ขุดจิต ปลุกพลังจิตใต้สำนึก
จิต คำคำนี้เมื่อเราได้ยิน เรามักจะจินตนาการไปถึงความคิด ความรู้สึกตัว หรือแม้แต่ความรู้สึก คำว่าจิต สำหรับผมคือ ตัวตนที่แท้จริงของเราในระดับลึก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพทางกายภาพของเราด้วย จิตเปรียบเสมือนเป็นตัวรับรู้ทางนามธรรม มันสามารถแสดงอาการได้จากการกระตุ้นโดยสภาวะภายนอก
เช่น เมื่อเราผิดหวังจากเรื่องที่เราคิดว่าสำคัญมากๆกับตัวเรา เรามักจะได้ยินคำพูดว่า จิตตก หรือสภาวะซึมเศร้าระดับต่างๆ ที่เราเคยเห็นจากคนที่ผิดพลาดทางธุรกิจ หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และสามารถแสดงอาการได้จากสภาวะภายในของผู้ครองจิตนั้นๆได้เอง เราอาจเคยเห็นเด็กเล็กที่มีลักษณะที่มีนิสัย น่ารังเกียจ เอาแต่ใจตัวเอง หรือในด้านที่ดี
เช่น อารมณ์สดใส โอบอ้อมอารีย์ ทั้งๆที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ที่จะทำให้เป็นคนที่มีลักษณะเช่นนั้นได้ ผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสมบัติที่ติดตัวมาจากจิตวิญญาณที่ลงมาเกิด บรรดาหนังสือที่เกี่ยวกับทางศาสนามีการพูดถึงจิต และการทำสมาธิเพื่อบำบัดจิตไว้มากมาย บางคนอ่านแล้วสามารถนำมาปฏิบัติได้ในช่วงแรกๆเท่านั้น พอนานๆไป ลืมบ้าง มีเรื่องมากระทบจิตใจบ้าง ก็สลัดอารมณ์แห่งจิตที่ดีที่ได้ฝึกมาทิ้งไป คำถามคือ เพราะอะไร และทำอย่างไร เราถึงจะคงสภาวะจิตเหล่านั้นให้คงอยู่ได้ตลอดไป
นับว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวที่เราจะควบคุมจิตของเราให้เป็นไปตามความต้องการได้ตลอดเวลา เพราะจิตของเรานั้นไวยิ่งกว่าแสงอีกครับ เราสามารถคิดเรื่องต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกันแวบไปแวบมาได้นับครั้งไม่ถ้วน แค่ควบคุมให้คิดหรือมีสมาธิกับเรื่องๆเดียวยังทำได้ยากเลย ประสาอะไรกับการควบคุมให้คิดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นความคิดบวก
หากเราลองสังเกตตัวเราเอง เราจะเห็นว่าวันๆหนึ่ง เราคิดเรื่องลบ มากกว่าเรื่องบวกเสียอีก ยิ่งหากเราหมุนไปตามกระแส สภาวการณ์ของโลกและสังคมทุกวันนี้ ยิ่งทำให้เราคิดลบขึ้นไปใหญ่ หากยังไม่เห็นภาพ ลองถามตัวเองดูสิครับว่า เรายัง หมั่นไส้เพื่อนร่วมงาน เบื่อหน่ายเจ้านาย หงุดหงิดคนที่บ้าน โมโหคนขับรถคันหน้า กลัวเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก ทั้งๆที่จริงๆแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งเบื่อนิสัยตัวเองอยู่รึเปล่า เหล่านั้นแหละครับคือ การคิดลบ
จิต ของคนเรา จะดำรงในอยู่ 3 สภาวะนี้เสมอ คือ คิดบวก เฉยๆ และ คิดลบ หากเราสามารถทำให้จิตของเราคิดแต่เรื่องบวกได้ จิตใจของเราจะร่าเริง แจ่มใส มีพลังชีวิตในการดำรงชีวิตให้มีความสุขได้ แต่หากวันๆหนึ่งเรามัวแต่คิดในแง่ลบ จิตของเราจะส่งพลังแห่งความขุ่นมัวออกมาทางร่างกาย ใบหน้าหมองคล้ำ ตาคล้ำ หงุดหงิดง่าย ใครพูดอะไรไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ไปหมด
คนประเภทนี้น่าสงสารครับ เพราะแทบจะหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย ส่วนการมีจิตแบบ เฉยๆนั้น แม้ว่าจะไม่มีผลร้ายอะไร แต่ก็จะเหมือนเรา ปล่อยตัวเองไหลไปกับสายน้ำ ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆเลย คนประเภทนี้ไม่ชอบการคิดค้นอะไรเลย ไม่ชอบพัฒนาตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น ถามว่าเราอยากเป็นคนประเภทไหนครับ
หากเราต้องการเป็นมนุษย์คิดบวก แบบถาวร เราจะทำอย่างไร เราต้องทำการขุดจิตครับ ขุดมันขึ้นมาจากจิตที่ตกอยู่ในเหวของการคิดลบ แต่ก่อนจะขุดได้ เราต้องมีสติมากพอสมควร มากพอที่เราจะรู้ตัวได้ ว่าตอนนี้นะ เราคิดลบอยู่รึเปล่า การฝึกในขั้นต้นนั้น เราต้องเอาจิตมาผูกอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันก่อนครับ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ก็คือการรู้ตัวตลอดเวลาว่า ตอนนี้เราเดินอยู่นะ เดินไปไหน ตอนนี้ก้าวขาข้างไหน พูดอะไรกับใคร กินข้าวกับอะไร เสียงอะไรดังเข้ามาในหู ทุกๆเรื่องๆครับ
กำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วคอยดูจิตของเราว่าจิตของเราสั่นสะเทือนไปในทางไหน มันก็จะมีทั้งสั่นสะเทือนไปในทางที่ดี และทางที่ไม่ดี ทีนี้พอเรากำหนดจิตรับรู้การเป็นไปของจิตเราเองไปเรื่อยๆเราจะเห็นว่า การสั่นสะเทือนของจิตมันเกิดขึ้นและมันก็สามารถกลับคืนสู่สภาวะเดิมๆ ของมันได้เอง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับเรื่องที่มากระทบว่าเราตค่ามันว่าสำคัญระดับไหน เช่น หากวันนี้เราถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง อารมณ์ดีใจ มีความสุข
ก็อาจประทับอยู่ในจิตเรานานกว่า การเก็บเงินได้สิบบาท หรือหากเราสูญเสียคนที่เรารักไป เราคงต้องเสียใจจากการจากไปของเขามากกว่าการที่แมวเราโดนรถชนตาย หากเราไม่รู้อาการของจิตในตัวเรา เราก็จะปล่อยให้อาการ “จิตคิดลบ” นั้นการกัดกินใจเราไปนานแสนนาน
ในทางตรงกันข้าม หากเราเลือกจดจำการสะเทือนไปในทางที่ดี ซ้ำๆ พิมพ์มันลงไปในจิต โดยใช้จิตสำนึกของเราเอง ทำไปเรื่อยๆ เรื่องดีๆเหล่านั้น มันก็จะถูกส่งต่อไปในระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งจิตใต้สำนึกของคนเรานั้นมันทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา ทั้งยามหลับและตื่น มันจะทำตามสิ่งที่เราคิดตราตรึงลงไปทุกวัน ให้เราลองทำแบบฝึกหัดนี้ดูนะครับ
แบบฝึกหัดที่หนึ่ง “ตราตรึงสิ่งที่ดีลงไปในจิตใต้สำนึก”
เมื่อเราตื่นขึ้นมาให้เรายิ้มให้กว้างที่สุด นึกถึงสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากที่สุด โดยต้องเป็นเรื่องที่ดี ถูกต้องตามหลักศีลธรรมนะครับ นึกถึงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข สักหนึ่งนาที จากนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จ ให้ยืนหน้ากระจก ยิ้มให้ตัวเองหนึ่งที แล้วพูดถ้อยคำที่เราอยากให้เราเป็น ผมขอยกตัวอย่างว่า เราโชคดี เราอารมณ์ดี และเรามีสุขภาพแข็งแรง เอาแค่ 3 คำ ใช้เวลาพูดคำเหล่านี้ 10 นาที เวลาพูดให้มองเข้าไปในดวงตาของเรา มองให้ทะลุไปถึงตัวตนของเราจริงๆที่อยู่ในร่างกายนี้ แล้วสิ่งที่เรียกว่า มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับตัวคุณ