อนดีกว่า

พอดีเห็นมีร้านในเวปไทย มี Obbligato 4.7/630 ขายน่ะครับ
ตัวละ 450บาท เลยคิดว่าน่าจะลองตัวนี้ก่อน
ดูจากหน้าตา กับชิ้นงานต้องร้องว่านี่รึ เยอรมัน
ดูไม่น่าจะเสียงดีเลยครับ แต่
ของเหลืออยู่ 2 ตัวสุดท้ายในร้าน ซะด้วย ไม่งั้นต้องสั่งจากฮ่องกง

ฺblackgate C10/50 คงจะเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่4 ตามรูปก่อนน่ะครับ

ว่าแต่ Kimber CAP ยังไม่ได้หาข้อมูล ถ้าเป็นอย่างที่บอกนี่ตรงใจเลยครับ

ถ้าท่านใดทราบร้านที่หา์ซื้อได ถ้าเป็นที่บ้านหม้อจะดีมาก
รบกวนบอกด้วยนะครับ

่ขอบคุณทั้ง 2ท่านมากครับ
jenzen นี่ผมคงยังเบรค ไว้ก่อนดีกว่า

พอดีเห็นมีร้านในเวปไทย มี Obbligato 4.7/630 ขายน่ะครับ
ตัวละ 450บาท เลยคิดว่าน่าจะลองตัวนี้ก่อน
ดูจากหน้าตา กับชิ้นงานต้องร้องว่านี่รึ เยอรมัน
ดูไม่น่าจะเสียงดีเลยครับ แต่
ของเหลืออยู่ 2 ตัวสุดท้ายในร้าน ซะด้วย ไม่งั้นต้องสั่งจากฮ่องกง

ฺblackgate C10/50 คงจะเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่4 ตามรูปก่อนน่ะครับ

ว่าแต่ Kimber CAP ยังไม่ได้หาข้อมูล ถ้าเป็นอย่างที่บอกนี่ตรงใจเลยครับ

ถ้าท่านใดทราบร้านที่หา์ซื้อได ถ้าเป็นที่บ้านหม้อจะดีมาก
รบกวนบอกด้วยนะครับ

่ขอบคุณทั้ง 2ท่านมากครับ
jenzen นี่ผมคงยังเบรค ไว้ก่อนดีกว่า

พอดีเห็นมีร้านในเวปไทย มี Obbligato 4.7/630 ขายน่ะครับ
ตัวละ 450บาท เลยคิดว่าน่าจะลองตัวนี้ก่อน
ดูจากหน้าตา กับชิ้นงานต้องร้องว่านี่รึ เยอรมัน
ดูไม่น่าจะเสียงดีเลยครับ แต่
ของเหลืออยู่ 2 ตัวสุดท้ายในร้าน ซะด้วย ไม่งั้นต้องสั่งจากฮ่องกง

ฺblackgate C10/50 คงจะเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่4 ตามรูปก่อนน่ะครับ

ว่าแต่ Kimber CAP ยังไม่ได้หาข้อมูล ถ้าเป็นอย่างที่บอกนี่ตรงใจเลยครับ

ถ้าท่านใดทราบร้านที่หา์ซื้อได ถ้าเป็นที่บ้านหม้อจะดีมาก
รบกวนบอกด้วยนะครับ

่ขอบคุณทั้ง 2ท่านมากครับ
jenzen นี่ผมคงยังเบรค ไว้ก่อนดีกว่า

พอดีเห็นมีร้านในเวปไทย มี Obbligato 4.7/630 ขายน่ะครับ
ตัวละ 450บาท เลยคิดว่าน่าจะลองตัวนี้ก่อน
ดูจากหน้าตา กับชิ้นงานต้องร้องว่านี่รึ เยอรมัน
ดูไม่น่าจะเสียงดีเลยครับ แต่
ของเหลืออยู่ 2 ตัวสุดท้ายในร้าน ซะด้วย ไม่งั้นต้องสั่งจากฮ่องกง

ฺblackgate C10/50 คงจะเปลี่ยนที่ตำแหน่งที่4 ตามรูปก่อนน่ะครับ

ว่าแต่ Kimber CAP ยังไม่ได้หาข้อมูล ถ้าเป็นอย่างที่บอกนี่ตรงใจเลยครับ

ถ้าท่านใดทราบร้านที่หา์ซื้อได ถ้าเป็นที่บ้านหม้อจะดีมาก
รบกวนบอกด้วยนะครับ

ตอนนี้กำลังแก้ไขแอมป์อยู่ครับ ไม่ค่อยว่างตอบ อิอ
ิ
ว่าแต่ลองเปลี่ยนบ้างหรือยังครับ อย่างที่บอกคือเขาว่ากันว่าเสียงมันเปลี่ยน แต่อย่างผมนี่เปลี่ยนแล้วฟังไม่ออก เปลี่ยนไปก็เปลืองตังเปล่าๆครับ ฮ่าๆๆ บางทีอุปทานก็มีผล แนะนำว่าลองทำเป็นสวิทโยกไปโยกมาดู ถ้าฟังออกว่ามันเปลี่ยนจะๆคราวนี้ก็
หนทางหายนะเริ่มแล้ว ตอนนี้เปลี่ยน c เดี๋ยวก็จะไปเรื่องสายสัญญาณ เดี๋ยวก็ไปปลั๊กไฟมั่ง ฟิวส์มั่งโน่นเลยครับ ฮ่าๆๆ

เอ นี้ต่อไฟให้ class A จาก regurater เลยยหรอ

อย่างงี้ IC reg มันจาใหวหรอครับ

ของที่ใช้ ดีมากครับ น่าจาเสียงดีนะเนีย

รอของอยู่ครับพี่ C น่าจะได้วันอาทิตย์
โทรไปถามเค้าแล้ว
ผมดันไม่มีแอมป์ตัวอื่่นเทียบ
แต่เสียงมันยังรู้สึกว่าบางไปนิด เหมือนไม่ค่อยมีน้ำหนักมาก
รายละเอียดนี่มันสุดๆ จริงๆ
อาจเป็นเพราะสาย ที่รับจาก RCA
ไปใช้พวกสายเงินที่ใช้ทำพวก LAN
มีคนทัก 3คนแล้วครับ ว่าอาจเป็นเพราะสายเส้นนี้
หาสายมาใหม่แล้วครับไว้จะลองเปลี่ยนดู

หายนะมันมาเยือนได้ซักพักแล้วครับ
เริ่มฟังสาย เส้นละ 30,70,200,800 กี่บาทแล้วล่ะ เวงกรำ เปรียบเทียบกัน
อธิบายไม่ค่อยถูกครับพี่ 70 กับ200 นี่พอๆกัน OFC ไม่ค่อยต่าง
รู้แต่ว่าชอบไม่ชอบ รู้ว่ามันให้เสียงต่างกัน
แต่สายเส้นละ 800บาทเป็นทองแดง LCOFC ยี่ห้อ LAGATO
เป็นRCA 2ด้าน ต้องใส่หัวแปลง RCA to mini
ไม่รู้โดนร้านขายสายหลอกรึเปล่าเสียงมัน จะดันให้ เบสลึกๆ กับแหลมใสๆชัด
แต่รายละเอียดลดลง เซ็งโคตรๆ
ไม่รู้เอาไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม
ฟังแล้วอยากจะปาทิ้ง >.<*

โย่วววววว.........เผลอแพล็บเดียวยาวเลยวุ๊ย 555

เหลือบมองอุปกรณ์แต่ละชิ้น ระดับพระกาฬทั้งนั้นเลยนะเนี่ย แพงๆ ทั้งเลยครับ 55

เอาภาพ C Blackgate มาฝากไว้ให้ดูครับ
ที่เค้าว่ากันว่า C อภินิหาร
มีหลายคน เอาไปเปลี่ยนกับ C เดิมของ Amp รถยนต์บ้าง
แอมป์บ้านบ้างแล้ว ก็ทำให้เสียงดีขึ้น
จริง ไม่จริงไม่ขอยืนยันครับ เพราะยังไม่ได้เปลี่ยน 555
คนเรา อุปทานมันมีเยอะครับ
ถ้าเปลี่ยนแล้ว ถือว่าทำแล้วสบายใจนอนหลับก็ลองเลยครับ

ข้างล่างนี่่เป็นรุ่น C series น่ะครับ
ยังมีแบ่งเป็นเกรด PK จะตัวเล็กหน่อยคงคุณภาพธรรมดา และเกรดธรรมดา(standard) STD
ราคาก็ลดหลั่นกันไป ราคาน่ะเหรอ
แพงกว่า C ที่นิยมที่สุดอย่าง ELNA ที่ขายกันเกลื่อนบ้านหม้อ 5-8เท่าเลยครับ

อันนี้คำโฆษณานะครับ
__________________________
10uf/50 Vdc C series 100.00฿
10uf/50 Vdc C series

* BLACK GATE™ เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นที่สุดของ Electrolytic คาปาซิเตอร์ ที่เงินสามารถซื้อได้ ออกแบบสำหรับ Audiophile DC Coupling
* น้ำเสียงเหนือชั้นกว่า Electrolytic คาปาซิเตอร์ ทั่วๆไป อย่างจับต้องได้
* super low noise, low distortion, and wide bandwidth.
* มีชิ้นส่วน Audio น้อยชิ้นที่จะการันตีว่าดีขึ้นเมื่อถูกเปลี่ยนลงไปแทน นี่คือหนึ่งในนั้น BLACK GATE™ capacitors เมื่อเปลี่ยนแทน Electrolytic Capacitor ในวงจรของ CD-player, Amplifier หรือ Crossover ลำโพง ท่านจะพบกับคุณภาพเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
* ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตัวถัง 7 mm. สูง 12 mm

ที่คุณ ammchor สงสัย ว่า IC reg จะมีปัญหาไหมขอตอบว่า
ผมไม่ค่อยมีความรู้ ด้านวงจรเท่าไร น่ะครับ

แต่เท่าที่ลองดู คือผมเปิดข้ามวันได้
แต่ร้อนพอสมควรครับ
โดยเฉพาะ R ตัวที่อยู่บนบอร์ด Heatsink ตัวใหญ่ๆ สีเิงินๆ น่ะครับ
ตอนแรกก็ใช้ R ตัวเล็ก
อย่างในวงจร คุณWasin มันทนไม่ไหวครับ
ปริ้น เกือบไหม้ ร้อนมาก

เลยต้องเปลี่ยนเป็น R สีขาวตัวใหญ่ 10w 100 Ohmมาใช้แทน
ตั้วเล็กๆสีฟ้า

ส่วนตัวอื่นที่่ภาพจ่ายไฟก็ปรกติดีครับ

เฮียครับ
สงสัยผมต้องกลับไปอ่าน
บางกระทู้คนเรามักลืมตัวของพี่นพพงษ์ อีกซักรอบ
เผื่อจะช่วยทำให้กระเป๋าฉีกน้อยลง...เฮ้อ
มันชักจะไปกันใหญ่แล่้ว 555

Kimber ซื้อได้ที่ร้าน hi-fi hut บ้านหม้อพลาซ่า2ครับ

ขอบคุณมากครับ คุณ headphoneguru ไว้จะลองแวะไปดูครับ
วันนี้จัดการ เปลี่ยนสายในแอมป์ตัวนี้ครับ
หลังจากที่มีคนทัก ตรงกันถึง 3คน เรื่องใช้สายเงิน ที่ใช้ทำLan
มาใช้กับส่วนของ Audio ที่ต่อจาก RCA ไป Volume

พอเปลี่ยนแล้วสิ่งที่พบคือรายละเอียดเหมือนจะลดลงครับ
แต่....
จริงๆ มันไม่ลด
อ่านแล้วงงก็อย่าว่าผมเลย
รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ แต่ที่จริงแล้ว ผมเพิ่งเข้าใจ
ว่าเสียงมัน ไม่สมดุลนั่นเองครับ เพราะพอ เร่งเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด
รายละเอียด เสียงก็มาครบ เหมือนเดิมครับ

เท่าที่ใช้สายเงินมาซักพัก มันให้รายละเอียดดีมากครับ
แต่สงสัยไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะเวลาดูหนัง นี่จะรู้สึกเลยครับ
เสียงโทนแหลม ใส มันจะมาก เกินจริงไปเยอะเลย

ขอสรุปเลยครับ ถ้าทำแอมป์ไม่แนะนำให้ ใช้สายเงิน
แบบตามรูปด้านซ้ายครับ
ส่วนสายที่ผมเปลี่ยน
เป็นสายทองแดงเกรด ดีหน่อย
ก็ให้เสียงสมดุลขึ้นครับ

เอาเรื่องอัพเกรด เครื่องเสียง HIFI มาฝากครับ
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
คิดว่าน่าจะมีประโยชน์
http://www.discoveryhifi.com/citypulse_upgrade.html


ข้อแนะนำสำหรับการ Upgrade
_____________________

ประเด็นคำถามที่มักจะถูกถามอยู่เสมอเกี่ยวกับการเล่นเครื่องเสียง คือ &dquot;ควรอัพเกรดหรือไม่&dquot; คำตอบแบบ
กำปั้นทุบดินก็คือ &dquot;ควรอัพเกรด&dquot; เหตุผลที่สำคัญก็คือ นักเล่นที่จริงจังมักพยายามแสวงหาวิธีการต่างๆใน การพัฒนาขีดความสามารถของเครื่องเสียงที่ฟังอยู่เสมอๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีบริษัทผลิตอุปกรณ์ปรับปรุง คุณภาพเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนออกสู่ท้องตลาด ซึ่งบางชิ้นก็เห็นผลได้จริง แต่บางชิ้นก็ให้ผลทางใจ

ในความเป็นจริงผู้ผลิตเครื่องเสีียงส่วนใหญ่ในตลาดระดับกลางและระดับบนก็ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ก็เพราะต้องควบคุมต้นทุนการผลิต และอุปกรณ์บางชิ้นก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้นเสมอไปหรือ บางทีก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่คุ้มค่า สิ่งที่สำคัญก็คือประสบการณ์ที่ทำให้บอกได้ว่า &dquot;ควรหรือไม่ควร&dquot;
ดังนั้นการอัพเกรดพึงกระทำด้วยความรู้และไม่ประมาท สำหรับนักเล่นที่มีความรู้ทางอิเลคโทรนิคส์และเป็น
นัก DIY การอัพเกรดถือเป็นสวรรค์ในการเล่นเครื่องเสียงเลยทีเดียว เพราะมันเต็มไปด้วยความท้าทายและ ความภาคภูมิใจเมื่อคุณทำสำเร็จ
สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ควรทราบสำหรับผู้ที่ทำการอัพเกรดเครื่องเองก็คือ การอัพเกรดอาจส่งผลถึงการสิ้น สุดการรับประกันจากตัวแทนจำหน่ายของเครื่องนั้นๆได้ ในกรณีที่เครื่องได้รับความเสียหายจากการอัพ
เกรด ดังนั้นการอัพเกรดพึงกระทำโดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ หรือจากตัวแทนจำหน่ายโดยตรง
__________________________________________


DAC Upgrade ทำอะไรได้บ้าง
_____________________

ภาคดิจิตอล (Digital Receiver and Converter)
----------------------------------------------------------

ตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกา (Clock Crystal Unit) ผู้ผลิตโดยทั่วไปมักนิยมใช้ Oscillator เป็นตัวกำเนิดสํญญาณนาฬิกา ซึ่งมีราคาถูกและมีความคลาดเคลื่อนของสัญญาณ นาฬิกาสูงมาก แล้วสัญญาณนาฬิกามีความสำคัญอย่างไร ปกติการรับและส่งสัญญาณดิจิตอล ไปแปลงเป็นข้อมูลเสียงจะถูกควบคุมจากสัญญาณนาฬิกา หากมีความเที่ยงตรง เสียงที่ได้หลัง การแปลงก็จะมีความถูกต้องมากขึ้นไปด้วย ปัญหาใหญ่ของเครื่องเสียงในระบบดิจิตอล ก็คือ ความคลาดเคลื่อนจากสัญญาณนาฬิกานั่นเอง และมักส่งผลให้เสียงดิจิตอลยุคแรกมีความหยาบ และบาดหูอย่างมาก
การอัพเกรดก็คือการเปลี่ยนตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกาใหม่จาก Oscillator ไปเป็น TCXO ซึ่งมี ความเที่ยงตรงของสัญญาณนาฬิกามากกว่า และที่แน่นอน TCXO ที่เที่ยงตรงมีราคาแพงมาก เรามักพบเห็นผู้ผลิตรายย่อยจำนวนมากในตลาด DIY ที่ผลิต TCXO และ แผงวงจรที่สร้าง สัญญาณนาฬิกาที่เที่ยงตรงขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับเครื่องเล่น CD และ DAC โดยทั่วไป การอัพ เกรดด้วยวิธีนี้อาจทำให้คุณแปลกใจมากว่า เครื่องเล่น CD หรือ DAC ของคุณ มีการเปลี่ยน แปลงที่ดีขึ้นแบบหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว

ตัวแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาลอก (DAC Chip)
------------------------------------------------------------
การอัพเกรดแบบนี้เป็นการเปลี่ยนชิพ ใหม่เบอร์เดิม แต่ใช้ DAC Chip ที่มีเกรดดีขึ้น เช่น มีค่า Gain, Sinal to Noise Ratio และ Distortion ที่ดีขึ้น หรือบางครั้งอัพเกรดโดยการเพิ่มจำนวน DAC Chip โดยต่อให้ทำงานทั้งคู่ แบบขนานกัน ผลที่ได้ไม่แน่นอนบางคนชอบ บางคนไม่ชอบ และการเปลี่ยน DAC Chip บนแผง วงจรก็ไม่แนะนำเด็ดขาดสำหรับมือใหม่ เพราะเดี๋ยวนี้แทบทั้งหมดเป็นแบบ surface mounted คือเป็นการบัดกรีบนผิววงจรด้านบนเลย การเปลี่ยนต้องมีเครื่องมือพิเศษและต้องอาศัยฝีมือ อีกสิ่งหนึ่งที่บางท่านอาจไม่ทราบ DAC Chip, Digital Receiver Chip หรือ Micro-Controller Chip อาจตายสนิทเพียงการสัมผัสจากมืออันทนุถนอมของเรา เพราะชิพพวกนี้มีความไวมากต่อ ไฟฟ้าสถิตย์ สัมผัสเบาๆเพียงครั้ง ชิพเหล่านี้ก็พร้อมโบกมือลาเราไปแล้ว

การชีลเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
----------------------------------------
เป็นการป้องกันทั้งการแพ่รกระจายออกไปของสัญ ญาณดิจิตอล และป้องกันการรบกวนภาคดิจิตอลจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดต่างๆ เช่น การใช้ สาย Coaxial ในระบบดิจิตอลทั้งหมด ซึ่งสายชนิดนี้จะเป็นสายชีลซึ่งป้องกันการรบกวนชนิด ต่างๆได้ดี การสร้างชีลห่อหุ้มภาคดิจิตอลไว้ทั้งหมดด้วยทองแดงและต้องลงกราวด์อย่างดี เพื่อ ให้การชีลได้ผล หรือบางท่านอาจชีลเฉพาะดัว DAC Chip ก็ได้ โดยตัดแผ่นทองแดงขนาดพอ ดีกับตัวชิพ แล้วติดตั้งลงบนตัวชิพ นอกจากจะป้องกันการรบกวนแล้วยังช่วยระบายความร้อน ได้เป็นอย่างดี ขอยกตัวอย่างชิพยอดนิยมบางตัว เช่น TDA1543 ของ Philips นั้นขณะทำงาน จะร้อนมาก และทำให้คุณภาพเสียงด้อยลงไป หรือบางครั้งเสียงอาจแตกพร่าไปเลยถ้าร้อนจัด ถ้า DAC ของท่านใช้ชิพนี้ แนะนำให้ติดตั้ง Heat Sink ขนาดเล็กเพื่อระบายความร้อนให้ดีขึ้น


ภาคอนาลอก (Analog Output)
_______________________

***ออปแอมป์เอาพุท (Output Op-Amp)***
----------------------------------------------------------
หลังจากที่สัญญาณดิจิตอลได้รับการแปลงเป็นอนา ลอกโดย DAC Chip แล้ว สัญญาณที่ได้มีระดับต่ำเพียงมิลลิโวลท์ ซึ่งไม่เพียงพอในการส่ง
ออกไปขับภาคปรีแอมป์ จึงจำเป็นที่จะต้องมีภาคขยายสัญญาณอีกภาคหนึ่งภายใน DAC ทุก เครื่อง เพื่อขยายสัญญาณให้ได้เอาพุทประมาณ 2 Volts สำหรับปรีแอมป์
เกือบ 100% ก็ว่าได้ที่ DAC แทบทุกเครื่องมักใช้ Op-Amp ไอซี ในการทำหน้าที่นี้ เพราะ ราคาถูก ง่ายในการผลิต คุณภาพเสียงก็พอไหว DAC ราคาแพงบางยี่ห้อก็เลยเปลี่ยนจากการ
ใช้ Op-Amp มาใช้แบบ Discreted Solidstate หรือใช้หลอดในภาคนี้แทน เพื่อคุณภาพเสียง
ที่ดีกว่าเดิม แต่ถ้า DAC ของท่านใช้ Op-Amp อยู่ การจะเปลี่ยนเป็น Solidstate หรือ หลอด ก็คงเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น เพราะนอกจากภาคขยายที่ต้องเพิ่มเข้าไปแล้วยังต้องตามด้วยภาค จ่ายไฟอีก โดยเฉพาะถ้าเป็นแบบหลอดสูญญากาศ
ชีวิตก็คงง่ายดายขึ้นมากถ้าเราเปลี่ยน Op-Amp เดิมไปเป็น Op-Amp คุณภาพสูงแทน ก่อนเปลี่ยนอย่าผลีผลาม ดูสเป็คให้ดีก่อนว่า Op-Amp เดิม ใช้ไฟเลี้ยงเท่าไร เลย์เอาท์ของขาตรง กันหรือไม่ แล้วเป็นแบบ Single หรือ Dual Op-Amp เบอร์ที่ยอนรับกันว่าเป็นสุดยอดก็เช่น AD797, LM4562, OPA627 เป็นต้น ข่าวร้ายก็คือเบอร์ที่ว่ามาทั้งหมดหาไม่ได้ในเมิองไทย ต้องซื้อจากเมืองนอกสถานเดียว น่าเห็นใจคนไทยจริงๆ
สุดท้ายต้องขอบอกว่า การเปลี่ยนภาค Analog Output จาก Op-Amp เกรดธรรมดาไปเป็น เกรดสูง หรือเปลี่ยนไปใช้ Discreted Solidstate หรือหลอดให้ผลต่อคุณภาพเสียงอย่างมาก

เอาพุทคาพาซิเตอร์ (Output Capacitor) ภาคขยายอนาลอกในภาค Output
--------------------------------------------------------------------------------------------
หนีไม่พ้น การใช้ Output Coupling Capacitor เพื่อป้องกันไฟตรงรั่วไหลออกมาทางเอาพุท ไม่ว่าภาค Output จะเป็น Op-Amp Solidstate หรือ หลอดก็ตาม
เครื่องระดับกลางมักใช้ Electrolytic Capacitor คุณภาพต่ำ หรือบางทีก็เป็น Polyester การ เปลี่ยน Output Capacitor ให้ผลทาง Tonal Balance และความเปิดโปร่งของเสียง การ
เปลี่ยนไปใช้ Capacitor ชั้นดี อย่าง Black Gate, Jensen, AuriCap, Mundorf, Hovland, Audio Note, Rel-Cap, Solen หรือแม้กระทั่ง Teflon ของรัสเซียย่อมให้ผลดีกับคุณภาพเสียง ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้การเปลี่ยน Output Capacitor มักขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ฟังด้วยเช่นกัน


ภาคจ่ายไฟ (Power Supply)
___________________

หม้อแปลง (Transformer)
--------------------------------
หม้อแปลงที่ดีที่สุดเห็นจะเป็น Toroid
Transformer รูปร่างคล้าย โดนัท เพราะสามารถจ่ายกำลังไฟได้สูง ในขณะที่มีการแพ่รกระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่
ต่ำจึงได้รับความนิยมมาก แต่ก็ยังมี Transformer อีกหลายแบบที่น่าสนใจ เช่น Ring Transformer, R-Core Transformer, O-Core Transformer, C-Core Transformer และ D-Core Transformer ซึ่ง Transformer เหล่านี้หาได้ยากในประเทศไทย ต้องสั่งจากต่างประเทศ เช่นกัน
ภาคจ่ายไฟที่ดีควรแยกระหว่างภาคดิจิตอลและอนาลอก หรืออย่างน้อยควรแยกขด Secondary ตัวหม้อแปลงก็ควรจ่ายกำลังไฟได้อย่างเพียงพอ

ไดโอดเร็กติไฟร์ (Rectifier Diode)
-----------------------------------------
ซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนไฟสลับเป็นไฟกระแสตรง ควร เปลี่ยนไปใช้ชนิด Ultrafast Soft-recovery Diode ซึ่งแพงกว่าปกติมาก แต่คุ้มค่าเพราะกระแส ที่ได้จะมีการรบกวนต่ำ จึงเหมาะมากสำหรับภาคดิจิตอล

อิเลคโทรไลติคส์ คาพาซิเตอร์ (Electrolytic Capacitor)
------------------------------------------------------------------
เป็นตัวเก็บประุจุ ใช้สำหรับ กรองกระแสไฟให้ราบเรียบ ควรใช้ชนิดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีผลต่อคุณภาพเสียงเช่นเดียวกัน ตัวเก็บประจุที่ดีจะมีความต้านทานต่ำ รับกระแสกระเพื่อมได้มาก จ่ายกระแสได้ดี และสามารถ กรองกระแสไฟได้ราบเรียบ หากคุณกระเป๋าหนักก็แนะนำให้ใช้ Rubycon Blackgate หรือ ถ้าเป็นแบบราคากันเองก็ต้อง Panasinic FC ต้องเป็น FC เท่านั้น Capacitor ในกลุ่มนี้จะมีค่า ESR ที่ต่ำและเหมาะที่จะใช้ในงานความถี่สูง

การปรับ LPF (Low Pass Filter)
---------------------------------------
เทคนิคนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในวงการ DIY ก็ว่าได้ แต่ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะ
LPF เป็นส่วนสำคัญของการออกแบบวงจรดิจิตอล และทำงานสัมพันธ์กันทั้งระบบไปจน
ถึงภาคเอาพุทสุดท้าย
ก่อนอื่นต้องพูดถึง LPF ก่อนว่าคืออะไร และทำงานอย่างไร หลักการง่ายๆคือ LPF เป็น
Low Pass Network นั่นเอง เหมือน Network ลำโพงที่แบ่งเสียงทุ้มออกมาแล้วกรอง
เสียงแหลมทิ้งไป ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อ Dacchip ทำการสร้างสัญญาณอนาลอกจากการสุ่ม
ตัวอย่าง และทำงานที่ความถี่สูงมาก สัญญาณอนาลอกที่ได้ก็จะมีสัญญาณความถี่สูงปน
ออกมาด้วยเป็นเรื่องปกติของโลก DAC และ CD ทุกเครื่องจะมีการใช้ LPF เพื่อกรอง
สัญญาณความถี่สูงทิ้งไป แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเพราะวงจรกรองมีความสำคัญกับ
คุณภาพเสียงมาก ถ้ากรองมากไป เสียงแหลมจะห้วน ขาดชีวิตชีวาและไดนามิก แต่ถ้า
กรองน้อยไป เสียงจะหยาบและแข็ง ดังนั้นการออกแบบ LPF ให้กรองได้อย่างพอดีจึง
เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ในการโมดิฟาย Output Capacitor นั้น จะรวมไปถึงการปรับการทำงาน ของวงจร LPF ให้ทำงานได้อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กับ Output Capacitor ของ ERO ที่เปลี่ยนใหม่เพื่อให้วงจรทั้งหมดทำงานสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว

เป็นยังไงสันติเสียงฮีทปลอมดีขึ้นคุ้มค่าลูกระเบิดสองลูกที่เปลี่ยนไปไหมครับฮ่าๆๆ ถ่ายรูปให้คนในเว็ปนี้ดูหน่อยก็ดีนะครับ

รอซักครู่ครับพี่
งานนี้พี่ทำเอาผมต้อง
&dquot;จับ หัวแร้ง กับ มิเตอร์ เอง&dquot;
จนได้.....เฮ้อ มือเกือบพอง

5555 ถึงจะเตลิดไปไกลขนาดไหน แต่ผมเชื่อว่าพื้นฐานวงจรของ Heed มันให้เสียงที่ค่อนข้างดีมากอยุ่แล้วครับ.............

ต่อให้เรายำมันขนาดไหน ปรับอุปกรณ์ยังไง ถ้าพื้นฐานมันยังใช่ Heed ผมว่าไม่น่าจะมีอะไรที่เสียหายครับ 555

เชื่อเปล่า จนเดี๋ยวนี้ ผมยังไม่เจอแอมป์ Solid State ตัวไหนดีกว่า Heed เลยนะ..........

เล่านิดครับ หลังจากหาข้อมูลอยู่นาน
ผมก็สามารถ..หา

Capacitor ยี่ห้อ ฺBlackgate 10mF/50V Cseries ซึ่งเป็นรุ่นที่ดีที่สุด
สำหรับงาน dc coupling แรงดันต่ำ สัญญาณรบกวนต่ำ
ความเพี้ยนต่ำ เหมาะกับงาน Audio ที่สุด
มาใช้แทน C เดิมยี่ห้อ ELNA ที่เป็นรุ่นดีสุดของบ้านหม้อที่หาง่ายได้

เด๋วมาต่อครับ

ตกลงบัดกรีอะไรครับ หรือจะใส่ blackgate อีก 4 ตัว ที่ไม่ใส่ให้ไม่ใช่อะไรหรอก นอกจากขี้เกียจแล้วคิดว่ามันไม่น่าจะมีผลกับเสียง ก็เลยยังไม่ใส่ รอให้ฟังจนคุ้นก่อนแล้วค่อยมาลองใส่ดูจะได้รู้ว่าก่อนและหลังมันเปลี่ยนไปแค่ไหน เป็นความจริงหรือแค่ความเชื่อน่ะครับฮ่าๆๆ เล่นเปลี่ยนไปทีละเยอะๆเดี๋ยวพอดีไม่รู้กันว่าดีขึ้นหรือแย่ลงเพราะตัวไหน

กลับมาต่อครับ พอดีเมียบังเกิดเกล้าจะใช้คอมฯ เหอๆ

และ ยังหา เจ้า C หางหนู อย่าง Obbigato 4.7mF/630v
ที่เค้ารีวิวกันว่าได้ถึง 10.5 คะแนนที่
สูสี Jenzen ที่ราคาแพงกว่าหูฉลาม ที่ได้คะแนน 11 คะแนน
จริงไม่ จริง ตูรไม่รู้ล่ะ .....
แต่ราคามัน แค่ 420 บาท Jenzen ตัวละเกือบ 2000

ผมได้ทำการ บุกไปถึง บ้านเจ้าของเวป DIY ท่านนี้ เมื่อนัดได้วันอาทิตย์
อย่างไม่รอช้า ที่ลาดพร้าวซอย 101 ไปโคตร..ไกล บ้านผมอยู่แถวบ้านหม้อ

โอ้ว..เค้าใจดีครับ
ให้ลองฟัง C Obb. เทีบกับ Jenzen

ผมเดินเข้าบ้านเค้า
ผ่านหมา..ตัวใหญ่ที่ดูน่ากลัว ที่กะลังตกใจกับการมาของผม
และลูกเมีย เค้าที่งัว..เงีย ตื่่นขึ้นมา งงว่า เฮ้ย ใครเข้าบ้านตรูวะ
ผ่านห้อง รับแขกไปจนพบกับ ห้องเครื่องเสียง ของเค้า
แม่เจ้า...เปิดมานี่ แอมป์หลอด DIY เพียบ แต่ละตัวดูแล้วอลังการมาก
พร้อมกับลำโพง ขนาดงานวัด แต่ดูงานแล้วชุดนี้ หลายแสนแหงๆ
เค้า ทำเป็นที่คีบ ไว้แล้วครับ บอกเพื่อนชอบให้ลอง
ว่าแล้่วก็ ฟัง Obb ก่อนเสียงดีจัง
แล้วก็ต่อด้วย Jenzen ฟังครั้งแรก ยอมรับเลยฟังไม่ออกครับ ท่าน
เค้าบอกว่าเนี่ยแผ่นนี้ฟัง ง่ายสุดแล้วนะ ฟังเสียงกีต้าร์ ดูสิ
ฟังอยู่ 3รอบ เออ..ต่างจริงๆว่ะ เสียงจะดูนิ่มนวลกว่า
แต่ผมอาจอุปทาน รึเปล่า ผมจึงถามเค้าว่านอกจากนี้มันต่างกันตรงไหน
เค้าบอก เนื้อเสียง ผิดกันเยอะนะคุณ เค้าฟังเนี่ยต่างกันชัดๆ
ผมบอกผมยังฟังแล้วไม่ค่อยต่าง
เค้าเลยว่าฟังไม่ออกน่ะโชคดีแล้ว
ผมก็ว่างั้น...นึกในใจหูตูรสงสัยไม่ถึงขั้นจริงๆ

ว่าแล้วก็ได้ C Obbligator มา 2 ตัว พร้อมก้ับสมุน C blackgate อีก 6 ตัว

แล้วผมก็ไปหาพี่นพพงษ์ครับ
พี่ก็ใจดี รีบเปลี่ยนให้ผม ทั้งๆ ที่มี ลูกค้าแขก ที่มันพูดอังกฤษไม่ชัด
มาตึ้อ จะให้ซ่อมเครื่องอยู่
ผมเลยได้เปลี่ยน C ใจตำแหน่ง ที่ 1 เป็น Obbligato
และ 4 เ็ป็น Blackgate

แถมด้วย สาย Kimber Hero ราคา เมตรละ 1400 ขายแพงไปนิด
เชือดมา 0.5เมตร โดน Hifihut ฟันไป 700 เลือดอาบ ซมซานมาหาพี่นพ
โดยทำการเปลี่ยนภาค รับสัญญาณ( input ) ตั้งแต่หัว RCA มา Volume
และจาก Voume ลงบอร์ด เข้าวงจร โดยใช้ตะกั่ว WBT ที่ผมหามาอีก
เรียกว่างานนี้เล่นไม่ให้พลาดตามตำรา ท่านเกจิ ว่างั้น...

แต่บาดแผลแค่นี้ มันยังไม่หนำใจผม

ตบท้าย ด้วยการสั่งสาย RCA to mini หัว Monster หาง Canare
ลำตัว Kimber Hero ร้านบอมๆรับไป 1280 แต่เห็นงานแล้วชอบมาก
ทำสวยจริงๆ

พี่นพ
ที่เปลี่ยน ใหแค่เบอร์ 4 เป็น Blackgate
แต่ไม่ได้เปลี่ยนที่ตำแหน่ง 2,3 เท่านั้นน่ะถูกต้องแล้วครับ
ผมก็คิดเหมือนพี่ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ ที่เบรค 2,3 ไว้
เพราะถ้าเปลี่ยนไปที เดียวผมจะไม่รู้ข้อแตกต่าง
พี่ทำให้ผมได้รู้แล้วจริงๆ...555
(ต้องบอกว่าต่างกันโคตรชัดเลยครับ...เด๋วจะเล่าละเอียดอีกที)

คือ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมต้องเลือกบักกรีเอง หรือรอวันเสาร์-อาทิตย์
เพราะไม่มีเวลาแล้ว
ไอ้ Volume ALPS น่ะครับ
ผม เลื่อย ซะสั่นกุด
ที่นี้ บิดไปบิดมา มันคอยจะหลุดแล้ว
บิดไม่ได้น่ะครับ
ประกอบกับ C 4ตัว ที่พี่ไม่ได้เปลี่ยนมาให้
แหม มันยั่วยวนให้ผม กระทำการ อุกอาจ ครา...นี้จริงๆ

ผมอยากจะลองเอง หลายทีแล้ว แต่ไม่กล้า
แต่คิดอีกที ผมก็ดูมานาน แม้จะไม่เคยทำ แต่
ผมก็เป็นคนทำงานระมัดระวัง คนนึง ถึงจะเป็นช่างก่อสร้างก็เถอะ
เคยจับแต่ เลื่อย กับกระดาษทราย สกัด ช่วยลูกน้อง
ลองหัวแร้งของเล็กๆ บ้างคงไม่เสียหาย

บอกตรงๆ โคตรยากเลยสำหรับผม เสียวตะกั่วดีดเข้าตาจริงๆ
สาย Kimber Hero มัน แข็งโคตรๆ

เดี๋ยวต่อครับ

ถ้าไม่ง่วงมากจะมาต่ออีกทีครับ
นี่รูปล่าสุดครับ

จริงๆตามตำรา c 2-3 เขาให้ใช้ c ค่าน้อยๆ พวก 0.1u แบบฟิลม์ใส่นะครับ นี่เล่น 10u แบบอิเลคโตรไลท์ มันเลยเห็นความต่างเมื่อเทียบกับ blackgate มั้งครับ เพราะ blackgate นั้นคุณภาพเทียบได้กับแบบฟิลม์ครับ จะให้ดีรืออีกหนคราวนี้เอาแบบฟิลม์ค่าน้อยๆใส่ จะได้วิจัยกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยฮ่าๆๆ

เครื่องมือสุดเห่ย
C 4 ตัวนี่ แกะโคตรยากเลยตัวแรก แถบถอดใจกว่าจะเอามันออกมาได้
ตอนใส่ก็กลัวใส่ผิด แต่ผมถ่ายรูปไว้หมด กันพลาด ก็ทำได้สำเร็จ
ใช้เวลานานมากถึง 3ชม.กว่าจะเสร็จ

เกือบไปไม่รอด ดีมีมิเตอร์เด็กเล่น อยู่
เปลี่ยน Volume บักกรีเสร็จ เข้าท่อหดอีก มั่นใจเกิน
เสียง มันดังมั่วไปหมด เสียงซ้า้ยขวาเข้ามาตีกัน
จนต้องรื้อวัด บักกรีใหม่รอบที่ 2 ถึง สำเร็จ

ต้องขอบคุณวิชาไฟฟ้าเบื้องต้น ที่เรียนแล้วดรอป มาลงใหม่ ไม้2 555
เลยรอดตัวไปได้ นิ้วแทบพอง ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ ไก่ย่างถูกเผา

เครื่องมือสุดเห่ย
C 4 ตัวนี่ แกะโคตรยากเลยตัวแรก แถบถอดใจกว่าจะเอามันออกมาได้
ตอนใส่ก็กลัวใส่ผิด แต่ผมถ่ายรูปไว้หมด กันพลาด ก็ทำได้สำเร็จ
ใช้เวลานานมากถึง 3ชม.กว่าจะเสร็จ

เกือบไปไม่รอด ดีมีมิเตอร์เด็กเล่น อยู่
เปลี่ยน Volume บักกรีเสร็จ เข้าท่อหดอีก มั่นใจเกิน
เสียง มันดังมั่วไปหมด เสียงซ้า้ยขวาเข้ามาตีกัน
จนต้องรื้อวัด บักกรีใหม่รอบที่ 2 ถึง สำเร็จ

ต้องขอบคุณวิชาไฟฟ้าเบื้องต้น ที่เรียนแล้วดรอป มาลงใหม่ ไม้2 555
เลยรอดตัวไปได้ นิ้วแทบพอง ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ ไก่ย่างถูกเผา

ความต่างที่รับรู้ได้

1.เมื่่อเปลี่ยนสายสัญญาณ Kimber+C(1)Obbligato+C(4)Blackgate

เสียงนวลนิ่มขึ้นมากครั้ง เสียงเบสยังคงเยอะแต่เร่งดังมากๆจะสังเกต
เห็นว่ามันแตกและบวมอยู่เล็กน้อย แหลมใสยังมีบาดเล็กน้อย
ตอนที่ลองนี่ผมใช้สาย RCA-mini Kimber ครับสวยๆ เห่อมากๆ
เสียงดีๆ


2.เมื่องเปลี่ยน C(2,3)Blackgate

ต้องบอกว่า ตกใจครับ เบสเบาลงมาก เสียงนิ่งเงียบดีมาก กลางหวาน
เสียงแหลมกรุ๊ิงกริ้ง ไม่มีอาการบาดเลยครับ เหมือนมีเสียงกังวานสะท้อน
ไปมาแบบฟังเพลงในห้องน้ำนิดๆด้วยแปลก
เรื่องเบสผมตกใจจริงๆ
ฟังด้วยสาย KIMBER HERO แพงขนาดนี้
แล้วทำไมเป็นอย่างนี้
ซวยแล้ว!!!

ผมเลยตั้งกระทู้ถามเฮียไป ทำให้พบกับคำตอบจาก เฮีย และคุณHeadphoneguru ว่ามันโคตร Flat
แต่ไอ้คำว่า Flat เนี่ยมันไม่ได้ดีเสมอไปสำหรับผม
บอกตรงๆ เบสน้อยแม้จะมีคุณภาพสูงแต่รับไม่ได้ครับ
ไม่เหมือนฟังเพลงของจริง เลยมันแปลกๆ

สุดท้ายผมก็เลยเอาสาย RCA-mini เส้นอื่นมาลอง
ใหม่หมดจึงได้พบเนื้อคู่ครับ
สาย OFC MITSUMI เส้นละ 200 เนี่ยครับเสียงเป็นธรรมชาติมาก
เหมือนฟังเพลงในห้องจริงๆ เบสมาเป็นลูกไม่มีบวมแตก เร่งได้ดังจนสะใจ
รายละเอียดดีและคมชัด กลางหวาน ฟังเพลงในเครื่องแล้วหลายๆแนว
เสียงดีที่สุดแล้วตั้งแต่ ได้แอมป์ตัวนี้มา
(ทำให้ผมได้รู้ว่า ELNA เบสเยอะดี แต่บวมและแตกพล่าไปหน่อย)

ทั้งๆที่ตอนแรกคิดจะเปลี่ยนสายไฟที่ออกจากวงจรไป ที่แจ๊คหูฟัง
แต่บอกตรงๆ ว่าไม่เปลี่ยนดีกว่า ผมว่ามันลงตัวกับผมมากแล้ว

ถ้าจะเปลี่ยนขอเปลี่ยนที่ RCA-mini ดีกว่า
แต่คราวนี้ ไปไม่ถูกแล้วครับ ไม่อยากชกลมแล้ว
พลาดทีจุกจริงๆครับเรื่องสายนี่ ถ้าได้ลองค่อยซื้อดีกว่า

ก็คงจบแล้วครับ สำหรับการอัพเกรด แอมป์ตัวนี้ของผม
(น่าจะพักยกใหญ่..555 ไปเลียแผลก่อนเลือดท่วมแอมป์จริงๆ)

ถ้าพี่นพ สนใจจะเอาไปลองฟังเทียบกับแอมป์ที่พี่ทำนี่
ผมเอาไปฝากไว้ที่ร้าน ได้นะครับ อยากช่วยพี่เหมือนกัน

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้คำตอบดีๆกับผม
พีนพ Headphoneguru ชัยitouch และพี่ๆน้องๆที่เข้ามาแจม
และคนสำคัญที่ขาดไม่ได้

ขอบพระคุณมากครับที่ให้ใช้พื้นที่
เฮียมั่นคง

ภาพรวม 3อหังกา
Obbligato Blackgate Opa637

อ่าสรุปว่าเสียงมันเปลี่ยนเพราะสายหรือเปลี่ยนเพราะ c 2-3 กันครับเนี่ย พอดีเรื่องสายนี่ลูกค้าต้องเลือกเอง แต่เรื่อง c เป็นภาระเรา เลยอยากรู้ว่า c ที่ไม่น่าจะมีผลนี่มันมีผลจริงๆหรือเปล่า 4 ตัวนี่ต้นทุนเพิ่มอีก 400 เลยนะฮ่าๆๆ

มีผลมากๆ ครับ C 4 ตัวนั้น
ทำให้บุคลิกเปลี่ยนไปชัดเจน

ส่วนสา่ยนี่ต่างกันไม่มากนักครับ
ไม่ค่อยคุ้มที่จะอัพเป็น Kimber Hero เท่าไร

เรื่องสายนี่ ก็มีผลเหมือนกันครับ
ถ้าเทียบกับตอนที่ใส่สาย เส้นใหญ่ Interconent weldm
เส้นในรูปข้างบน เสียงมันออกมาเบา ไปหน่อยครับ (สงสัยกระแสผ่านได้ไม่ดี)
คงต้องเลือกสาย OFC ที่ ความต้านทานเหมาะสมน่ะครับ

ไม่มีเหตุผลทางอิเลคโทรนิคเลยวุ๊ยว่าทำไมมันต่าง แล้วจะเรียนกันทำไมเนี่ยในเมื่อสิ่งที่เรียนมันไม่จริง กลับไปเอาหนังสือปากะบาลคนแต่งดีไหมเนี่ย

อยากทำบ้างอ่ะครับ แต่ไม่มีแผ่นวงจร ไม่ทราบว่าคุณ xxiii23 พอมีเหลือไหมครับ ยินดีซื้อต่อครับ

ลองดูกระทู้หน้าแรกๆน่ะครับ มีลิ้งไปโหลด
ไฟล์แผ่นปริ้นท์วงจร
ที่เป็น ไฟล์นามสกุล pdf

http://www.htg2.net/index.php?topic=20103.0

เซฟไฟล์แล้วไปที่้ร้านซีเกท บ้านหม้อ
สั่งเค้าทำชุดเดียวเค้าก็ทำให้ครับ พอดีผมสั่งทำแค่ชุดเีดียวน่ะครับ

metallic shoulder straps are the http://www.tovipbags.com/louis_vuitton_men_travel-luxury.html>mens travel bags handbags in the year of 1989 both http://www.cgibags.com/chanel_handbags-luxury.html>chanel louis vuitton wallets for men also available in beautiful beige http://www.cgibags.com/gucci_handbags-luxury.html>gucci handbags fake men bags fortune.Chanel and Specialty http://www.cgibags.com/gucci_handbags-luxury.html>gucci handbags fake gucci wallets for men making its famous leather goods and http://www.mihandbags.com/louis_vuitton_men_bags-luxury.html>louis vuitton is really important in a womans http://www.cgibags.com/>louis vuitton it is a bag with enough space to http://www.cgibags.com/gucci_wallets-luxury.html>gucci wallet roll bag or a Gucci hobo is quite http://www.mihandbags.com/louis_vuitton_handbags-luxury.html>replica louis vuitton bags designer handbags She said the http://www.tovipbags.com/>replica handbags supported by interests of top http://www.cgibags.com/gucci_handbags-luxury.html>gucci the mineral form of zeolite The fake lv travel bags http://www.cgibags.com/>louis vuitton photographers Stephanie Pendersen http://www.cgibags.com/gucci_wallets-luxury.html>gucci wallet chanel replicas later designer Narciso Rodríguez http://www.cgibags.com/louis_vuitton_handbags-luxury.html>louis vuitton Blossom BagIf youre crafty and love http://www.cgibags.com/gucci_wallets-luxury.html>gucci wallet to date purses like the Chanel 2.55.

Dissemination of how to make your hair a healthy atmosphere, GHD Australia professional specifically for your use hair straightener,ghd Straightener,ghd hair and ghd Hair Straightener to help you repair your hair,In addition the company in New Zealand GHD NZ also provide the same products ghd hair,ghd Straighteners and hair straighteners,We guarantee that our ghd Hair Straighteners good quality and cheap price.By the way,have you heard golf for sale,discount golf clubs,golf clubs for sale and ladies golf club?yes,our business partners callaway golf clubs offer price reduction is being,While the focus we recommend that you look more out of exercise to maintain a healthy body, ping golf clubs is a perfect sport, if you need any left handed golf clubs,taylor made golf clubs and golf club drivers,weclome to our discount golf store to buy what you need like Golf Balls.
Our company also offers the following services like Golf Equipment,TaylorMade Golf,Golf Irons,Callaway Golf,Golf Fairway Woods and Hybrid Golf Clubs,If you like Titleist Golf or Golf Wedges,please check our Golf Putters web,You can enjoy the best prices of Mizuno Golf,Golf Bags,Ping Golf,Golf Set,We sincerely recommend that you use these products, after years of marketing experience we guarantee that you will be wise choice,It includes:Taylor made irons,Callaway clubs,golf for sale,wholesale golf,golf for wholesale and golf for discount,Callaway club,edit by 英文seo,Other movie Web:动漫网站

Long known for the coupling of durability with replica Croum, ever-stylish look, Cartier replica are some of the most coveted in the world. replica Maurice Lacroix watches has created a new multifunction wrist instrument that will find its place in all cockpits-and is distinguished both on the ground and in the replica Bvlgari watches by its innovative design featuring a star-shaped bezel.In 125 years, A.Lange & Sohne replica watches has launched a number of replica Alain Silberstein watches intended for pilots, including the famous Rolex Submariner replica watches with its circular slide rule capable of Jaquet droz replica all the essential calculations relating to airborne navigation.Today, the privileged partner of Louis Vuitton replica is pursuing this tradition with a new model that draws upon the full potential of Bell & Ross replica watches. Designed for intensive professional use, the replica movado boasts an impressive array of Alain Silberstein watches that are useful to pilots-1/100th of a second chronograph with Cartier replica watches, Patek Philippe replica, countdown, dual timezone display with replica Rolex Datejust II, Bvlgari replica watches, Graham replica,perpetual calendar-all powered by a chronometer-certified Breitling SuperQuartz? movement that is ten times more accurate than replica Audemars Piguet watches.The replica Cartier is distinguished by its oversized hands, along with replica Rolex Submariner watches and large 3 and 9 o'clock numerals. To guarantee optimal readability by Rolex Yachtmaster replica watches and replica Rolex Day Date watches, the LCD screens are equipped with a high-performance NVG-compatible backlighting system. The Maurice Lacroix watches is designed to amplify sound signals up to a level of 90 decibels.The circular rack-and-pinion mounted slide rule is easily and accurately rotated using the star-shaped bezel-an original and extremely ergonomic design. The Chronospace is available on replica Breitling watches, including a new bracelet in satin-brushed woven steel with a little vintage touch, and a sporty looking perforated rubber strap.The famous Rolex Masterpiece watches is of high quality and extraordinary design, as one of the fashion pursuer, it is really a wise investment to add one Vacheron Constantin watches into your U-boat replicacollection, especially the limited ones. replica Longines watches are symbol of Rolex Daytona replica watches and Rolex Day Date replica. Mostly worn by Longines replica and Ferrari replica , they comprise of solid ceramic bezels and bodies, adjustable wrist bands and a coating to resist scratch on the crown. Available in a wide range of colors, you can buy them from various online stores as well as retail outlets. They Piaget watches add to your overall personality giving you a unique look. replica BlancPain watches and replica Louis Vuitton watches not only enhances their beauty but also increases their life. To keep its surface shiny and grime-free, clean it with a non-abrasive cleaner and soft cloth. Instructions replica Glashutte watches, crown and back gently with replica Tag Heuer watchesto remove any loose dust and dust. Now, spray the window cleaner solution on the piece of soft cloth.Wipe the ceramic Hublot replica's band, crown and back carefully using a window cleaner-soaked soft cloth.Finally, dry the ceramic replica Bell & Ross watches using a dry soft cotton cloth. Tips & Warnings? Burberry replica are often used daily and quickly lose their shine to dirt and oils from skin, lotions, and other products. So if Piaget replica often, clean your ceramic Breguet replica watches every week.