Guest
หมวดหมู่ > เว็บบอร์ด จับฉ่าย

ช่องทางการติดต่ออื่น

  • Munkonggadget
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Reviews
  • Munkonggadget Contact Us

มารวมหัวกันเถอะพวกเราชาวเต่าทอง The Beatles

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 06:28:12
125
ผมตั้งกระทู้นี้ให้พวกเราชาวเต่าทอง(สมัยผมเด็ก ๆ เรียกวง "the beatles" ว่าวง "สี่เต่าทอง" ครับ) จำได้ว่าสมัยเป็น นศพ. พวกผมตั้งวงร้องเพลงประสานเสียงชื่อวง นกกระจิบ ร้องเพลงเพื่อชีวิตที่พวกเราแต่งเอง เราร้องกันในโอกาสที่มหาวิทยาลัยโดยสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฯ(มช.)ในตอนฝึกซ้อมนั้น

เนื่องจากร้องเพลงประสานเสียง มันค่อนข้างยาก ต้องแยกกันฝึกตามเสียงต่าง ๆ แล้วในที่สุดก็มาซ้อมใหญ่กันบนดาดฟ้าตึกเรียน(ซ้อมประสานเสียง) ลูกวงบางคนท้อแท้ เพราะว่าเป็นนักศึกษาแพทย์ต้องเรียนหนักมาก ไหนจะต้องเสียเวลามาซ้อม แถมซ้อมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะร้องให้คนชอบได้ไหม(ประสพความสำเร็จไหม)

มีตอนหนึ่งที่พวกเรานั่งคุยกันผมก็ทะลุกลางปล้องขึ้นว่า "อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดวง The beatles ตอนยังไม่ดัง เขาก็ยังซ้อมดนตรีกันบนดาดฟ้าเหมือนกัน" วงนกกระจิบ เป็นวงแรกและวงเดียวของชีวิตนักร้องของผมครับ
ขอเล่าถึงแรงบันดาลใจจากวง The beatles เป็นการประเดิมเริ่มแรกของกระทู้ มารวมหัวกันเถอะพวกเราชาวเต่าทอง ไว้เท่านี้ครับ เดี๋ยวไปค้นข้อมูลได้จะมาร่วมแจมเด้อ....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 1

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 06:38:51
125
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลง Imagine ของท่านจอห์น เลนนอน เป็นเพลงที่เกือบทุกคนในโลกนี้รู้จักและยกย่อง ผมฟังเพลงนี้ตั้งแต่เป็นนักเรียนจนตอนนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณแล้ว มันก็ยังเต็มไปด้วยความหวัง และคำถามเหมือนเดิม และแน่นอน ความไพเราะนั้นไม่ต้้องพูดถึง เพลงฟังติดหูตั้งแต่ฟังครั้งแรก แถมเนื้อร้องก็เรียบง่ายชนิดเด็กประถมที่เก่ง ๆ หน่อยก็แปลภาษาอังกฤษที่เป็นเนื้อร้องของเพลงได้ไม่ยาก แต่การจะเข้าถึงนัยยะแห่งเพลงนี้ ผมว่าเข้าถึงได้หลายระดับ ตอนเด็กเราฟังแล้วก็คิดอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ฟังแล้วคิดอีกอย่าง ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีใครร้องได้กินใจเท่าท่านจอห์น เลนน่อน ของผมเลยสักคนเดียว ขออัญเชิญเนื้อร้องของเพลงมาลงไว้ในที่นี้ให้พวกเราชาวเต่าทองได้พินิจพิเคราะห์กันเป็นประเดิมครับ(ขออนุญาตลอกมาจากความคิดเห็นของคุณ oar นะครับ)

...IMAGINE (by John Lennon) ....

Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...

Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...

You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one

Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...

You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 2

NOV 1

11/10/2010 09:35:17
30



ของ KEB' MO' ก็เพราะดีนะครับ คุณหมอ ผมชอบบบบ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 3

iNY

11/10/2010 09:49:19
2
ร่วมสมัย ร่วมสมัย
555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 4

Mr.Burst

11/10/2010 09:55:51
3
เข้ามาร่วมวงด้วยคนครับอาหมอ...

ผมก็มีเต่าทองครบทุกอัลบั้มครับ เพลงที่ชอบที่สุดคือเพลงนี้ครับ..

The Long and Winding Road


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 5

butnotforme

11/10/2010 10:21:47
ชอบสุดๆเหมือนกันครับ
ชอบเพลง Do you want to know a secret, girl,I should have know better,I'm Happy Just to Dance with You
ชอบช่วงแรกๆมากกว่าช่วงหลังเพราะ มันมีแต่เพลงน่ารัก น่ารักครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 6

นายมั่นคง

11/10/2010 10:34:53
4,294



เย้ๆๆๆ Beatles นั้นผมกลับชอบงานยุคกลางๆๆ ลงมาครับพี่ Butnot ฟังแล้วเข้มข้นขึ้นกว่าช่วงปี 1962 แยะเลยล่ะครับ งาน White Album ก็ดีเน้อ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 7

jon nonlen

11/10/2010 11:02:30
ขอแจมด้วยคนครับ จริงๆสมัย the beatles ยังไม่ดังนี่ เล่นกันอยู่ในผับได้ดินซะส่วนใหญ่ครับ ช่วงแรกของอาชีพ เล่น back up ประกอบให้ สาวๆ นักเต้นระบำเปลื้องผ้า สมัยที่อยู่เยอรมันน่ะครับ ช่วงรอเปลี่ยนตัวนักแสดง วงก็ยังเล่นอยู่

เจ้าของผับก็ใจดี อัดยาบ้าให้ตลอด เรียกว่าทำงานกันอาทิตย์ละแปดวันเลยล่ะครับ (eight days a week) ชีวิตช่วงนี้ถูกกล่าวถึงในภาพยนตร์ "backbeat" หรือ เต่าทองตัวที่5 ครับ ส่วนที่คุณหมอกล่าวถึงการเล่นดนตรีบนดาดฟ้านั้น เป็นยุคปลายของวงแล้วครับ เป็นการถ่ายทำสารคดีเบื้องหลังการทำอัลบั้ม "let it be"

เรียกว่า แต่ละคนไม่ยี่หระต่อชื่อเสียง เงินทองแล้ว ความตั้งใจแรกกะจะให้เห็นขั้นตอนการทำงาน เพราะ the beatles เป็นวงที่มี sound โดดเด่น และ เป็นเอกลักษณ์ การทำงานจะเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด (ขนาดสมัย brian epstein ผู้จัดการวงยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในห้องอัดเลย)

แต่กลายเป็นว่า ทุกคนกลับมาทะเลาะกันต่อหน้ากล้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด จนอยากจะทำอะไรบ้าๆ ก็คือการเล่นดนตรีบนดาดฟ้าตึก EMI นั่นแหละครับ ผู้คน และรถราที่สัญจรไปมาเมื่อได้ยินสำเนียงเพลงของ4เต่าทอง ต่างก็กรูกันออกมาดู หาที่มาของเสียงด้วยความตื่นเต้น

(ขณะนั้น อัลบั้มยังไม่เคยเผยแพร่ หรือวางจำหน่าย ) เมืองทั้งเมือง กลายเป็นอัมพาต จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอร้องให้หยุดเล่น และครั้งนั้นนับเป็นการแสดงสดร่วมกันครั้งสุดท้ายครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 8

jomjomjom

11/10/2010 11:03:53
5
ผมชอบเพลง In My Life มีการบันทึกที่แยกเสียงร้องและเสียงดนตรีออกจากกันอย่างชัดเจน ประมาณว่า ซ้ายมีแต่เสียงดนตรี ขวามีแต่เสียงร้อง ฟังแล้วแปลกดีครับ ผมชอบดนตรีตอนท่อนโซโล่ครับ เพราะดี
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 9

jon nonlen

11/10/2010 11:40:07
the beatles เป็นวงที่ไม่หยุดนิ่งครับ อัลบั้มแต่ละชุดจะมีอะไรใหม่ๆเสมอ เป็นวงที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆตลอด ก่อนการมาถึงของพวกเขา เพลงต่างๆ ก็ยังวนกันอยู่แค่ 3-4 คอร์ด นักดนตรีไว้ผมทรงเสย ใส่ชุดสูทเหมือนกันหมด the beatles ปรากฎตัวด้วยผมทรงกะลาครอบเด๋อๆ ใส่สูทคอกลม

อั้ลบั้มแรก pleaese please me โชว์การเรียบเรียงคอร์ดที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ภาพลักษณ์เตะตา ดนตรีเตะหู แถมหล่อกันทั้งวง จึงอยู่ในความสนใจของผู้คนอย่างรวดเร็ว (ทรงผมนี้เป็นวัฒนธรรมของเด็กอังกฤษไปโดยปริยาย สังเกตได้จากวง britpop แทบทุกวง ) เข้าใจว่าในบ้านเรา ส่วนใหญ่จะรู้จักผลงานของ the beatles ถึงช่วงยุค a hard day's night ซึ่งเป็นช่วงพีคสุดของวง

หลังจากนั้น 4เต่าเขย่าโลก ก็ปฎิเสธการทัวร์ เนื่องจากรู้สึกว่าผู้คนคอยแต่จะกรี๊ด โดยไม่สนใจดนตรีที่พวกเขาเล่น (เครื่องเสียงยุคนั้นยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร) ขนาดว่าร้องผิด เล่นหลุด ก็ยังไม่มีใครรู้ (คอนเสิร์ตเล่นกันกลางสนาฟุตบอล โดยมีคนดูล้อมรอบ ) the beatles จึงหันมาให้ความสำคัญกับงานในห้องอัดกันมากขึ้น เนื้อเพลงพูดถึงเรื่องราวที่กว้าง และลึกขึ้น

บางเพลงชวนให้ตีความ หลายๆเพลง ถ่ายทอดส่วนลึก และความรู้สึกของทั้งคู่ คือไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะทำเพลงฮิตกันกันแล้ว เพราะว่าออกมากี่ชุดก็ดังหมด ถึงขนาด john ยังเคยหลุดปากว่า " we popular than jesus" จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาแล้ว
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 10

jon nonlen

11/10/2010 11:52:15
เพลง in my life กล่าวถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาของ john ครับ ท่อนที่ว่า "some are dead and some are living.." คนที่เสียชีวิตไปนี่คือเพื่อนสนิทของ john ชื่อ stu suttcliff ครับ stu เป็นซี้เก่า มือเบสคนแรกของวง ซึ่งส่งอิทธิพลต่อ john เป็นอย่างมาก เสียชีวิตเนื่องจากเนื้องอกในสมอง
ส่วนเพลง In my life ท่อน solo piano เป็นฝีมือของ george martin สุดยอด producer คู่บุญของวงครับ ฟังทีแรกนี่ นึกถึงเกมส์ mario เลย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 11

นายมั่นคง

11/10/2010 11:53:24
4,294


จัดต่อเลยครับคุณจ้อน กำลังเพลินเชียวล่ะครับ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 12

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 12:43:54
125
ผมว่าแล้ว มีเรื่องมัน ๆ เยอะครับ วงสี่เต่าทองของผมนี่น่ะครับ.....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 13

มนัส

11/10/2010 12:50:05
ผมชอบหลายเพลงเลย The Beatles อมตะนิรันดร์กาลเพลงหวานซุปเปอร์คลาสสิค 55
เจ้าของวรรคทอง "พวกเราดังกว่า jesus อีก"

The Beatles - I Me Mine

The Beatles - "I'll Be Back" [youtube]http://www.youtube.com/watch?v=G9hO25z1Fu8[/youtube]

The Beatles - "I'm Happy Just To Dance With You" [youtube]http://www.youtube.com/watch?v=KWVzNtzpW84[/youtube]

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 14

Collagen

11/10/2010 12:57:06
4
มาร่วมวงด้วยครับ...... เพลงของ the Beatles ผมกลับชอบเพลงที่ไม่ค่อยฮิตเท่าไร อย่าง Here, There and Everywhere ซึ่งเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกที่ห่วงใยห่วงหา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม.....



หรือว่าเพลง I will ที่ดนตรีเรื่อยๆ สบายๆ ครับ.....
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=ZlShC-GxFNw[/youtube]

แต่ถ้าเป็นเพลงการ์ตูนเพื่อความรัก อย่าง Yellow Submarine หรือว่า Eleanor Rigby ที่สะท้อนถึงความที่เป็น "ทุนนิยม" ที่ใหู้้คนต่างเร่งรีบ จนกลายเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักกัน....

ชอบหลายเพลงมากมายครับ..... ^ ^

ปล. ขอบตุณคุณหมอและหลายๆ ท่านมากครับที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์เรื่องราวต่างๆครับ... ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 15

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 13:21:08
125
ผมชอบเกือบทุกเพลงของบิตเิติลเลยครับ แต่เพลงที่ประทับใจมากก็คือ The fool on the hill ฟังแล้วนึกถึงเพลงของคาราบาวดูเหมือนชื่อ คนหาบฟืน หรือยังไงนี่แหละครับ
สมัยผมยังเด็ก พวกผู้ใหญ่มักจะบ่นเวลาเปิดฟังเพลงของ Beatle ว่า ฟังเพลงเยๆๆๆกันอีกแล้ว ฟังแล้วไม่เห็นมันจะเป็นเพลงตรงไหนเลย....(เหมือนผมฟังเพลงของวัยรุ่นสมัยนี้เลยครับ) ทำให้เพลง She love you เป็นอีกเพลงหนึ่ง เรียกว่าเป็นไฟท์บังคับกันเลยละเพลงนี้......เอ้า..She love you ye ye ye.....She love you ye ye ye....
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 16

jon nonlen

11/10/2010 13:27:53
เรื่องของ the beatles นี่เล่ากันไม่จบจริงๆครับ นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าตำนาน พูดถึงเพลง Eleanor Rigby นี่ ใช้เครื่องสาย 41 ชิ้น บรรเลงแบบหลุดโลกครับ คือ ไล่โน้ตตั้งแต่ E ไปจนถึง E แบบต่างคนต่างเล่น จากต่ำไปสูง sound ที่ได้จึงออกมาแบบหลอนๆ น่ากลัวครับ ฟังครั้งแรกนี่ขนลุกเลย เนื้อหาพูดถึง หญิงสาวที่ชื่อ Eleanor Rigby ซึ่งเป็นผู้ช่วยบาทหลวง ในการทำพิธีแต่งงานให้คู่รักมาแล้วหลายๆคู่ แต่ตัวเธอกลับไม่เคยได้มีโอกาสเป็นเจ้าสาวเลย ตราบจนวันตาย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 17

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 13:37:52
125
โอ...ขอบพระคุณเฮียมากครับ ที่อุตส่าห์ตามมาแก้ให้ ถ้าจะให้ดีแก้ใน ผมเขียนชื่อวงโปรดผิด ลืมเติมเอส โธ่ไม่น่าจะมาสะดุกก้อนกรวดล้มหัวฟาดตายแบบนี้เลยครับ........ถ้าจะให้มาช่วยเติมให้ใน คคห.0 ด้วยครับ ผิดเหมือนกันครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 18

jon nonlen

11/10/2010 13:41:04
sound ที่เริ่มหลอนๆ รวมถึงภาพปกอัลบั้ม ลอยๆ เป็นผลมาจากฤทธิ์ยา ทั้งกัญชา ( ยกความดี ความชั่ว ให้ Bob Dylan ครับ ) รวมถึงยาเสพติดชนิดใหม่ ที่ชื่อ LSD ซึ่งเป็นยาหลอนประสาท ส่งผลถึงงานไปเต็มๆเลยครับ ช่วงนั้นต้องเรียกว่า 4 เต่างอมเลยครับ
ปล.เด็กๆ อ่านแล้ว ใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ เพราะต่อมาภายหลัง วงได้ออกมากล่าวว่า LSD ไม่ได้ให้อะไรเลยสักอย่าง
การตัดสินใจอะไรของคนในยุคหนึ่ง ต้องดูบริบท ทางสังคมประกอบด้วยนะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 19

jon nonlen

11/10/2010 15:06:16
ขออภัยครับ แก้ไขข้อมูลนิดนึง เพลงที่บรรเลงไล่โน้ตที่พูดถึงคือเพลง a day in the life ครับ
พอดี เปิดฟังเพลงนี้อยู่ด้วย พิมพ์ไปพิมพ์มาเลยมั่วซะงั้น หลอนตามเพลง แต่เพลงทั้งคู่บรรเลงด้วยวงออเคสตร้าเช่นเดียวกันครับ
ปล.ท้ายเพลง a day in the life john มีความคิดแผลงๆ โดยบันทึกเสียงคลื่นความถี่ที่ทำให้สุนัขปวดหู เมื่อได้ยินจะพากันเห่าหอน ใครมีแผ่นลองฟังกันดูนะครับ ว่ามีอาการที่ว่ากันบ้างหรือเปล่า 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 20

j่้่่่on nonlen

11/10/2010 15:11:29
paul เคยให้สัมภาษณ์ว่า "Here, There and Everywhere" เป็นเพลงโปรดที่สุดของเขาครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 21

feardeforlight

11/10/2010 16:28:25
0
เย้ๆๆๆๆตั้งแล้วววว อยากรู้ หน่อยครับคุนจ้อนนอนเล่นหรือผุ้รุ้ครับ เพลง Hey Judeครับ ผมคิดว่ามานน่าจะมีประวัติในการแต่งเพลง แต่ผมไม่รู้ว่ามานมีที่มาจริงๆหรือป่าว (เป็นเพลงที่ชอบอีกเพลงครับถึงแม้จะร้องวนเป็น10รอบก็ตาม555+)
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 22

Collagen

11/10/2010 16:42:50
4
เพลงที่ชอบๆ อีก ก็ยังมีเพลง.... Across the universe (ผมคาดว่าน่าจะได้อิทธิพลจาก อินเดีย มาด้วยครับ)

นอกจากนี้ยังมีเพลง Penny Lane, I'm only sleeping, I'll follow the sun, Here comes the sun, We can work it out, Norwegian wood, Michelle (มีภาษาฝรั่งเศสด้วย), Hello Goodbye, When I'm sixty-four, Black bird, Think for yourself.....ฯลฯ....

ยังขุดยิ่งเยอะครับ..... เพลงโปรดทั้งนั้นเลย.... ^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 23

555

11/10/2010 17:23:41

มารวมหัวกันเถอะพวกเราชาว ตูดทอง
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 24

aor

11/10/2010 17:26:51
8



ผมชอบและรักคนนี้ครับ george harrison
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 25

aor

11/10/2010 17:37:16
8



"While My Guitar Gently Weeps"

I look at you all see the love there that's sleeping
While my guitar gently weeps
I look at the floor and I see it need sweeping
Still my guitar gently weeps

I don't know why nobody told you
how to unfold you love
I don't know how someone controlled you
they bought and sold you

I look at the world and I notice it's turning
While my guitar gently weeps
With every mistake we must surely be learning
Still my guitar gently weeps

I don't know how you were diverted
you were perverted too
I don't know how you were inverted
no one alerted you

I look at you all see the love there that's sleeping
While my guitar gently weeps
I look at you all
Still my guitar gently weeps

Oh, oh, oh
oh oh oh oh oh oh oh
oh oh, oh oh, oh oh
Yeah yeah yeah yeah
yeah yeah yeah yeah


ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 26

PIGGYPOP

11/10/2010 18:15:43
้ำัhey jude พอล แต่งให้ลูกชาย จอหน์ นอนเล่น ที่ชื่อ จูเลี่ยน เป็นภรรยาคนแรกของจอหน์ อ่ะครับ แต่ช่วงนั้น ไบรอันที่เป้นผู้จัดการวงปิดเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ไม่ใช่ลูกที่เกิดกับโยโกะ นะครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 27

PIGGYPOP

11/10/2010 18:18:02
hey jude พอล แต่งให้ลูกชาย จอหน์ นอนเล่น ที่ชื่อ จูเลี่ยน ซึ่งเป็นลูกของภรรยาคนแรกของจอหน์ อ่ะครับ แต่ช่วงนั้น ไบรอันที่เป็นผู้จัดการวงปิดเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ไม่ใช่ลูกที่เกิดกับโยโกะ นะครับ
++ปล.อันบนผมพิมพ์ตกไปนิดเดี๋ยวเนื้อหาเปลี่ยนเลยส่งใหม่ครับ++
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 28

ByTonG

11/10/2010 18:19:38
0
the beatles เป็นวงที่ผมเริ่มฟังเพลงแรกๆเลย เรียกว่าฟังมาก่อนที่จะฟังเพลงไทยเสียอีกตั้งแต่สมัย ม.ต้น
ตอนนั้น มีเพื่อนที่ชอบ the beatles เหมือนกันเพราะได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อเพื่อน เรียกได้ว่าวันๆฟังแต่ the beatles เลยทีเดียว ถึงแม้จะแปลไม่ออกก็ตาม 555

ขอบคุณ อาหมอมากๆครับทำให้ได้ย้อนความทรงจำไปในช่วงนั้น เพลงที่ชอบๆมีเยอะมากเลย แต่ที่ชอบที่มากๆ น่าจะเป็นเพลง Ticket to Ride/ Yesterday/ แล้วก็ HELP!


ปล.ถ้าจำไม่ผิดเพลง Yesterday เป็นเพลงที่ลุงพอลแกแต่งตอนแกฝันถึงทำนอง แล้วก็ตื่นมาเขียนเพลงเลย ><" เจ๋งมาก
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 29

ทัตเทพ บุณอำนวยสุข

11/10/2010 18:22:03
125
นั่นไง...ผมกะแล้วคุณอ้อต้องทนไม่ไหว ออกมาแจมกันจนได้.....อิ อิ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 30

aor

11/10/2010 20:26:43
8



555 จะมัวนิ่งเฉยได้ยังไงละครับพี่หมอ วงอมตะมหานิรันดร์กาลที่ใครเอาเพลงไปทำสไตล์ไหนก็ไพเราะเพราะตัวเพลงมันดีอยู่แล้วอะครับพี่หมอ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 31

aor

11/10/2010 20:36:14
8



เอาไปทำเป็นคันทรี่ก็ไพเราะ
เอาไปทำเป็นแจ็สก็สุดยอดแฮะวงสี่เต่าเธอ เอ้ย เต่าทอง อิอิ
John Pizzarelli Meets The Beatles ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 32

Collagen

11/10/2010 20:37:26
4
เห็นด้วยกับพี่อ้อเลยครับ.....

ยังมีบทเพลงของ The Beatles ที่มีผู้ดัดแปลง เป็นทำนองของเพลงคลาสสิคยุค Baroque ก็มีครับ... ในชุดนี้ครับ...ฟังแล้วก็เพลินๆ แปลกๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบครับ....





ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 33

PIGGYPOP

11/10/2010 22:06:02
HELP เพลงที่ จอหน์ เลนนอน สื่อถึงความเหนื่อยล้า และสับสนในตัวเขา กับการทำงานกับวงในช่วงนั้น I NEED SOMEBODY HELP!! และในอัลบั้มนี้ นักวิจารณ์ต่างพากันว่าเป็นอัลบั้มที่ พวกสี่เต่าทองทำงานได้ต่ำกว่ามาตราฐานของพวกเ้ขา แต่ HELP! ก็ยังเป็นเพลงที่ดังและก็ยังเป็นภาพยนตร์ เรื่องที่ 2 ของพวกเขาที่ออกฉายในปี 1965
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 34

jon nonlen

12/10/2010 02:07:49
เพลง "Hey Jude" paul แต่งเพื่อให้กำลังใจกับ julian ลูกชายของ john ที่เกิดกับ cynthia (ภรรยาที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียน hi school) ครับ ช่วงก่อนหน้านั้น john ไปติดพันกับ yoko
มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง ขณะที่ยังไม่หย่าขาดจากภรรยา ชื่อเสียงของ john ในช่วงนี้จึงไม่สู้ดีนัก เขาไม่สนใจลูกและ cynthia เลย โดยยืนกรานขอหย่าเพียงอย่างเดียว ซ้ำยังขู่ว่าหากไม่ยอมหย่าจะเอาลูกไว้กับตน และส่งเธอกลับ liverpool สาเหตุที่ john ยืนกรานเช่นนั้น เพราะ yoko เริ่มตั้งครรภ์ และ เขารู้สึกว่าเธอเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขา คงมีแต่ paul ที่ยังไปมาหาหาสู่ cynthia และ julian อย่างสม่ำเสมอ paul รู้เห็นทุกอย่าง แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จึงเขียนเพลงนี้ขึ้นมาครับ และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเหตุผล ที่ทำให้ paul ไม่ชอบหน้า yoko จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นคู่กัดกันอยู่ครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 35

jon nonlen

13/10/2010 09:56:31
เห็นภาพปกอัลบั้มที่คุณ aor แนะนำมา เลยนึกขึ้นได้อีกอย่างว่า the beatles เป็นวงที่ถูกก็อปปี้การถ่ายภาพปกมากที่สุดในโลก (ไม่นับที่นำมา cover นะครับ ) คือมีตั้งแต่ก็อปแบบเนียนๆ ไปจนถึงล้อเลียนแบบสุดๆเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 36

นายมั่นคง

13/10/2010 10:23:04
4,294
ข้อมูล The Bestles เมื่อวานหายไปยวงนึงครับคุณจ้อน เนื่องจากการเคลียร์พวก Spam เดี๋่ยวเราค่อยทะยอยมาเพิ่มกันใหม่นะครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 37

aor

14/10/2010 09:45:38
8



ขอลงประวัติเต่าทองที่เงียบขรึมคนนี้หน่อยครับเฮีย
จอร์จ แฮร์ริสัน (อังกฤษ: George Harrison) ( เทวนาครี:जर्ज ह्यारिसन )[1] MBE (25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 – 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001)[2] เป็นมือกีตาร์ชาวอังกฤษ นักร้อง-นักแต่งเพลง ผู้สร้างภาพยนตร์ เขาประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติจากการเป็นมือกีตาร์ลีดให้กับวงเดอะบีทเทิลส์

และยังมีชื่ออยู่อันดับ 21 ของการจัดอันดับในนิตยสารโรลลิงสโตนในหัวข้อ "100 นักกีตาร์ที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล"[3][4] มักถูกพูดถึงว่าเป็น "บีทเทิลที่เงียบขรึม" (the quiet Beatle)[3] แฮร์ริสันเชื่อเรื่องเวทมนตร์อินเดีย และยังทำให้ฐานคนฟังของเดอะบีทเทิลส์กว้างขึ้นเช่นเดียวกับกลุ่มผู้ฟังตะวันตก[5] หลังจากที่วงแตกไป เขาประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวและต่อมาก็อยู่ในวง แทรเวลลิงวิลบูรีส์ และยังเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และเพลงอีกด้วย

ถึงแม้ว่าเพลงโดยมากของเดอะบีทเทิลส์จะแต่งโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ แฮร์ริสันก็ยังแต่งเพลง 1 หรือ 2 เพลงต่ออัลบั้มตั้งแต่ชุด Help! เป็นต้นมา[6] ผลงานเขาที่ร่วมกับเดอะบีทเทิลส์เช่นเพลง "Here Comes the Sun", "Something", "I Me Mine" และ "While My Guitar Gently Weeps" หลังจากวงแตกไป แฮร์ริสันก็ยังเขียนเพลง ออกผลงานทริปเปิลอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง All Things Must Pass ในปี 1970

ที่มี 2 ซิงเกิ้ลและ ดับเบิลเอ-ไซด์ซิงเกิล: "My Sweet Lord" กับ Isn't It a Pity" นอกจากนี้ในงานเดี่ยว แฮร์ริสันยังร่วมเขียนเพลงฮิต 2 เพลงให้กับริงโก สตารร์ อดีตสมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์อีกคน และเพลงในวงแทรเวลลิงวิลบูรีส์ วงซูเปอร์กรุ๊ป ที่ฟอร์มวงในปี 1988 ร่วมกับบ็อบ ดีแลน, ทอม เพตตี, เจฟฟ์ ลีนน์ และรอย ออร์บิสัน
แฮร์ริสัน ได้รับวัฒนธรรมอินเดียและฮินดู ในช่วงทศวรรษ 1960 และช่วยให้ความรู้กับคนตะวันตกด้วยเพลงซิตาร์

และกลุ่มเคลื่อนไหวฮา้เร กฤษณะ เขาร่วมกับระวี ชังการ์ จัดคอนเสิร์ตการกุศลในปี 1971 ที่ชื่อ Concert for Bangladesh และเขาถือเป็นคนเดียวในเดอะบีทเทิลส์ที่พิมพ์อัตชีวประวัติ ขึ้นที่ชื่อ I Me Mine ในปี 1980
นอกจากการเป็นนักดนตรีแล้ว เขายังเป็นโปรดิวเซอร์เพลง และร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ แฮนด์เมดฟิล์มส งานของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ เขาร่วมงานกับผู้คนหลากหลายอย่าง มาดอนน่า และสมาชิกของกลุ่มมอนตี้ ไพธอน[7]

ด้านชีวิตส่วนตัวเขาแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกกับนางแบบ แพตตี บอยด์ ในปี 1966 และเลขาบริษัทค่ายเพลงที่ชื่อ โอลิเวีย ทรินิแดด อาเรียส ในปี 1978 ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ ดานี แฮร์ริสัน เขายังเป็นเพื่อนสนิทกับอีริก แคลปตัน และอีริก ไอเดิล เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดเมื่อปี 2001
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 38

นายมั่นคง

14/10/2010 11:13:15
4,294
จัดต่อเลยครับพี่อ้อ 555 The Beatles นี่มันต้องรุ่นเราขึ้นไปล่ะครับ

แต่บรรดาน้องๆๆ ที่สนสใจฟังดนตรีสากล สามารถศึกษาประวัติและแนวทางของ The Beatles ได้นะครับ นี่คือดนตรีที่เปลี่ยนโฉมโลกกันเลยล่ะครับ 55
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 39

Mr.Burst

14/10/2010 11:29:26
3
"sound ที่เริ่มหลอนๆ รวมถึงภาพปกอัลบั้ม ลอยๆ เป็นผลมาจากฤทธิ์ยา ทั้งกัญชา ( ยกความดี ความชั่ว ให้ Bob Dylan ครับ ) รวมถึงยาเสพติดชนิดใหม่ ที่ชื่อ LSD ซึ่งเป็นยาหลอนประสาท ส่งผลถึงงานไปเต็มๆเลยครับ ช่วงนั้นต้องเรียกว่า 4 เต่างอมเลยครับ"


ต่อมา...เต่าทองได้หยิบเอาคำ LSD มาเล่นคำ แต่งเป็นเพลง Lucy in the Sky with Diamond (ตัวย่อคือ LSD นี่เอง) ถือเป็นมุขเล็กๆ ของวงน่ะครับ เพลงนี้เ็ป็นเพลงที่ผมชอบ MV มากที่สุดครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 40

Mr.Burst

14/10/2010 11:32:25
3
ภายหลังนำเพลงนี้มาประกอบภาพยนตร์ I am Sam ที่ทำให้ ฌอน เพนน์ ไ้ด้ออสการ์ไปอย่างไม่ต้องสงสัย.. ต้นฉบับหลังนี่ร้องโดย Aimee Mann (ผู้หญิง)ครับ

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 41

jon nonlen

14/10/2010 11:54:18
มิน่าล่ะครับเฮีย ผมก็ว่าข้อมูลข้อมูลมันหายไปไหนตั้งเยอะ ใครหนอช่างทำกันได้ เอา sperm เอ๊ย! spam มาปล่อย
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 42

jon nonlen

14/10/2010 12:08:21
อ้างอิงจากของคุณ burst ครับ john เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากรูปวาดของ sean ลูกชายคนเล็ก ที่วาดรูปเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน เหาะเหินเดินอากาศโดยการสวมแหวนเพชรครับ ( Lucy in the Sky with Diamond) เท็จจริงอย่างไรก็แล้วแต่ เพลงนี้ถูกห้ามออกอากาศเพราะชื่อย่อของเพลงเท่านั้นครับ ในขณะที่เนื้อหาจัดเป็นเพลงเด็กด้วยซ้ำ แต่ sound โดยรวมก็อย่างที่ได้ฟังกันล่ะครับ ถือว่าต้องยอมจำนนต่อหลักฐาน
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 43

Collagen

14/10/2010 13:16:39
4
ที่พี่เบิร์สท์ Post VDO ไว้ เป้นฉากหนึ่งของการ์ตูนเรื่อง Yellow Submarine... ผมเคยดูผ่านๆ แต่ก็ไม่รู้เรื่องครับ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ^ ^)...

แต่ถ้านึกถึงเรื่องนี้ ผมก็นึกถึงหลายๆ เพลงครับ อย่าง... Eleanor Rigby, When I'm sixty-four, Nowhere Man, All you need is love

ผมขอรบกวนคุณ jon หรือท่านใดมีข้อมูลเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้ รบกวนช่วยอนุเคราะห์ผมด้วยนะครับ...^ ^
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 44

jon nonlen

15/10/2010 01:18:29
การ์ตูนเรื่อง Yellow Submarine เขียนบทขึ้นมาจากเพลงชื่อเดียวกัน โดยให้มีรูปลักษณ์ตาม 4เต่าทอง เขียนบทโดย lee minoff เนื้อหาประมาณว่ามีตัวประหลาด ชั่วร้าย นามว่า "Blue Meanies"หวังจะยึดครองอาณาจักร pepperland the beatles จึงต้องนำความความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง ด้วยเสียงดนตรีของพวกเขาโดยมีพาหนะเป็นเรือดำน้ำสีเหลืองครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 45

นายมั่นคง

15/10/2010 11:10:56
4,294
คุณจ้อนไม่ทราบว่าเคยดูการ์ตูนของสี่เต่าทอง ที่เล่นเป็นตอนๆๆ แล้วเอามาฉายทางโทรทัศน์ เมื่อ 30-40 ปีก่อนได้ไม๊ครับ

ผมจำได้ว่าตอนนั้นฉายเป็นตอนๆๆ แต่จำไม่ได้ว่ามันสนุกหรือไม่สนุกล่ะครับ แฮ่ะ ๆๆ ถ้าค้นเจอใน youtube ช่วยส่งให้ดูกันมั่งนะครับ 555
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 46

่jon nonlen

16/10/2010 00:34:31
ไม่เคยดูเลยครับ เพิ่งจะทราบจากเฮียนี่แหละว่ามีฉายทางโทรทัศน์บ้านเราด้วย ปีไหนจำได้ไหมครับ?
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 47

นายมั่นคง

16/10/2010 00:45:46
4,294



ผมลองค้นๆๆ ดูเมื่อครู่ เจอแล้วครับ น่าจะเป็นอันนี้ล่ะจ้า ตอนนั้นเมืองไทยเอามาฉาย ซึ่งน่าจะหลังทางเมืองนอกนานเหมือนกันล่ะครับ

เดี๋ยวผมจะลองหาจากใน youtube ดูล่ะจ้า 555

http://www.televisionheaven.co.uk/beatles.htm
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 48

นายมั่นคง

16/10/2010 00:49:24
4,294



เย้ เจอแล้ววครับ เพียบเลยจ้า

http://www.youtube.com/results?search_query=+The+Beatles+cartoons&aq=f
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 49

jon nonlen

16/10/2010 01:05:25
ขอบคุณมากครับเฮีย ผมเคยดูแต่หนังกับการ์ตูนที่สร้างจากเพลงในอัลบั้มน่ะครับ แต่ที่เป็นซีรี่ย์เลยเพิ่งทราบนี่แหละครับว่ามี รู้แค่ว่าช่วงพีคๆนี่ อะไรๆก็ the beatles ไปซะหมด มีตั้งแต่ขนมขบเคี้ยว เสื้อผ้า ไปจนถึงเครื่องดนตรีเลยครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 50

aor

16/10/2010 06:34:32
8
การตั้งวงยุคแรกของพวกเขาครับ
จอห์น เลนนอน นักร้องและนักกีตาร์วัย 16 ได้ก่อตั้งกลุ่มดนตรีสกิฟเฟิล ชื่อ เดอะควอร์รีเมน (The Quarrymen) ร่วมกับเพื่อนนักเรียนในเมืองลิเวอร์พูลเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1957[5] พอล แม็คคาร์ตนีย์ในวัย 15 ได้เข้าร่วมกลุ่มด้วยในตำแหน่งมือกีตาร์ หลังจากที่เขาได้พบกับเลนนอนเมื่อเดือนกรกฎาคม[6] แม็คคาร์ตนีย์ชวนจอร์จ แฮร์ริสัน วัย 14 มาดูการแสดงของกลุ่มในเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดมา แล้วจอร์จก็เข้าร่วมกลุ่มในตำแหน่งกีตาร์นำ[7][8] ปี ค.ศ. 1960 เพื่อนนักเรียนของเลนนอนลาออกจากกลุ่ม ส่วนตัวเขาก็เริ่มเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะลิเวอร์พูล นักกีตาร์ทั้งสามยังคงเล่นดนตรีร็อคแอนด์โรลกันเรื่อยๆ ถ้าหามือกลองได้[9] เดือนมกราคม สจ๊วต ซุตคลิฟ มือเบส เพื่อนนักเรียนของเลนนอน เสนอให้เปลี่ยนชื่อวงเป็น The Beetles เพื่อเป็นเกียรติแก่ บัดดี ฮอลลี และวงเดอะคริกเกตส์ ต่อมาพวกเขาเปลี่ยนชื่อวงเป็น The Beatals ในช่วงไม่กี่เดือนต้นปี[10] วงดนตรีเปลี่ยนชื่อไปอีกหลายชื่อ เช่น Johnny and the Moondogs, Long John and the Beetles และ The Silver Beatles ในที่สุดวงก็เปลี่ยนชื่อเป็น The Beatles ในเดือนสิงหาคม[9] การที่วงไม่มีมือกลองประจำเริ่มเป็นปัญหาขึ้นเมื่อ อัลลัน วิลเลียมส์ ผู้จัดการวงอย่างไม่เป็นทางการ ไปรับงานวงดนตรีประจำได้ในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี[11] ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม พวกเขาจัดการทดสอบและว่าจ้าง พีท เบสต์ มาเป็นมือกลองประจำวงได้[9] นักดนตรีทั้งห้าเดินทางไปยังฮัมบูร์กในอีก 4 วันถัดไป โดยได้รับสัญญาจ้างจากนักแสดงงานแฟร์กราวน์ ชื่อ บรูโน คอชไมเดอร์ เป็นเวลา 48 คืน

อ้างอิงข้อมูลจากวิกิพีเดียครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 51

aor

16/10/2010 06:42:38
8
สำหรับแฟนๆสี่เต่าทองครับ อิอิ
“เดอะ บีทเทิ่ลส์” สร้างสีสันให้นักสะสม ด้วย USB The Beatles สุดล้ำสมัย
ที่มา วอร์นเนอร์ มิวสิค
ตื่นตาตื่นใจกันไปทั้งโลก เมื่อ Apple Corp. ค่ายต้นสังกัดของวงสี่เต่าทอง “เดอะ บีทเทิ่ลส์” The Beatles สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้กับวงการดนตรีโลกอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้ว เปิดตัวอัลบั้ม “เดอะ บีทเทิ่ลส์ รีมาสเตอร์” The Beatles: Re-Mastered กับการปรับปรุงเสียงเพลงทุกอัลบั้มของ“เดอะ บีทเทิ่ลส์” ด้วยระบบดิจิตอล จนทำให้ทั้งโลกตะลึงมาแล้ว ในปีนี้ บรรดาแฟนๆ ของวงสี่เต่าทองและนักสะสมทั้งหลาย จะต้องอึ่ง ทึ่ง ว้าว! อีกระลอกกับ “เดอะ บีทเทิ่ลส์ สเตรีโอ USB” The Beatles Stereo USB นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ทางดนตรีของคุณในแบบที่คาดไม่ถึง
“เดอะ บีทเทิ่ลส์ สเตรีโอ USB” คือ USB สุดพิเศษที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม เป็นทรงลูกแอ๊ปเปิ้ลสีเขียวเมทัลลิค ขนาดความจำ 16 กิ๊กกะไบท์ (16 GB) เมื่อเชื่อมต่อ USB เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณจะสามารถเข้าไปท่องโลกแห่งเสียงเพลงของ “เดอะ บีทเทิ่ลส์” ได้อย่างครบถ้วน ทั้งเพลง, ภาพ และคลิปวีดีโอจากทุกอัลบั้ม ผ่านทางเมนูการใช้งานที่ง่าย, สวยงาม และครบถ้วน และด้วยคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมเหมือนซีดี ทำให้ทุกคนที่ได้ลองใช้ “เดอะ บีทเทิ่ลส์ สเตรีโอ USB” พากันบอกว่า เหมือนเป็นการย่อส่วนซีดี The Beatles Box Set ขนาดใหญ่ เอามาไว้ในลูกแอ๊ปเปิ้ล USB เล็กๆเพียงลูกเดียว
ที่สำคัญ “เดอะ บีทเทิ่ลส์ สเตรีโอ USB” ถูกผลิตขึ้นมาในจำนวนที่จำกัดมากๆ เพียง 30,000 ชิ้นทั่วโลกเท่านั้น ซึ่งวอร์นเนอร์ มิวสิค ก็เอาใจแฟนเพลงชาวไทยและบรรดานักสะสม ด้วยการนำเข้า “เดอะ บีทเทิ่ลส์ สเตรีโอ USB” มาจำหน่าย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางดนตรีสุดล้ำสมัยได้แล้ววันนี้

ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 52

aor

16/10/2010 06:44:40
8



ภาพครับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 53

aor

16/10/2010 07:02:32
8
ขอคัดลอกบทความเกี่ยวกับเพลงนี้ของคุณ winston มาลงให้อ่านกันครับ

WHILE MY [friend's] GUITAR GENTLY WEEPS

จอร์จ-ดับเบิ้ลแทร็คเสียงร้องนำ,ร้องประสาน,กีต้าร์โปร่ง,แฮมมอนด์ออร์แกน
พอล-ประสานเสียง,เปียโน,ออร์แกน,เบสหกสาย
จอห์น-ลีดกีต้าร์
ริงโก้-กลอง,แทมโบรีน
เอริก แคลปตัน-ลีดกีต้าร์


ในเวอร์ชั่นสุดท้ายของ While My Guitar Gently Weeps มันกลายเป็นการก้าวข้ามพรมแดนไปสู่เฮฟวี่ร็อคอีกครั้งหนึ่ง (หลังจากที่พวกเขาทำมาแล้วใน Helter Skelter) แต่อย่างไรก็ดี มันก็เหมือนเพลงอื่นๆส่วนมากใน white albumที่ ส่วนใหญ่จะแต่งกันที่อินเดียด้วยกีต้าร์โปร่ง และ เมื่อพวกเขาบันทึกเสียงเพลงนี้ในวันแรกเมื่อ 25 กรกฎาคม 1968 จอร์จก็เล่นเพลงนี้โดยใช้กีต้าร์โปร่งตัวเดียวล้วนๆ (หาฟังได้ใน Anthology 3 โดยเวอร์ชั่นนี้มีเนื้อร้องเพิ่มมาด้วยหนึ่งท่อนเวิร์ส)
มีความเป็นไปได้ ว่าจอร์จอาจจะได้รับอิทธิพลในการแต่งเพลงนี้มาจาก Donovan แม้ว่าจะไม่พบสไตล์การปิ๊กกิ้งดังกล่าวในเวอร์ชั่นที่ได้รับการบันทึกเสียง แต่ในการประพันธ์อาจจะเริ่มต้นมาจากนั้น (สไตล์การวางเบสไลน์และคีย์ของเพลง มีส่วนคล้ายเพลง 'Anji' ของ เดวิด เกรแฮม เพื่อนของโดโนแวน )

จอร์จไม่ชอบเวอร์ชั่นแรกที่บันทึกเสียงกัน อาจจะเป็นเพราะมันเปิดโล่งต่อเสียงร้องนำของเขาเกินไป เขาใช้เวลาอีก37ชั่วโมง รวมทั้งการรี-เมคใหม่สองครั้ง เพื่อจะให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ
โดยในระหว่างนี้ เดอะ บีเทิลส์ได้มีโอกาสใช้เครื่องบันทึกเสียงแปดแทร็คเครื่องแรกๆที่นำมาใช้ในอังกฤษ โดยอุทิศเวลาให้สองเซสชั่นเต็มๆสำหรับเวอร์ชั่นของเพลงนี้ที่พวกเขากำลังขลุกกันอยู่
จอร์จผู้ซึ่งใช้เวลาถึงแปดชั่วโมงพยายามอย่างสาหัสที่จะหาเสียงที่ให้อารมณ์ 'weeping' จากการเล่นกีต้าร์ถอยหลังไม่สามารถหาจุดสรุปของเพลงได้ จนกระทั่งเข้าวันที่ห้า เมื่อเขาขับรถเข้าลอนดอนไปกับเพื่อนของเขา-เอริก แคลปตัน (เขาทั้งสองเจอกันในปี 1964 เมื่อแคลปตันที่ตอนนั้นอยู่กับวง Yardbirds แสดงในงานเดียวกับบีเทิลส์) จอร์จเชื้อเชิญให้เอริคมาเล่นโซโล่ในเพลงนี้ ขณะนั้นแคลปตันอยู่กับวงครีม วงบลูส์ร็อคที่หนักหน่วงที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่สไตล์ของเขาก็เหมาะเจาะกับเวอร์ชั่นสุดท้ายของ While My Guitar Gently weeps ยิ่งนัก ตำนานเล่าว่า เอริกรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะไม่เคยมีคนนอกที่ไหนมาเล่นกีต้าร์ให้บีเทิลส์มาก่อน แต่จอร์จก็คอนเฟิร์มหนักแน่นว่า "ไม่เป็นไร นี่มันเพลงของอั๊วะเอง" เอริกจึงเซย์โอเค และว่ากันว่า คืนที่ "ก๊อด"แคลปตันก้าวเข้ามาในแอบบี้โร้ดนั้น บีเทิลส์ทุกคนตั้งใจและเล่นดนตรีได้ดีเป็นพิเศษ (ซึ่งจอร์จก็ใช้มุขนี้อีกในภายหลัง โดยการดึงบิลลี่ เพรสตัน เข้ามาเล่นออร์แกนในยุค Let It Be/Abbey Road)
เอริกใช้กีต้าร์กิบสัน เลส พอล สีแดงเชอรี่ของเขาในการโซโล่อันสุดแสนจะกระหึ่มกังวานนี้ และเขายังใช้ ADT ช่วย"เขย่า"เสียงอีกนิดหน่อย เพื่อไม่ให้มันออกบลูส์มากเกินไป (หลังจากเซสชั่นนี้ เอริคก็ยกกีต้าร์ตัวนี้ให้จอร์จ [กีต้าร์ตัวนี้มีชื่อว่า "ลูซี่" ตามกีต้าร์ เทเลคาสเตอร์ของอัลเบิร์ต คอลลินส์] จอร์จนำลูซี่มาเล่นอีกใน Sexy Sadie, Cry Baby Cry, Something และเพลงส่วนใหญ่ใน Abbey Road [รวมทั้งการโซโล่ในสไตล์แคลปตันของเขาใน The End])

เนื้อเพลงของเพลงนี้ได้มาจากการสุ่มเปิดหนังสือ เขาได้คำว่า 'gently weeps' มาและเริ่มจากตรงนั้น เนื้อหาฟังดูเหมือนจะมีความหมายดี แต่โดยรวมแล้ว มันออกจะเป็นการอวดรู้และเป็นปัจเจกมากเกินไป และสุดท้ายไม่นานก็เป็นความน่าเบื่อหน่าย
ภายหลัง While My Guitar Gently weeps กลายเป็นเพลงที่เป็นที่นิยมในการเล่นคอนเสิร์ทระดับขึ้นหิ้งเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนซีเควนซ์ช้าๆการเน้นจังหวะและการคลี่คลายฮาร์โมนิคที่ได้อารมณ์ มันกลายเป็นพิมพ์เขียวให้เพลงร็อคสไตล์ 'stadium music' ในสองทศวรรษต่อมา 70-80's
ผลงานของเอียนที่ผมเคยแปลเอาไว้ครับ (Ian MacDonald คนเขียน Revolution In The Head )
จากคุณ : winston - [ 14 ก.ย. 46 01:27:43 ]
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
แจกหู 0
ความคิดเห็นที่ : 54

The ต๋อง

18/10/2010 20:48:32
เชิญแวะเวียนมาที่ facebook ได้นะคับ
ให้กำลังใจ 0
หยิกหู 0
"มารวมหัวกันเถอะพวกเราชาวเต่าทอง The Beatles"